เสียงในหู

(เปลี่ยนทางจาก Tinnitus)

เสียงในหู[6] (อังกฤษ: Tinnitus) เป็นเสียงที่ได้ยินแต่ไม่มีจริง ๆ นอกร่างกาย[1][7] แม้มักจะระบุอาการว่า หูอื้อหรือมีเสียงดังเหมือนโทรศัพท์/กระดิ่ง/นาฬิกาปลุก แต่ก็อาจเป็นเสียงกรอบแกรบ เสียงฟ่อ เสียงหึ่ง หรือเสียงก้อง[2] โดยน้อยครั้งมากที่เป็นเสียงคนหรือเสียงดนตรี[3] เสียงอาจค่อยหรือดัง ต่ำหรือสูง อาจมาจากเพียงหูข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง[2] เป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นอย่างต่อเนื่อง[8] โดยปกติแล้ว อาการจะค่อย ๆ เกิด[3] สำหรับบางคน เสียงจะสัมพันธ์กับความซึมเศร้าหรือความกังวล และสามารถกวนสมาธิ[2] เกือบทุกคนจะประสบกับเสียงในหูเบา ๆ ในห้องที่เงียบสนิท แต่จะเป็นปัญหาก็ต่อเมื่อก่อความรำคาญ ขัดขวางการได้ยินตามปกติ หรือสร้างปัญหาอื่น ๆ[9]

เสียงในหู
(Tinnitus)
เสียงในหูบ่อยครั้งมีอาการได้ยินเสียงดังกริ๊ง ๆ ของนาฬิกาปลุก/โทรศัพท์
การออกเสียง
สาขาวิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา, โสตวิทยา, โสตสัมผัสวิทยา, ประสาทวิทยา
อาการได้ยินเสียงทั้ง ๆ ที่ไม่มีเสียงภายนอกร่างกายจริง ๆ[1]
ภาวะแทรกซ้อนซึมเศร้า วิตกกังวล ไม่มีสมาธิ[2]
การตั้งต้นค่อย ๆ เกิด[3]
สาเหตุการเสียการได้ยินเหตุเสียงดัง การติดเชื้อในหู โรคระบบหัวใจหลอดเลือด โรคเมนิแยร์ เนื้องอกในสมอง เนื้องอกหูชั้นใน เครียด บาดเจ็บที่สมอง ขี้หูมากเกิน[2][4]
วิธีวินิจฉัยขึ้นอยู่กับอาการ การตรวจการได้ยิน การตรวจประสาท[1][3]
การรักษาให้คำแนะนำ/ปรึกษา ใช้เครื่องสร้างเสียง ใช้เครื่องช่วยฟัง[2][5]
ความชุก~12.5%[5]

เสียงในหูมักสัมพันธ์กับการเสียการได้ยินและการเข้าใจคำพูดที่ลดลงในที่มีเสียงดัง[2] ประชากรประมาณ 10-15% มีเสียงในหู ส่วนมากอดทนได้โดยเป็นปัญหาสำคัญสำหรับเพียงแค่ 1-2% ของประชากร[5] เสียงอาจกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองโดยสู้หรือหนี เพราะสมองอาจรับรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญและมีอันตราย[10][11][12]

การมีเสียงในหูไม่ใช่โรคแต่เป็นอาการที่อาจมีเหตุได้หลายอย่าง และเกิดขึ้นได้ที่ทุกระดับของระบบการได้ยิน รวมทั้งนอกระบบ[2] เหตุสามัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการสูญเสียการได้ยินจากเสียงดัง หรือการสูญเสียการได้ยินที่เกี่ยวกับอายุ คือ หูตึงเหตุสูงอายุ[2] เหตุอื่น ๆ รวมทั้งการติดเชื้อในหู โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคเมนิแยร์ เนื้องอกในสมอง เนื้องอกเส้นประสาทหู ไมเกรน ความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร ยาบางชนิด การบาดเจ็บศีรษะในอดีต และขี้หู อาจอยู่ดี ๆ ก็ปรากฏในช่วงที่เครียด[4][3][2][13][14] เป็นอาการที่สามัญมากกว่าในผู้ที่ซึมเศร้า[3]

การวินิจฉัยมักขึ้นอยู่กับอาการที่ผู้ป่วยระบุว่ามี โดยมักใช้ร่วมกับการตรวจการได้ยิน (audiogram) การตรวจทางแพทย์หูคอจมูก และการตรวจระบบประสาท[1][3] เสียงในหูรบกวนชีวิตประจำวันแค่ไหนอาจวัดได้ด้วยแบบสอบถาม[3] ถ้าพบปัญหาอะไร แพทย์อาจตรวจโดยดูภาพเช่นที่ทำโดยเอ็มอาร์ไอ การตรวจสอบอื่น ๆ อาจช่วย เช่น ในกรณีเสียงเกิดตามจังหวะการเต้นหัวใจ ในกรณีน้อย แพทย์ที่ใช้หูฟังตรวจอาจได้ยินเสียงจริง ๆ ซึ่งในกรณีนี้ก็จะเป็นแบบที่มีเสียงจริง[3] บางครั้ง เสียงจากหูเองอาจก่ออาการเสียงในหู[15]

วิธีการป้องกันการเกิดเสียงในหูคือการเลี่ยงเสียงดังแบบเรื่อย ๆ หรือแบบต่อเนื่อง และไม่ใช้ยาและสารที่เป็นพิษต่อหู[2][16] หากมีเหตุที่เป็นมูลฐาน การรักษาสาเหตุนั้นอาจทำให้ดีขึ้น[3] มิฉะนั้น การรักษาปกติจะเป็นการให้ความรู้ทางจิตวิทยาหรือการให้คำปรึกษา เช่น การบำบัดโดยสนทนา[5] เพื่อหาวิธีลดการใส่ใจ/การสำนึกถึงเสียงในหู[17] แม้การเล่นดนตรีเพื่อกลบเสียง[18] หรือเครื่องสร้างเสียงกลบ หรือเครื่องช่วยฟัง ก็อาจช่วยบางกรณี[2] จนถึงปี 2013 ยังไม่มียาที่รักษาเสียงในหูโดยตรง[3]

คำภาษาอังกฤษว่า tinnitus มาจากภาษาละติน คือ tinnīre ซึ่งหมายความว่า ตีระฆัง/ทำเสียงกริ่ง [3]

อาการ

แก้

เสียงในหูอาจได้ยินจากหูข้างเดียว ทั้งสองข้าง หรือว่าจากภายในศีรษะ คำภาษาอังกฤษว่า tinnitus เป็นคำบ่งลักษณะของเสียงภายในศีรษะของบุคคลเมื่อไม่มีตัวกระตุ้นทางหูจริง ๆ ซึ่งเป็นเสียงหลายอย่างแต่ที่คนไข้บอกมากที่สุดก็คือเป็นเสียงสูงต่ำเสียงเดียว แม้ปกติคนไข้จะบอกว่าเป็นเสียงเหมือนตีระฆัง/เสียงโทรศัพท์ แต่ในคนไข้อื่น ๆ จะเป็นเสียงสูงหงิง ๆ เสียงหึ่ง ๆ เหมือนในสายไฟ เสียงฟู่ เสียงฮัม เสียงเหมือนลูบแก้วคริสตัล เสียงผิวปาก เสียงนาฬิกา เสียงแก๊ก ๆ เสียงดังกระหึ่ม เสียงจิ้งหรีด เสียงกบต้นไม้ เสียงตั๊กแตน เสียงจักจั่น ทำนองเพลง เสียงบี๊ป ๆ เสียงแฉ่ ๆ เหมือนกระทะร้อน เสียงคล้าย ๆ เสียงคน เสียงสูงต่ำเดียวยาว ๆ เช่นดังที่ใช้เพื่อทดสอบการได้ยิน ยังมีคนไข้บอกด้วยว่าเป็นเสียงลมหรือเสียงคลื่น[19][20][21][5]

เสียงในหูอาจจะได้ยินเป็นครั้งเป็นคราวหรืออาจจะได้ยินอย่างต่อเนื่อง ในกรณีหลัง นี่อาจทำให้เป็นทุกข์มาก ในคนไข้บางคน ความดังของเสียงอาจเปลี่ยนตามการเคลื่อนไหวของไหล่ ศีรษะ ลิ้น ขากรรไกร และตา[22]

คนไข้โดยมากที่ได้ยินเสียงในหูจะเสียการได้ยินไปแล้วเป็นบางส่วน[23] คือบ่อยครั้งจะไม่สามารถได้ยินอย่างชัดเจนซึ่งเสียงจริง ๆ ภายนอกร่างกายที่อยู่ในพิสัยความถี่เดี่ยวกันกับเสียงที่ได้ยินในหู[24] ซึ่งทำให้มีการเสนอว่า เหตุอย่างหนึ่งของเสียงในหูอาจจะเป็นการตอบสนองเพื่อธำรงดุลของเซลล์ประสาทการได้ยินใน dorsal cochlear nucleus ซึ่งทำให้มันทำงานมากเกินเพื่อชดเชยเสียงที่ขาดหายไปเพราะไม่ได้ยิน[25]

เสียงอาจดังเป็นเพียงเสียงพื้นหลังค่อย ๆ จนกระทั่งเป็นเสียงที่ยังได้ยินแม้เมื่อเสียงภายนอกดังมาก เสียงในหูแบบหนึ่งที่เรียกว่าเสียงในหูเต้นเป็นจังหวะ (pulsatile tinnitus) เป็นการได้ยินเสียงชีพจรหรือการหดเกร็งกล้ามเนื้อของตนเอง ซึ่งปกติเป็นเสียงจากการขยับกล้ามเนื้อใกล้ ๆ หู หรือการเปลี่ยนแปลงภายในช่องหู หรือเสียงเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือดภายในคอหรือใบหน้า[26]

การดำเนินของโรค

แก้

เนื่องจากความต่าง ๆ ในการออกแบบงานศึกษา ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินของโรคจึงไม่ค่อยคงเส้นคงวา โดยทั่วไป ความชุกของโรคจะเพิ่มขึ้นตามอายุในผู้ใหญ่ ส่วนความรำคาญต่อเสียงทั่วไปจะลดไปเอง[27][28][29]

จิตใจ

แก้

เสียงในหูแบบคงยืนอาจทำให้วิตกกังวลและซึมเศร้า[30][31] สภาพจิตใจเป็นปัจจัยให้รำคาญเสียงยิ่งกว่าความดังและความถี่เสียงที่ได้ยิน[30][32][33] ผู้ที่รู้สึกรำคาญเสียงในหูมากกว่าจะมีปัญหาทางจิตใจอย่างสามัญรวมทั้งความซึมเศร้า ความวิตกกังวล ปัญหาการนอน และการไม่มีสมาธิ[30][34][35] 45% ของคนไข้ที่มีเสียงในหู จะมีโรควิตกกังวลในช่วงหนึ่งของชีวิต[36]

งานทางจิตวิทยาได้ตรวจดูปฏิกิริยาโดยความเป็นทุกข์ต่อเสียงในหู (TDR) เพื่ออธิบายว่า ทำไมคนไข้จึงมีอาการรุนแรงไม่เท่ากัน[34] งานแสดงว่า เมื่อได้ยินเสียงในหูเป็นครั้งแรก การสร้างภาวะของเสียงเนื่องกับสิ่งเร้าที่ไม่น่ายินดีในเวลานั้น จะเชื่อมเสียงในหูกับอารมณ์เชิงลบ เช่น ความกลัวและความวิตกกังวล งานแสดงว่า เมื่อได้ยินเสียงในหูในช่วงแรก ๆ มีการปรับภาวะเชื่อมเสียงกับอารมณ์ที่ไม่น่ายินดี เช่นความกลัวและความวิตกกังวลที่เกิดตอบสนองต่อสิ่งเร้าในเวลานั้น ซึ่งเพิ่มการทำงานของระบบลิมบิกและระบบประสาทอิสระ แล้วจึงเพิ่มความสำนึกและความรำคาญต่อเสียงในหู[37]

เหตุ

แก้

มีเสียงในหูสองแบบคือแบบไม่มีเสียงจริง (คือเป็นอัตวิสัย) และแบบมีเสียงจริง (คือที่เป็นปรวิสัย)[3] แต่โดยปกติจะเป็นแบบไม่มีเสียงจริง (subjective tinnitus) คือคนอื่นไม่สามารถได้ยินได้[3] แบบไม่มีเสียงจริงอาจเรียกเป็นคำภาษาอังกฤษอื่น ๆ รวมทั้ง tinnitus aurium, nonauditory tinnitus, และ nonvibratory tinnitus

อย่างไรก็ดี ในบางกรณีซึ่งน้อยมาก คนอื่นอาจจะได้ยินเสียงในหูของผู้มีอาการโดยใช้อุปกรณ์ เช่น หูฟังแพทย์เป็นต้น และในบางกรณีซึ่งไม่น้อยถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่สามัญ เสียงที่ว่าสามารถวัดด้วยไมค์นอกหูโดยเป็นเสียงจากหู (SOAE) นี่ก็จะเป็นแบบมีเสียงจริง (objective tinnitus)[3] ซึ่งเรียกเป็นคำภาษาอังกฤษอื่น ๆ รวมทั้ง pseudo-tinnitus และ vibratory tinnitus

แบบไม่มีเสียงจริง (subjective)

แก้

เสียงในหูแบบไม่มีเสียงจริงเกิดบ่อยสุด ซึ่งมีเหตุหลายอย่าง แต่ที่สามัญที่สุดก็เพราะเสียการได้ยิน เมื่อเกิดจากโรคในหูชั้นในหรือประสาทหู (auditory nerve) นี่จะเรียกว่า otic tinnitus (โดยคำว่า otic มาจากคำภาษากรีกแปลว่า หู)[38] ซึ่งเป็นภาวะทางโสตวิทยาหรือทางประสาทวิทยาที่อาจจุดชนวนโดยการติดเชื้อหรือยา[20] แต่เหตุเสียการได้ยินที่เกิดบ่อยสุดก็คือ การได้รับเสียงดังเกินซึ่งทำลายเซลล์ขนในหูชั้นใน แล้วก่อเสียงในหู

เมื่อปรากฏว่า เสียงในหูไม่เกี่ยวกับโรคในหูชั้นในหรือประสาทหู อาการก็จะเรียกว่า nonotic tinnitus ในคนไข้ 30% อาการจะได้รับอิทธิพลจากระบบรับความรู้สึกทางกาย ยกตัวอย่างเช่น สามารถเพิ่มหรือลดเสียงโดยขยับใบหน้า ศีรษะ หรือคอ[39] โดยแบบนี้ก็จะสามารถเรียกได้ด้วยว่า somatic tinnitus หรือ craniocervical tinnitus เพราะการขยับศีรษะและคอเท่านั้นที่มีผล[38]

มีหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่แสดงนัยว่า เสียงในหูเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงแบบพลาสติกของระบบประสาทกลางเกี่ยวกับการได้ยิน ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่เปลี่ยนไปเนื่องจากการเสียการได้ยิน[40] คือ การเสียการได้ยินจะเปลี่ยนการตอบสนองเพื่อธำรงดุล (homeostatic response) ภายในระบบประสาทกลาง แล้วก่อเสียงในหู[41]

การเสียการได้ยิน

แก้

เหตุสามัญที่สุดของเสียงในหูก็คือการเสียการได้ยินเพราะได้รับเสียงดังมากเกินไป แต่การเสียการได้ยินก็อาจอยู่ในรูปแบบที่อำพรางไว้ เช่น ในคนที่ทดสอบว่าได้ยินเป็นปกติ[41] การเสียการได้ยินยังมีเหตุต่าง ๆ กันด้วย ในบรรดาคนไข้ที่มีเสียงในหู เหตุหลักก็คือความเสียหายที่คอเคลีย[40]

ยาที่เป็นพิษต่อหูสามารถเป็นเหตุให้เกิดเสียงในหูที่ไม่มีจริง เพราะมันสามารถทำให้เสียการได้ยิน หรือเพิ่มความเสียหายที่มีอยู่แล้วเนื่องจากการได้รับเสียงดัง และอาจเกิดแม้เมื่อใช้ยาในขนาดที่พิจารณาว่าไม่เป็นพิษต่อหู[42] ยากว่า 260 ชนิดมีรายงานว่า มีผลข้างเคียงเป็นเสียงในหู[43]

เสียงในหูยังอาจเกิดเมื่อหยุดใช้ยาเบ็นโซไดอาเซพีนแม้ในขนาดที่ใช้รักษาโรค ซึ่งบางครั้งเป็นอาการยืดเยื้อของการขาดยาโดยอาจคงยืนเป็นเวลาหลายเดือน[44][45]

อย่างไรก็ดี เสียงในหูในกรณีจำนวนมากก็หาสาเหตุไม่ได้[2]

ปัจจัย

แก้

ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจมีส่วนให้เกิดเสียงในหูรวมทั้ง[46]

  • ปัญหาหูและการเสียการได้ยิน
    • การเสียการได้ยินเนื่องจากสื่อนำเสียง
      • acoustic shock เป็นอาการที่เกิดเมื่อได้ยินเสียงดังแบบไม่คาดหวัง
      • เสียงดัง[47]
      • หูชั้นกลางอักเสบ
      • หูอักเสบ (otitis)
      • otosclerosis/otospongiosis เป็นการเจริญผิดปกติของกระดูกใกล้หูชั้นกลาง
      • การทำงานผิดปกติของท่อหู
  • sensorineural hearing loss เป็นการเสียการได้ยินเนื่องกับอวัยวะหรือโครงสร้างในหูชั้นใน หรือเส้นประสาทสมองเส้นที่ 8 หรือระบบประสาทส่วนอื่น ๆ
    • เสียงดัง
    • หูตึงเหตุสูงอายุ
    • โรคเมนิแยร์
    • การบวมน้ำเอ็นโดลิมฟ์ (endolymphatic hydrops)
    • superior canal dehiscence เป็นอาการมีน้อยที่มีผลต่อการได้ยินและการทรงตัว เกิดจากการกร่อนหรือการไม่มีกระดูกขมับเหนือหลอดกึ่งวงกลมส่วนบนของระบบการทรงตัว
    • เนื้องอกไม่ร้ายของเซลล์ปลอกไมอีลินที่เส้นประสาทสมองเส้นที่ 8 (Vestibular schwannoma) ซึ่งทำให้เสียการได้ยิน เกิดอาการนี้ ทรงตัวได้ไม่ดี มีปัญหาความดันในหู อัมพฤกษ์อัมพาตที่ใบหน้า
    • ปรอทหรือตะกั่วเป็นพิษ
    • ยาที่เป็นพิษต่อหู
  • ปัญหาทางประสาท
    • Arnold-Chiari malformation เป็นความผิดปกติทางโครงสร้างของสมองน้อย
    • โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
    • การบาดเจ็บที่ศีรษะ
    • temporomandibular joint dysfunction เป็นการเจ็บและการทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อที่ใช้เคี้ยวและของข้อต่อขากรรไกร
    • giant cell arteritis เป็นการอักเสบของเส้นเลือดขนาดใหญ่และขนาดกลางในศีรษะ โดยเฉพาะที่สาขา external carotid artery
  • โรคทางเมแทบอลิซึม
  • ความผิดปกติทางจิตเวช
  • ปัจจัยอื่น ๆ
  • แบบมีเสียงจริง ๆ (objective)

    แก้

    เสียงในหูแบบมีเสียงจริง ๆ คนอื่นก็สามารถได้ยิน และบางครั้งจะมีเหตุจากกล้ามเนื้อกระตุกรัวหรือเหตุทางหลอดเลือดต่าง ๆ บางกรณีอาจเกิดจากกล้ามเนื้อกระตุกรอบ ๆ หูชั้นกลาง[51] มีกลไกลธำรงดุลที่ช่วยแก้ปัญหานี้ภายในหนึ่งนาทีหลังเกิดขึ้น โดยปกติจะเกิดพร้อมกับการลดความไวเสียงและหูอื้อ[52]

    เสียงจากหู (SOAE) ซึ่งเป็นเสียงความถี่สูงเบา ๆ ที่สร้างในหูชั้นใน และสามารถวัดที่ช่องหูด้วยไมค์ไวเสียง ก็สามารถทำให้เกิดเสียงในหูได้ด้วย[15] ประเมินว่า จำนวนของผู้มีเสียงในหูที่เนื่องกับ SOAE อยู่ที่ 4%[15]

    แบบเป็นจังหวะ (pulsatile)

    แก้

    บางคนได้ยินเสียงเต้นเป็นจังหวะคู่กับชีพจรของตน จึงเรียกว่า pulsatile tinnitus หรือ vascular tinnitus[53][54] เป็นเสียงในหูที่มีจริง ๆ เป็นผลของการไหลเวียนของเลือดที่เปลี่ยนไป คือเกิดความปั่นป่วนใกล้ ๆ หู โดยมีเหตุเช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็งและเสียงฮัมในเส้นเลือดดำ (venous hum)[55] แต่ก็อาจเป็นเสียงที่ไม่มีจริง ๆ ซึ่งเกิดจากการสำนึกเพิ่มขึ้นถึงการไหลเวียนของเลือดในหู[53][54]

    น้อยครั้งมากที่เสียงในหูแบบเป็นจังหวะจะเป็นอาการของสภาวะที่เป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น หลอดเลือดแดงแครอทิดโป่งพอง[56] หรือผนังหลอดเลือดแดงแครอทิดลอก (carotid artery dissection)[57]

    เสียงในหูแบบเป็นจังหวะอาจเป็นตัวบ่งชี้ภาวะหลอดเลือดอักเสบโดยเฉพาะ giant cell arteritis อาจเป็นตัวบ่งชี้ความดันในกะโหลกศีรษะสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ (IIH)[58] หรืออาจเป็นอาการของความผิดปกติทางเส้นเลือดในกะโหลกศีรษะ เช่น สภาวะวิรูปของเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำ (AVM)[59] และดังนั้นจึงควรตรวจหาเสียงผิดปกติในเส้นเลือด (bruit) ด้วย

    กลไกของอาการ

    แก้

    กลไกที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งของอาการก็คือ เสียงจากหู คือ หูชั้นในมีเซลล์ขนเป็นพัน ๆ โดยเซลล์ขนชั้นใน (IHC) จะเป็นตัวตรวจจับเสียง และเซลล์ขนชั้นนอก (OHC) จะเปลี่ยนแรงสั่นที่ได้รับบวกกับสัญญาณจากระบบประสาทกลาง ให้ไปเป็นแรงดึงทำให้เยื่อคลุมที่ฐานเกิดความแข็งอ่อนไม่เท่ากัน โดยอาจเป็นกระบวนการขยายเสียง โดยเฉพาะเมื่อเสียงเบา การตรวจจับเสียงจะเชื่อมกับกลไกที่เพิ่มหรือลดการสั่นของเยื่อเป็นกระบวนการป้อนกลับผ่านระบบประสาทกลาง[60][52] ซึ่งการป้อนกลับนี้ปกติจะปรับให้น้อยกว่าจุดที่จะทำให้เยื่อสั่นเองเพียงเล็กน้อย จึงทำให้สามารถรับเสียงได้ไวและเฉพาะเจาะจงอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ถ้ามีอะไรเปลี่ยนไป ก็อาจทำให้ค่าป้อนกลับข้ามจุดที่ทำให้เกิดการสั่นเองได้ง่าย ดังนั้น จึงเกิดเสียงในหูขึ้น[61][52]

    กลไกที่เป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือความเสียหายต่อเซลล์รับเสียง เซลล์นี้แม้จะสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้จาก Deiters cells ซึ่งเป็นเซลล์สนับสนุนที่อยู่ข้าง ๆ ถ้าเสียหายในสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก แต่ก็เชื่อว่า ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะเกิดขึ้นในช่วงการเกิดเอ็มบริโอเท่านั้น คือแม้ Deiters cell ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะสามารถสร้างเซลล์ขึ้นใหม่และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะ แต่ก็ยังไม่เคยพบว่ามันเปลี่ยนกลายเป็นเซลล์รับเสียงยกเว้นในการทดลองที่เพาะเนื้อเยื่อ[62][63] ดังนั้น ถ้าเซลล์ขนเกิดเสียหาย เช่น เพราะได้รับเสียงดังเกิน หูอาจจะตึงต่อเสียงความถี่บางช่วง แต่เมื่อเกิดอาการเสียงในหู เซลล์อาจจะส่งข้อมูลว่ามีเสียงภายนอกที่ความถี่หนึ่ง ๆ ซึ่งความจริงไม่มี

    อย่างไรก็ดี กลไกของเสียงในหูแบบไม่มีเสียงจริงบ่อยครั้งไม่ชัดเจน แม้จะไม่น่าแปลกใจว่า การบาดเจ็บที่หูชั้นในโดยตรงจะก่ออาการนี้ แต่เหตุอื่น ๆ ที่ปรากฏ (เช่น temporomandibular joint dysfunction และโรคฟันอื่น ๆ) ก็อธิบายได้ยาก

    งานวิจัยได้เสนอให้แบ่งเสียงในหูแบบไม่มีเสียงจริงเป็นสองหมวด คือ otic tinnitus (เสียงในหูเหตุหู) ซึ่งเกิดจากภาวะ/โรคต่าง ๆ ในหูชั้นในหรือเส้นประสาทหู และ somatic tinnitus (เสียงในหูเหตุกาย) ซึ่งเกิดจากภาวะ/โรคนอกหูและประสาทหูโดยยังเกิดภายในศีรษะหรือคอ และได้ให้สมมติฐานเพิ่มขึ้นด้วยว่า เสียงในหูเหตุกาย อาจเกิดจากสัญญาณแทรกข้ามวงจรประสาทภายในสมอง เพราะเส้นประสาทศีรษะและคอวิ่งเข้าไปในสมองใกล้บริเวณที่มีบทบาทในการได้ยิน[64]

    อาการอาจมีเหตุจากการทำงานทางประสาทซึ่งเพิ่มขึ้นในก้านสมองส่วนที่ประมวลสัญญาณเสียง แล้วทำให้เซลล์ประสาทการได้ยินบางส่วนทำงานมากเกิน มูลฐานของทฤษฎีนี้ก็คือ คนโดยมากที่มีอาการนี้ได้เสียการได้ยินไปโดยบางส่วน[23] และความถี่เสียงที่พวกเขาไม่ได้ยิน จะใกล้กับความถี่ของเสียงในหูที่ไม่มีจริง ๆ[24] แบบจำลองของการเสียการได้ยินและสมอง สนับสนุนไอเดียว่า การตอบสนองแบบธำรงดุลของนิวเคลียสประสาท dorsal cochlear nucleus จะเป็นเหตุให้พวกมันทำงานเกินเพื่อชดเชยข้อมูลเสียงที่ไม่มีอีกต่อไป[25]

    อย่างไรก็ดี งานทบทวนวรรณกรรมปี 2016 สามงามเน้นว่า มีโรคเป็นจำนวนมากแม้ที่เกิดร่วมกันซึ่งอาจมีบทบาทกับเสียงในหู และที่ต้องปรับการบำบัดให้เข้ากับอาการต่าง ๆ โดยเฉพาะ ๆ[65][66][67]

    การวินิจฉัย

    แก้

    แม้เสียงในหูอาจจะเป็นอาการหลักที่คนไข้บอก แพทย์หูคอจมูกก็มักจะตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุที่รักษาได้ เช่น การติดเชื้อในหูชั้นกลาง เนื้องอกที่ประสาทหู (Vestibular schwannoma) การกระแทกกระเทือน กระดูกงอกใกล้หูชั้นกลาง เป็นต้น ก่อนทดสอบการได้ยินของคนไข้[68] เสียงในหูจะประเมินด้วยการตรวจลักษณะการได้ยิน (audiogram) เช่น ความทุ้มแหลมและความดังเป็นต้น บวกกับการประเมินปัญหาทางจิตที่เกิดร่วมกันเช่น ความซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียดที่สัมพันธ์กับความรุนแรงของเสียงในหู

    ข้อกำหนดว่าอะไรเป็นเสียงในหูแบบเรื้อรัง เทียบกับประสบการณ์ที่มีตามธรรมชาติ ก็คือการมีเสียงในหูอย่างน้อย 5 นาทีอย่างน้อย 2 ครั้งต่ออาทิตย์[69] แต่ผู้ที่มีเสียงในหูเรื้อรังบ่อยครั้งก็ประสบปัญหาบ่อยกว่านี้ โดยอาจมีอย่างต่อเนื่องหรืออย่างเป็นปกติ เช่น ในเวลากลางคืนซึ่งเสียงในสิ่งแวดล้อมมีน้อยเกินที่จะกลบเสียงในหู

    โสตวิทยา

    แก้

    เพราะผู้มีเสียงในหูโดยมากก็เสียการได้ยินด้วย การทดสอบด้วยเสียงสูงต่ำเดี่ยว ๆ (pure tone audiometry) แสดงเป็นกราฟการได้ยิน (audiogram) ก็อาจช่วยวินิจฉัยเหตุ ถึงแม้ก็มีผู้ที่ไม่เสียการได้ยินด้วยเหมือนกันที่มีเสียงในหู กราฟการได้ยินอาจช่วยให้ปรับเครื่องช่วยฟังสำหรับคนที่เสียการได้ยินอย่างสำคัญ โดยความทุ้มแหลมของเสียงในหูบ่อยครั้งจะอยู่ในพิสัยเดียวกับการได้ยินที่เสียไป

    จิตสวนศาสตร์

    แก้
     
    ระดับความดังที่รู้สึกไม่สบาย (LDL) ของกลุ่มคนไข้ภาวะหูไวเกินที่ไม่เสียการได้ยิน (เส้นบน) ขีดเริ่มเปลี่ยนการได้ยินปกติ (เส้นล่างยาว) LDL ของคนไข้กลุ่มนี้ (เส้นล่างสั้น) LDL ของคนปกติ[70]

    การวัดลักษณะต่าง ๆ ของเสียงในหูรวมความทุ้มแหลมหรือความถี่ถ้าเป็นเสียงในหูที่เป็นเสียงเดียว หรือเป็นพิสัยความถี่ในกรณีเป็นเสียงที่กระจายเป็นแถบความถี่, ความดังของเสียงเหนือขีดเริ่มได้ยินที่ความถี่นั้น ๆ (เป็นเดซิเบล), และระดับเสียงต่ำสุดที่จะกลบเสียงในหูนั้นได้เป็นต้น[71] ในกรณีโดยมาก พิสัยความถี่ของเสียงในหูจะอยู่ในระหว่าง 5,000-10,000 เฮิรตซ์[72] และดังระหว่าง 5-15 เดซิเบลเหนือขีดเริ่มได้ยิน[73]

    ตัวแปรที่สำคัญอีกอย่างก็คือ residual inhibition ซึ่งเป็นการระงับหรือการหายไปอย่างชั่วคราวของเสียงในหูหลังจากใช้เสียงกลบ (masking) ระยะหนึ่ง เพราะค่าวัดนี้อาจบ่งชี้ว่า อุปกรณ์สร้างเสียงกลบจะมีประสิทธิภาพในการรักษาแค่ไหน[74][75]

    แพทย์อาจจะประเมินว่ามีสภาวะไวเสียงเกิน (hyperacusis) ซึ่งบ่อย ๆ เกิดพร้อมกับเสียงในหูด้วยหรือไม่[76][77] สิ่งที่วัดก็คือ ระดับความดังที่รู้สึกไม่สบาย (LDL) โดยมีหน่วยเป็นเดซิเบล และเป็นระดับความดังเหนือขีดเริ่มเปลี่ยนของความถี่ต่าง ๆ ที่มนุษย์สามารถได้ยิน เป็นพิสัยความต่างระหว่างขีดเริ่มได้ยินที่ความถี่นั้น ๆ กับความดังที่ทำให้ไม่สบาย

    พิสัยความต่างที่แคบลงในพิสัยความถี่หนึ่ง ๆ เช่นนี้ สัมพันธ์กับสภาวะไวเสียงเกินที่เป็นอัตวิสัย[78] ขีดเริ่มได้ยินปกติ โดยทั่วไปจะกำหนดเป็น 0–20 เดซิเบล ส่วนระดับความดังที่ทำให้รู้สึกไม่สบายปกติจะอยู่ที่ 85–90+ เดซิเบลโดยมีนักวิชาการที่อ้างค่าถึง 100 เดซิเบล พิสัยความต่างระหว่างระดับความดังที่ไม่สบายกับขีดเริ่มได้ยินที่ 55 เดซิเบลหรือน้อยกว่านั้นจัดว่า เป็นสภาวะไวเสียงเกิน[79][80]

    ความรุนแรง

    แก้

    ภาวะนี้บ่อยครั้งจัดระดับความรุนแรงเริ่มตั้งแต่ "เล็กน้อย" (slight) จนถึง "รุนแรงมาก" (catastrophic) ตามผลที่มันมี เช่น กวนการนอน กวนการพักผ่อน หรือกวนกิจกรรมในชีวิตประจำวัน[81] ในกรณีสุด ๆ กรณีหนึ่ง ชายผู้หนึ่งฆ่าตัวตายหลังจากหมอบอกว่า รักษาให้หายไม่ได้[82]

    การประเมินทางจิตวิทยารวมทั้งการวัดความรุนแรงของอาการและความทุกข์ที่เกิด (เช่น ลักษณะและความมากน้อยของปัญหาเนื่องกับเสียงในหู) ที่วัดโดยแบบคำถามซึ่งได้ประเมินความสมเหตุสมผลแล้ว[34] แบบคำถามเหล่านี้วัดความทุกข์ทางใจและความพิการที่เกิดเนื่องจากเสียงในหู รวมทั้งผลต่อการได้ยิน วิถีชีวิต และจิตใจ[83][84][85] อนึ่ง การประเมินการใช้ชีวิตทั่วไปรวมทั้งระดับความวิตกกังวล ความซึมเศร้า ความเครียด สิ่งที่ทำให้เครียด และปัญหาการนอน ก็สำคัญในการประเมินอาการนี้ด้วย เพราะเสียงในหูอาจมีผลต่อปัญหาเหล่านี้ หรือปัญหาเหล่านี้อาจทำให้เสียงในหูแย่ลง[86]

    โดยทั่วไปแล้ว การประเมินทั้งหมดก็เพื่อกำหนดระดับความทุกข์และการรบกวนชีวิตต่อบุคคล กำหนดการตอบสนองและการรับรู้/ความสำนึกต่อเสียงในหู เพื่อปรับวิธีการรักษาและการเฝ้าสังเกตผล อย่างไรก็ดี เพราะวิธีการประเมินผลที่ใช้ต่าง ๆ กัน บางครั้งก็ไม่สอดคล้องกัน และไม่มีมติร่วมกัน ดังที่พบในวรรณกรรมการแพทย์ต่าง ๆ จึงทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบประสิทธิผลชอ วิธีการรักษาต่าง ๆ ได้[87]

    แบบเป็นจังหวะ

    แก้

    ถ้าแพทย์ตรวจพบเสียงที่เกิดจากเลือดที่ไหลอย่างปั่นป่วน (bruit) การตรวจโดยทำภาพเช่น transcranial doppler (TCD) หรือ magnetic resonance angiography (MRA) อาจจำเป็น[88][89][90]

    การวินิจฉัยแยกโรค

    แก้

    แหล่งเสียงอื่น ๆ ที่ฟังคล้ายกับเสียงในหูจะต้องกันออก แหล่งเสียงความถี่สูงที่รู้จักกันดีรวมทั้งสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดเนื่องกับสายไฟ ตลอดจนวิธีการส่งสัญญาณเสียงต่าง ๆ เรื่องที่มักวินิจฉัยผิดเพราะคล้ายเสียงในหูอย่างหนึ่งก็คือ เสียงคลื่นวิทยุ คือมีคนไข้ซึ่งตรวจพบว่าสามารถได้ยินคลื่นความถี่วิทยุที่มีเสียงแหลมและฟังคล้ายกับเสียงในหู[91][92]

    การป้องกัน

    แก้
     
    ป้ายเตือนให้ป้องกันหูตามกฎหมายของสหราชอาณาจักร

    การได้รับเสียงดังนาน ๆ อาจก่อเสียงในหู[93] ดังนั้น การใช้อุปกรณ์อุดหูเป็นต้น ก็อาจช่วย

    ยาหลายอย่างมีพิษต่อหู โดยอาจเพิ่มความเสียหายที่เกิดจากเสียงดัง เมื่อใช้ยาที่เป็นพิษต่อหู ถ้าแพทย์ใส่ใจระมัดระวังการใช้ยา เช่น ขนาดและระยะระหว่างการได้ยา ก็จะสามารถลดความเสียหายได้[94][95][96]

    การรักษา

    แก้

    ถ้ามีเหตุที่เป็นมูลฐาน การรักษาเหตุอาจทำให้อาการดีขึ้น[3] ไม่เช่นนั้นแล้ว วิธีรักษาหลักจะเป็นการปรึกษาจิตแพทย์หรือคุยกับนักจิตวิทยา[5] และการบำบัดด้วยเสียง (sound therapy) เพราะยังไม่มียาที่ได้ผล[3]

    จิตวิทยา

    แก้

    การรักษาที่มีหลักฐานดีสุดสำหรับเสียงในหูก็คือการบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT) ซึ่งอาจทำได้ทางอินเทอร์เน็ตหรือตัวต่อตัว[5][97] ซึ่งช่วยลดความเครียดเนื่องกับเสียงในหู[98] โดยประโยชน์ที่ได้ดูเหมือนจะเป็นอิสระต่างหากกับผลการรักษาความซึมเศร้าหรือความวิตกกังวล[97]

    การรักษาด้วยการยอมรับและการให้สัญญา (ACT) ก็ดูเหมือนจะมีอนาคตในการรักษาอาการนี้ด้วย[99] และเทคนิคการผ่อนคลายก็อาจมีประโยชน์[3]

    กระทรวงทหารผ่านศึกสหรัฐ (VA) ได้พัฒนาระเบียบการรักษาอาการเสียงในหูที่เรียกว่า Progressive Tinnitus Management[100]

    จนถึงปี 2014 ยังไม่มียาที่ได้ผลต่อเสียงในหูที่ไม่ทราบสาเหตุ[3][93] ประโยชน์ของยาแก้ซึมเศร้าก็ยังไม่มีหลักฐานพอ[101] หรือของ acamprosate (ซึ่งปกติใช้รักษาการติดเหล้า)[102] แม้จะมีหลักฐานบ้างสำหรับยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีน แต่ก็ยังไม่พอเพื่อให้ใช้[3] ยากันชักไม่ปรากฏว่ามีประโยชน์[3] การฉีดสเตอรอยด์เข้าในหูชั้นกลางก็ดูเหมือนจะไม่มีประสิทธิผลด้วย[103][104]

    การลองฉีดชีวพิษโบทูลินัมดูเหมือนจะประสบความสำเร็จบ้างในกรณีที่มีเสียงในหูแบบมีเสียงจริงโดยมีเหตุจากเพดานปากสั่นซึ่งเกิดน้อยมาก[105]

    ยา caroverine ก็ใช้ด้วยในประเทศไม่กี่ประเทศเพื่อรักษาอาการนี้[106] แต่หลักฐานแสดงประสิทธิผลของยาก็อ่อนมาก[107]

    การรักษาวิธีอื่น ๆ

    แก้

    เครื่องช่วยฟังหรืออุปกรณ์สร้างเสียงกลบ ช่วยให้ไม่สนใจเสียงในหูที่ความถี่โดยเฉพาะ ๆ แม้จะเป็นวิธีที่ไม่ค่อยมีหลักฐาน แต่ก็ไม่มีผลเสีย[3][108][109]

    มีหลักฐานเบื้องต้นสนับสนุนการรักษาโดย tinnitus retraining therapy บ้าง[3][110] ส่วนการกระตุ้นสมองผ่านกะโหลกด้วยแม่เหล็ก มีหลักฐานสนับสนุนน้อยมาก[3][111] ดังนั้น จึงไม่แนะนำ[93]

    โดยปี 2017 neurofeedback ยังมีหลักฐานจำกัดว่ามีผลดีหรือไม่[112]

    ยาสมุนไพร

    แก้

    แปะก๊วย (Ginkgo biloba) ดูจะไม่มีผล[113] วิทยาลัยแพทย์หูคอจมูกอเมริกัน แนะนำไม่ให้ใช้อาหารเสริมคือเมลาโทนินหรือสังกะสีเพื่อบรรเทาอาการ[93] อนึ่ง งานทบทวนวรรณกรรมแบบคอเคลนปี 2016 สรุปว่า หลักฐานไม่พอให้ทานอาหารเสริมคือสังกะสีเพื่อบรรเทาอาการที่เนื่องกับเสียงในหู[114]

    พยากรณ์โรค

    แก้

    แม้จะรักษาให้หายขาดไม่ได้ ผู้ที่มีเสียงในหูปกติจะชินไปเอง คนไข้ส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ[5]

    ความระบาด

    แก้

    ผู้ใหญ่

    แก้

    เสียงในหูเกิดในประชากรร้อยละ 10–15%[5] คนอเมริกาเหนือ 1/3 ประสบกับอาการนี้[115] อาการจะเกิดกับผู้ใหญ่ 1/3 ในช่วงชีวิต โดยเทียบกับ 10-15% ในบรรดาคนเหล่านี้ผู้มีปัญหาพอเพื่อไปหาหมอ[116]

    เด็ก

    แก้

    เสียงในหูเชื่อว่า เป็นอาการในผู้ใหญ่ ดังนั้น บ่อยครั้งจึงมองข้ามในเด็ก เด็กที่เสียการได้ยินบ่อยครั้งจะมีเสียงในหู แม้จะไม่สามารถบอกว่ามี หรือว่ามีผลอย่างไรต่อชีวิต[117] เด็กโดยทั่วไปจะไม่บอกอาการนี้เอง ดังนั้นถ้าบอกเอง ผู้ใหญ่อาจจะไม่ค่อยฟัง[118]

    เด็กที่บอกว่ามีเสียงในหู จะมีโอกาสสูงขึ้นในการมีโรคทางหูหรือทางประสาทที่เกี่ยวข้องกัน เช่น ไมเกรน โรคเมนิแยร์วัยเด็ก และหูชั้นกลางอักเสบแบบมีหนองเรื้อรัง[119] เด็กที่มีขีดเริ่มได้ยินปกติมีความชุกโรคระหว่าง 12-36% และในเด็กที่เสียการได้ยิน 66% โดยเด็ก 3–10% จะบอกว่าเสียงรบกวนชีวิต[120]

    ดูเพิ่ม

    แก้

    เชิงอรรถและอ้างอิง

    แก้
    1. 1.0 1.1 1.2 1.3 Levine, Robert A.; Oron, Yahav (2015). "Tinnitus". The Human Auditory System - Fundamental Organization and Clinical Disorders. Handbook of Clinical Neurology. Vol. 129. pp. 409–431. doi:10.1016/B978-0-444-62630-1.00023-8. ISBN 978-0-444-62630-1. PMID 25726282.
    2. 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 "Tinnitus". NIH – National Institute on Deafness and Other Communication Disorders (NIDCD). 6 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 April 2019. สืบค้นเมื่อ 20 September 2019.
    3. 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 3.12 3.13 3.14 3.15 3.16 3.17 3.18 3.19 3.20 3.21 3.22 3.23 Baguley, David; McFerran, Don; Hall, Deborah (November 2013). "Tinnitus". The Lancet. 382 (9904): 1600–1607. doi:10.1016/S0140-6736(13)60142-7. PMID 23827090.
    4. 4.0 4.1 Han BI, Lee HW, Kim TY, Lim JS, Shin KS (March 2009). "Tinnitus: characteristics, causes, mechanisms, and treatments". Journal of Clinical Neurology. 5 (1): 11–19. doi:10.3988/jcn.2009.5.1.11. PMC 2686891. PMID 19513328. About 75% of new cases are related to emotional stress as the trigger factor rather than to precipitants involving cochlear lesions.
    5. 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 5.7 5.8 Langguth, Berthold; Kreuzer, Peter M; Kleinjung, Tobias; De Ridder, Dirk (2013). "Tinnitus: causes and clinical management". The Lancet Neurology. 12 (9): 920–930. doi:10.1016/S1474-4422(13)70160-1.
    6. "Tinnitus", ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑ ฉบับ ๒๕๔๕, (แพทยศาสตร์) เสียงในหู
    7. Snow (2008), 3.18.1 Definition of Tinnitus, p. 303
    8. Diamond BJ, Mosley JE (2011). "Arteriovenous Malformation (AVM)". ใน Kreutzer JS, DeLuca J, Caplan B (บ.ก.). Encyclopedia of Clinical Neuropsychology. Springer. pp. 249–252. doi:10.1007/978-0-387-79948-3. ISBN 978-0-387-79947-6.
    9. "Tinnitus – noises in the ears or head". ENT kent. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-09-28. สืบค้นเมื่อ 2021-01-20.
    10. "Taming tinnitus".
    11. "Why Does My Tinnitus Get Worse when I'm Stressed?". 2021-05-17.
    12. House, Patricia R. (2008). "Personality of the Tinnitus Patient". Ciba Foundation Symposium 85 – Tinnitus. Novartis Foundation Symposia. Vol. 85. pp. 193–203. doi:10.1002/9780470720677.ch11. ISBN 978-0-470-72067-7. PMID 7035099.
    13. Esmaili, Aaron A; Renton, John (1 April 2018). "A review of tinnitus". Australian Journal of General Practice. 47 (4): 205–208. doi:10.31128/AJGP-12-17-4420. PMID 29621860.
    14. Mazurek B, Haupt H, Olze H, Szczepeck A (2022). "Stress and tinnitus—from bedside to bench and back". Frontiers in Systems Neuroscience. 6 (47): 47. doi:10.3389/fnsys.2012.00047. PMC 3371598. PMID 22701404.
    15. 15.0 15.1 15.2 Henry, James A.; Dennis, Kyle C.; Schechter, Martin A. (October 2005). "General Review of Tinnitus: Prevalence, Mechanisms, Effects, and Management". Journal of Speech, Language, and Hearing Research. 48 (5): 1204–1235. doi:10.1044/1092-4388(2005/084). PMID 16411806.
    16. Rizk, HG; Lee, JA; Liu, YF; Endriukaitis, L; Isaac, JL; Bullington, WM (December 2020). "Drug-Induced Ototoxicity: A Comprehensive Review and Reference Guide". Pharmacotherapy. 40 (12): 1265–1275. doi:10.1002/phar.2478. PMID 33080070. S2CID 224828345.
    17. Lalwani, Anil K; Snow, James B (Jr.) (2001). "29. DISORDERS OF SMELL, TASTE, AND HEARING". ใน Braunwald, Eugene; Fauci, Anthony S; Kasper, Dennis L; Hauser, Stephen L; Longo, Dan L; Jameson, J Larry (บ.ก.). Harrison's principles of internal medicine (15th ed.). McGraw-Hill. HEARING: DISORDERS OF THE SENSE OF HEARING: Sensorineural Hearing Loss: Tinnitus. ISBN 0-07-007272-8.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    18. Harrison's Principles of Internal Medicine (2001), HEARING: TREATMENT
    19. "Signs of tinnitus". Action on Hearing Loss. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-25. สืบค้นเมื่อ 2018-08-19.
    20. 20.0 20.1 Chan, Y (2009). "Tinnitus: etiology, classification, characteristics, and treatment". Discovery Medicine. 8 (42): 133–36. PMID 19833060.
    21. "Tinnitus". MedlinePlus: NIH US National Library of Medicine. 2016-05-18. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-28.
    22. Simmons, R; Dambra, C; Lobarinas, E; Stocking, C; Salvi, R (2008). "Head, Neck, and Eye Movements That Modulate Tinnitus". Seminars in Hearing. 29 (4): 361–70. doi:10.1055/s-0028-1095895. PMC 2633109. PMID 19183705.
    23. 23.0 23.1 Nicolas-Puel, C; Faulconbridge, RL; Guitton, M; Puel, JL; Mondain, M; Uziel, A (2002). "Characteristics of tinnitus and etiology of associated hearing loss: a study of 123 patients". The International Tinnitus Journal. 8 (1): 37–44. PMID 14763234.
    24. 24.0 24.1 Knig, O; Schaette, R; Kempter, R; Gross, M (2006). "Course of hearing loss and occurrence of tinnitus". Hearing Research. 221 (1–2): 59–64. doi:10.1016/j.heares.2006.07.007. PMID 16962270.
    25. 25.0 25.1 Schaette, R; Kempter, R. (2006). "Development of tinnitus-related neuronal hyperactivity through homeostatic plasticity after hearing loss: a computational model". Eur J Neurosci. 23 (11): 3124–38. doi:10.1111/j.1460-9568.2006.04774.x. PMID 16820003.
    26. "Tinnitus (Ringing in the Ears) Causes, Symptoms, Treatments". Webmd.com. 2010-02-12. สืบค้นเมื่อ 2013-02-03.
    27. Baguley, D; g, Andersson; McFerran, D; McKenna, L (2013). Tinnitus: A Multidisciplinary Approach (2nd ed.). Blackwell Publishing Ltd. pp. 16–17. ISBN 978-1118488706.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    28. Gopinath, B; McMahon, CM; Rochtchina, E; Karpa, MJ; Mitchell, P (2010). "Incidence, persistence, and progression of tinnitus symptoms in older adults: the Blue Mountains Hearing Study". Ear and Hearing. 31 (3): 407–12. doi:10.1097/AUD.0b013e3181cdb2a2. PMID 20124901.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    29. Shargorodsky, J; Curhan, GC; Farwell, WR (2010). "Prevalence and characteristics of tinnitus among US adults". The American Journal of Medicine. 123 (8): 711–18. doi:10.1016/j.amjmed.2010.02.015. PMID 20670725.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    30. 30.0 30.1 30.2 Andersson, G (2002). "Psychological aspects of tinnitus and the application of cognitive-behavioral therapy". Clinical Psychology Review. 22 (7): 977–90. doi:10.1016/s0272-7358(01)00124-6. PMID 12238249.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    31. Reiss, M; Reiss, G (1999). "Some psychological aspects of tinnitus". Perceptual and Motor Skills. 88 (3 Pt 1): 790–92. doi:10.2466/pms.1999.88.3.790. PMID 10407886.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    32. Baguley, DM (2002). "Mechanisms of tinnitus". British Medical Bulletin. 63: 195–212. doi:10.1093/bmb/63.1.195. PMID 12324394.
    33. Henry, JA; Meikele, MB (1999). "Pulsed versus continuous tones for evaluating the loudness of tinnitus". Journal of the American Academy of Audiology. 10 (5): 261–72. PMID 10331618.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    34. 34.0 34.1 34.2 Henry, JA; Dennis, KC; Schechter, MA (2005). "General review of tinnitus: Prevalence, mechanisms, effects, and management". Journal of Speech, Language, and Hearing Research. 48 (5): 1204–35. doi:10.1044/1092-4388(2005/084). PMID 16411806.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    35. Davies, A; Rafie, EA (2000). "Epidemiology of Tinnitus". ใน Tyler, RS (บ.ก.). Tinnitus Handbook. San Diego: Singular. pp. 1–23. OCLC 42771695.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    36. Pattyn, T; Van Den Eede, F; Vanneste, S; Cassiers, L; Veltman, DJ; Van De Heyning, P; Sabbe, BC (2015). "Tinnitus and anxiety disorders: A review". Hear. Res. 333: 255–65. doi:10.1016/j.heares.2015.08.014. PMID 26342399.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    37. Jastreboff, PJ; Hazell, JWP (2004). Tinnitus Retraining Therapy: Implementing the neurophysiological model. Cambridge: Cambridge University Press. OCLC 237191959.
    38. 38.0 38.1 Robert Aaron Levine (1999). "Somatic (craniocervical) tinnitus and the dorsal cochlear nucleus hypothesis". American Journal of Otolaryngology. 20 (6): 351–62. doi:10.1016/S0196-0709(99)90074-1. PMID 10609479.
    39. Rubinstein, Barbara และคณะ (1990). "Prevalence of Signs and Symptoms of Craniomandibular Disorders in Tinnitus Patients". Journal of Craniomandibular Disorders. 4 (3): 186–92. PMID 2098394.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    40. 40.0 40.1 Schecklmann, Martin; Vielsmeier, Veronika; Steffens, Thomas; Landgrebe, Michael; Langguth, Berthold; Kleinjung, Tobias; Andersson, Gerhard (2012-04-18). "Relationship between Audiometric Slope and Tinnitus Pitch in Tinnitus Patients: Insights into the Mechanisms of Tinnitus Generation". PLoS ONE. 7 (4): e34878. doi:10.1371/journal.pone.0034878.
    41. 41.0 41.1 Schaette, R.; McAlpine, D. (2011-09-21). "Tinnitus with a Normal Audiogram: Physiological Evidence for Hidden Hearing Loss and Computational Model". Journal of Neuroscience. 31 (38): 13452–57. doi:10.1523/JNEUROSCI.2156-11.2011.
    42. Brown, RD; Penny, JE; Henley, CM และคณะ (1981). "Ototoxic drugs and noise". Ciba Found Symp. 85: 151–71. PMID 7035098.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    43. Bekman, Stas. "6) What are some ototoxic drugs?". Stason.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-19. สืบค้นเมื่อ 2012-10-26.
    44. 44.0 44.1 Riba, Michelle B.; Ravindranath, Divy (2010-04-12). Clinical manual of emergency psychiatry. Washington, DC: American Psychiatric Publishing Inc. p. 197. ISBN 978-1-58562-295-5.
    45. 45.0 45.1 Delanty, Norman (2001-11-27). Seizures: medical causes and management. Totowa, N.J.: Humana Press. p. 187. ISBN 978-0-89603-827-1.[ลิงก์เสีย]
    46. Crummer, RW; Hassan, GA (2004). "Diagnostic approach to tinnitus". Am Fam Physician. 69 (1): 120–06. PMID 14727828.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    47. Passchier-Vermeer, W; Passchier, WF (2000). "Noise exposure and public health". Environ. Health Perspect. 108 Suppl 1 (Suppl 1): 123–31. doi:10.2307/3454637. JSTOR 3454637. PMC 1637786. PMID 10698728.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    48. Stover, Janos Zempleni, John W. Suttie, Jesse F. Gregory, III, Patrick J. (2014). Handbook of vitamins (5th ed.). Hoboken: CRC Press. p. 477. ISBN 9781466515574.
    49. Shulgin, Alexander; Shulgin, Ann (1997). "#36. 5-MEO-DET". TiHKAL: the continuation. Berkeley, CA, USA: Transform Press. ISBN 9780963009692. OCLC 38503252. สืบค้นเมื่อ 2012-10-27.
    50. "Erowid Experience Vaults: DiPT - More Tripping & Revelations - 26540".
    51. "Tinnitus". American Academy of Otolaryngology - Head and Neck Surgery. 2012-04-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-16. สืบค้นเมื่อ 2012-10-26.
    52. 52.0 52.1 52.2 "What Causes Spontaneous Ringing In Our Ears?". ZidBits. ZidBits Media. 2013-02-26. สืบค้นเมื่อ 2015-03-19.
    53. 53.0 53.1 McFerran, Don; Magdalena, Sereda. "Pulsatile tinnitus" (PDF). Action on Hearing Loss. Royal National Institute for Deaf People (RNID). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-07-22. สืบค้นเมื่อ 2018-07-22.
    54. 54.0 54.1 "Information and resources: Our factsheets and leaflets: Tinnitus: Factsheets and leaflets". RNID.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-04. สืบค้นเมื่อ 2012-10-26.
    55. Chandler, JR (1983). "Diagnosis and cure of venous hum tinnitus". Laryngoscope. 93 (7): 892–5. doi:10.1288/00005537-198307000-00009. PMID 6865626.
    56. Moonis, G; Hwang, CJ; Ahmed, T; Weigele, JB; Hurst, RW (2005). "Otologic manifestations of petrous carotid aneurysms". AJNR Am J Neuroradiol. 26 (6): 1324–27. PMID 15956490.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    57.   Selim, Magdy; Caplan, Louis R. (2004). "Carotid Artery Dissection". Current Treatment Options in Cardiovascular Medicine. 6 (3): 249–53. doi:10.1007/s11936-996-0020-z. ISSN 1092-8464. PMID 15096317.[ลิงก์เสีย] (ต้องรับบริการ)
    58. Sismanis, A; Butts, FM; Hughes, GB (2009-01-04). "Objective tinnitus in benign intracranial hypertension: An update". The Laryngoscope. 100: 33–36. doi:10.1288/00005537-199001000-00008.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    59. Diamond, Bruce J; Mosley, Joseph E (2011). Kreutzer, Jeffrey S; DeLuca, John; Caplan, Bruce (บ.ก.). Arteriovenous Malformation (AVM). Encyclopedia of Clinical Neuropsychology. Springer. pp. 249–252. doi:10.1007/978-0-387-79948-3. ISBN 978-0-387-79947-6.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    60. Purves, Dale; Augustine, George J; Fitzpatrick, David; Hall, William C; Lamantia, Anthony Samuel; McNamara, James O; White, Leonard E, บ.ก. (2008a). "13 - The Auditory System". Neuroscience (4th ed.). Sinauer Associates. Two Kinds of Hair Cells in the Cochlea, p. 330. ISBN 978-0-87893-697-7.
    61. Siegel, J (2008). Dallos, Peter; Oertel, Donata (บ.ก.). 3.15 Otoacoustic Emissions. The Senses: A Comprehensive Reference. Vol. 3: Audition. Elsevier. 3.15.2 A Brief History of Otoacoustic Emission, pp. 239-240. Adding to his direct contributions... the work of Gold was largely disregarded.
    62. Yamasoba, T; Kondo, K (2006). "Supporting cell proliferation after hair cell injury in mature guinea pig cochlea in vivo". Cell Tissue Res. 325 (1): 23–31. doi:10.1007/s00441-006-0157-9. PMID 16525832.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    63. White, PM; Doetzlhofer, A; Lee, YS; Groves, AK; Segil, N (2006). "Mammalian cochlear supporting cells can divide and trans-differentiate into hair cells". Nature. 441 (7096): 984–87. doi:10.1038/nature04849. PMID 16791196.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    64. Engmann, Birk: Ohrgeräusche (Tinnitus) : Ein lebenslanges Schicksal? PTA-Forum. Supplement Pharmazeutische Zeitung. 1997 July
    65. Møller, AR (2016). "Sensorineural Tinnitus: Its Pathology and Probable Therapies". International Journal of Otolaryngology. 2016: 2830157. doi:10.1155/2016/2830157. PMC 4761664. PMID 26977153.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    66. Sedley, W; Friston, KJ; Gander, PE; Kumar, S; Griffiths, TD (2016). "An Integrative Tinnitus Model Based on Sensory Precision". Trends in Neurosciences. 39 (12): 799–812. doi:10.1016/j.tins.2016.10.004. PMC 5152595. PMID 27871729.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    67. Shore, SE; Roberts, LE; Langguth, B (2016). "Maladaptive plasticity in tinnitus - triggers, mechanisms and treatment". Nature Reviews Neurology. 12 (3): 150–60. doi:10.1038/nrneurol.2016.12. PMC 4895692. PMID 26868680.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    68. Crummer, RW; และคณะ (2004). "Diagnostic Approach to Tinnitus". Am Fam Physician. 69 (1): 120–26.
    69. Davis, A (1989). "The prevalence of hearing impairment and reported hearing disability among adults in Great Britain". International Journal of Epidemiology. 18 (4): 911–17. doi:10.1093/ije/18.4.911.
    70. Sheldrake, J; Diehl, PU; Schaette, R (2015). "Audiometric characteristics of hyperacusis patients". Frontiers in Neurology. 6: 105. doi:10.3389/fneur.2015.00105. PMC 4432660. PMID 26029161.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    71. Henry, JA (2000). "Psychoacoustic Measures of Tinnitus". J Am Acad Audiol. 11: 138–55.
    72. Vielsmeier, V; Lehner, A; Strutz, J; Steffens, T; Kreuzer, PM; Schecklmann, M; Landgrebe, M; Langguth, B; Kleinjung, T (2015). "The Relevance of the High Frequency Audiometry in Tinnitus Patients with Normal Hearing in Conventional Pure-Tone Audiometry". BioMed Research International. 2015: 302515. doi:10.1155/2015/302515. PMC 4637018. PMID 26583098.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    73. CÉ, Basile; Fournier, P; Hutchins, S; Hébert, S (2013). "Psychoacoustic assessment to improve tinnitus diagnosis". PLOS One. 8 (12): e82995. Bibcode:2013PLoSO...882995B. doi:10.1371/journal.pone.0082995. PMC 3861445. PMID 24349414.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    74. Roberts, LE (2007). "Residual inhibition". Progress in Brain Research. Progress in Brain Research. 166: 487–95. doi:10.1016/S0079-6123(07)66047-6. ISBN 978-0444531674. PMID 17956813.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    75. Roberts, LE; Moffat, G; Baumann, M; Ward, LM; Bosnyak, DJ (2008). "Residual inhibition functions overlap tinnitus spectra and the region of auditory threshold shift". Journal of the Association for Research in Otolaryngology. 9 (4): 417–35. doi:10.1007/s10162-008-0136-9. PMC 2580805. PMID 18712566.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    76. Knipper, M; Van Dijk, P; Nunes, I; Rüttiger, L; Zimmermann, U (2013). "Advances in the neurobiology of hearing disorders: recent developments regarding the basis of tinnitus and hyperacusis". Progress in Neurobiology. 111: 17–33. doi:10.1016/j.pneurobio.2013.08.002. PMID 24012803.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    77. Tyler, RS; Pienkowski, M; Roncancio, ER; Jun, HJ; Brozoski, T; Dauman, N; Dauman, N; Andersson, G; Keiner, AJ; Cacace, AT; Martin, N; Moore, BC (2014). "A review of hyperacusis and future directions: part I. Definitions and manifestations" (PDF). American Journal of Audiology. 23 (4): 402–19. doi:10.1044/2014_AJA-14-0010. PMID 25104073. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-05-09. สืบค้นเมื่อ 2017-09-23.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    78. Sherlock, LaGuinn P. (2005). "Estimates of Loudness, Loudness Discomfort, and the Auditory Dynamic Range: Normative Estimates, Comparison of Procedures, and Test-Retest Reliability". J Am Acad Audiol. 16: 85–100. doi:10.3766/jaaa.16.2.4.
    79. Sherlock, LP; Formby, C (2005). "Estimates of loudness, loudness discomfort, and the auditory dynamic range: normative estimates, comparison of procedures, and test-retest reliability". Journal of the American Academy of Audiology. 16 (2): 85–100. doi:10.3766/jaaa.16.2.4. PMID 15807048.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    80. Pienkowski, M; Tyler, RS; Roncancio, ER; Jun, HJ; Brozoski, T; Dauman, N; Coelho, CB; Andersson, G; Keiner, AJ; Cacace, AT; Martin, N; Moore, BC (2014). "A review of hyperacusis and future directions: part II. Measurement, mechanisms, and treatment". American Journal of Audiology. 23 (4): 420–36. doi:10.1044/2014_AJA-13-0037. PMID 25478787.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    81. McCombe, A; Baguley, D; Coles, R; McKenna, L; McKinney, C; Windle-Taylor, P (2001). "Guidelines for the grading of tinnitus severity: the results of a working group commissioned by the British Association of Otolaryngologists, Head and Neck Surgeons, 1999" (PDF). Clinical Otolaryngology and Allied Sciences. 26 (5): 388–93. doi:10.1046/j.1365-2273.2001.00490.x. PMID 11678946. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-24.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    82. "James Jones's 80ft death jump after tinnitus 'torture'". BBC News. 2015-12-02. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-12-04. สืบค้นเมื่อ 2015-12-02.
    83. Langguth, B; Goodey, R; Azevedo, A และคณะ (2007). "Consensus for tinnitus patient assessment and treatment outcome measurement: Tinnitus Research Initiative meeting, Regensburg, July 2006". Progress in Brain Research. Progress in Brain Research. 166: 525–36. doi:10.1016/S0079-6123(07)66050-6. ISBN 978-0444531674. PMC 4283806. PMID 17956816.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    84. Meikle, MB; Stewart, BJ; Griest, SE และคณะ (2007). "Assessment of tinnitus: measurement of treatment outcomes" (PDF). Progress in Brain Research. Progress in Brain Research. 166: 511–21. doi:10.1016/S0079-6123(07)66049-X. ISBN 978-0444531674. PMID 17956815. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-25.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    85. Meikle, MB; Henry, JA; Griest, SE และคณะ (2012). "The tinnitus functional index: development of a new clinical measure for chronic, intrusive tinnitus" (PDF). Ear and Hearing. 33 (2): 153–76. doi:10.1097/AUD.0b013e31822f67c0. PMID 22156949. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-01-25.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    86. Henry, JL; Wilson, PH (2000). The Psychological Management of Chronic Tinnitus: A Cognitive Behavioural Approach. Allyn and Bacon.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
    87. Landgrebe, M; Azevedo, A; Baguley, D; Bauer, C; Cacace, A; Coelho, C และคณะ (2012). "Methodological aspects of clinical trials in tinnitus: A proposal for international standard". Journal of Psychosomatic Research. 73 (2): 112–21. doi:10.1016/j.jpsychores.2012.05.002. PMC 3897200. PMID 22789414.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    88. Pegge, S; Steens, S; Kunst, H; Meijer, F (2017). "Pulsatile Tinnitus: Differential Diagnosis and Radiological Work-Up". Current Radiology Reports. 5 (1): 5. doi:10.1007/s40134-017-0199-7. PMC 5263210. PMID 28203490.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    89. Hofmann, E; Behr, R; Neumann-Haefelin, T; Schwager, K (2013). "Pulsatile tinnitus: imaging and differential diagnosis". Deutsches Arzteblatt International. 110 (26): 451–58. doi:10.3238/arztebl.2013.0451. PMC 3719451. PMID 23885280.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    90. Sismanis, A (2011). "Pulsatile tinnitus: contemporary assessment and management" (PDF). Current Opinion in Otolaryngology & Head and Neck Surgery. 19 (5): 348–57. doi:10.1097/MOO.0b013e3283493fd8. PMID 22552697. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-25.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    91. Elder, JA; Chou, CK (2003). "Auditory response to pulsed radiofrequency energy". Bioelectromagnetics. Suppl 6: S162-73. doi:10.1002/bem.10163. PMID 14628312.
    92. Lin, JC; Wang, Z (2007). "Hearing of microwave pulses by humans and animals: effects, mechanism, and thresholds". Health Physics. 92 (6): 621–28. doi:10.1097/01.HP.0000250644.84530.e2. PMID 17495664.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    93. 93.0 93.1 93.2 93.3 Tunkel DE, Bauer CA, Sun GH, และคณะ (2014). "Clinical practice guideline: tinnitus". Otolaryngology–Head and Neck Surgery. 151 (2 Suppl): S1–40. doi:10.1177/0194599814545325. PMID 25273878. S2CID 206468767.
    94. Cianfrone, G; Pentangelo, D; Cianfrone, F; Mazzei, F; Turchetta, R; Orlando, MP; Altissimi, G (June 2011). "Pharmacological drugs inducing ototoxicity, vestibular symptoms and tinnitus: a reasoned and updated guide". European Review for Medical and Pharmacological Sciences. 15 (6): 601–36. PMID 21796866.
    95. Palomar García, V; Abdulghani Martínez, F; Bodet Agustí, E; Andreu Mencía, L; Palomar Asenjo, V (July 2001). "Drug-induced otoxicity: current status". Acta Oto-Laryngologica. 121 (5): 569–572. doi:10.1080/00016480121545. PMID 11583387. S2CID 218879738.
    96. Seligmann H, Podoshin L, Ben-David J, Fradis M, Goldsher M (1996). "Drug-induced tinnitus and other hearing disorders". Drug Safety. 14 (3): 198–212. doi:10.2165/00002018-199614030-00006. PMID 8934581. S2CID 23522352.
    97. 97.0 97.1 Hoare D, Kowalkowski V, Knag S, Hall D (2011). "Systematic review and meta-analyses of randomized controlled trials examining tinnitus management". The Laryngoscope. 121 (7): 1555–1564. doi:10.1002/lary.21825. PMC 3477633. PMID 21671234.
    98. Hesser H, Weise C, Zetterquist Westin V, Andersson G (2011). "A systematic review and meta-analysis of randomized controlled trials of cognitive–behavioral therapy for tinnitus distress". Clinical Psychology Review. 31 (4): 545–553. doi:10.1016/j.cpr.2010.12.006. PMID 21237544.
    99. Ost, LG (October 2014). "The efficacy of Acceptance and Commitment Therapy: an updated systematic review and meta-analysis". Behaviour Research and Therapy. 61: 105–121. doi:10.1016/j.brat.2014.07.018. PMID 25193001.
    100. Henry J, Zaugg T, Myers P, Kendall C (2012). "Chapter 9 – Level 5 Individualized Support". Progressive Tinnitus Management: Clinical Handbook for Audiologists. US Department of Veterans Affairs, National Center for Rehabilitative Auditory Research. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 December 2013. สืบค้นเมื่อ 20 December 2013.
    101. Baldo, P; Doree, C; Molin, P; McFerran, D; Cecco, S (12 September 2012). "Antidepressants for patients with tinnitus". Cochrane Database of Systematic Reviews. 9 (9): CD003853. doi:10.1002/14651858.CD003853.pub3. PMC 7156891. PMID 22972065.
    102. Savage, J; Cook, S; Waddell, A (12 November 2009). "Tinnitus". BMJ Clinical Evidence. 2009. PMC 2907768. PMID 21726476.
    103. Pichora-Fuller, M. Kathleen; Santaguida, Pasqualina; Hammill, Amanda; Oremus, Mark; Westerberg, Brian; Ali, Usman; Patterson, Christopher; Raina, Parminder (2013). "Evaluation and Treatment of Tinnitus: Comparative Effectiveness". Comparative Effectiveness Reviews. AHRQ Comparative Effectiveness Reviews (122). PMID 24049842.
    104. Lavigne, P; Lavigne, F; Saliba, I (23 June 2015). "Intratympanic corticosteroids injections: a systematic review of literature". European Archives of Oto-Rhino-Laryngology. 273 (9): 2271–2278. doi:10.1007/s00405-015-3689-3. PMID 26100030. S2CID 36037973.
    105. Penney, SE; Bruce, IA; Saeed, SR (2006). "Botulinum toxin is effective and safe for palatal tremor: a report of five cases and a review of the literature". J Neurology. 253 (7): 857–60. doi:10.1007/s00415-006-0039-9. PMID 16845571.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    106. Sweetman, Sean C., บ.ก. (2009). Martindale (36th ed.). Pharmaceutical Press. p. 2277. ISBN 978-0-85369-840-1.
    107. Langguth, B; Salvi, R; Elgoyhen, AB (December 2009). "Emerging pharmacotherapy of tinnitus". Expert Opinion on Emerging Drugs. 14 (4): 687–702. doi:10.1517/14728210903206975. PMC 2832848. PMID 19712015.
    108. Hoare, DJ; Searchfield, GD; A, El Refaie; Henry, JA (2014). "Sound therapy for tinnitus management: practicable options". Journal of the American Academy of Audiology. 25 (1): 62–75. doi:10.3766/jaaa.25.1.5. PMID 24622861.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    109. Hobson, J; Chisholm, E; El Refaie, A (2012-11-14). "Sound therapy (masking) in the management of tinnitus in adults". Cochrane Database of Systematic Reviews. 11: CD006371. doi:10.1002/14651858.CD006371.pub3. PMID 23152235.
    110. Phillips, JS; McFerran, D (2010). "Tinnitus Retraining Therapy (TRT) for tinnitus". Cochrane Database of Systematic Reviews (3): CD007330. doi:10.1002/14651858.CD007330.pub2. PMID 20238353.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    111. Meng, Z; Liu, S; Zheng, Y; Phillips, JS (2011-10-05). "Repetitive transcranial magnetic stimulation for tinnitus". The Cochrane Database of Systematic Reviews (10): CD007946. doi:10.1002/14651858.CD007946.pub2. PMID 21975776.
    112. Güntensperger, D; Thüring, C; Meyer, M; Neff, P; Kleinjung, T (2017). "Neurofeedback for Tinnitus Treatment - Review and Current Concepts". Frontiers in Aging Neuroscience. 9: 386. doi:10.3389/fnagi.2017.00386. PMC 5717031. PMID 29249959.
    113. Hilton, MP; Zimmermann, EF; Hunt, WT (2013-03-28). "Ginkgo biloba for tinnitus". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 3: CD003852. doi:10.1002/14651858.CD003852.pub3. PMID 23543524.
    114. Person, Osmar C; Puga, Maria ES; da Silva, Edina MK; Torloni, Maria R (2016-11-23). "Zinc supplements for tinnitus". Cochrane Database of Systematic Reviews. doi:10.1002/14651858.cd009832.pub2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-11-26.
    115. Sanchez, TG; Rocha, CB (2011). "Diagnosis and management of somatosensory tinnitus: review article". Clinics. 66 (6): 1089–94. doi:10.1590/S1807-59322011000600028. PMC 3129953. PMID 21808880.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
    116. Heller, AJ (2003). "Classification and epidemiology of tinnitus". Otolaryngologic Clinics of North America. 36 (2): 239–48. doi:10.1016/S0030-6665(02)00160-3. PMID 12856294.
    117. Celik, N; Bajin, MD; Aksoy, S (2009). "Tinnitus incidence and characteristics in children with hearing loss" (PDF). Journal of International Advanced Otology. Ankara, Turkey: Mediterranean Society of Otology and Audiology. 5 (3): 363–69. ISSN 1308-7649. OCLC 695291085. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-21. สืบค้นเมื่อ 2013-02-02.
    118. Mills, RP; Albert, D; Brain, C (1986). "Tinnitus in childhood". Clinical Otolaryngology and Allied Sciences. 11 (6): 431–34.
    119. Ballantyne, JC (2009). Graham, J; Baguley, D (บ.ก.). Ballantyne's Deafness (7th ed.). Chichester: Wiley-Blackwell. OCLC 275152841.
    120. Shetye, A; Kennedy, V (2010). "Tinnitus in children: an uncommon symptom?" (PDF). Archives of Disease in Childhood. 95 (8): 645–48. doi:10.1136/adc.2009.168252. PMID 20371585. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-29.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)

    แหล่งอ้างอิงอื่น

    แก้
    • Snow, JB Jr. (2008). Dallos, Peter; Oertel, Donata (บ.ก.). 3.18 Tinnitus. The Senses: A Comprehensive Reference. Vol. 3: Audition. Elsevier. pp. 301–308.

    แหล่งข้อมูลอื่น

    แก้
    การจำแนกโรค
    ทรัพยากรภายนอก