จักรพรรดิจิ้นอู่ตี้ (จีนตัวย่อ: 晋武帝; จีนตัวเต็ม: 晉武帝; พินอิน: Jìn Wǔ Dì; เวด-ไจลส์: Chin Wu-Ti) หรือ พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้[b] / ชื่อจู๋อู่หฺวางตี้ (จีน: 世祖武皇帝; พินอิน: Shìzǔ Wǔ Huángdì) ชื่อตัว สุมาเอี๋ยน (ค.ศ. 263 - 16 พฤษภาคม ค.ศ. 290[c]) หรือในภาษาจีนกลางว่า ซือหม่า เหยียน (จีน: 司馬炎; พินอิน: Sīmǎ Yán) ชื่อรอง อานชื่อ (จีน: 安世; พินอิน: Ānshì) เป็นหลานปู่ของสุมาอี้ หลานลุงของสุมาสู และบุตรชายของสุมาเจียว สุมาเอี๋ยนขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์จิ้นหลังจากบังคับโจฮวนจักรพรรดิลำดับสุดท้ายของรัฐวุยก๊กให้สละราชบัลลังก์ให้พระองค์ พระองค์ครองราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 266 ถึง ค.ศ. 290 และหลังจากการพิชิตรัฐง่อก๊กในปี ค.ศ. 280 พระองค์ก็ทรงเป็นจักรพรรดิของจีนที่กลับมารวมเป็นหนึ่ง จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนยังทรงเป็นที่รู้จักในเรื่องความฟุ่มเฟือยและความหมกมุ่นโลกีย์ โดยเฉพาะภายหลังจากการรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่ง มีหลายตำนานที่เล่าขานสมรรถภาพอันเหลือเชื่อของพระองค์ในการทรงมีสัมพันธ์กับสนมนับหมื่นคน

สุมาเอี๋ยน (ซือหม่า เหยียน)
司馬炎
จักรพรรดิจิ้นอู่ตี้
พระสาทิสลักษณ์ของจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนในยุคราชวงศ์ถัง วาดโดยเหยียน ลี่เปิ่น
จักรพรรดิแห่งราชวงศ์จิ้น
ครองราชย์8 กุมภาพันธ์ 266[a] – 16 พฤษภาคม ค.ศ. 290
ถัดไปจักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้
จีนอ๋อง / อ๋องแห่งจิ้น (晉王 จิ้นหวาง)
ดำรงตำแหน่ง7 กันยายน[1] ค.ศ. 265 – 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 266
ก่อนหน้าสุมาเจียว
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งวุยก๊ก
ดำรงตำแหน่ง7 กันยายน ค.ศ. 265 – 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 266
ก่อนหน้าสุมาเจียว
ประสูติค.ศ. 236
สวรรคต16 พฤษภาคม ค.ศ. 290 (53-54 พรรษา)[2]
พระมเหสีหยาง เยี่ยน
หยาง จื่อ
หวาง เยฺวี่ยนจี
พระราชบุตรจักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้
ซือหมา เจี่ยน
ซือหมา เหว่ย์
ซือหมา ยฺหวิ่น
ซือหม่า เยี่ยน
ซือหม่า เสีย
ซือหม่า อี้
ซือหมา อิ่ง
ซือหมา เหยี่ยน
จักรพรรดิจิ้นหฺวายตี้
เจ้าหญิงฉางชาน
เจ้าหญิงผิงหยาง
เจ้าหญิงซินเฟิง
เจ้าหญิงหยางผิง
เจ้าหญิงอู่อาน
เจ้าหญิงฝานชาง
เจ้าหญิงเซียงเฉิง
เจ้าหญิงสิงหยาง
เจ้าหญิงสิงหยาง
เจ้าหญิงอิ่งชฺวาน
เจ้าหญิงกว่างผิง
เจ้าหญิงหลิงโช่ว
พระนามเต็ม
ชื่อสกุล: สุมา (จีน: 司馬; พินอิน: sī mǎ; ซือหม่า)
ชื่อตัว: เอี๋ยน (จีน: ; พินอิน: yán; เหยียน)
ชื่อรอง: อานชื่อ (จีน: 安世; พินอิน: Ānshì)
พระสมัญญานาม
อู่ (จีน: ; พินอิน: ),
มีความหมายว่า: "การยุทธ"
วัดประจำรัชกาล
ชื่อจู่ (จีน: 世祖; พินอิน: shì zǔ)
พระราชบิดาสุมาเจียว
พระราชมารดาหวาง ยฺเหวียนจี

จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงมักถูกมองว่าเป็นผู้มีพระทัยกว้างขวางและมีพระเมตตา แต่ก็ทรงถูกมองว่าเป็นผู้ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายด้วย ความมีพระทัยความกว้างขวางและพระเมตตาของพระองค์นั้นบ่อนทำลายการปกครองของพระองค์เอง เพราะพระองค์ทรงกลายเป็นผู้โอนอ่อนต่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงและความสุรุยสุร่ายของตระกูลขุนนาง (世族 ชื่อจู๋ หรือ 士族 ชื่อจู๋, ชนชั้นเจ้าของที่ดินทางการเมืองหรือทางระบบข้าราชการตั้งแต่ยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจนถึงยุคราชวงศ์ถัง) มากเกินไป ซึ่งตระกูลเหล่านี้รีดเอาทรัพย์สินของของราษฎรไป นอกจากนี้ เมื่อจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนก่อตั้งราชวงศ์จิ้นขึ้น พระองค์ทรงวิตกกังวลในเรื่องเสถียรภาพของการปกครอง และทรงเชื่อว่ารัฐก่อนหน้าอย่างวุยก๊กต้องล่มสลายเนื่องจากความผิดพลาดที่มอบอำนาจให้ตระกูลสุมา พระองค์จึงพระราชทานอำนาจอย่างสูงให้กับเหล่าพระปิตุลา พระภาดา และพระโอรสของพระองค์ รวมถึงพระราชทานอำนาจทางการทหารอย่างอิสระด้วย การดำเนินการเช่นนี้กลับส่งผลทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพของราชวงศ์จิ้นตะวันตก เนื่องจากเหล่าอ๋องต่างทำสงความภายในต่อกันและกันที่รู้จักในคำเรียกว่าสงครามแปดอ๋องภายหลังการสวรรคตของจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนไม่นาน และจากนั้น "ห้าชนเผ่า" ก็ก่อการกำเริบขึ้น ซึ่งเป็นโค่นล้มราชวงศ์จิ้นตะวันตก และทำให้ราชวงศ์จิ้นตะวันออกที่สืบทอดอำนาจต่อมาจำต้องย้ายไปภูมิภาคทางฝั่งใต้ของแม่น้ำห้วย (淮河 หฺวายเหอ)

พระประวัติก่อนการก่อตั้งราชวงศ์จิ้น

แก้

สุมาเอี๋ยนเกิดในปี ค.ศ. 236 ในฐานะบุตรชายคนโตของสุมาเจียวและภรรยาคือหวาง ยฺเหวียนจี (王元姬) ซึ่งเป็นบุตรสาวของอองซก (王肅 หวาง ซู่) บัณฑิตลัทธิขงจื๊อ ในช่วงเวลานั้น สุมาเจียวเป็นข้าราชการระดับกลางในราชสำนักของรัฐวุยก๊กและเป็นสมาชิกของตระกูลที่มีเอกสิทธิ์ในฐานะบุตรชายของขุนพลสุมาอี้ หลังสุมาอี้ยึดอำนาจจากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โจซองในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 249 ในอุบัติการณ์สุสานโกเบงเหลง สุมาเจียวก็ขึ้นมามีอำนาจในรัฐมากยิ่งขึ้น หลังการเสียชีวิตของสุมาอี้ในเดือนกันยายน ค.ศ. 251 สุมาเจียวขึ้นมาเป็นผู้ช่วยของสุมาสูผู้เป็นพี่ชายและเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คนใหม่ หลังสุมาสูเสียชีวิตในเดือนมีนาคม ค.ศ. 255 สุมาเจียวขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในราชสำนักวุยก๊ก

สุมาเอี๋ยนเริ่มมีบทบาทสำคัญครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 260 เมื่อกำลังทหารที่ภักดีต่อสุมาเจียวที่นำโดยกาอุ้นเอาชนะความพยายามของโจมอจักรพรรดิแห่งวุยก๊กที่จะทรงชิงพระราชอำนาจขึ้น แล้วปลงพระชนม์โจมอ ในช่วงเวลานั้น สุมาเอี๋ยนในฐานะขุนพลระดับกลางได้รับมอบหมายจากสุมาเจียวผู้บิดาให้ไปเชิญและถวายการอารักขาโจฮวน (ในเวลานั้นยังมีพระนามว่าเฉา หฺวาง) จักรพรรดิองค์ใหม่ จากเขตศักดินาเดิมของพระองค์มายังนครหลวงลกเอี๋ยง (洛陽 ลั่วหยาง) สุมาเอี๋ยนจึงเดินทางไปเงียบกุ๋น (鄴城 เย่เฉิง; ปัจจุบันคือนครหานตาน มณฑลเหอเป่ย์) เพื่อรับโจฮวน[4] หลังจากสุมาเจียวได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจินก๋ง (晉公 จิ้นกง) หรือก๋งแห่งจิ้นในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 263 จากการพิชิตจ๊กก๊กได้ สุมาเอี๋ยนก็ได้รับการเสนอให้เป็นทายาท แต่ในช่วงเวลานั้น สุมาเจียวลังเลว่าคนใดระหว่างสุมาเอี๋ยนหรือสุมาฮิวที่เป็นน้องชายของสุมาเอี๋ยนที่จะเหมาะสมในการเป็นรัชทายาทมากกว่า เนื่องจากสุมาฮิวถือว่าเป็นผู้มีความสามารถและยังไปเป็นบุตรบุญธรรมของสุมาสูพี่ชายของสุมาเจียวที่ไม่มีบุตรชายสืบสกุลของตน และสุมาเจียวระลึกถึงบทบาทของสุมาสูพี่ชายในการยึดอำนาจให้ตระกูลสุมา จึงเห็นว่าตควรจะคืนอำนาจให้เชื้อสายของพี่ชาย แต่ข้าราชการระดับสูงหลายคนสนับสนุนสุมาเอี๋ยน และสุมาเจียวก็เห็นด้วย หลังจากสุมาเจียวได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจีนอ๋อง (晉王 จิ้นหวาง) หรืออ๋องแห่งจิ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 264 (ซึ่งเป็นการมาถึงขั้นสุดท้ายก่อนการชิงราชบัลลังก์) สุมาเอี๋ยนได้รับการแต่งตั้งเป็นราชทายาทแห่งจิ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 265[5][d]

ในวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 265 สุมาเจียวเสียชีวิตโดยยังไม่ได้ชิงราชบัลลังก์วุยก๊ก สุมาเอี๋ยนขึ้นเป็นจีนอ๋องในวันถัดมา ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 266 สุมาเอี๋ยนบังคับโจฮวนให้สละราชบัลลังก์ ถือเป็นการสิ้นสุดของรัฐวุยก๊ก สี่วันต่อมาในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2566 สุมาเอี๋ยนสถาปนาตนเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์จิ้น

ในฐานะจักรพรรดิแห่งราชวงศ์จิ้น

แก้

ต้นรัชสมัย: การก่อตั้งระบบการเมืองของราชวงศ์จิ้น

แก้

จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงหาทางหลีกเลี่ยงสิ่งที่พระองค์เห็นว่าเป็นจุดอ่อนร้ายแรงของวุยก๊ก นั่นคือการขาดอำนาจของเหล่าเจ้าชาย ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 266 ทันทีที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงแต่งตั้งให้พระปิตุลา พระภาดา พระอนุชา และพระโอรสเป็นอ๋อง อ๋องแต่ละพระองค์มีอำนาจบัญชาการทหารทหารอย่างอิสระและมีอำนาจเต็มในอาณาเขตของตน ระบบนี้แม้ว่าถูกปรับลดลงหลังสงครามแปดอ๋องและการสูญเสียดินแดนทางเหนือของจีน แต่ก็ยังคงอยู่ในราชวงศ์จิ้นตลอดช่วงเวลาที่ราชวงศ์ดำรงอยู่ และถูกนำมาปรับใช้โดยราชวงศ์ใต้ที่มีอำนาจถัดจากราชวงศ์จิ้นด้วย

อีกปัญหาหนึ่งที่จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงเห็นในระบบการเมืองของวุยก๊กคือความเข้มงวดของกฎหมายอาญา พระองค์จึงทรงหาทางปฏิรูประบบการลงอาญาให้มีความปรานีมากยิ่งขึ้น แต่ผู้ที่ได้ผลประโยชน์หลักจากการปฏิรูปนี้กลับกลายเป็นชนชั้นสูง เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนว่าความปรานีนั้นถูกมอบให้ในลักษณะที่ไม่เท่าเทียม ชนชั้นสูงที่กระทำความผิดมักเพียงถูกตำหนิ ในขณะที่ไม่มีการลดโทษอาญาให้กับสามัญชนอย่างมีนัยสำคัญ เรื่องนี้นำไปสู่การทุจริตใหญ่หลวงและการใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่ายของชนชั้นสูง ในขณะที่คนยากจนไม่ได้รับการช่วยเหลือจากราชสำนัก ตัวอย่างเช่นในปี ค.ศ. 267 เมื่อข้าราชการระดับสูงหลายคนถูกพบว่ามีความผิดฐานร่วมมือกับนายอำเภอในการยึดที่ดินสาธารณะมาเป็นของตนเอง จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงปฏิเสธที่จะลงโทษข้าราชการระดับสูงเหล่านี้ แต่กลับให้ลงโทษนายอำเภออย่างรุนแรง

จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงเผชิญหน้ากับปัญหาทางการทหาร 2 ประเด็นแทบจะทันทีหลังการขึ้นครองราชย์ ได้แก่การคุกคามอย่างต่อเนื่องจากทัพของง่อก๊กที่เป็นรัฐอริภายใต้การปกครองของจักรพรรดิซุนโฮ และการการก่อกบฏของชนเผ่าในมณฑลฉินโจว (秦州) และเลียงจิ๋ว (涼州 เหลียงโจว) (ทั้งสองมณฑลอยู่ในพื้นที่ของมณฑลกานซู่ในปัจจุบัน) ข้าราชการส่วนใหญ่กังวลเกี่ยวกับชนเผ่าเซียนเปย์ (鮮卑), เกี๋ยง (羌 เชียง) และชนเผ่าอื่น ๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน รวมถึงชนเผ่าซฺยงหนู (匈奴) ซึ่งตั้งรกรากในบริเวณที่เป็นมณฑลชานซีในปัจจุบันหลังการยุบรัฐของชนเผ่าซฺยงหนูโดยโจโฉในปี ค.ศ. 216 ภายใต้จับตามองของข้าราชการชาวจีน เหล่าข้าราชการต่างเกรงกลัวความสามารถทางการทหารของชนเผ่าเหล่านั้น จึงต่างทูลแนะนำจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนให้ปราบกบฏชนเผ่าเหล่านี้เสียก่อนที่จะพิจารณาเรื่องการพิชิตง่อก๊ก อย่างไรก็ตาม ด้วยการสนับสนุนของขุนพลเอียวเก๋าและองโยยรวมถึงนักยุทธศาสตร์จาง หฺวา (張華) จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนจึงโปรดให้เตรียมการภูมิภาคบริเวณชายแดนด้านใต้และด้านตะวันออกเพื่อเตรียมการทำศึกกับง่อก๊กตลอดช่วงต้นรัชสมัย ขณะเดียวกันก็ทรงส่งขุนพลจำนวนหนึ่งเข้ารบกับชนเผ่าต่าง ๆ พระองค์ยิ่งทรงฮึกเหิมมากขึ้นเมื่อทรงได้รับรายงานเกี่ยวกับความโหดร้ายและความไร้ความสามารถของซุนโฮในการปกครองง่อก๊ก อันที่จริงแล้วเหล่าข้าราชการที่สนับสนุนการทำศึกกับง่อก๊กก็มักจะยกเรื่องนี้เป็นเหตุผลที่จะให้ดำเนินการรบอย่างรวดเร็ว โดยโต้แย้งว่าง่อก๊กจะยิ่งยากที่จะพิชิตหากมีจักรพรรดิขึ้นครองราชย์แทนที่ซุนโฮ อย่างไรก็ตาม หลังเกิดการก่อกบฏครั้งใหญ่โดยทูฟ่า ชู่จีเหนิง (禿髮樹機能) ผู้นำชนเผ่าเซียนเปย์ที่เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 270 ในมณฑลฉินโจว ความสนพระทัยของจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนจึงมุ่งไปที่ทูฟ่า ชู่จีเหนิง เนื่องจากทูฟ่า ชู่จีเหนิงสามารถเอาชนะขุนพลของราชวงศ์จิ้นได้หลายคน ในปี ค.ศ. 271 หลิว เหมิ่ง (劉猛) ผู้สูงศักดิ์ของชนเผ่าซฺยงหนูก่อกบฏในมณฑลเป๊งจิ๋ว (并州 ปิงโจว) เช่นกัน แม้ว่าการก่อกบฏจะดำเนินไปไม่นาน แต่ก็หันเหความสนพระทัยของจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนไปจากง่อก๊ก ในปี ค.ศ. 271 มณฑลเกาจิ๋ว (交州 เจียงโจว, ปัจจุบันอยู่ในภาคเหนือของประเทศเวียดนาม) ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์จิ้นตั้งแต่เริ่มก่อกบฏถูกง่อก๊กยึดคืนไปได้ ในปี ค.ศ. 272 ปู้ ฉ่าน (步闡) ขุนพลง่อก๊กกลัวว่าซุนโฮจะทรงลงโทษตนจากข้อกล่าวหาเท็จที่มีต่อปู้ ฉ่าน ปู้ ฉ่านจึงยอมมอบเมืองซีหลิง (西陵, อยู่ในนครอี๋ชาง มณฑลหูเป่ย์ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเมืองสำคัญให้กับราชวงศ์จิ้น แต่ลกข้องขุนพลง่อก๊กหยุดยั้งกำลังหนุนจากราชวงศ์จิ้นไว้ได้ ยึดเมืองซีหลิงคืนและสังหารปู้ ฉ่าน เอียวเก๋าพิจารณาจึงความล้มเหลวนี้จึงหันไปใช้แนวทางอื่นโดยเริ่มผ่อนคลายความตึงเครียดกับลกข้อง และปฏิบัติต่อราษฎรชาวง่อก๊กที่บริเวณชายแดนเป็นอย่างดี ทำให้ราษฎรง่อก๊กมองราชวงศ์จิ้นในแง่ดี

เมื่อจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนขึ้นครองราชย์ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 266 พระองค์ทรงตั้งให้หวาง ยฺเหวียนจีผู้เป็นพระมารดาขึ้นเป็นจักรพรรดินีพันปีหลวง ในปี ค.ศ. 266 พระองค์ยังทรงตั้งหยาง ฮุย-ยฺหวี (ภรรยาของสุมาสู) ผู้เป็นพระมาตุลานี (ป้าสะใภ้) ให้เป็นจักรพรรดินีพันปีหลวงด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการยกย่องผลงานของสุมาสูผู้เป็นพระปิตุลา (ลุง) ในการก่อตั้งรากฐานของราชวงศ์จิ้น จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงตั้งหยาง เยี่ยน (楊艷) พระชายาให้เป็นจักรพรรดินีในปีเดียวกัน ในปี ค.ศ. 267 พระองค์ทรงตั้งให้ซือหม่า จง (司馬衷) พระโอรสองค์โตสุดที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ให้เป็นรัชทายาท โดยยึดจากหลักการในลัทธิขงจื๊อที่ว่าพระโอรสองค์โตของพระมเหสีของจักรพรรดิควรได้รับเลือกเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ อย่างไรก็ตาม การที่ทรงเลือกซือหม่า จงเป็นรัชทายาทจะส่งผลอย่างมากต่อความไม่มั่นคงทางการเมืองและความเสื่อมถอยของราชวงศ์จิ้น เนื่องจากรัชทายาทซือหม่า จงดูเหมือนจะมีภาวะบกพร่องทางพัฒนาการ และทรงไม่สามารถเรียนรู้ทักษะสำคัญที่จำเป็นต่อการปกครองได้ ในปี ค.ศ. 272 จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงเลือกเจี่ย หนานเฟิง (賈南風) บุตรสาวผู้ทะเยอทะยานของกาอุ้น ให้มาเป็นพระชายาของรัชทายาทซือหม่า จง ตั้งแต่นั้นมาชทายาทซือหม่า จงก็อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของเจี่ย หนานเฟิง ก่อนที่จักพรรดินีหยาง เยี่ยนจะสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 274 พระองค์ทรงกังวลว่าไม่ว่าใครจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีองค์ใหม่ คนผู้นั้นก็จะมีความทะเยอทะยาที่จะขึ้นแทนที่รัชทายาท ดังนั้นจักพรรดินีหยาง เยี่ยนจึงทูลขอจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนให้สมรสกับหยาง จื่อ (楊芷) ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดินีหยาง เยี่ยน จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงเห็นชอบด้วย

ในปี ค.ศ. 273 จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงคัดเลือกหญิงงามจากทั่วจักรวรรดิ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พระองค์ทรงใส่พระทัยพิจารณาบุตรสาวของเหล่าข้าราชการระดับสูง แต่พระองค์ยังทรงมีรับสั่งห้ามการแต่งงานทั่วจักรวรรดิจนกว่ากระบวนการคัดเลือกจะเสร็จสิ้น

กลางรัชสมัย: การรวมจักรวรรดิจีนเป็นหนึ่ง

แก้

ในปี ค.ศ. 276 จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนประชวรหนัก นำไปสู่วิกฤตการสืบราชบัลลังก์ รัชทายาทซือหม่า จงทรงเป็นรัชทายาทโดยชอบธรรม แต่ทั้งข้าราชการและราษฎรต่างหวังว่าสุมาฮิวผู้เป็นอ๋องแห่งเจ๋ (齊王 ฉีหวาง) และเป็นพระอนุชาที่มีความสามารถของจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนจะได้สืบทอดราชบัลลังก์แทน หลังจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงหายจากประชวร พระองค์ก็ทรงริบอำนาจบัญชาการทหารบางส่วนจากข้าราชการที่พระองค์ทรงเห็นว่าเข้าข้างสุมาฮิว แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงลงโทษรุนแรงกับผู้ใด

ต่อมาในปีเดียวกัน เอียวเก๋าทูลให้พระองค์ทรงทบทวนแผนการพิชิตง่อก๊ก ข้าราชการส่วนใหญ่ยังคงกังวลเกี่ยวกับกบฏทูฟ่า ชูจีเหนิงจึงคัดค้านแผนการพิชิตง่อก๊ก แต่เอียวเก๋าได้รับการสนับสนุนจากเตาอี้ (杜預 ตู้ ยฺวี่) และจาง หฺวา จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงพิจารณาคำแนะนำเหล่านี้อย่างรอบคอบ แต่พระองค์ก็ยังไม่ได้นำแผนไปปฏิบัติในช่วงเวลานั้น

ในปี ค.ศ. 276 เดียวกันนั้น จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงสมรสกับหยาง จื่อลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดินีหยาง เยี่ยน ตามที่พระองค์เคยทรงให้คำมั่นกับจักรพรรดินีหยาง เยี่ยนผู้ล่วงลับ แล้วพระองค์จึงทรงตั้งให้หยาง จื่อเป็นจักรพรรดินี หยาง จฺวิ้น (楊駿) บิดาของจักรพรรดินีหยาง จื่อได้กลายมาเป็นข้าราชการคนสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน และกลายเป็นคนเย่อหยิ่งอย่างมาก

ในปี ค.ศ. 279 เมื่อขุนพลหม่า หลง (馬隆) ปราบกบฏทูฟ่า ชู่จีเหนิงได้สำเร็จในที่สุด จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนจึงทรงมุ่งเน้นไปที่การพิชิตง่อก๊ก พระองค์ทรงมีรับสั่งให้โจมตีหกทาง นำโดยสุมาเตี้ยม (司馬伷 ซือหม่า โจ้ว) ผู้เป็นพระปิตุลา (อา), อองหุย (王渾 หวาง หุน), อ๋องหยง (王戎 หวาง หรง), เฮาหุน (胡奮 หู เฟิ่น), เตาอี้ และองโยย โดยมีทัพใหญ่ที่สุดภายใต้การนำของอองหุยและองโยย แต่ละทัพของราชวงศ์จิ้นรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วและยึดได้เมืองชายแดนที่ตั้งเป้าไว้ โดยกองเรือขององโยยมุ่งไปทางตะวันออกตามแม่น้ำแยงซี และกวาดล้างกองเรือของง่อก๊กในแม่น้ำ เตี๋ยวเค้า (張悌 จาง ที่) อัครมหาเสนาบดีแห่งง่อก๊กพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อจะเอาชนะทัพของอองหุย แต่เตี๋ยวเค้าก็พ่ายแพ้และถูกสังหาร อองหุย, องโยย และสุมาเตี้ยมต่างมุ่งหน้าไปเกี๋ยนเงียบ จักรพรรดิซุนโฮจึงจำต้องยอมจำนนในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 280 จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงตั้งให้ซุนโฮมีบรรดาศักดิ์เป็นอุ้ยเบ้งเฮา (歸命侯 กุยหมิงโหว) การควบรวมดินแดนของอดีตง่อก๊กเข้ากับราชวงศ์จิ้นดูจะเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างราบรื่น

หลังการล่มสลายของง่อก๊ก จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงมีรับสั่งให้ผู้ว่าราชการมณฑลไม่ต้องรับผิดชอบด้านการทหารอีกต่อไป และรับผิดชอบเฉพาะด้านพลเรือนเท่านั้น แล้วให้ยุบกำลังทหารในภูมิภาค แม้จะมีการคัดค้านจากขุนพลเถา หฺวาง (陶璜) และชาน เทา (山濤) ที่เป็นข้าราชการคนสำคัญ เรื่องนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาในภายหลังในช่วงการก่อกบฏของห้าชนเผ่า เนื่องจากผู้ว่าราชการในภูมิภาคไม่สามารถระดมกำลังทหารมาต้านทานได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนยังทรงปฏิเสธคำแนะนำที่จะให้ค่อย ๆ ย้ายชนต่างเผ่าออกไปนอกจักรวรรดิ

ปลายรัชสมัย: การก่อตัวของภัยพิบัติ

แก้

ในปี ค.ศ. 281 จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนนำทรงสตรี 5,000 คนจากพระราชวังของซุนโฮมายังพระราชวังของพระองค์เอง หลังจากนั้นพระองค์ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับการเลี้ยงอาหารและสำเริงสำราญกับสตรีเหล่านั้นมากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับราชการสำคัญของรัฐ กล่าวกันว่ามีสตรีที่งดงามจำนวนมากในพระราชวังจนจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงเลือกไม่ได้ว่าควรมีเพศสัมพันธ์กับผู้ใด พระองค์จึงประทับบนรถเล็กที่เทียมด้วยแพะ เมื่อแพะไปหยุดที่ใด พระองค์ก็จะทรงหยุดพักประทับ ณ ที่นั้นเช่นกัน[6] ด้วยเหตุนี้ สตรีจำนวนมากจึงเตรียมใบไผ่และเกลือไว้นอกห้องนอน ซึ่งเชื่อกันว่าของทั้งสองสิ่งนี้เป็นของโปรดของแพะ หยาง จฺวิ้นบิดาของจักรพรรดินีหยาง จื่อ รวมถึงหยาง เหยา (楊珧) และหยาง จี้ (楊濟) อาของจักรพรรดินีหยาง จื่อได้ขึ้นครองอำนาจ

จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงเริ่มกังวลมากขึ้นว่าหากพระองค์สวรรคตเจ้าชายสุมาฮิวที่เป็นพระอนุชาจะเข้าชิงบัลลังก์หรือไม่ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 283 จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงส่งสุมาฮิวกลับไปราชรัฐของสุมาฮิวเอง แม้ว่าไม่มีหลักฐานว่าสุมาฮิวทรงมีความทะเยอทะยานเช่นนั้น เจ้าหญิงจิงเจ้า (京兆公主 จิงเจ้ากงจู่) และเจ้าหญิงฉางชาน (常山公主 ฉางชานกงจู่) ทรงหมอบกราบและทูลขอร้องจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนให้ทรงเพิกถอนพระราชโองการ แต่จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนกลับกริ้วยิ่งขึ้นและลดขั้นพระสวามีของเจ้าหญิงฉางชานเป็นการโต้ตอบ[7] ข้าราชการหลายคนรวมถึงเฉา จื้อ (曹志) พระสหายของจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนต่างทูลคัดค้านพระดำรินี้ จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนจึงทรงมีรับสั่งให้นำข้าราชการเหล่านี้มาไต่สวน เฉา จื้อถูกปลดจากตำแหน่งและส่งกลับบ้าน[8] เจ้าชายสุมาฮิวทรงคับแค้นพระทัยจนประชวรและสิ้นพระชนม์ในดือนเมษายน

ภายหลังคณะทูตจากโรมันที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ. 166 และ ค.ศ. 226 จิ้นชู (晉書) และเหวินเซี่ยนทงเข่า (文献通考) บันทึกเกี่ยวกับคณะทูตอีกคณะจาก "ต้าฉิน" (大秦) ที่เดินทางมาจีนในรัชสมัยของจักรพรรดิสุมาเอี๋ยน บันทึกประวัติศาสตร์เหล่านี้ระบุว่าคณะทูตเดินทางมาถึงในปี ค.ศ. 284 และถวายเครื่องบรรณาการแก่จักรพรรดิ[9][10]

เมื่อจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนประชวรในปี ค.ศ. 289 พระองค์ทรงพิจารณาว่าจะแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระองค์ทรงพิจารณาระหว่างหยาง จฺวิ้น และซือหม่า เลี่ยง (司馬亮) พระปิตุลา (อา) ของพระองค์ที่เป็นอ๋องแห่งยีหลำ (汝南王 หรู่หนานหว่าง) และเป็นเจ้าชายที่ได้รับความนับถือมากที่สุด เป็นผลทำให้หยาง จฺวิ้นรู้สึกระแวงซือหม่า เลี้ยง จึงส่งซือหม่า เลี่ยงไปประจำอยู่ที่สฺวี่ชาง (許昌) หรือฮูโต๋ที่เป็นเมืองสำคัญ เจ้าชายพระองค์อื่น ๆ หลายพระองค์ก็ทรงถูกส่งไปประจำเมืองสำคัญอื่น ๆ เช่นกัน ในปี ค.ศ. 290 จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนตัดสินพระทัยที่จะตั้งทั้งหยาง จฺวิ้นและซือหม่า เลี่ยงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมกัน แต่หลังจากพระองค์ทรงเขียนพินัยกรรม พินัยกรรมนั้นกลับถูกหยาง จฺวิ้นยึดไป หยาง จฺวิ้นออกพินัยกรรมอีกฉบับซึ่งระบุว่ามีเพียงหยาง จฺวิ้นที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนสวรรคตหลังจากนั้นไม่นาน จักรวรรดิจึงตกเป็นของพระโอรสที่มีภาวะบกพร่องทางพัฒนาการคือซือหม่า จง และเหล่าขุนนางที่ตั้งใจจะเข่นฆ่ากันเองเพื่อชิงอำนาจ ผลลัพธ์อันเลวร้ายที่ตามมากำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าแม้ว่าตัวจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนเองจะไม่ทรงได้เห็น

ชื่อศักราช

แก้

พระราชวงศ์

แก้

พระชายาและพระโอรสธิดา

แก้
  • จักรพรรดินีอู่-ยฺเหวียนแห่งตระกูลเอียวแห่งฮองหลง (武元皇后 弘農楊氏 อู่-ยฺเหวียนหฺวางโฮ่ว หงหนงหยางชื่อ; ค.ศ. 238–274) ชื่อตัว เยี่ยน ()
    • ซือหมา กุ่ย อ๋องเต้าแห่งผีหลิง (毗陵悼王 司馬軌 ผีหลิงเต้าหวาง ซือหมา กุ่ย) พระโอรสองค์แรก
    • ซือหม่า จง จักรพรรดิเซี่ยวฮุ่ย (孝惠皇帝 司馬衷 เซี่ยวฮุ่ยหฺวางตี้ ซือหม่า จง; ค.ศ. 259–307) พระโอรสองค์ที่ 2
    • ซือหมา เจี่ยน อ๋องเซี่ยนแห่งฉิน (秦獻王 司馬柬 ฉินเซี่ยนเหวาง ซือหมา เจี่ยน; ค.ศ. 262–291) พระโอรสองค์ที่ 3
    • เจ้าหญิงผิงหยาง (平陽公主 ผิงหยางกงจู่)
    • เจ้าหญิงซินเฟิง (新豐公主 ซินเฟิงกงจู่)
    • เจ้าหญิงหยางผิง (陽平公主 หยางผิงกงจู่)
  • จักรพรรดินีอู่เต้าแห่งตระกูลเอียวแห่งฮองหลง (武悼皇后 弘農楊氏 อู่เต้าหฺวางโฮ่ว หงหนงหยางชื่อ; ค.ศ. 259–292) ชื่อตัว จื้อ ()
    • ซือหม่า ฮุย อ๋องชางแห่งปุดไฮ (渤海殤王 司馬恢 ปั๋วไห่ชางหวาง ซือหม่า ฮุย; ค.ศ. 283–284) พระโอรสองค์ที่ 24
  • จักรพรรดินีพันปีหลวงอู่หฺวายแห่งตระกูลออง (武懷皇太后 王氏 อู่หฺวายหฺวางโฮ่ว หวางชื่อ) ชื่อตัว เยฺวี่ยนจี (媛姬)
    • ซือหม่า ชื่อ จักรพรรดิเซี่ยวหฺวาย (孝懷皇帝 司馬熾 เซี่ยวหฺวายหฺวางตี้ ซือหม่า ชื่อ; ค.ศ. 284–313) พระโอรสองค์ที่ 25
  • กุ้ยผินแห่งตระกูลจั่ว (貴嬪 左氏 กุ้ยผิน จั่วชื่อ; ค.ศ. 253–300) ชื่อตัว เฟิน ()
  • กุ้ยผินแห่งตระกูลเฮา (貴嬪 安定胡氏 กุ้ยผิน หูชื่อ) ชื่อตัว ฟาง ()
    • เจ้าหญิงอู่อาน (武安公主 อู่อานกงจู่)
      • สมรสกับเวิน ยฺวี่ (溫裕)
  • ฮูหยินแห่งตระกูลลิ (夫人 李氏 ฟูเหริน หลี่ชื่อ)
    • ซือหมา ยฺหวิ่น อ๋องจงจฺว้างแห่งห้วยหลำ (淮南忠壯王 司馬允 หฺวายหนานจงจฺว้างหวาง ซือหมา ยฺหวิ่น; ค.ศ. 272–300) พระโอรสองค์ที่ 10
    • ซือหม่า เยี่ยน อ๋องเซี่ยวแห่งง่อ (吳孝王 司馬晏 อู๋เซี่ยวหวาง ซือหม่า เยี่ยน; ค.ศ. 281–311) พระโอรสองค์ที่ 23
  • บีหยินแห่งตระกูลสิม (美人 審氏 เหม่ย์เหริน เฉิ่นชื่อ)
    • ซือหมา จิ่งตู้ อ๋องหฺวายแห่งเฉิงหยาง (城陽懷王 司馬景度 เฉิงหยางหฺวายหวาง ซือหมา จิ่งตู้; สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 270) พระโอรสองค์ที่ 4
    • ซือหมา เหว่ย์ อ๋องอิ่นแห่งฌ้อ (楚隱王 司馬瑋 ฉูอิ่นหวาง ซือหมา เหว่ย์; ค.ศ. 271–291) พระโอรสองค์ที่ 9
    • ซือหม่า อี้ อ๋องลี่แห่งเตียงสา (長沙厲王 司馬乂 ฉางชาลี่หวาง ซือหม่า อี้; ค.ศ. 277–304) พระโอรสองค์ที่ 17
  • บีหยินแห่งตระกูลเตียว (美人 趙氏 เหม่ย์เหริน เจ้าชื่อ)
    • ซือหมา เหยี่ยน อ๋องอายแห่งไต้ (代哀王 司馬演 ไต้อายหวาง ซือหมา เหยี่ยน; ประสูติ ค.ศ. 272) พระโอรสองค์ที่ 11
  • บีหยินแห่งตระกูลตัน (美人 陳氏 เหม่ย์เหริน เฉินชื่อ)
    • ซือหม่า เสีย อ๋องคางแห่งชิงเหอ (清河康王 司馬遐 ชิงเหอคางหวาง ซือหม่า เสีย; ค.ศ. 273–300) พระโอรสองค์ที่ 13
  • ไฉเหรินแห่งตระกูลชี (才人 徐氏 ไฉเหริน สฺวีชื่อ)
    • ซือหม่า เซี่ยน อ๋องชางแห่งเฉิงหยาง (城陽殤王 司馬憲 เฉิงหยางชางหวาง ซือหม่า เซี่ยน; ค.ศ. 270–271) พระโอรสองค์ที่ 5
  • ไฉเหรินแห่งตระกูลกุ้ย (才人 匱氏 ไฉเหริน กุ้ยชื่อ)
    • ซือหม่า จือ อ๋องชงแห่งตองไฮ (東海衝王 司馬祗 ตงไห่ชงหวาง ซือหม่า จือ; ค.ศ. 271–273) พระโอรสองค์ที่ 6
  • ไฉเหรินแห่งตระกูลเตียว (才人 趙氏 ไฉเหริน เจ้าชื่อ)
    • ซือหม่า ยฺวี่ อ๋องอายแห่งฉื่อผิง (始平哀王 司馬裕 ฉื่อผิงอายหวาง ซือหม่า ยฺวี่; 271–277) พระโอรสองค์ที่ 7
  • ไฉเหรินแห่งตระกูลเทีย (才人 程氏 ไฉเหริน เฉิงชื่อ)
    • ซือหมา อิ่ง อ๋องแห่งเซงโต๋ (成都王 司馬穎 เฉิงตูหวาง ซือหมา อิ่ง; ค.ศ. 279–306) พระโอรสองค์ที่ 19
  • เป่าหลินแห่งตระกูลจฺวาง (保林 莊氏 เป่าหลิน จฺวางชื่อ)
    • ซือหม่า ไก อ๋องหฺวายแห่งซินตู (新都懷王 司馬該 ซินตูหฺวายหวาง ซือหม่า ไก; ค.ศ. 272–283) พระโอรสองค์ที่ 12
  • ท่านหญิงแห่งตระกูลจู (諸氏 จูชื่อ)
    • ซือหม่า หมัว อ๋องอายแห่งหรู่อิน (汝陰哀王 司馬謨 หรู่อินอายหวาง ซือหม่า หมัว; ค.ศง 276–286) พระโอรสองค์ที่ 14
  • ไม่ทราบ
    • เจ้าหญิงฉางชาน (常山公主 ฉางชานกงจู่)
      • สมรสกับหวางจี้แห่งไท่หยวน (太原 王濟 ไท่-ยฺเหวียน หวาง จี้)
    • เจ้าหญิงฝานชาง (繁昌公主 ฝานชางกงจู่)
      • สมรสกับเว่ย์ เซฺวียนแห่งฮอตั๋ง (河東 衛宣 เหอตง เว่ย์ เซฺวียน) บุตรชายคนที่ 4 ของอุยก๋วน (衛瓘 เว่ย์ กว้าน)
    • เจ้าหญิงเซียงเฉิง (襄城公主 เซียงเฉิงกงจู่)
      • สมรสกับหวาง ตุนแห่งลองเอี๋ย (琅邪 王敦 หลางหยา หวางตุน; ค.ศ. 266–324) ก๋งแห่งบู๊เฉียง (武昌公 อู่ชางกง)
    • เจ้าหญิงว่านเหนียน (萬年公主 ว่านเหนียนกงจู่)
    • เจ้าหญิงสิงหยาง (滎陽公主 สิงหยางกงจู่)
    • เจ้าหญิงสิงหยาง (滎陽公主 สิงหยางกงจู่)
      • สมรสกับหฺวา เหิง (華恆; ค.ศ. 267–335)
    • เจ้าหญิงอิ่งชฺวาน (潁川公主 อิ่งชฺวานกงจู่)
      • สมรสกับหวาง ชุ่ย (王粹; เสียชีวิต ค.ศ. 308) ในปี ค.ศ. 289
    • เจ้าหญิงกว่างผิง (廣平公主 กว่างผิงกงจู่)
    • เจ้าหญิงหลิงโช่ว (靈壽公主 หลิงโช่วกงจู่)

บรรพบุรุษ

แก้
สุมาหอง (ค.ศ. 149–219)
สุมาอี้ (ค.ศ. 179–251)
สุมาเจียว (ค.ศ. 211–265)
จาง วาง
จาง ชุนหฺวา (ค.ศ. 189–247)
ชานชื่อ ชาวเมืองโห้ลาย
สุมาเอี๋ยน (ค.ศ. 236–290)
อองลอง (เสียชีวิต ค.ศ. 228)
อองซก (ค.ศ. 195–256)
หยางชื่อ ชาวเมืองฮองหลง
หวาง ยฺเหวียนจี (ค.ศ. 217–268)
หยางชื่อ

ดูเพิ่ม

แก้

หมายเหตุ

แก้
  1. วันปิ่งอิ๋น (丙寅) ของเดือน 12 ของศักราชไท่ฉื่อ (泰始) ปีที่ 1
  2. "พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้" เป็นชื่อที่ปรากฏในนวนิยายเรื่องไซจิ้นซึ่งแปลเป็นภาษาไทยในปี พ.ศ. 2410 ชื่อ "ซีโจ" (世祖 ชื่อจู่) เป็นอารามนาม ส่วน "บู๊" (武 อู่) เป็นสมัญญานาม
  3. บทพระราชประวัติสุมาเอี๋ยนในจิ้นชูระบุว่าจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนสวรรคตขณะพระชนมายุ 55 พรรษา (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) ในวันจี๋โหยว (己酉) ของเดือน 4 ในศักราชไท่ซี (太熙) ปีที่ 1 ในรัชสมัยของพระองค์ เทียบได้กับวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 290 ในปฏิทินกริกอเรียน เมื่อคำนวณแล้วปีประสูติของพระองค์ควรเป็นปี ค.ศ. 263[3]
  4. เดือนนี้เทียบได้กับช่วงเวลาระหว่างวันที่ 1 ถึง 30 มิถุนายน ค.ศ. 265 ในปฏิทินจูเลียน แต่ในจือจื้อทงเจี้ยนเล่มที่ 78 ระบุว่าสุมาเอี๋ยนได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท (世子 ชื่อจื่อ) ในวันปิ๋งอู่ (丙午) ของเดือน 10 ในศักราชเสียนซี (咸熙) ปีที่ 1 ซึ่งเทียบได้กับวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 264 ในปฏิทินจูเลียน

อ้างอิง

แก้

  1. SGZ has: "On the day renchen (September 7), the Crown Prince of Jin, Sima Yan, succeeded to his enfeoffment and inherited his rank; he assumed the Presidency of the myriad officials and had gifts and documents of appointments conferred upon him, all in conformity with ancient institutions". Chronicles of the Three Kingdoms, Achilles Fang.

  2. ฝาน เสฺวียนหลิงและคณะ. จิ้นชู, เล่มที่ 3, บทพระราชประวัติจักรพรรดิอู่ตี้
  3. ([太熙元年四月]己酉,帝崩于含章殿,时年五十五...) จิ้นชู เล่มที่ 3.
  4. (使中护军司马炎迎燕王宇之子常道乡公璜于邺,以为明帝嗣。炎,昭之子也。) จือจื้อทงเจี้ยน เล่มที่ 77

  5. Jin shu, Chronicle of Wudi states: "In the second year of Xianxi, in the fifth month, Sima Yan was appointed Crown Prince of Jin. Chronicles of the Three Kingdoms, Achilles Fang.

  6. 上海博物館 (2001). 華容世貌: 上海博物館藏明清人物畫. Xianggang da xue mei shu guan. p. 66. ISBN 9789628038343. สืบค้นเมื่อ 30 September 2020.
  7. Fang Xuanling, บ.ก. (648). "列传第十二" [Biography 12]. 晉書 [Book of Jin] (ภาษาจีน). สืบค้นเมื่อ 13 March 2017.
  8. ([太康四年正月]帝命太常议崇锡齐王之物。....事过太常郑默、博士祭酒曹志,志怆然叹曰:“安有如此之才,如此之亲,不得树本助化,而远出海隅!晋室之隆,其殆矣乎!”乃奏议曰:“古之夹辅王室,同姓则周公、异姓则太公,皆身居朝廷,五世反葬。及其衰也,虽有五霸代兴,岂与周、召之治同日而论哉!自羲皇以来,岂一姓所能独有!当推至公之心,与天下共其利害,乃能享国久长。是以秦、魏欲独擅其权而才得没身,周、汉能分其利而亲疏为用,此前事之明验也。志以为当如博士等议。”帝览之,大怒曰:“曹志尚不明吾心,况四海乎!”且谓:“博士不答所问而答所不问,横造异论。”下有司策免郑默。於是尚书朱整、褚等奏:“志等侵官离局,迷惘朝廷,崇饰晋言,假托无讳,请收志等付廷尉科罪。”诏免志官,以公还第;其餘皆付廷尉科罪。) จือจื้อทงเจี้ยน เล่มที่ 81.
  9. Warwick Ball (2016), Rome in the East: Transformation of an Empire, 2nd edition, London & New York: Routledge, ISBN 978-0-415-72078-6, p. 152.
  10. Friedrich Hirth (2000) [1885]. Jerome S. Arkenberg (บ.ก.). "East Asian History Sourcebook: Chinese Accounts of Rome, Byzantium and the Middle East, c. 91 B.C.E. - 1643 C.E." Fordham.edu. Fordham University. สืบค้นเมื่อ 2016-09-20.
ก่อนหน้า สุมาเอี๋ยน ถัดไป
โจฮวน
วุยก๊ก
  จักรพรรดิจีน
(ค.ศ. 266–290)
  จักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้