พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

พระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี (เดิม: เครือแก้ว อภัยวงศ์; 15 เมษายน พ.ศ. 2449 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528) เป็นพระวรราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) กับเล็ก บุนนาค ต่อมาได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า สุวัทนา ได้เข้ารับราชการฝ่ายใน ในตำแหน่ง “เจ้าจอมสุวัทนา” และได้รับการสถาปนาเป็น “พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี” ตามลำดับ

พระนางเจ้าสุวัทนา
พระวรราชเทวี
พระราชเทวี
ดำรงพระยศ10 สิงหาคม พ.ศ. 2467 - 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
(1 ปี 107 วัน)
ประสูติ15 เมษายน พ.ศ. 2449
บ้านคลองบางหลวง บางกอกใหญ่ ฝั่งธนบุรี
สิ้นพระชนม์10 ตุลาคม พ.ศ. 2528 (79 ปี)
โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
พระสวามีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบุตรสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
ราชวงศ์จักรี
พระบิดาพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์)
พระมารดาเล็ก บุนนาค
ศาสนาพุทธ
ลายพระอภิไธย

พระองค์ได้ประสูติพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในรัชกาลคือ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี หลังจากประสูติพระราชธิดาได้เพียงหนึ่งวัน พระราชสวามีเสด็จสวรรคต พระองค์และพระราชธิดาจึงได้เสด็จไปประทับยังสหราชอาณาจักร กว่า 20 ปี ภายหลังจึงได้เสด็จนิวัติประเทศไทยโดยประทับในวังรื่นฤดี เป็นการถาวรตั้งแต่พ.ศ. 2502[1]

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 19.09 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528 เนื่องจากพระอาการแทรกซ้อนเกี่ยวกับพระปับผาสะอักเสบ ณ โรงพยาบาลศิริราช[2] สิริพระชันษา 79 ปี 5 เดือน 25 วัน

พระประวัติ

พระประสูติกาล

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2449 เวลา 08.07 น. มีพระนามเดิมว่า เครือแก้ว อภัยวงศ์ หรือ ติ๋ว เป็นธิดาของพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) กับเล็ก บุนนาค ต่อมาพระบิดาต้องไปสมรสใหม่ตามความเห็นของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) ผู้เป็นบิดา พระมารดาจึงย้ายกลับมาอยู่บ้านกับมารดา และมีพระประสูติกาลที่บ้านคลองบางหลวง ภายหลังพระมารดาได้ถึงแก่อนิจกรรม พระองค์จึงอยู่ภายใต้ความดูแลของท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา) ผู้เป็นพระอัยยิกาฝ่ายพระมารดา และเป็นผู้อำนวยการละครหลวงฝ่ายในในกรมมหรสพ โดยที่พระบิดามิได้มาเหลียวแลเลย อนึ่งพี่สาวของพระอัยยิกา คือ เจ้าจอมมารดาเอี่ยมบุษบา ซึ่งเป็นทวดของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชา[3] ดังนั้น คุณเครือแก้วจึงมีศักดิ์เป็นพระญาติของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุด้วย[4]

พระองค์มีเชื้อสายเปอร์เซียและมอญจากตา คือ เจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ดังนั้นเธอจึงเป็นคนในสกุลบุนนาคสายเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวลชั้นที่ 6[5] ทั้งยังมีเชื้อสายเขมรจากสกุลอภัยวงศ์ทั้งฝ่ายบิดาและมารดา แม้ทางฝ่ายบิดาจะมีคนจากสกุลบุนนาคซึ่งมีเชื้อสายเปอร์เซียอยู่ด้วย คือท่านผู้หญิงทิม โดยผ่านทางนักนางละออผู้เป็นย่า และมีเชื้อสายเขมรจากนักมุมผู้เป็นมารดาของนักนางละออ[6]

สู่ราชสำนัก

 
เครือแก้วขณะรับบทเป็นสาวใช้ของนางจันทร์

เครือแก้วได้รับการฝึกฝนดุริยางคศิลป์ไทยในพระราชสำนักจนได้รับเลือกเป็นต้นเสียง ทั้งยังได้แสดงละครที่เป็นบทพระราชนิพนธ์หลายโอกาสด้วยกันในคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานประทับแรม ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี เป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน พ.ศ. 2467[7] เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2467 ในคราวนั้นมีเหตุการณ์อันเป็นนิมิตว่าคุณพนักงานผู้นี้จะได้รับสถาปนาเป็นพระวรราชเทวี เจ้านายในพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ ดังที่คุณหญิงนิธิวดี อ้นตระการ เล่าไว้ว่า

...วันหนึ่งขณะที่คณะละครหลวงกำลังอาบน้ำอยู่บริเวณบ่อน้ำ เสด็จพระนางฯ ซึ่งขณะนั้นเราเรียกกันเล่นๆ ว่าพี่ติ๋ว เดินเล่นมาคุยกับคุณข้าหลวงอีกคนที่เรียกว่า เจ๊นวล พอดีขณะนั้นมียายซิ้มแก่ๆ คนหนึ่ง ซึ่งเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ หอบปี๊บสนิมเขรอะ พอยายซิ้มที่มาเหลือบเห็นพี่ติ๋ว ก็ตกใจโยนปี๊บโครม แล้วไหว้ยกมือไหว้จนก้นกระดกก็พูดว่า "พระราชินี...พระราชินี" เจ๊นวลได้ฟังก็ชอบใจและพูดกับพี่ติ๋วว่า "นี่แม่ติ๋วลางมันมา ยังไงก็อย่าลืมเจ๊นะ" แล้วพวกเราก็ขำกันใหญ่

— คุณหญิงนิธิวดี อ้นตระการ

เครือแก้วก็ได้มีโอกาสร่วมแสดงละครพระราชนิพนธ์เรื่อง พระร่วง ได้รับบทเป็นสาวใช้ของนางจันทร์ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาในสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาซึ่งในขณะนั้นเป็นพระบรมราชินี ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแสดงเป็นนายมั่นปืนยาวซึ่งต้องมีบทพูดจาโต้ตอบกับบรรดาสาวใช้ของนางจันทร์[7] ซึ่งคุณเครือแก้วก็ได้ฝึกซ้อมเต็มที่เล่นเสมือนจริง ทำให้เคืองพระทัยสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา จึงโปรดให้ข้าหลวงส่งเสียงโห่ฮาขึ้น และใช้เท้าตบพื้นพระที่นั่ง เป็นเหตุให้พระเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธถึงกับเสด็จขึ้นทันที ภายหลังจากการซ้อมและการแสดงละครพระราชนิพนธ์เรื่องพระร่วง ณ สโมสรเสวกามาตย์ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีจิตประดิพัทธ์ต้องในอัธยาศัยของเครือแก้ว เนื่องด้วยความสุขุม ไม่ได้ตอบสนองต่อเหตุการณ์กระทบกระเทือนที่เกิดขึ้นจากผู้ทอดพระเนตรและผู้ชมละคร จึงได้ทรงพระเมตตาเป็นพิเศษ[7] ครั้นต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชหัตถเลขาพระราชทานนามใหม่แก่เครือแก้วว่า สุวัทนา[7] พร้อมทั้งพระราชทานเข็ม "ราม ร" ประดับเพชรแก่คุณสุวัทนา ซึ่งคุณสุวัทนาได้ใช้ประดับไว้ที่ปอยผมในวันแสดงละครเรื่องพระร่วง ทำให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ชมละครคราวนั้นว่าสตรีผู้นี้ต้องพระราชประดิพันธ์ในองค์พระเจ้าอยู่หัวเสียแล้ว

อภิเษกสมรส

 
ในวันอภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมสุวัทนา

ต่อมา ในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2467 ได้ทรงสถาปนาคุณสุวัทนาขึ้นเป็น เจ้าจอมสุวัทนา พระสนมเอก พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสพระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง[7] ถือเป็นสตรีท่านสุดท้ายที่ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าจอมในราชวงศ์จักรี[8]

เมื่อพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงอภิเษกสมรสและได้รับสถาปนาเป็นเจ้าจอม พระสนมเอกนั้น ย่อมมีความริษยาตามมา ตามที่คุณหญิงนิธิวดี อ้นตระการ เล่าไว้ว่า

...เจ้าจอมมาพูดแม่ดิฉันว่า"แม่เหนย มาอยู่กับฉันเถอะ มาช่วยทำกับข้าวให้หน่อย ฉันกลัวยาเบื่อ" แม่ของดิฉันเลยปิดร้านอาหารที่ทำอยู่ และเข้าวังมาอยู่กับท่าน ถ้าร่วมโต๊ะเสวยกับล้นเกล้าฯ ก็ไม่มีปัญหา ไม่มีอันตรายอะไรหรอก เพราะของล้นเกล้าฯ มีคนเทียบเครื่อง แต่ถ้าอยู่เองตามลำพังแล้ว เรื่องอาหารการกินของเจ้าจอมนี่ต้องระวังมาก ไว้ใจใครไม่ได้เลย

— คุณหญิงนิธิวดี อ้นตระการ

ในระหว่างวันที่ 21 กันยายน ถึง 13 ตุลาคม พ.ศ. 2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสสิงคโปร์และแหลมมลายูเพื่อเป็นการเจริญทางพระราชไมตรี การนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าจอมสุวัทนา โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วย[7]ก่อนการเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเข็มประจำกรมทหารเบา เดอรัม (Durham Light Infantry) ซึ่งเป็นธรรมเนียมของชาวยุโรปที่นายทหารจะมอบเครื่องหมายสังกัดของตนแก่คนรัก เหมือนหนึ่งฝากชีวิตและเกียรติภูมิไว้ให้ โดยเจ้าจอมได้ใช้ประดับตลอดการเดินทาง และได้มีโอกาสร่วมงานอุทยานสโมสร เช่น ที่จวนผู้สำเร็จราชการสเตรส์เซ็ตเทิลเมนส์ และจวนเลขาธิการใหญ่สหภาพมลายา อีกทั้งได้ร่วมโต๊ะเสวยในการถวายเลี้ยงพระกระยาหารในวาระต่าง ๆ ร่วมกับสุลต่านแห่งรัฐยะโฮร์ และสุลต่านแห่งรัฐเประ เป็นต้น[9] นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าจอมสุวัทนาตามเสด็จไปในการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอยู่เนือง ๆ[7] เช่น โดยเสด็จฯ พระราชสวามีไปดูแลกิจการของเสือป่า เป็นอาทิ จนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระสวามี[9] แม้ในขณะที่พระสวามีเสด็จพระราชดำเนินบนลาดพระบาทเพื่อตรวจแถวทำความเคารพก็โปรดให้เจ้าจอมเดินคู่บนลาดพระบาท ในการเสด็จกลับพระราชทานของที่ระลึกแก่ผู้มีส่วนร่วม รวมถึงเจ้าจอมสุวัทนา ซึ่งได้รับพระราชทาน

  • เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1
  • ชุดเครื่องสำอาง พร้อมประกาศนียบัตร
  • เข็ม ราม ร ประดับเพชร ลงยาสีขาบ ด้านหลังบรรจุเส้นพระเจ้าของพระเจ้าอยู่หัวไว้

ต่อมาเจ้าจอมสุวัทนาก็ตั้งครรภ์ สร้างความปิติปราโมทย์แก่พระสวามีเป็นอันมาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเฝ้ารอพระประสูติการด้วยพระราชหฤทัยอันจดจ่อ โปรดฯ ให้เจ้าจอมสุวัทนามาเข้าเฝ้าเพื่อที่พระองค์จะได้มีพระกระแสรับสั่งกับพระราชกุมารที่อยู่ในครรภ์[9]ซึ่งพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ได้มีพระดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ความว่า "...เมื่อฉันตั้งครรภ์เจ้าฟ้า ล้นเกล้าฯ ก็ทรงโสมนัส ทรงคาดคิดว่าจะได้เป็นชาย ได้ราชสมบัติสืบต่อจากพระองค์ เมื่อยังมีพระอนามัยดีอยู่ ก็มีรับสั่งอย่างสนิทเสน่หาทรงกะแผนการชื่นชมต่อพระเจ้าลูกยาเธอที่จะเกิดใหม่..."[10] พร้อมกันนั้นก็ทรงพระราชนิพนธ์บทกล่อมบรรทมสำหรับสมโภชเดือนพระราชกุมารประกอบเพลงปลาทองไว้ล่วงหน้า[11][note 1]

แต่ต่อมานับตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ภายหลังจากพระราชพิธีฉัตรมงคล เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรด้วยพระโลหิตเป็นพิษในอุทร การนี้เจ้าจอมสุวัทนาที่มีพระครรภ์แก่ก็ได้พยาบาลพระราชสวามีมาโดยตลอดและมิเห็นแก่ความยากลำบาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าทรงบันทึกเรื่องราวดังกล่าวไว้ในพระราชพินัยกรรม ความว่า "...ตั้งแต่เราล้มเจ็บลง สุวัทนาได้พยาบาลอย่างดีที่สุดโดยไม่เห็นแก่เหนื่อยยากลำบากกายตามวิสัยของหญิงที่มีครรภ์แก่ อุตส่าห์มานั่งพยาบาลป้อนฃ้าวหยอดน้ำ และทำกิจอื่น ๆ เป็นอเนกประการ วันละหลายชั่วโมง, นับว่าเป็นเมียที่ดีจริง ๆ"[12]

สถาปนาพระอิสริยยศและมีพระประสูติการพระราชธิดาในรัชกาลที่ 6

ในพระราชพิธีฉัตรมงคลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกการพระราชพิธีทุกวันแม้พระพลานามัยมิใคร่จะสมบูรณ์นัก ในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2468 เมื่อเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเจ้าจอมสุวัทนาจะมีสูติกาลพระหน่อในไม่ช้า ประกอบกับการทำหน้าที่ของพระภรรยาที่ดี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าจอมสุวัทนาขึ้นเป็น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ด้วยเหตุผลดังปรากฏในพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา ดังนี้[13]

เจ้าจอมสุวัทนาได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณโดยความซื่อสัตย์กตเวที มีความจงรักภักดีในใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท เปนที่ไว้วางพระราชหฤทัย สมควรที่จะทรงยกย่องให้เปนใหญ่ เพื่อผดุงพระราชอิศริยยศแห่งพระกุมารที่จะมีพระประสูติการในเบื้องหน้า

และทรงโปรดเกล้าให้แปลพระนามเป็นภาษาอังกฤษว่า Her Majesty Queen Suvadana ในพระราชโทรเลขแจ้งข่าวพระประสูติการ จนในวันสุดท้ายของการพระราชพิธีฉัตรมงคลอันเป็นการพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรอาการหนักมิอาจเสด็จออกได้ บรรดาเจ้านายก็ต่างมาเฝ้าแหนกันเรื่อยมา อาทิ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เจ้านายชั้นสูง รวมถึงพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีที่ทรงพระครรภ์แก่ใกล้มีพระประสูติการ

จนในวันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน เวลาค่ำพระวรราชเทวีประชวรพระครรภ์หนักจนเช้าก็ยังไม่ประสูติ คณะแพทย์ที่ถวายการรักษาพระเจ้าอยู่หัวจึงลงความเห็นว่าจะใช้เครื่องมือช่วยให้มีพระประสูติการวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน เวลา 12.52 น. คณะแพทย์ก็ใช้เครื่องมือช่วยพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ให้ประสูติเจ้าฟ้าพระองค์น้อยอย่างปลอดภัย เจ้าฟ้าหญิง เช่นนั้นชาวพนักงานประโคมดุริยสังคีต ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว เดิมทรงเข้าใจว่าปืนใหญ่ที่ยิงบอกเวลาที่เรียกว่าปืนเที่ยงเป็นปืนยิงสลุตถวายพระราชโอรสจึงทรงปิติอย่างยิ่ง แล้วมีผู้กราบบังคมทูลว่าไม่ใช่ปืนใหญ่ถวายความเคารพแต่เป็นปืนเที่ยง จึงทรงนิ่งไป ต่อมาทรงสดับเสียงดุริยสังคีต จึงทรงแน่พระทัยว่าเจ้าฟ้าเป็นพระราชธิดาจึงตรัสว่า “ก็ดีเหมือนกัน”[14] แต่ก็มีพระอาการเพียบหนักขึ้น เจ้าพระยาอัศวินฯ จึงปรึกษากับเจ้าพระยารามราฆพว่าจะให้ทรงมีโอกาสได้ทอดพระเนตรพระราชธิดาอย่างใกล้ชิดในเวลาบ่าย เจ้าคุณอัศวินฯ จึงเข้าไปกราบบังคมทูลว่า “Your Majesty, you want to see your baby” ทรงตอบว่า “Yes, sure” ในบ่ายวันรุ่งขึ้น แต่ก็มิสามารถมีพระราชดำรัสได้แล้ว จากนั้น ก็ทรงรู้สึกพระองค์น้อยลง กระทั่งสวรรคต เมื่อเวลา 1.45 น. ของวันที่ 26 พฤศจิกายน ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง

ส่วนพระนามของพระราชธิดาที่ประสูตินั้น ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2468[15] และมีคำนำพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ (ภาติกา หมายถึง หลานสาวที่เป็นลูกสาวของพี่ชาย) ในสมัยรัชกาลที่ 7 จึงออกพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

การดำรงพระชนมชีพในสมัยรัชกาลที่ 7

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีที่พระตำหนักสวนรื่นฤดี ในสมัยรัชกาลที่ 7

หลังจากประสูติการของเจ้าฟ้าหญิงได้ไม่นาน พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และพระราชธิดาได้ย้ายไปประทับ ณ ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อเจ้าฟ้าทรงเจริญพระชันษาขึ้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงว่าสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ จะไม่มีสถานที่ทรงวิ่งเล่นเพราะในพระบรมมหาราชวังมีบริเวณคับแคบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายออกมาประทับ ณ พระตำหนักสวนหงษ์ พระราชวังดุสิต ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า[16] ซึ่งเป็นที่กว้างขวางร่มรื่นแวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เหมาะแก่การสำราญพระอิริยาบถของเจ้าฟ้าหญิง ในครั้งนั้นท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา) ผู้เป็นยายก็ร่วมในการอภิบาลเจ้าฟ้าหญิงด้วย จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรม[17]

ส่วนสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า ก็ทรงพระเมตตาเอาพระราชหฤทัยใส่ดูแลทั้งด้านพระอนามัยและความเป็นอยู่มาโดยตลอด ด้วยเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักอยู่นั้น ได้มีพระราชดำรัสกับสมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้าว่า “ขอฝากลูกด้วย” ต่อมา สมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้ายังได้มีพระราชกระแสถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เจ้าฟ้านี่ ฉันตายก็นอนตาไม่หลับ พระมงกุฎฝากฝังเอาไว้”[14]

ระหว่างนั้นมีเหตุการณ์ผันผวนทางการเมืองหลายครั้ง เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และกบฏบวรเดช ทำให้ต้องทรงย้ายที่ประทับอยู่ตลอดเวลา เช่น ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ในพระบรมมหาราชวัง, พระตำหนักสวนหงส์ พระราชวังดุสิต, ตำหนักเขาน้อย จังหวัดสงขลา, พระตำหนักสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ในสวนสุนันทา และพระตำหนักเขียว วังสระปทุม

ต่อมาพระองค์โปรดให้สร้างตำหนักใหม่ขึ้นเป็นส่วนพระองค์บนที่ดินหัวมุมถนนราชสีมาตัดกับถนนสุโขทัยซึ่งเป็นที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่คราวอภิเษกสมรส[16] ตำหนักแห่งนี้พระราชทานนามว่า พระตำหนักสวนรื่นฤดี มีนายหมิว อภัยวงศ์เป็นสถาปนิก และพลโท พระยาศัลวิธานนิเทศ (แอบ รักตะประจิต) เป็นวิศวกร ในกาลต่อมาได้ขายให้แก่ทางราชการขณะเสด็จไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษ และปัจจุบันเป็นส่วนราชการของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ

 
ขณะประทับ ณ ประเทศอังกฤษ

ต่อมาใน พ.ศ. 2480 พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงเห็นว่าพระพลานมัยของพระธิดาไม่สู้สมบูรณ์นัก จึงนำพระธิดาไปทรงพระอักษรและประทับรักษาพระอนามัย ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จไปประทับอยู่ก่อนการสละราชสมบัติแล้ว[18] พระองค์ทรงย้ายที่ประทับหลายแห่งตามลำดับ กล่าวคือ ตำหนักแฟร์ฮิลล์ เมืองแคมเบอร์เลย์ มณฑลเซอร์เรย์, ตำหนักหลุยส์เครสเซนต์ เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค และตำหนักไดก์โรด (บ้านรื่นฤดี) เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค[18] ทั้งสองพระองค์ต้องประสบความยากลำบากนานัปการอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองในช่วงภาวะสงครามจึงทรงประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงการทำงานบ้านเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างข้าหลวงชาวต่างประเทศ[18] โดยผู้ที่รับใช้ภายในพระตำหนักจะเป็นสตรีทั้งหมด[18]

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่พระองค์ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ เสด็จพระนางฯ มีพระกรุณาต่อชาวไทยในประเทศอังกฤษ โดยโปรดให้เข้าเฝ้าและจัดประทานเลี้ยงให้อยู่เสมอ[18] และพระราชทานพระกรุณาแก่กิจการต่าง ๆ ของชาวไทยอยู่เสมอ ทรงร่วมงานของสามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นสมาคมนักเรียนไทยในสหราชอาณาจักรเป็นประจำ นอกจากนี้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ยังทรงอุทิศพระองค์ช่วยเหลือกิจการสภากาชาดอังกฤษ ประทานแก่ทหารและผู้ประสบภัยสงครามด้วยการเสด็จไปทรงบำเพ็ญประโยชน์ เช่น ม้วนผ้าพันแผล จัดยา และเวชภัณฑ์ สภากาชาดอังกฤษจึงได้ถวายถวายเกียรติบัตรประกาศพระกรุณา[18] และในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีพระชนมชีพหลังการสละราชสมบัติแล้ว พระองค์และพระธิดาได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่เสมอ

พระองค์ทรงประสบความยากลำบากนานาประการ โดยเฉพาะในยามเศรษฐกิจฝืดเคืองอันเนื่องจากภาวะสงคราม พระองค์ทรงประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมทั้งทรงทำงานบ้านเอง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างข้าหลวงชาวต่างประเทศ ทรงเรียนรู้วิธีซื้อขายหุ้น ตลอดจนการทำธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และทรงดำเนินการดังกล่าวได้อย่างชำนาญ

นิวัติประเทศไทย

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

เมื่อพระอนามัยของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ดีขึ้น และสภาวการณ์ในประเทศไทยเป็นปกติสุขเรียบร้อย กอปรกับการที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรแล้วระยะหนึ่ง พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และพระราชธิดา ทรงเล็งเห็นว่าบ้านที่แท้จริงของพระองค์และพระราชธิดาคือประเทศไทยอันเป็นมาตุภูมิ จึงมีพระดำริจะเสด็จกลับมาประทับในประเทศไทย ดังนั้น ในวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และพระราชธิดา ได้เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อทรงเตรียมการที่จะเสด็จนิวัตเป็นการถาวรในโอกาสต่อไป วันที่เสด็จกลับพระนคร เสด็จถึงท่าอากาศยานกรุงเทพ เวลา 0.20 น. ณ ที่นั้น นายพจน์ สารสิน นายกรัฐมนตรีและภริยา พลตรี หม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ (หม่อมราชวงศ์เฉลิมลาภ ทวีวงศ์) เลขาธิการพระราชวัง ตลอดจนอดีตข้าราชบริพารในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เฝ้ารับเสด็จ

เมื่อพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีได้เสด็จกลับประเทศไทยแล้ว จึงทรงซื้อที่ดินในซอยสุขุมวิท 38 (ซอยสันติสุข) จากนายแมนฟุ้ง เนียวกุล จำนวน 7 ไร่ และทรงซื้อที่ดินส่วนที่เป็นแนวขนานปิดทางเข้าออกเพิ่มเติมจากนายเอ อี นานา ด้วย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังโดยมีพลเรือตรีสมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ เป็นสถาปนิก ได้เสด็จมาทรงวางศิลาฤกษ์ตำหนักแห่งใหม่นี้แล้ว จึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัท สี่พระยาวัตถุโบราณ จำกัด แล้วเสด็จไปประเทศอังกฤษอีกใน พ.ศ. 2501 เพื่อเพื่อทรงขายตำหนัก ณ เมืองไบรตัน ประเทศอังกฤษและทรงย้ายสิ่งของต่าง ๆ กลับประเทศไทย และเพื่อเตรียมพระองค์เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการถาวร จากนั้นจึงได้เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวรเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 ประทับ ณ วังแห่งใหม่ จึงได้ขนานนามวังดังกล่าวว่า วังรื่นฤดี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2503[18] ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 69 ซอยสุขุมวิท 38 กรุงเทพมหานคร และได้ประทับอยู่ตราบกระทั่งสิ้นพระชนม์

ปลายพระชนม์

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี นับตั้งแต่นิวัตประเทศไทย ก็ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจไม่เคยขาด เพราะมีพระอนามัยดีไม่เคยประชวรจนขนาดเสด็จเข้าประทับในโรงพยาบาล จนเริ่มมีพระชันษา 70 ปี เป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยมีผลทำให้พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 กบฏบวรเดช สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ทรงระวังการกระทำของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีทุกฝีก้าวเสมือนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดียังทรงพระเยาว์มีพระชันษาไม่กี่ปี ต่อมาจึงประชวรด้วยพระโรคอัลไซเมอร์[19] โดยในช่วงแรกยังไม่แสดงอาการอีกทั้งยังทรงระงับพระอาการได้ทำให้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกไปจากแพทย์ประจำพระองค์ และข้าหลวงผู้เฝ้าใกล้ชิด จนกระทั่งวันหนึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นางสนองพระโอษฐ์มาเยี่ยมพระนางเจ้าสุวัทนาฯและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระนางเจ้าสุวัทนาฯก็เสด็จลงมาต้อนรับนางสนองพระโอษฐ์เช่นเคย แต่เมื่อทรงดำเนินลงบันไดมาถึงช่วงกลางบันไดก็ทรงทรุดพระองค์ลงประทับที่กลางบันไดนั้นเป็นเวลาเกือบ 10 นาที เหมือนกับทรงคำนึงอะไรอยู่ แล้วจึงเสด็จพระดำเนินต่อ นางสนองพระโอษฐ์ผู้นั้นจึงแจ้งแก่แพทย์ประจำพระองค์ว่าพระอาการทรุดหนักแล้ว แพทย์จึงถวายพระโอสถรักษา แต่พระโอสถนี้ยังมีผลข้างเคียงทำให้พระองค์ทรงดุษณีภาพต่างๆ ขึ้นมา ทั้งยังทำให้วิตกพระจริต เช่น เมื่อหลานสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง มาเฝ้าทูลพระบาท พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ก็มีรับสั่งด้วยดี จนกระทั่งหลานสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นั้นทูลลากลับไป พระนางเจ้าสุวัทนาฯ จึงตรัสกับข้าหลวงที่เฝ้าอยู่นั้นว่า "เขาพกปืนเข้ามา ยิงทะลุเพดาน" ซึ่งเหตุการณ์ย่อมเป็นไปไม่ได้เมื่อหลานสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนั้น คุ้นเคยกับชาววังรื่นฤดีอย่างยิ่ง เพราะ เคยมาเฝ้าฯ อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งร่องรอยกระสุนบนเพดานก็ไม่มี แพทย์จึงเชิญเสด็จเจ้ารักษาพระอาการ ณ โรงพยาบาลศิริราช ทรงรักษาอยู่ 4 เดือน ก็มีพระอาการทุเลาลงมาก และเสด็จไปพักพระวรกายที่พระตำหนักพัชราลัย อยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาก็ประชวรด้วยพระโรคพระปัปผาสะอักเสบ จนต้องรักษาพระองค์เป็นเวลานาน ณ โรงพยาบาลศิริราช[20]

สิ้นพระชนม์

 
พระโกศทองน้อยทรงพระศพพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประชวรด้วยพระอาการพระปัปผาสะอักเสบและมีพระอาการแทรกซ้อน กระทั่งสิ้นพระชนม์ในวันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528 เวลา 19.09 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช ขณะพระชันษา 79 ปีเศษ

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สรงน้ำพระศพ ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสถาปนาเจ้าจอมสุวัทนาขึ้นเป็นพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เมื่อ 60 ปีก่อน พระราชทานพระโกศทองน้อย ประดิษฐานพระศพภายใต้ฉัตรตาดทอง 5 ชั้น ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร

เมื่อถึงงานพระเมรุ ได้อัญเชิญพระโกศโดยรถวอพระวิมานไปยังพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2529 และพระราชทานเพลิงพระศพในวันเดียวกันนั้น[21] และมีการเก็บพระอัฐิในวันที่ 9 มีนาคม และวันฉลองพระอัฐิเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งทั้งสองงานดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์[21] ส่วนพระอัฐิของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 ได้ประดิษฐาน ณ หอพระนากในพระบรมมหาราชวัง[21]และส่วนหนึ่งเชิญไปประดิษฐานยังวิมานพระอัฐิ วังรื่นฤดี

ส่วนพระสรีรางคารของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีได้ประดิษฐาน ณ ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม เคียงข้างพระบรมราชสวามี ตามพระราชพินัยกรรมที่ทรงเขียนไว้ว่า "...ส่วนเรื่องพระอัษฐินั้น, ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม, แต่เราเห็นโดยจริงใจว่า สุวัทนาสมควรที่จะได้ตั้งคู่กับเรา"[12] และภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดา จึงได้มีการนำพระสรีรางคารส่วนหนึ่งมาบรรจุไว้เคียงข้างกับพระบรมราชสรีรางคารของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และพระชนนี[22][23]

ที่ประทับ

 
พระตำหนักวังรื่นฤดี

บ้านคลองบางหลวง ของท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา) เป็นที่ประทับแรกของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในช่วงตั้งแต่ประสูติ ขณะทรงพระเยาว์ ต่อมาย้ายที่ประทับไปประทับ ณ บ้านสวนสาลี่ ต่อมาเป็น บ้านนรสิงห์ ที่ในปัจจุบัน คือ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา)เป็นผู้อภิบาลเพราะคุณหญิงเล็ก บุนนาคถึงอนิจกรรมตั้งแต่ทรงพระเยาว์ บางครั้งก็ไปประทับที่เรือนพระกรรมสักขี ในพระราชวังสนามจันทร์ กับพระชนก ต่อมาเมื่อทรงถวายตัวเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ย้ายมาประทับ ณ พระราชวังพญาไท ถ้าประทับที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ราชนิเวศน์กรีฑาสถาน จะประทับ ณ พระที่นั่งสมุทรพิมาน ต่อมาเมื่อใกล้พระประสูติกาลพระหน่อพระองค์แรกในรัชกาล ก็ทรงย้ายมาประทับ ณ พระที่นั่งเทพยสถานพิลาส พระปรัศว์ขวาของพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานเพื่อเตรียมพระประสูติการ[24] เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตจึงได้ย้ายมาประทับ ณ พระตำหนักของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดีพระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาแพ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวต่างมารดาของพระชนนีในพระองค์ เมื่อเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง แล้วมีเครื่องบินเล็กตกใกล้พระตำหนักที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ย้ายมาประทับที่พระราชวังสวนสุนันทา เมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรงจึงตามเสด็จสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ไปประทับที่สงขลา เมื่อเหตุการณ์สงบกก็เสด็จกลับมาประทับกับสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าที่วังสระปทุม จนเมื่อเหตุการณ์สงบก็ย้ายกลับไปประทับที่สวนสุนันทาตามเดิม ต่อมาเมื่อพระราชธิดาเจริญพระวัยขึ้นก็ทรงซื้อพระตำหนักพลับป่า ข แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า พระตำหนักพัชราลัย ซึ่งพระตำหนักแห่งนี้เป็นที่ประทับฤดูร้อน ต่อมาสมเด็จพระพันวัสสาฯโปรดให้ย้ายไปประทับ ณ พระตำหนักสวนหงส์ พระราชวังดุสิต จน โปรดให้สร้างพระตำหนักสวนรื่นฤดี ที่บริเวณที่ดินที่ได้รับพระราชทานจากพระสวามี แต่ถึงกระนั้นสมเด็จพระพันวัสสาฯ ก็โปรดให้รับมาทอดพระเนตรภาพยนตร์ ณ วังสระปทุมอยู่เนืองๆ[25] เมื่อเสด็จยังสหราชอาณาจักรก็ประทับ ณ พระตำหนักแฟร์ฮิลล์ เมืองแคมเบอร์เลย์ มณฑลเซอร์เรย์ เมื่อเกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทรงลี้ภัย แล้วมาประทับ ณ พระตำหนักหลุยส์เครสเซนต์ ซึ่งเป็นแฟลตในเมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค แต่เนื่องด้วยพระตำหนักแห่งนี้คับแคบไม่เพียงพอต่อการรับผู้มาเฝ้าทูลละอองพระบาทและจัดงานรื่นเริงตามที่ทรงตั้งพระทัยไว้ จึงทรงซื้อพระตำหนักใหม่ชื่อว่า พระตำหนักไดก์โรด (บ้านรื่นฤดี) เมืองไบรตัน มณฑลซัสเซค ซึ่งเป็นที่ประทับสุดท้ายในพ.ศ. 2502 นิวัตประเทศไทยเป็นการถาวรในเบื้องแรกทรงไปประทับ ณ บ้านพระญาติฝ่ายพระชนนี บริเวณซอยสุขุมวิท ต่อมาทรงซื้อที่ดินด้วยการขายมรกตเพียงเม็ดเดียว และโปรดให้สร้างวังขึ้นบริเวณ ซอยสันติสุข สุขุมวิท 38 โดยพระราชทานนามว่า วังรื่นฤดี โยในฤดูร้อนยังโปรดที่จะประทับ ณ พระตำหนักพัชราลัย หัวหิน จนกระทั่งสิ้นพระชนม์[26]

พระจริยวัตร

พระกตัญญุตา

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี มีพระกตัญญญุตาต่อพระบุพการีอย่างยิ่ง โดยในวันตรุษจีนของทุกปี จะโปรดให้ตั้งเครื่องบวงสรวงสังเวยพระราชทานถวายพระบุพการี อาทิ พระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) พระชนก คุณหญิงเล็ก บุนนาค พระชนนี เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) พระอัยกาฝ่ายพระชนก สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) พระปัยกา เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) พระอัยกาฝ่ายพระชนนี ท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา) พระอัยยิกาฝ่ายพระชนนี ในทุกเย็นที่ไม่มีพระภารกิจเร่งด่วนจะเสด็จพระดำเนินไปทรงสักการะอัฐิคุณหญิงเล็ก บุนนาคและพระบุพการีสายสกุลบุนนาคที่พระเจดีย์ใหญ่และเขามอ วัดประยุรวงศาวาส เมื่อทรงว่างจากพระภารกิจจะเสด็จไปบำเพ็ญพระกุศลทักษิณานุปทานอุทิศพระราชทานแก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์)และ พระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) ที่วัดแก้วพิจิตร จังหวัดปราจีนบุรี[27]

ภาคภูมิพระทัยในชาติกำเนิด

เมื่อทรงได้รับพระราชทานพระราชมรดกบางส่วน ได้แก่ เครื่องประดับอัญมณีมีค่าก็ทรงเก็บรักษาไว้อย่างดีด้วยทรงถือว่าเป็นของสูงเหมาะสำหรับพระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น พระธิดาจึงมีเครื่องประดับอันเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช สมเด็จพระอัยยิกา และสมเด็จพระบรมชนกนาถเพื่อทรงประดับไปในพระราชพิธีและงานสำคัญต่าง ๆ

แม่แก้วของลูก

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เป็นพระชนนีผู้ประเสริฐ ดังจะเห็นได้จากพระอุปนิสัยและพระอัธยาศัยงดงามของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ล้วนแล้วแต่บังเกิดด้วยพระวิริยภาพและพระปรีชาสามารถในการอบรมพระราชธิดาให้ทรงงามสมพระอิสริยศักดิ์เป็นที่เคารพเทิดทูนของมหาชนโดยทั่ว พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี มีพระอุปนิสัยร่าเริง ทรงสามารถรับสั่งกับบุคคลทุกอาชีพ ทุกวัยได้เป็นอย่างดี โปรดการเลี้ยงสุนัข โปรดการปลูกไม้ดอกไม้ใบโปรดธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง[28] พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงยกย่องพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 ในฐานะพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่เป็นประจำ เช่น ในงานถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2515 หรือในงานพระราชทานเลี้ยงส่วนพระองค์ในวันครบรอบราชาภิเษกสมรส เป็นต้น[29]

พระวรราชเทวีผู้ปิดทองหลังพระ

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ขณะทรงรับพระราชทานน้ำมหาสังข์

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงพอพระหฤทัยที่จะปฏิบัติพระกรณียกิจแบบไม่เปิดเผยพระองค์ คือ ทรงนิยมที่จะทำดีแบบปิดทองหลังพระ ตามพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมราชสวามี และตามพระราชปณิธานแห่งพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ว่า “...การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นการบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว...”[30]

ใต้ร่มพระบารมี

ในรัชกาลที่ 9 เมื่อถึงโอกาสพิเศษแห่งพระชันษาเช่นเมื่อคราวฉลองพระชันษา 5 รอบ 15 เมษายน พ.ศ. 2508 ก็พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง ทั้งนี้ ในขณะที่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงหมอบเฝ้ารับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์จากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงทรุดพระองค์จากพระเก้าอี้ลงมาประทับราบกับพื้น แสดงพระกิริยานอบน้อมอันยังความปีติซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณแก่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีเป็นล้นพ้น ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้พระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ฝ่ายใน) แก่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี[31] เป็นเหตุให้ทรงโสมนัสยินดีเป็นอย่างยิ่งถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า “ดีใจที่สุดในชีวิต” เพราะเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้เป็นเครื่องทรงเฉพาะราชตระกูล เช่น พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินี และสมเด็จเจ้าฟ้าตลอดจนพระราชวงศ์ชั้นสูงเท่านั้น [32]

นอกจากนั้น นับแต่ทรงเจริญพระชันษา 60 ปีเป็นต้นมาก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำสรงในเทศกาลสงกรานต์เป็นประจำทุกปี เมื่อประชวรก็โปรดเกล้าฯ ให้แพทย์หลวงอภิบาลรักษา พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด[7]

สายพระเนตรอันกว้างไกล

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี มีสายพระเนตรอันกว้างไกล ทรงจัดหาทุนรอนต่าง ๆ ไว้อย่างเพรียบพร้อม ทรงซื้อเพชรพลอยที่มาค่าไว้เป็นหลักในพระชนม์ชีพ โดยเพชรพลอยที่ทรงเลือกแต่เพชรที่น้ำงาม ไม่ต้องมีขนาดใหญ่มาก ทรงสามารถนำทรัพย์ส่วนพระองค์จากการขายมรกตเพียงเม็ดเดียวซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัง และมีสายพระเนตรอันกว้างไกลโดยจะทรงให้ข้าหลวงในพระตำหนักศึกษาภาษาอังกฤษ จนสามารถพูดคุยกับฝรั่งได้[33]

พระกรณียกิจโดยสังเขป

ด้านการศึกษา

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีองค์อุปถัมภิกาการศึกษาแห่งชาติ

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงสนับสนุนการศึกษาอย่างเต็มที่ ด้วยทรงกำพร้าพระชนนีและไม่ได้ติดต่อกับพระชนก จึงทรงไม่ได้รับการศึกษาอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้น เมื่อเสด็จนิวัตประเทศไทยในปี พ.ศ. 2502 ก็ทรงสนับสนุนการศึกษาอย่างเต็มที่ โดยโปรดพระราชทานเงินเพื่อสร้างอาคารเรียน ตามโรงเรียนต่าง ๆ เช่น วชิราวุธวิทยาลัย และยังทรงร่วมกับพระธิดาในการสนับสนุนการศึกษาด้านอื่น ๆ เช่น พระราชทานเงินสบทบสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีสร้างโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร พระราชทานทุนแก่นักเรียนที่เรียนดี เสด็จไปทรงวางศิลาฤกษ์และเปิดอาคารเรียนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ตลอดจนการเสด็จไปทอดพระเนตรการแสดงและผลงานของนักเรียน นักศึกษาสถาบันต่างๆ และพระราชทานกำลังใจอย่างใกล้ชิด[34]

การศาสนา

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีทอดพระกฐินพระราชทาน ณ วัดพระปฐมเจดีย์ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2512

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงมีศรัทธาในบวรพุทธศาสนา ทรงศรัทธาร่วมการก่อสร้าง บูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ เสนาสนะ และพระพุทธรูป ดังเช่น ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างม้าหมู่ชุดใหญ่ 3 ชุด พระราชทานแก่องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เพื่อใช้ประดิษฐานเป็นประธานในห้องประชุม อีกทั้งยังโปรดเสด็จไปทรงทอดผ้าพระกฐินส่วนพระองค์ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดทั้งใกล้และไกลทั่วทุกภาค พร้อมทั้งทรงเยี่ยมประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จและพระราชทานเครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรคแก่ผู้ยากไร้ตามหัวเมืองทั้งใกล้ไกลที่เสด็จไปทรงทอดกฐินเป็นประจำทุกปี เล่ากันว่าในเทศกาลทอดกฐิน นอกจากจะทรงเป็นผู้แทนพระองค์เชิญพระกฐินหลวงไปถวายตามพระอารามหลวงแล้วปีละ 2 วัด (เสด็จบ่อยที่วัดพระปฐมเจดีย์) ในส่วนพระองค์ทรงเลือกวัดราษฎร์ที่ยากจนและอยู่หัวเมืองไกล ๆ อีก 3 วัด เพื่อเสด็จไปทอดกฐิน เล่ากันถึงวิธีการเลือกวัดดังกล่ าวไว้ว่า จะโปรดให้คนในวังไปสำรวจหาวัดที่มีคุณสมบัติดังที่ทรงประสงค์ และเก็บข้อมูลมาเล่าถวายว่าสมควรจะได้รับพระอุปการะอย่างไร ด้านไหน ก็จะทรงช่วยเหลือให้ตรงกับความต้องการและยังประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ดังที่มหาดเล็กในวังเล่าไว้ว่า “...โปรดที่จะเสด็จไปทำบุญกับวัดที่ยากจน หรือไม่ก็ไม่มีใครเหลียวแลจริง ๆ...” ซึ่งประเพณีเฉพาะพระองค์นี้ตกทอดมาสู่พระราชธิดาพระองค์เดียวอย่างแนบแน่น[35]

งานสังคมสงเคราะห์

 
งานเมตตาบันเทิงรื่นฤดี

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีได้เริ่มทรงงานเพื่อสาธารณประโยชน์ร่วมกับสมาคมมูลนิธิ และองค์กรการกุศลต่าง ๆ อาทิ ตัวอย่างงานที่ทรงจัดขึ้นและเป็นที่ประทับใจของคนจำนวนมากและเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างยิ่งก็คืองานเมตตาบันเทิง “รื่นฤดี” ใน พ.ศ. 2503[36] ที่เป็นงานการกุศลซึ่งจัดขึ้นในบริเวณสวนอันสวยงามของวังรื่นฤดี สวนดังกล่าวนั้น พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงปลูกไม้ดอกพันธุ์ใหม่ ๆ แปลกกว่าพันธุ์ไม้ที่เคยพบเห็นกันมาช้านานแล้ว ดังนั้นสวนดอกไม้ของพระองค์จึงมีผู้ปรารถนาจะมาชมกันมากในสมัยนั้น สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีและพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 ทรงเป็นเจ้าภาพในงานเมตตาบันเทิงดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกในกรุงเทพมหานคร การนี้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงพระมหากรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในงานด้วย ในงานวันนั้นมีการแสดงดนตรีและนาฏศิลป์หลายรูปแบบผู้แสดงล้วนแต่เป็นบุตรหลานของผู้เป็นที่รู้จักกันดีในวงสังคม นอกจากการแสดงแล้วยังมีการออกร้านอาหาร เครื่องดื่ม และขายสินค้างานฝีมือที่จัดทำอย่างประณีต ยิ่งไปกว่านั้นในบริเวณงานยังประดับไฟฟ้าตามต้นไม้ใหญ่อย่างงดงาม ผู้มาร่วมงานต่างชื่นชมในความแปลกใหม่ของงานกลางแจ้งซึ่งไม่เคยได้เห็นมานานแล้ว การจัดงานครั้งนั้นได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนมาก[37] ดังนั้น ต่อมา จึงมีหน่วยงานสาธารณกุศลต่าง ๆ กราบทูลขอประทานพระอนุญาตใช้วังรื่นฤดี เป็นสถานที่จัดงานในรูปแบบต่าง ๆ กันหลายราย เช่น งานแสดงแบบเสื้องานประกวดสักวาเพลงเรือในสระน้ำขนาดใหญ่ของวัง ฯลฯ โดยพระนางเจ้าสุวัทนาฯ เต็มพระทัยประทานพระอนุญาต ทั้งยังทรงร่วมด้วยอย่างไม่ทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทั้งจัดงาน ทั้งเก็บดูแลภายหลังเสร็จงาน โดยเฉพาะการซ่อมแซมพื้นสนาม บำรุงต้นไม้ที่เสียหายไปบ้างในระหว่างงาน[38] และมีหลายคราวที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระราชโอรสธิดา เช่น ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จมาทรงเป็นประธานในงานการกุศลซึ่งจัดขึ้น ณ วังรื่นฤดีแห่งนี้[37]

ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีพระราชทานเงินแก่งิ้ว

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงอุปการะกิจการเพื่อการสาธารณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย อาทิ สมาคม องค์กร และชุมนุมซึ่งบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม เช่นเมื่อครั้งทรงเจริญพระชันษา 60 ปี ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2508 ได้ทรงจัดงานฉลองพระชันษา ณ วังรื่นฤดี มีเจ้านายพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ ตลอดจนพระอนุวงศ์ ข้าราชบริพาร และผู้จงรักภักดีเสด็จและเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก มีสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 เป็นอาทิ การนั้นได้มีผู้ถวายเงินโดยเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัยเป็นจำนวนมากจึงได้ทรงสมทบเพิ่มเติมและประทานแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยจนสามารถสร้างอาคารสำหรับผู้ป่วยนอกและห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์[36] ทางด้านสวนลุมพินีได้ 1 หลัง แต่มิได้โปรดให้ใช้พระนามของพระองค์เป็นนามตึก หากแต่ได้พระราชทานนามว่า “ตึกมงกุฎ-เพชรรัตน” โอกาสนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดตึก ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 ด้วย นอกจากนี้ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่ทรงได้รับมรดกคือที่ดินและบ้านของพระบุพการี ณ จังหวัดปราจีนบุรี ก็ทรงพระกรุณาประทานกรรมสิทธิ์ให้แก่ทางราชการ เมื่อทางราชการได้ใช้สถานดังกล่าวสร้างโรงพยาบาลก็ไม่ใช้พระนามของพระองค์เป็นนามโรงพยาบาลแห่งนี้ หากแต่โปรดพระราชทานทานนามว่าโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อเป็นเกียรติแก่พระบรรพบุรุษ[6]

ในกาลต่อมาเป็นเวลา 8 ปีหลังจากพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 สิ้นพระชนม์แล้ว โรงพยาบาลได้สร้างอาคารเพิ่มเติมเป็นอาคารสูง 4 ชั้น และขอพระราชทานพระอนุญาตขนานนามว่า “อาคารเพชรรัตน-สุวัทนา” นับเป็นครั้งแรกที่มีพระนามปรากฏต่อสาธารณชนบนถาวรวัตถุสถาน[39]นอกจากนี้ ยังทรงอุปการะกิจกรรมซึ่งเฉลิมพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวร่วมกับพระธิดาอยู่มิได้ขาด[39]

การเสด็จเยี่ยมราษฎร

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีเยี่ยมราษฎรที่ระนอง

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และ เจ้าฟ้าพระราชธิดา โปรดที่จะเสด็จประพาสรถทุกเย็นเพื่อทรงชมพระพุทธรูป หรือ สิ่งศักดิสิทธิ์ต่าง ๆ ในกรุงเทพและจังหวัดปริมณฑล พระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมราชบุพการี หรืออัฐิของพระบุพการีในสายสกุลบุนนาค โดยจะเสด็จเพียงสองพระองค์ พร้อมกับสารถีและข้าราชบริพาร เป็นการเสด็จอย่างเงียบ ๆ ไม่มีรถนำขบวน ไม่ปักธงพระบรมราชวงศ์ใหญ่ เมื่อไฟแดงรถพระที่นั่งก็หยุดอย่างสามัญชน แต่เพียงว่าในสมัยนั้นรถและการจราจรยังไม่ติดขัด ด้วยพระอุปนิสัยเช่นนี้จึงมักจะได้ทอดพระเนตรวิถีชีวิตของราษฎรโดยปราศจากการปรุงแต่งของทางราชการ โดยมักจะมีรับสั่งกับชาวบ้านแถวพระตำหนักสวนรื่นฤดีเสมอ บางคราวก็เสด็จไปประทับเสวยพระกระยาหารที่บางปู จังหวัดสมุทรปราการ และ จะพระราชทานอาหารแก่นกนางนวลที่หนีหนาวมา บางครั้งก็เสด็จไปต่างจังหวัดโดยเงียบ ๆ ไม่แจ้งแก่ทางราชการ หรือสำนักพระราชวัง[40] เช่น เมื่อคราวเสด็จจังหวัดสมุทรสาคร ก็เสด็จไปในตลาด ทอดพระเนตรวิถีชีวิตชาวบ้านที่ดำเนินชีวิตตามปกติ โดยในวันนั้นมีการแสดงอุปรากรจีน (งิ้ว) ที่ตลาดแห่งนั้น เมื่อทอดพระเนตรเห็นเก้าอี่ไม้ธรรมดาเหมือนตามโรงเรียนประชาบาลสองตัวว่างอยู่ ก็เสด็จประทับทอดพระเนตรการแสดงอย่างชาวบ้านทั่วไป พร้อมมีรับสั่งอย่างสนุกสนาน เมื่อการแสดงจบเจ้าของคณะงิ้วก็นำตัวพระกับตัวนางมากราบแทบฝ่าพระบาท พร้อมทั้งรับพระราชทานเงินของขวัญจากทั้งสองพระองค์ พระนางเจ้าสุวัทนาฯ โปรดที่จะมีรับสั่งกับประชาชนทั่วไปอย่างไม่ถือพระองค์ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ด้วยเจียมพระองค์ว่าเดิมทรงเป็นสามัญชนแม้ในปัจจุบันจะดำรงพระยศสูงส่งก็ตามที เช่น เมื่อคราวเสด็จอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง มีรับสั่งกับชาวบ้านสูงอายุอย่างออกรสว่า "...ยายจ๋าเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ สบายดีไหม...ไหนดูสิ ยายปวดหลังเหมือนฉันไหม?..." ชาวบ้านเห็นว่ามีรับสั่งเช่นนี้ก็ตกใจที่พระราชวงศ์ ลงมานับญาติด้วย แต่ก็กล้าตอบด้วย เพราะเห็นว่าพระบรมวงศานุวงศ์ก็เจ็บเป็นปวดเป็น ทำให้ทรงใกล้ชิดกับราษฎรและทอดพระเนตรเห็นปัญหาของราษฎรอย่างแท้จริง[41]

ด้านการเศรษฐกิจ

ได้โปรดที่จะเสด็จประพาสตลาดแทบทุกเย็น และโปรดจะประพาสตลาดหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งทรงสนับสนุนสินค้าของราษฎร เช่น ผ้าทอ เครื่องจักสาน รวมถึงผัก ผลไม้ ต้นไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อเป็นการสนับสนุนสินค้าของราษฎร เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรมีรายได้ และยังพระราชทานเงินสำหรับซื้อผ้าห่มและผ้านุ่งจากตลาดต่าง ๆ เวลาเสด็จหัวเมืองและนำมาเก็บไว้ที่วัง เมื่อเสด็จในที่ทุรกันดารก็จะโปรดให้เอาไปพระราชทานแก่ราษฎร[42]

ด้านกิจการลูกเสือ เนตรนารี

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีเสด็จเยี่ยมกิจการเนตรนารี

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงสนับสนุนกิจการลูกเสือโดยพระราชทานเงินสนันสนุนกิจการลูกเสือที่พระสวามีทรงก่อตั้งไว้ ทั้งยังทรงอบรมพระราชธิดาด้วยความทรงจำเมื่อครั้งตามเสด็จพระสวามีไปยังพระราชวังสนามจันทร์และมีการสวนสนามของเสือป่าและลูกเสือ ทั้งยังทรงเป็นเบื้องหลังในการสนับสนุนการก่อตั้งคณะเนตรนารีเพชราวุธ โดยมิได้ทรงออกพระนาม[43]

ด้านศิลปวัฒนธรรมไทย

ด้านนาฏศิลป์ เมื่อสิ้นรัชกาลพระสวามี ก็ทรงสนับสนุนการละครหลวง โดยจะเสด็จพระดำเนินไปทอดพระเนตรละครที่โรงละครของพระยาอนิรุธเทวา เมื่อเสด็จไปประเทศอังกฤษ ก็ทรงเผยแผ่วัฒนธรรมไทยอาทิ การรำ การละครซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงเป็นละครจากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยุ่หัว[44] โดยอาศัยงานสมาคมชาวไทยในอังกฤษ งานสามัคคีสมาคม หรืองานภายในพระตำหนัก โดยจะเป็นประธานนำรำวง โดยชาวต่างชาติต่างชื่นชมในวัฒนธรรมไทย ด้วยทรงเคยรับราชการในกรมมหรสพมาก่อนจึงทรงรำวงได้งดงามมาก เมื่อเสด็จนิวัตประเทศไทยแล้วก็โปรดพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์บำรุงนาฏศิลป์ไทย

ด้านการเกษตร

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีเสด็จประพาสตลาด

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี โปรดไม้ดอกไม้ประดับอย่างยิ่ง ในวังของพระองค์มีสวนดอกไม้อันงดงาม เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับมากมาย จึงมีคนที่อยากจะยลโฉมสวนดอกไม้ของพระองค์มากมาย โปรดที่จะซื้อต้นไม้จากเกษตรกรเพาะปลูกจากตลาดนัดท้องสนามหลวง จนเต็มท้ายรถพระที่นั่งทุกสัปดาห์ และยังโปรดเพาะพันธุ์ต้นไม้อีกด้วย[45]

พระอัจฉริยภาพ

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีทรงกอล์ฟ

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีมีพระอัจฉริยภาพ ในด้านต่าง ๆ

พระอัจฉริยภาพด้านการทำอาหาร

พระนางเจ้าสุวัทนาฯ มีพระอัจฉริยภาพด้านการทำอาหารอย่างยิ่ง ทำได้ทั้งของคาวของหวาน ทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง โดยว่ากันว่าอาหารและขนมฝรั่งทรงเรียนจากนิตยสารประจำสัปดาห์และหนังสือสอนทำอาหาร ส่วนอาหารไทยทรงเรียนมาจากคุณท้าวแก้ว ผู้เป็นยาย เมื่อทรงพระเยาว์ที่บ้านสวนสาลี่ (ทำเนียบรัฐบาลในปัจจุบัน) พระนางเจ้าสุวัทนาฯ โปรดที่จะทำอาหารเลี้ยงบรรดานักเรียนไทยในอังกฤษ โดยจะเป็นอาหารไทยทั้งสิ้น ส่วนงานจัดปาร์ตี้ก็จะทรงจัดทั้งอาหารไทยและฝรั่ง โดยถ้ามีงานก็จะทรงประกอบอาหารอยู่ในห้องเครื่องทั้งวัน ด้านขนมนั้น ทรงทำอร่อยหลายอย่าง อาทิ เค้ก มารากรอง ฯลฯ ตามคำบอกเล่าของข้าหลวงในตำหนักถึงฝีพระหัตถ์ในการทำเค้กคริสมาส ว่า

พอถึงเดือนกันยา-ตุลา เสด็จพระนางฯ จะทรงเตรียมทำฟรุตเค้ก และคริสต์มาสพุดดิ้ง ล่วงหน้าก่อนงานคริสต์มาสเป็นเดือน ๆ ทรงเตรียมแป้ง น้ำตาล ผลไม้แห้ง ถั่ว เครื่องเทศต่างๆ และเหล้าบรั่นดี หมักใส่ชามใหญ่ห่อผ้าเก็บไว้ใต้ถุนตำหนัก สองเดือนผ่านไปก็ได้ที่ พอวันงานก็ทรงนำมานึ่งอีกตั้ง ๔-๕ ชั่วโมงจนสุก แล้วราดด้วยบรั่นดีซ็อส ...น่าเสียดายที่ไม่รู้สูตรของท่าน จำได้แต่ว่าไม่เคยรับประทานคริสต์มาสพุดดิ้งที่ไหน อร่อยเท่าของเสด็จพระนางฯ[46]

— คุณสุรัสวดี กุวานนท์ แม็กซี่

พระอัจฉริยภาพด้านการถ่ายภาพ

พระนางเจ้าสุวัทนา มีพระอัจฉริยภาพในด้านการถ่ายภาพ โดยเมื่อคราวที่เสด็จประพาสปีนังจวบจนเสด็จไปยังอังกฤษ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีทรงโปรดการถ่ายภาพและสนพระทัยการถ่ายภาพอย่างจริงจัง ทรงศึกษาการใช้กล้องถ่ายภาพต่าง ๆ รวมทั้งโปรดที่จะถ่ายภาพในขณะที่ประพาสที่ต่าง ๆ[47]

พระอัจฉริยภาพด้านการกีฬา

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีทรงใช้กล้องถ่ายภาพ

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีโปรดที่จะทรงกีฬามาตั้งแต่ประทับในสวนดุสิต สนพระทัยกีฬาหลายประเภท ตามพระราชนิยมของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ที่โปรดทรงกีฬาหลายประเภท แต่กีฬาส่วนใหญ่มักเป็นแบบฝรั่ง ตามอย่างเจ้านายเล่นกัน เมื่อเสด็จประทับ ณ ประเทศอังกฤษ โปรดที่จะทรงกอล์ฟและเทนนิส[48] ตามพระราชนิยมของพระบาทสมเด็จสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่โปรดจะทรงกีฬากอล์ฟและโปรดเกล้าฯ ให้จัดการแข่งขันกอล์ฟขึ้น

พระอัจฉริยภาพด้านภาษา

พระนางเจ้าสุวัทนา ทรงศึกษาภาษาอังกฤษจากครูที่ทรงจ้างมาสอนสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา พระราชธิดาพระองค์เดียว จนทรงสามารถมีรับสั่งกับชาวต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว มีรับสั่งกับพนักงานร้านทิฟฟานี่ที่ดูแคลนพระเกียรติของพระองค์ อย่างคล่องแคล่ว พร้อมเคยรับสั่งกับผู้จัดการธนาคารในสหรัฐอเมริกาอย่างคล่องแคล่ว สั่งกับเลขาเจ้าระเบียบของมิสเตอร์แพตเดอร์สันอย่างคล่องแคล่วและยังทรงใช้สำนวนจนเลขาผู้นั้นยอมให้พระองค์พบกับมิสเตอร์แพตเดอร์สัน[49]

พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร

 
พระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

พระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี องค์นี้เป็นพระพุทธรูปนาคปรก สำหรับองค์พระพุทธรูปนั้นเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งแบบวัชราสนะ (ขัดสมาธิเพชร) วางพระหัตถ์ขวาซ้อนบนพระหัตถ์ซ้ายเหนือพระเพลา พระพุทธรูปมีพระพักตร์ค่อนข้างกลม พระนลาฏค่อนข้างแคบ พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่งพระโอษฐ์เรียว พระกรรณสั้น ไม่มีพระเกตุมาลาองค์พระพุทธรูปครองอุตราสงค์ห่มคลุม จีบเป็นริ้วเหมือนริ้วผ้าตามธรรมชาติ ประทับบนฐานนาคขดสามชั้นนาคสร้างเป็นลักษณะคล้ายงูใหญ่แผ่แม่เบี้ย แต่ส่วนหัวเป็นนาค มีหนึ่งเศียร อ้าปาก โดยแผ่ปรกพังพานองค์พระเป็นซุ้ม มีพุทธลักษณะคล้ายพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างในคราวทรงเจริญพระชันษา 5 รอบ 60 ในพ.ศ. 2508 ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในห้องพระเจ้า วังรื่นฤดี [50]

พระเกียรติยศ

ธรรมเนียมพระยศของ
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
 
ตราประจำพระองค์
การทูลใต้ฝ่าพระบาท
การแทนตนข้าพระพุทธเจ้า
การขานรับพะย่ะค่ะ/เพคะ

พระอิสริยยศ

  • เครือแก้ว อภัยวงศ์ (15 เมษายน พ.ศ. 2448 - 3 เมษายน พ.ศ. 2467)
  • สุวัทนา อภัยวงศ์ (3 เมษายน พ.ศ. 2467 - 10 สิงหาคม พ.ศ. 2467)
  • เจ้าจอมสุวัทนา (10 สิงหาคม พ.ศ. 2467 - 11 ตุลาคม พ.ศ. 2468)
  • พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี (11 ตุลาคม พ.ศ. 2468 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528)

เครื่องราชูปโภค

  • พานพระศรี (พานใส่หมากพลู) ทองคำลงยา พร้อมพานรองลายสลัก
  • พระสุพรรณศรี (กระโถนเล็ก) ทองคำลงยา
  • หีบพระศรีทองคำลงยา พร้อมพานรอง
  • พระคนโททองคำลงยา พร้อมพานรอง
  • หีบพระศรีนาก พร้อมพานรอง
  • กากระบอกสลักลายดอกไม้ ฝาตรามงกุฎพร้อมถาดรอง
  • พานเครื่องพระสำอาง พร้อมพระสางวงเดือนและพระสางเสนียดสอดในซองผ้าเยียรบับ สำหรับบรรจุเครื่องพระสำอาง
  • ขันน้ำพระสุธารสเย็น พร้อมจอกลอยทองคำลงยา
  • ขันสรงพระพักตร์ทองคำขอบลายสลักพร้อมผ้าคลุมปัก

เครื่องบำเหน็จในพระองค์ รัชกาลที่ 6

เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักในพ.ศ. 2468 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดเครื่องบำเหน็จพระราชทานแก่ผู้ที่มีส่วนในการพยาบาลพระองค์ [51] พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีทรงพยาบาลพระบรมราชสวามีเป็นอย่างดี แม้จะทรงพระครรภ์แก่ พระบรมราชสวามีจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องบำเหน็จชั้นพิเศษ ดังนี้

  • ซองทองคำลงยาราชาวดี มีตราพระปรมาภิไธยย่อ รร ๖ ประดับเพชร
  • ซองทองลงยามีสายสร้อย สำหรับผู้หญิง
  • กำไลทองคำลงยา อักษรพระนาม รร ๖ ประดับเพชร
  • กำไลงาช้าง อักษรพระนาม รร ๖
  • ชุดพระสางและเครื่องพระสำอาง
  • เข็มนายทหารของประเทศอังกฤษ
  • เข็มเสมาประดับเพชร
  • ผ้าซับพระพักตร์ ประดับอักษรพระนาม รร ๖ และอักษร ส ขมวดหางเป็นเลข ๖

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

เครื่องเชิดชูพระเกียรติต่างประเทศ

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีทรงชุดสตรีอาสากาชาดอังกฤษ

ในสมัยที่ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เสด็จพระดำเนินพร้อมด้วยพระราชธิดาไปยังสภากาสชาดอังกฤษ เพื่อทรงช่วยเหลือกิจการต่างๆ ของสภากาชาดอังกฤษ เช่น ทรงม้วนผ้าพันแผล เป็นต้น สภากาชาดอังกฤษจึงได้ถวายเครื่องบำเหน็จของสภากาชาดอังกฤษ ดังนี้

  • เหรียญเชิดชูเกียรติอุปถัมภ์สภากาชาดอังกฤษ
  • ประกาศนียบัตรของสภากาชาดอังกฤษ

ตราประจำพระองค์

ธงประจำพระองค์พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นธงเป็นสีม่วง ประดับอักษรพระนามาภิไธย ส. ผูกเป็นรูปงูอยู่ใต้ เลข ๖ เปล่งรัศมี มีความหมาย ดังนี้

  • สีพื้นธง คือ สีม่วง อันเป็นสีประจำวันประสูติ คือ วันเสาร์
  • อักษรพระนามาภิไธย ส. ย่อมาจาก สุวัทนา
  • อักษรพระนามาภิไธยผูกเป็นรูปงู คือ ปีมะเส็ง ปีประสูติ
  • ภายใต้เลข ๖ พร้อมรัศมี หมายถึง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสวามี


พระอนุสรณ์

ชื่ออันเนื่องมาจากพระนาม

ทุนการศึกษา

  • ทุนเพชรรัตน-สุวัทนา เพื่อการศึกษา

การเฉลิมพระเกียรติ

อภิลิขิตสมัย 100 ปีวันประสูติ

 
ตราเฉลิมฉลอง 100 ปีวันประสูติ

เนื่องในวโรกาสอภิลิขิตสมัยครบรอบ 100 ปีวันประสูติพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในพ.ศ. 2548 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีและพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าในพระองค์ ได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติ ดังนี้ ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2548 คณะพระประยูรญาติ ข้าราชบริพาร ผู้แทนองค์กรที่เคยได้รับพระกรุณาธิคุณ และผู้จงรักภักดี ได้ร่วมบำเพ็ญพระกุศลอุทิศถวาย ณ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ซึ่งภายในพระวิหารทิศเหนือบริเวณผนังเชื่อมกับฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์เป็นสถานที่บรรจุพระสรีรางคาร เคียงข้างพระบรมราชสรีรางคารของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการนี้สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานเครื่องไทยธรรม ไตรสดับปกรณ์ และเงินบำรุงองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมอันเนื่องด้วยพระชนนีมาพระราชทานด้วย ส่วนงานนิทรรศการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติจะมีตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2548 ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบังเกิดพระราชประดิพัทธ์ต้องพระราชอัธยาศัยในพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในงานจะมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ โดยสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสิ่งของส่วนพระองค์ของพระชนนีมาจัดแสดง เช่น ฉลองพระองค์พร้อมมงกุฎดอกส้มของพระนางเจ้าสุวัทนาฯ ในวันราชาภิเษกสมรส พระภูษาทรง พระกลดแพรที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ ๖ หีบพระศรีนาก ฯลฯ ตลอดจนมีการแสดงดนตรีทั้งไทยและสากล ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2548 จะมีการถวายเครื่องสักการะที่หน้าพระฉายาลักษณ์ซึ่งประดิษฐานกลางท้องพระโรง พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ อันเป็นสถานที่แรกที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงร่วมแสดงละครเรื่องพระร่วงกับ "คุณติ๋ว" ซึ่งต่อมาคือ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในงานจะมีหนังสือ "เฉลิมพระเกียรติ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ ๖" ทั้งยังมีเข็มที่ระลึกจำหน่ายเพื่อนำรายได้สมทบมูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

อภิลิขิตสมัย 9 รอบ 108 ปีวันประสูติ

 
ตราเฉลิมฉลอง 108 ปีวันประสูติ

เนื่องในวโรกาสอภิลิขิตสมัยครบรอบ 108 ปีวันประสูติพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในพ.ศ. 2556 พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ข้าในพระองค์ พ่อค้า ประชาชน ได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติ ดังนี้ ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556 พระอนุวงศ์ พระประยูรญาติ ข้าราชบริพาร ผู้แทนองค์กรที่เคยได้รับพระกรุณาธิคุณ และผู้จงรักภักดี ได้ร่วมบำเพ็ญพระกุศลอุทิศถวาย ณ พระวิหารหลวง ทิศตะวันออก ขององค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม นำโดยท่านหญิงศรีสว่างวงศ์ ยุคล บุญจิตราดุลย์ โดยเริ่มจากทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธสิหิงค์ พระบรมสารีริกธาตุ พระแท่นวัชรอาสน์(จำลอง)จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายสักการะหน้าพระฉายาลักษณ์ จากนั้นเจริญพระพุทธมนต์ ฉันเพล ถวายผ้าสดับปกรณ์ พระสงฆ์สดับปกรณ์ ต่อมาพระอนุวงศ์ คณะข้าราชบริพาร พระประยูรญาติ ผู้จงรักภักดี ได้ร่วมถวายถวายเครื่องราชสักการะ พวงมาลัย ดอกไม้ และพระกระยาหารสังเวยแด่ดวงพระวิญญาณ ณ สถานที่บรรจุพระสรีรางคาร บริเวณผนังพระปฤฎางค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ เคียงข้างพระบรมราชสรีรางคารของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556 จะมีการถวายพานพุ่ม เครื่องสักการะที่หน้าพระฉายาลักษณ์ซึ่งประดิษฐานกลางท้องพระโรง พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ อันเป็นสถานที่แรกที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงร่วมแสดงละครเรื่องพระร่วงกับ "คุณติ๋ว" ซึ่งต่อมาคือ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

งานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ 100 ปี พระประสูติกาล

 
กำไลงาในนิทรรศการที่พระราชวังพญาไท

เป็นนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในโอกาสอภิลักขิตสมัย 100 ปีแห่งพระประสูติกาล โดยจัดแสดงสิ่งของในพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี อาทิ กล่องพระโอสถมวนที่มีเศษพระโอสถมวนอยู่ก้นหีบ พระกลดแพร ของพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีอาทิ กล่องเฉลิมพระขวัญรูปโคอุสุภราช และของที่รื้อจากการพระเมรุมาศ สิ่งของส่วนพระองค์ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีมาจัดแสดง เช่น ฉลองพระองค์พร้อมมงกุฎดอกส้มของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในวันราชาภิเษกสมรส พระภูษาทรง หีบพระศรีนาก ฯลฯ

งานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ

เป็นนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โดยเป็นนิทรรศการถาวรตั้งอยู่ที่พระที่นั่งพิมานปฐม พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี จัดแสดงเรื่องราวพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ สิ่งของส่วนพระองค์ และสิ่งของจากงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี อาทิ ธงสงครามโลกครั้งที่ 1 ฉลองพระองค์ ลายพระหัตถ์ เข็มพระราชทาน รูปท้าวจตุโลกบาลประดับพระจิตกาธาน โดยมีพิธีเปิดโดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในพิธี

งานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสามขัตติยนารีแห่งสยาม

เป็นนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ จัดขึ้นที่ท้องพระโรงวังรื่นฤดี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสามขัตติยนารีแห่งสยาม ได้แก่ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โดยได้จัดแสดงเรื่องราวพระกรณียกิจของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และสิ่งของส่วนพระองค์ อาทิ พระสไบของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ชุดเครื่องเสวยของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลปัจจุบันของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ฯลฯ โดยจัดระหว่างวันที่ 9 -14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

หนังสือ

บทเพลง

  • โหมโรงเพชรรัตน-สุวัทนา ในโอกาส 100 ปีวันประสูติ
  • ดวงแก้วจากฟ้า ในโอกาส 100 ปีวันประสูติ

สุนัขและสัตว์ทรงเลี้ยง

 
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี กับสุนัขทรงเลี้ยงที่ชื่อ ปิแอร์

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงโปรดการเลี้ยงสุนัชอย่างมาก โดยทรงโปรดตั้งแต่ทรงประทับ ณ พระตำหนักสวนรื่นฤดี จนกระทั่งเสด็จไปประทับ ณ สหราชอาณาจักร ประจวบเหมาะกับช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จึงทรงงดเลี้ยงไประยะหนึ่งเมื่อมาประทับ ณ พระตำหนักหลุยส์เครเซน จึงทรงเลี้ยงสุนัช ชื่อเจ้า มอนตี้ โดเยเป็นสุนัขพันธุ์พูเดิ้ลสีดำ จนเมื่อทรงย้ายมาประทับ ณ พระตำหนักไดก์โรดหรือพระตำหนักบ้านรื่นฤดีทรงโปรดให้สร้างกรงนกไว้หลังพระตำหนัก พระราชธิดาพระราชทานชื่อกรงนกนั้นว่า บุหงาลันตา ก็ทรงได้สุนัขทรงเลี้ยงตัวใหม่ เป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่เนื่องด้วยพระราชธิดาทรงโปรดชื่อเจ้า โดปี้ตามที่คุณสุรัสวดี กุวานนท์ แม็กซี่ ข้าหลวงรุ่นเล็กในพระตำหนัก เล่าว่า

โดปี้เป็นสุนัขพันธุ์บ๊อกเซอร์ตัวโต สมเด็จเจ้าฟ้าฯ โปรดมากเพราะท่านโปรดสุนัขพันธุ์ใหญ่ ฉะนั้นเจ้ามอนตี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นของเสด็จพระนางฯ ส่วนเจ้าโดปี้เป็นของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ โดปี้นี่เสียงเห่าน่ากลังมาก ใครได้ยินแล้วก็ผวา แต่หารู้ไม่ ถ้าได้มาเห็นตัวมันเวลาเห่าแล้วก็จะขำ เพราะจริงๆ โดปี้เป็นสุนัขขี้กลัวมากๆ เห่าไปตัวสั่นไป พอเอจคนแปลกหน้าก็ถอดกรูดทั้งๆที่เห่าเสียงดังนั่นแหละ[57]...

— คุณสุรัสวดี กุวานนท์ แม็กซี่

จนเมื่อเสด็จนิวัตประเทศไทยทรงเลี้ยงสุนัข,นก,ปลา แต่ก็มิได้ทรงเลี้ยงเอง เพราะสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีพระราชธิดา โปรดการเลี้ยงนก,ปลา จึงโปรดให้สร้างสร้างกรงนก และ บ่อปลาขนาดใหญ่ไว้ในวัง เพื่อให้เจ้าฟ้าพระราชธิดาได้ทรงสำราญพระหฤทัย โดยเมื่อนิวัตประเทศไทยก็ทรงเลี้ยงสุนัขอีกตัวชื่อ ปิแอร์ โดยสุนัขตัวนี้โปรดมาก โดยเป็นพันธุ์พูเดิ้ลสีขาว และ ยังปรากฏพระฉายาลักษณ์ที่มีเจ้า ปิแอร์ อยู่มาก อาทิ พระฉายาลักษณ์ที่ฉายในวันรับพระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์ เป็นต้น[58]

พงศาวลี

พงศาวลีสายพระชนนี

เชิงอรรถ

  1. บทพระราชนิพนธ์บทกล่อมบรรทมบทนี้ ไม่ได้นำมาใช้ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติพระราชธิดา อย่างไรก็ตาม ภายหลังได้มีการนำบทพระราชนิพนธ์นี้มาใส่ทำนองและใช้ชื่อว่า เพลง "พระหน่อนาถ" เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ (อ้างอิง : “พระหน่อนาถ” จาก “บทกล่อม” ร.6 สู่ “บทเพลง” โดย ทฤษฎี ณ พัทลุง[ลิงก์เสีย])

อ้างอิง

  1. กัลยา เกื้อตระกูล. พระอัครมเหสี พระบรมราชินี พระชายานารี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๑-๗. กรุงเทพฯ:ยิปซี, 2552, หน้า 234
  2. ส.พลายน้อย. พระบรมราชินีและเจ้าจอมมารดาแห่งราชสำนักสยาม. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ:ฐานบุ๊คส์, 2554. หน้า 208
  3. อ้างอิงดังกล่าวมีส่วนคลาดเคลื่อนจากจริงบ้างแต่ก็มีส่วนใกล้เคียง ดูใน Sokheounpang. Khmer-Siam Royal Family Tree. เรียกดูเมื่อ 27 มกราคม 2556
  4. Soravij. A Regal Princess a Remembered - Her Rayal Highness Princess Bejaratana เก็บถาวร 2013-12-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม 2555
  5. "ชมรมสายสกุลบุนนาค - เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-15. สืบค้นเมื่อ 2012-05-30.
  6. 6.0 6.1 พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ). เล่าเรื่อง...เฉกอะหมัด ต้นสกุลบุนนาค. กรุงเทพฯ:บันทึกสยาม, 2552. หน้า 149
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 7.7 กัลยา เกื้อตระกูล. พระอัครมเหสี พระบรมราชินี พระชายานารี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๑-๗. กรุงเทพฯ:ยิปซี, 2552, หน้า 231
  8. "Phra Nang Chao Suvadhana Kreuakaew Abhayavongsa". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-21. สืบค้นเมื่อ 2013-04-11.
  9. 9.0 9.1 9.2 มูลนิธิเพชรรัตน-สุวัทนา - พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
  10. "หอจดหมายเหตุ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ - สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-08. สืบค้นเมื่อ 2012-05-29.
  11. "พระเอยพระหน่อนาถ งามพิลาศดังดวงมณีใส - ขอน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-30. สืบค้นเมื่อ 2012-02-03.
  12. 12.0 12.1 บันทึกเรื่องพระราชพินัยกรรมรัชกาลที่ ๖ "ฉบับเต็ม"
  13. ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี, เล่ม ๔๒, ตอน ๐ ก, ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๘, หน้า ๑๙๑
  14. 14.0 14.1 เฉลิมพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
  15. ราชกิจจานุเบกษา, การสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่เจ้าฟ้าพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสูติ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ที่ในพระบรมมหาราชวัง, เล่ม 42, ตอน 0 ง, 10 มกราคม พ.ศ. 2468, หน้า 3094
  16. 16.0 16.1 ส.พลายน้อย. พระบรมราชินีและเจ้าจอมมารดาแห่งราชสำนักสยาม. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ:ฐานบุ๊คส์, 2554. หน้า 207
  17. ส.พลายน้อย. พระบรมราชินีและเจ้าจอมมารดาแห่งราชสำนักสยาม. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ:ฐานบุ๊คส์, 2554. หน้า 205
  18. 18.0 18.1 18.2 18.3 18.4 18.5 18.6 กัลยา เกื้อตระกูล. พระอัครมเหสี พระบรมราชินี พระชายานารี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๑-๗. กรุงเทพฯ:ยิปซี, 2552, หน้า 234
  19. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  20. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  21. 21.0 21.1 21.2 ราชกิจจานุเบกษา, หมายกำหนดการที่ ๔/๒๕๒๙ พระราชทานเพลิงพระศพ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ ๖ ม.จ.ก., ป.จ. ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙, เล่ม ๑๑๓, ตอน ๓๖, ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙, หน้า ๑๐๐๐
  22. "พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ เสด็จมาทรงบรรจุพระสรีรางคารเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ" (Press release). เดลินิวส์. 12 ธันวาคม 2555. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-15. สืบค้นเมื่อ 14 ธันวาคม 2555. {{cite press release}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  23. CH7NEWS (12 ธันวาคม 2555). พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ | พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงบรรจุพระสรีรางคาร สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และทรงยกฉัตรไปกางกั้นถวายพระพุทธรูปปางประสูติที่วัดพระปฐมเจดีย์ เก็บถาวร 2016-03-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกดูเมื่อ 14 ธันวาคม 2555
  24. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  25. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  26. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  27. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  28. คณะข้าราชบริพารใน สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี, เฉลิมพระเกียรติ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6, โรงพิมพ์กรุงเทพฯ, 2548
  29. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  30. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  31. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องขัตติราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี, เล่ม ๘๔, ตอน ๑๒๘ ง ฉบับพิเศษ, ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๐, หน้า ๒๖
  32. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  33. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  34. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  35. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  36. 36.0 36.1 สมเด็จพระราชินีศรีแผ่นดิน / พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ, กรุงเทพฯ : บันทึกสยาม, 2550
  37. 37.0 37.1 สตรีสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย, กรุงเทพฯ : คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 12 สิงหาคม 2547, 2547 พิมพ์ครั้งที่ 1
  38. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  39. 39.0 39.1 พระมเหสีและพระสนมเอกใน ร.6 [จุลสาร] / จุลลดา ภักดีภูมินทร์ ,2545
  40. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  41. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  42. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  43. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  44. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  45. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  46. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  47. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  48. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  49. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  50. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  51. [1]
  52. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องขัตติราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี, เล่ม ๘๔, ตอน ๑๒๘ ง ฉบับพิเศษ, ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๐, หน้า ๒๖
  53. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานตรารัตนวราภรณ์, เล่ม ๔๒, ตอน ๐ ง, ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๘, หน้า ๑๔๗๙
  54. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายใน, เล่ม ๔๒, ตอน ๐ ง, ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘, หน้า ๒๕๑๑
  55. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๔๑, ตอน ๐ ง, ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๗, หน้า ๒๔๒๐
  56. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๔๓, ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙, หน้า ๓๑๕๖
  57. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  58. คุณหญิงวนิตา ดิถียนต์ และ ดร.ชัชพล ไชยพร, ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า, อมรินทรพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2552, ISBN 978-974-9559-96-3
  59. วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม) เจ้าเมืองพระตะบองคนสุดท้าย ใต้ปกครองสยาม. กรุงเทพฯ:ยิปซี. 2557, หน้า 196-197
  60. สุดารา สุจฉายา. ประวัติศาสตร์เก็บตกที่อิหร่าน ย้อนรอยสายสัมพันธ์ไทย-เปอร์เซีย. กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550. หน้า 138
  61. แผนผังลำดับสายสกุลบุนนาคทางพลตรีพระยาสุรวงศ์วิวัฒน์ (เตี้ยม บุนนาค)

บรรณานุกรม