วุยก๊ก[4][c] (ค.ศ. 220–266) ในภาษาจีนกลางเรียกว่า เว่ย์ (จีน: [d]) เป็นหนึ่งในรัฐราชวงศ์ที่สำคัญของจีนในยุคสามก๊ก วุยก๊กก่อตั้งในปี ค.ศ. 220 โดยโจผี ก่อตั้งขึ้นจากรากฐานที่โจโฉบิดาของโจผีวางไว้ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น นครหลวงของวุยก๊กเริ่มต้นคือฮูโต๋[a]หรือสฺวี่ชาง (許昌) ภายหลังย้ายไปลกเอี๋ยง (洛陽 ลั่วหยาง)

วุยก๊ก (เว่ย์)

ค.ศ. 220–266
จีนในปี ค.ศ. 262 อาณาเขตของวุยก๊กคือสีเหลือง
จีนในปี ค.ศ. 262 อาณาเขตของวุยก๊กคือสีเหลือง
เมืองหลวง
ภาษาทั่วไปภาษาจีนฮั่นตะวันออก
ศาสนา
ลัทธิเต๋า, ลัทธิขงจื๊อ, ศาสนาชาวบ้านจีน
การปกครองราชาธิปไตย
จักรพรรดิ 
• ธันวาคม ค.ศ. 220 – มิถุนายน ค.ศ. 226
โจผี
• มิถุนายน ค.ศ. 226 – มกราคม ค.ศ. 239
โจยอย
• มกราคม ค.ศ. 239 – ตุลาคม ค.ศ. 254
โจฮอง
• ตุลาคม ค.ศ. 254 – มิถุนายน ค.ศ. 260
โจมอ
• มิถุนายน ค.ศ. – กุมภาพันธ์ ค.ศ. 266
โจฮวน
ยุคประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก
• การสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้
11 ธันวาคม ค.ศ. 220
• ง่อก๊กประกาศตนเป็นอิสระจากวุยก๊ก
ค.ศ. 222
• วุยก๊กพิชิตจ๊กก๊ก
ค.ศ. 263
• การสละราชบัลลังก์ของโจฮวน
4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 266
ประชากร
• 260
4,432,881 (เป็นที่ถกเถียง)[1][b]
สกุลเงินเหรียญเงินจีน (อู่จู)
ก่อนหน้า
ถัดไป
ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
ราชวงศ์จิ้นตะวันตก
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ
วุยก๊ก
อักษรจีนตัวเต็ม曹魏
อักษรจีนตัวย่อ曹魏
ฮั่นยฺหวี่พินอินCáo Wèi

ชื่อ "วุย" หรือ "เว่ย์" เดิมมีความเกี่ยวข้องกับโจโฉเมื่อโจโฉได้รับการตั้งให้เป็นวุยก๋ง (魏公 เว่ย์กง) โดยราชสำนักของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกในปี ค.ศ. 213 และกลายเป็นชื่อรัฐเมื่อโจผีสถาปนาตนเป็นจักรพรรดิในปี ค.ศ. 220 นักประวัติศาสตร์มักเติมหน่วยคำอุปสรรคว่า "เฉา" (曹; หมายถึงชื่อสกุล "เฉา" หรือ "โจ") นำหน้าคำว่า "เว่ย์" เพื่อแยกความแตกต่างจากรัฐจีนอื่น ๆ ที่เรียกด้วยชื่อว่า "เว่ย์"

อำนาจปกครองของตระกูลโจอ่อนแอลงอย่างมากหลังการถูกปลดและถูกประหารชีวิตของโจซองผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของโจฮองจักรพรรดิลำดับที่ 3 ของวุยก๊ก สุมาอี้ที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีกคนค่อย ๆ รวบรวมอำนาจรัฐให้กับตนเองและเหล่าญาติตั้งแต่ปี ค.ศ. 249 เป็นต้นมา โดยจักรพรรดิส่วนใหญ่ในช่วงปลายของวุยก๊กกลายเป็นผู้ปกครองหุ่นเชิดของตระกูลสุมา ในปี ค.ศ. 266 สุมาเอี๋ยนหลานชายของสุมาอี้บังคับจักรพรรดิโจฮวนให้สละราชบัลลังก์ สุมาเอี๋ยนสถาปนาตนเป็นจักรพรรดิจิ้นอู่ตี้แห่งราชวงศ์จิ้นที่ก่อตั้งขึ้นใหม่

ประวัติ

แก้

จุดเริ่มต้นและการสถาปนา

แก้

ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ภาคเหนือของจีนอยู่ใต้การปกครองของโจโฉ อัครมหาเสนาบดีในพระเจ้าเหี้ยนเต้ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮั่น ในปี ค.ศ. 213 พระเจ้าเหี้ยนเต้สถาปนาโจโฉขึ้นเป็น "วุยก๋ง" (魏公 เว่ย์กง) และพระราชทานเมืองให้ปกครองสิบเมือง พื้นที่นี้ถูกเรียกว่า "วุย" (เว่ย์) ขณะนั้นภาคใต้ของจีนถูกแบ่งเป็นสองพื้นที่ที่ปกครองโดยอีกสองขุนศึกคือเล่าปี่และซุนกวน ในปี ค.ศ. 216 พระเจ้าเหี้ยนเต้เลื่อนโจโฉขึ้นเป็น "วุยอ๋อง" (魏王 เว่ย์หวาง) และมอบอาณาเขตให้ปกครองมากขึ้น

โจโฉถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 220 โจผีขึ้นสืบทอดตำแหน่งวุยอ๋อง หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนในปีเดียวกัน โจผีบังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้สละราชสมบัติ โจผีขึ้นครองราชย์แทนและสถาปนาวุยก๊ก (รัฐวุย) ขึ้น เล่าปี่ตอบโต้การอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ของโจผีทันทีโดยการสถาปนาตนเป็น "จักรพรรดิแห่งจ๊กก๊ก" ในปีถัดมา ซุนกวนดำรงตำแหน่งอ๋องภายใต้วุยก๊ก แต่ก็ได้ประกาศตนเป็นอิสระในปี ค.ศ. 222 และสถาปนาตนเป็น "จักรพรรดิแห่งง่อก๊ก" ในปี ค.ศ. 229

เพื่อแยกความแตกต่างของรัฐจากรัฐอื่น ๆ ในประวัติศาสร์จีนที่มีชื่อเดียวกัน นักประวัติศาสตร์ได้เพื่ออักขระที่เกี่ยวข้องกับชื่อเดิมของรัฐ: รัฐที่เรียกตัวเองว่า "เว่ย์"(魏) ยังเป็นที่รู้จักกันคือ "เฉา เว่ย์" (曹魏)

รัชสมัยพระเจ้าโจผีและพระเจ้าโจยอย

แก้

โจผีทรงปกครองมาเป็นเวลาหกปีจนกระทั่งสวรรคตในปี ค.ศ. 226 และถูกสืบราชสมบัติโดยราชโอรสของพระองค์ โจยอย ทรงปกครองจนกระทั่งทรงสวรรคตใน ค.ศ. 239 ตลอดรัชสมัยของโจผีและโจยอย วุยก๊กต้องต่อสู้รบในสงครามหลายครั้งกับสองรัฐที่เป็นคู่แข่งกันคือ จ๊กก๊กและง่อก๊ก

ระหว่างปี ค.ศ. 228 และ ค.ศ. 234 จูกัดเหลียงผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีและผู้แทนพระองค์ของจ๊กก๊ก ได้นำชุดของการทัพทางทหารห้าครั้งเพื่อเข้าโจมตีชายแดนทางตะวันตกของวุยก๊ก (ภายในมณฑลกานซู่และฉ่านซีในปัจจุบัน) โดยมีเป้าหมายเพื่อพิชิตเตียงอั๋น เมืองยุทธศาสตร์ซึ่งอยู่บนถนนสู่นครลกเอี๋ยง เมืองหลวงของวุยก๊ก การบุกครองของจ๊กก๊กได้ถูกขับไล่โดยกองทัพวุยก๊กที่นำโดยแม่ทัพ โจจิ๋น สุมาอี้ เตียวคับ และอื่น ๆ จ๊กก๊กไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ อย่างมีนัยสำคัญในการทัพครั้งนี้เลย

บนชายแดนทางใต้และตะวันออก วุยก๊กได้ต่อสู้รบกับง่อก๊กในชุดของความขัดแย้งทางอาวุธตลอดช่วงปี ค.ศ. 220 และ ค.ศ. 230 รวมทั้งยุทธการที่ต๋งเค้า (ค.ศ. 222-223) กังเหลง (ค.ศ. 223) และเซ็กเต๋ง (ค.ศ. 228) อย่างไรก็ตาม การสู้รบส่วนใหญ่ส่งผลก่อให้เกิดหนทางตันและทั้งสองฝ่ายไม่สามารถขยายอาณาเขตของตนได้มากนัก

การบุกเลียวตั๋งของสุมาอี้

แก้

ภายหลังจากบู๊ขิวเขียม ได้ล้มเหลวในการปราบปรามตระกูลกองซุนในเมืองเลียวตั๋ง ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 238 สุมาอี้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไท่เว่ย์( 太尉 หรือ มหาเสนา) เปิดฉากการบุกครองพร้อมกับทหารจำนวน 40,000 นาย ตามรับสั่งของจักรพรรดิโจยอยในการเข้าปะทะกับเลียวตั๋ง ซึ่งจุดที่แห่งนี้ได้ถูกหยั่งรากอย่างเหนียวแน่นภายใต้การควบคุมของตระกูลกองซุนมาเป็นเวลายาวนานถึงสี่ทศวรรษ ภายหลังจากการโอบล้อมเป็นเวลาสามเดือน โดยได้รับความช่วยเหลือจากอาณาจักรโคกูรยอ สุมาอี้สามารถเข้ายึดเมืองหลวงเซียงเป๋งได้ ส่งผลทำให้สามารถพิชิตจังหวัดภายในช่วงปลายเดือนกันยายนของปีเดียวกัน

ศึกโคกูรยอ-วุยก๊ก

แก้

ในช่วงเวลานั้น เมื่ออาณาจักรโคกูรยอรวบรวมอำนาจ ได้ดำเนินการพิชิตดินแดนบนคาบสมุทรเกาหลีซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของจีน โคกูรยอได้ริเริ่มสงครามโคกูรยอ-เว่ย์ ใน ค.ศ. 242 โดยพยายามตัดขาดเส้นทางในการเข้าถึงดินแดนเกาหลีของจีน โดยพยายามเข้ายึดป้อมปราการของจีน อย่างไรก็ตาม เว่ย์ได้ตอบโต้ด้วยบุกรุกและเอาชนะโคกูรยอ ฮวันโดได้ถูกทำลายจากการล้างแค้นโดยกองทัพเว่ย์ใน ค.ศ. 244 การบุกครองครั้งนี้ทำให้กษัตริย์หลบหนีไป และทำลายความสัมพันธ์แบบรัฐบรรณาการระหว่างโคกูรยอและชนเผ่าอื่น ๆ ของเกาหลีซึ่งก่อให้เกิดเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของโคกูรยอ แม้ว่ากษัตริย์จะหลบหนีจากการถูกจับกุมและไปตั้งรกรากในเมืองหลวงแห่งใหม่ในที่สุด โคกูรยอก็ได้ถูกลดความสำคัญลงจนเหลือเพียงครึ่งทศวรรษ หลังจากนั้นมาก็ไม่มีการเอ่ยถึงรัฐในตำราประวัติศาสตร์จีน

การล่มสลายของวุยก๊ก

แก้

ในปี ค.ศ. 249 ในรัชสมัยของทายาทผู้สืบทอดต่อจากโจยอยคือโจฮอง สุมาอี้ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ยึดอำนาจควบคุมรัฐมาจากโจซอง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีกคนนึงในการก่อรัฐประหาร เหตุการณ์นี้เป็นการบ่งบอกถึงการล่มสลายของอำนาจจักรพรรดิในวุยก๊ก เนื่องจากบทบาทของโจฮองถูดลดทอนลงเหลือเพียงผู้ปกครองหุ่นเชิด ในขณะที่สุมาอี้ควบคุมอำนาจรัฐอย่างมั่นคงไว้ในกำมือของเขา หวาง หลิง แม่ทัพแห่งวุยก๊ก ได้พยายามที่จะก่อกบฏต่อต้านสุมาอี้ แต่ถูกปราบปรามอย่างรวดเร็วและต้องปลิดชีพตนเอง สุมาอี้ได้ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 251 โดยส่งอำนาจต่อให้แก่สุมาสูบุตรชายคนโตของเขาในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

สุมาสูได้ปลดโจฮองออกจากราชบัลลังก์ใน ค.ศ. 254 ด้วยเหตุผลในการวางแผนก่อกบฏต่อต้านเขาและแต่งตั้งโจมอขึ้นมาเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่แทน ในผลตอบสนอง บู๊ขิวเขียมและบุนขิมได้ร่วมมือกันก่อกบฏ แต่กลับถูกปราบปรามอย่างราบคาบโดยสุมาสู ด้วยเหตุการณ์นี้ยังได้ส่งผลอย่างมากต่อสุขภาพของสุมาสู ซึ่งได้รับการผ่าตัดที่ดวงตาช่วงก่อนการจลาจล ทำให้เขาต้องเสียชีวิตลง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 255 แต่ได้มีการส่งมอบอำนาจต่อและตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปให้กับสุมาเจียวน้องชายคนเล็กของเขา

ในปี ค.ศ. 258 สุมาเจียวได้ปราบปรามการก่อกบฏของจูกัดเอี๋ยน เป็นการยุติสิ่งที่ถูกเรียกว่า กบฏสามครั้งในฉิวฉุน ใน ค.ศ. 260 โจมอได้พยายามจะยึดอำนาจควบคุมรัฐกลับคืนมาจากสุมาเจียวในการก่อรัฐประหาร แต่กลับถูกสังหารโดยเซงเจ แม่ทัพทหารนายกองซึ่งรับใช้อยู่ภายใต้กาอุ้นซึ่งเป็นผู้ติดตามของตระกูลสุมา ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของโจมอ โจฮวนได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิวุยก๊กองค์ที่ห้า อย่างไรก็ตาม โจฮวนก็ยังคงเป็นเพียงผู้ปกครองหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของสุมาเจียวเช่นเดียวกับจักรพรรดิองค์ก่อน ใน ค.ศ. 263 กองทัพวุยก๊กซึ่งนำโดยจงโฮยและเตงงายสามารถพิชิตจ๊กก๊กมาได้ ภายหลังจากนั้นจงโฮยและเกียงอุยอดีตแม่ทัพแห่งจ๊กก๊ก ได้ร่วมมือกันและวางแผนเพื่อขับไล่สุมาเจียวลงจากอำนาจ อย่างไรก็ตาม แม่ทัพทหารวุยก๊กหลายคนได้หันมาต่อต้านพวกเขา เมื่อพบว่าเกียงอุยยุแยงจงโฮยให้กำจัดแม่ทัพทหารเหล่านี้ก่อนที่จะเริ่มก่อรัฐประหารตามแผน สุมาเจียวเองได้รับและในที่สุดก็ยอมรับบรรดาศักดิ์เก้าขั้นและได้รับสถาปนาเป็น จิ้นก๋ง ใน ค.ศ. 264 และต่อมาได้รับพระราชทานยศตำแหน่งเป็น จิ้นอ๋อง โดยโจฮวนใน ค.ศ. 264 แต่เขาได้เสียชีวิตลง เมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 265 โดยทิ้งไว้เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายของการแย่งชิงอำนาจให้กับสุมาเอี๋ยนบุตรชายคนโตของเขา

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 266 สุมาเอี๋ยน บุตรชายของสุมาเจียว ได้บีบบังคับให้โจฮวนสละราชบัลลังก์ และตัวเขาเองก็ขึ้นครองราชย์และสถาปนาราชวงศ์จิ้นขึ้นมาแทนที่ราชวงศ์วุยก๊ก เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 266 ส่วนโจฮวนเองทรงรอดชีวิตและมีพระชนม์ชีพอยู่จนถึง ค.ศ. 302 ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์

ราชสำนัก

แก้

วัฒนธรรม

แก้

ลายสือศิลป์แบบไข่ชูได้รับการพัฒนาในระหว่างช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออกและราชวงศ์วุยก๊ก ผู้เชี่ยวชาญลายสือศิลป์แบบไข่ชูที่เป็นที่รู้จักคือจงฮิว ขุนนางแห่งวุยก๊ก[8]

รายชื่ออาณาเขต

แก้

รายพระนามกษัตริย์

แก้

ผู้ปกครองวุยก๊ก
นามวัด สมัญญานาม ชื่อสกุล (ตัวหนา) และชื่อตัว ครองราชย์ (ค.ศ.) ชื่อรัชศกและช่วงเวลา (ค.ศ.) หมายเหตุ
(-) จักรพรรดิเกา
(เกาหฺวังตี้)
高皇帝
โจเท้ง
(เฉา เถิง)
曹騰
(-) (-) พระราชสมัญญานามของโจเท้งได้รับการยกย่องย้อนหลังโดยพระเจ้าโจยอย
(-) จักรพรรดิไท่
(ไท่หฺวังตี้)
太皇帝
โจโก๋
(เฉา ซง)
曹嵩
(-) (-) พระราชสมัญญานามของโจโก๋ได้รับการยกย่องย้อนหลังโดยพระเจ้าโจผี
ไท่จู่
太祖
จักรพรรดิอู่
(อู่หฺวังตี้)
武皇帝
โจโฉ
(เฉา เชา)
曹操
(-) (-) ชื่อวัดและพระราชสมัญญานามของโจโฉได้รับการยกย่องย้อนหลังโดยพระเจ้าโจผี
ชื่อจู่
世祖
จักรพรรดิเหวิน
(เหวินหฺวังตี้)
文皇帝
โจผี
(เฉา ผี)
曹丕
220-226
เลี่ยจู่
烈祖
จักรพรรดิหมิง
(หมิงหฺวังตี้)
明皇帝
โจยอย
(เฉา รุ่ย)
曹叡
227-239
(-) (-) โจฮอง
(เฉา ฟาง)
曹芳
240-249 โจฮองถูกลดขั้นเป็น "เจอ๋อง" (齊王 ฉีหวาง) หลังถูกถอดจากราชสมบัติ โจฮองได้รับการสถาปนาย้อนหลังเป็น "เช่าหลิงลี่กง" (邵陵厲公) ในยุคราชวงศ์จิ้นตะวันตก
(-) (-) โจมอ
(เฉา เหมา)
曹髦
254-260 โจมอได้รับการสถาปนาย้อนหลังเป็น "เกากุ้ยเซียงกง" (高貴鄉公).
(-) จักรพรรดิยฺเหวียน
(ยฺเหวียนหฺวังตี้)
元皇帝
โจฮวน
(เฉา ฮฺวั่น)
曹奐
260-266

พงศาวลีวุยก๊ก

แก้

หมายเหตุ

แก้
  1. 1.0 1.1 ชื่อ "ฮูโต๋" ในสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ตรงกับชื่อภาษาจีนกลางว่า "สวี่ตู" (許都) มีความหมายว่านครหลวง (都 ตู) ชื่อ "สวี่" (許) สวี่เป็นนครหลวงช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ต่อมาในยุคสามก๊กได้มีการเปลี่ยนชื่อ "สวี่" เป็น "สวี่ชาง" (許昌) ในสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เรียกเป็น "ฮูโต๋" ตลอดทั้งเรื่องโดยไม่เปลี่ยนคำเรียก
  2. ตัวเลขนี้อ้างอิงจากตัวเลขที่ระบุในสามก๊กจี่ ซึ่งเป็นที่กังขาเนื่องจากระบบสำมะโนประชากรถูกอ้างว่ามีข้อบกพร้อง จำนวนประชากรที่แท้จริงอาจมีมากกว่านี้[2] แทนเนอร์ (ค.ศ. 2009) ประมาณการว่าประชากรของวุยก๊กน่าจะมากกว่า 2 ใน 3 ของประชากรชาวฮั่นทั้งหมด[3]
  3. คำว่า "ก๊ก" ตรงกับคำภาษาจีนกลางว่า "กั๋ว" (國) มีความหมายว่า "รัฐ"
  4. พินอิน: Wèi < จีนสมัยกลาง: ŋjweiC < จีนฮั่นตะวันออก: *ŋuiC[5] มีคำเรียกอื่น ๆ ว่า เฉาเว่ย์ (曹魏) หรือ เว่ย์ยุคแรก[6][7]

อ้างอิง

แก้
  1. Zou Jiwan (鄒紀萬), Zhongguo Tongshi – Weijin Nanbeichao Shi 中國通史·魏晉南北朝史, (1992).
  2. Institute of Advanced Studies (December 1991). Barme, Gerome (บ.ก.). East Asian History: THE CONTINUATION OF Papers on Far Eastern History (PDF) (Number 2 ed.). Canberra, Australia: Australian National University. pp. 149–152. สืบค้นเมื่อ 29 March 2015.
  3. Tanner, Harold M. (13 March 2009). "The Age of Warriors and Buddhists". China: A History. Hackett. p. 142. When it was established, Wu had only one-sixth of the population of the Eastern Han Empire (Cao Wei held over two-thirds of the Han population).
  4. (ราชอาณาเขตต์ของพระเจ้าโจผี คำหลวง (คือจีนเมืองหลวงเดิม) เรียกว่า ไวโกวะ จีนฮกเกี้ยนเรียกว่า วุยก๊ก จีนแต้จิ๋วเรียกว่า งุ่ยก๊ก จีนกวางตุ้งเรียกว่า ง่ายโกะ จีนไหหลำเรียกว่าหงุ่ยก๊ก)"ตำนานหนังสือสามก๊ก บทที่ ๓ ว่าด้วยสำนวนแปลหนังสือสามก๊ก". วัชรญาณ. สืบค้นเมื่อ August 16, 2024.
  5. Schuessler, Axel. (2009) Minimal Old Chinese and Later Han Chinese. Honolulu: University of Hawaiʻi. p. 291
  6. BSod-nams-rgyal-mtshan; Sørensen, Per K. (1994). The Mirror Illuminating the Royal Genealogies. Otto Harrassowitz Verlag. p. 80. ISBN 3-447-03510-2.
  7. Wu, Ching-hsiung, บ.ก. (1940). T'ien Hsia Monthly. Vol. 11. Kelly and Walsh. p. 370.
  8. Qiu Xigui (2000). Chinese Writing. Translated by Mattos and Jerry Norman. Early China Special Monograph Series No. 4. Berkeley: The Society for the Study of Early China and the Institute of East Asian Studies, University of California, Berkeley. ISBN 1-55729-071-7; p.142-3

ดูเพิ่ม

แก้