พระบรมราชาธิบดี[2] หรือ พระเจ้ากาวิละ (ไทยถิ่นเหนือ: ) (พ.ศ. 2285 — พ.ศ. 2358) เป็นพระเจ้านครเชียงใหม่พระองค์แรกแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ปกครองดินแดนล้านนาไท 57 เมือง ตลอดรัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงเวลาแห่งการศึกสงครามและสร้างบ้านแปงเมือง ทรงเป็นกษัตริย์ชาตินักรบได้ทรงร่วมกับพระอนุชาทั้ง 6 และกองทัพสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี กอบกู้อิสรภาพแผ่นดินล้านนาออกจากพม่า และนำล้านนาเข้ามาเป็นประเทศราชแห่งอาณาจักรสยาม และทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนพระเกียรติยศขึ้นเป็น "พระเจ้าประเทศราช" องค์ที่ 1 (14 กันยายน พ.ศ. 2345 - 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2358) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1

พระบรมราชาธิบดี
พระเจ้ากาวิละ
พระยานครลำปาง
ครองราชย์พ.ศ. 2317 — 2325
ก่อนหน้าเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว
ถัดไปพระยาคำโสม
กษัตริย์พระเจ้ามังระ
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
ครองราชย์(พระยาเชียงใหม่)
พ.ศ. 2325 — 14 กันยายน พ.ศ. 2345
(พระเจ้าเชียงใหม่)
14 กันยายน พ.ศ. 2345 — 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2358[1]
ก่อนหน้าพระยาวิเชียรปราการ
ถัดไปพระยาธรรมลังกา
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
อุปราชพระยาธรรมลังกา
ประสูติพ.ศ. 2285
พิราลัย21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2358 (74 ปี)
ราชเทวีแม่เจ้าโนจา
พระนามเต็ม
พระบรมราชาธิบดี ศรีสุริยวงศ์อินทรสุรศักดิ์ สมญามหาขัตติยราชชาติราไชยสวรรค์ เจ้าขัณฑเสมาพระนครเชียงใหม่ราชธานี
พระบุตร
ราชสกุลณ เชียงใหม่
ราชวงศ์ทิพย์จักร
พระบิดาเจ้าฟ้าสิงหาราชธานีเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว
พระมารดาแม่เจ้าจันทาราชเทวี
ศาสนาเถรวาท

ด้วยพระปรีชาสามารถและพระเดชานุภาพในการรบ ทรงสามารถขยายขอบขัณฑสีมาแผ่นดินล้านนาออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล กอปรกับความจงรักภักดีที่ทรงถวายต่อพระบรมราชวงศ์จักรี ในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2345 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพีธีมุทธาภิเษกและสถาปนาพระยาวชิรปราการขึ้นเป็น พระบรมราชาธิบดี ศรีสุริยวงศ์อินทรสุรศักดิ์ สมญามหาขัตติยราชชาติราไชยสวรรค์ เจ้าขัณฑเสมาพระนครเชียงใหม่ราชธานี [3] มีพระอิสริยยศพระเจ้าเชียงใหม่ เป็นใหญ่ในล้านนาไท 57 เมือง ได้แก่ นครเชียงใหม่ และหัวเมืองเหนือทั้งหมด ในการนี้มีมหรสพสมโภช 7 วัน 7 คืน

พระราชประวัติ

แก้

พระบรมราชาธิบดี มีพระนามเดิมว่า เจ้ากาวิละ ประสูติเมื่อ จ.ศ. 1104 ปีจอ จัตวาศก (พ.ศ. 2285) ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระองค์เป็นพระโอรสพระองค์ใหญ่ในเจ้าฟ้าสิงหาราชธานีเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว เจ้านครลำปาง กับแม่เจ้าจันทาราชเทวี และเป็นพระราชนัดดา (หลานปู่) พระองค์แรกในพระยาไชยสงคราม (ทิพย์ช้าง) กับแม่เจ้าพิมพาราชเทวี องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร

พระเจ้ากาวิละ มีพระอนุชาและพระขนิษฐารวมสิบองค์ (หญิงสามองค์ ชายเจ็ดองค์) (เจ้าชายทั้งเจ็ดพระองค์ได้ทรงช่วยกันต่อสู้กับพม่าและขยายขอบขัณฑสีมาล้านนา เป็นเหตุให้ทั้งเจ็ดองค์มีพระสมัญญาว่า "เจ้าเจ็ดตน") มีพระนามตามลำดับ ดังนี้

  1. พระเจ้ากาวิละ เจ้านครเชียงใหม่องค์ที่ 1, เจ้านครลำปางองค์ที่ 3
  2. พระยาคำโสม เจ้านครลำปางองค์ที่ 4
  3. พระยาธรรมลังกา เจ้านครเชียงใหม่ องค์ที่ 2
  4. พระเจ้าดวงทิพย์ เจ้านครลำปาง องค์ที่ 5
  5. เจ้าศรีอโนชา พระอัครชายาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
  6. เจ้าหญิงสรีวัณณา (ถึงแก่พิราลัยแต่เยาว์)
  7. เจ้าอุปราชหมูหล้า พระอุปราชนครลำปาง
  8. พระยาคำฟั่น เจ้านครเชียงใหม่องค์ที่ 3 และเจ้านครลำพูนองค์ที่ 1
  9. เจ้าหญิงสรีบุญทัน (พิราลัยแต่เยาว์)
  10. พระเจ้าบุญมา เจ้านครลำพูนองค์ที่ 2

พระเจ้ากาวิละถึงแก่พิราลัยในปี จ.ศ.1177 เดือนยี่เหนือ แรม 5 ค่ำ วันพุธ (ตรงกับวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2358) ยามแตรบอกเวลาเข้าสู่เที่ยงคืน ทรงปกครองนครเชียงใหม่เป็นระยะเวลานาน 32 ปี สิริพระชันษา 74 ปี

ราชโอรส-ธิดา

แก้

พระเจ้ากาวิละมีพระโอรสและธิดา รวม 5 องค์ อยู่ในสกุล "ณ เชียงใหม่" มีพระนามตามลำดับ ดังนี้

พระราชกรณียกิจ

แก้
เจ้าหลวงเชียงใหม่แห่ง
ราชวงศ์ทิพย์จักร
 พระเจ้ากาวิละ
 พระยาธรรมลังกา
 พระยาคำฟั่น
 พระยาพุทธวงศ์
 พระเจ้ามโหตรประเทศ
 พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์
 พระเจ้าอินทวิชยานนท์
 เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์
 เจ้าแก้วนวรัฐ

ยุคล้านนาของพม่า

แก้

ในสมัยปลายพม่าครองล้านนา เมื่อปี พ.ศ. 2313 พระยาจ่าบ้าน (บุญมา) ขุนนางเมืองเชียงใหม่ เกิดวิวาทถึงขั้นใช้กำลังทหารเข้าทะเลาะวิวาทกับโป่มะยุง่วน เจ้าเมืองเชียงใหม่ พระยาจ่าบ้านมีกำลังน้อยสู้ไม่ไหวจึงหนีไปหาโป่สุพลา แม่ทัพพม่าที่แต่งทัพไปล้านช้าง โป่สุพลากับโป่มะยุง่วนนั้นไม่ค่อยถูกกัน โป่สุพลาจึงรับพระยาจ่าบ้านไว้ในความดูแล

ในปี พ.ศ. 2314 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพขึ้นเหนือเพื่อจะขับไล่พม่าที่ครองเวียงเชียงใหม่อยู่ แต่ล้อมเวียงเชียงใหม่ได้เพียงเก้าวันก็เลิกทัพกลับ[4] โป่สุพลายกทัพจากเชียงแสนกลับถึงเชียงใหม่ในพ.ศ. 2316 พร้อมพาพระยาจ่าบ้านกลับมาด้วย โปสุพลาตั้งทัพอยู่ที่ประตูท่าแพและไม่ยอมส่งตัวพระยาจ่าบ้านให้โป่มะยุง่วน โป่มะยุง่วนทำอะไรไม่ได้จึงร้องเรียนไปยังกรุงอังวะ

ในปี พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้เจ้าพระยาสองพี่น้องคือ เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกทัพขึ้นตีเวียงเชียงใหม่ โปสุพลาทราบว่ากรุงธนบุรียกทัพขึ้นมา จึงบัญชาให้พระยาจ่าบ้านและเจ้ากาวิละคุมกำลังพลรวมหนึ่งพันนายเป็นกองหน้าลงไปลำปาง แล้วตนจะยกทัพใหญ่ราวหมื่นนายตามลงไปสนธิกำลัง หมายจะทำศึกกับกองทัพกรุงธนบุรีที่ลำปาง ระหว่างนั้น กรุงอังวะมีตราเรียกให้ส่งตัวพระยาจ่าบ้านและเจ้ากาวิละไปพิจารณาความที่กรุงอังวะ แต่ว่าโป่สุพลาก็ปฏิเสธส่งตัวทั้งสองคนโดยอ้างว่าทั้งสองคนยังติดพันราชการศึกอยู่ โป่มะยุง่วนทำอะไรไม่ได้จึงสั่งนายกองที่ลำปางเข้าคุมตัวเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว ภริยา และบุตรของเจ้ากาวิละส่งตัวไปที่กรุงอังวะเป็นตัวประกัน

พระยาจ่าบ้านซึ่งคุมกำลังอยู่ที่ฮอดทราบข่าวจึงรีบใช้คนสนิทไปบอกเจ้ากาวิละ และตนเองออกอุบายรับอาสาโป่สุพลาจัดกองหน้าที่นำโดยนายก้อนแก้วผู้เป็นหลานไปสำรวจทาง นายก้อนแก้วจึงนำกองทหารโพกผ้าแดงลอบไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งตั้งกองทหารเล็ก ๆ อยู่ที่ถ้ำช้างร้องใกล้เวียงลี้ [5] เจ้ากาวิละเมื่อทราบว่าบิดาและครอบครัวถูกส่งตัวไปยังกรุงอังวะ ก็นำกำลังสังหารนายกองพม่าในนครลำปางเสีย และรีบส่งคนไปชิงตัวครอบครัวกลับมาได้

ยุคธนบุรี

แก้
 
วัดพระธาตุลำปางหลวงในจังหวัดลำปาง ที่ซึ่งพิธีดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้ากาวิละและพี่น้องของเขาเพื่อสาบานตนต่อพระเจ้าตากสินได้ร่วมสวามิภักดิ์ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2318

เมื่อกองทัพเจ้าพระยาสองพี่น้องยกมาถึงลำปาง เจ้ากาวิละได้นำเสบียงอาหารและไพร่พลเข้าร่วมกับกองทัพกรุงธนบุรี[4] เมื่อโปสุพลาซึ่งยกทัพใหญ่ตามลงมาได้ครึ่งทางได้ยินว่าเจ้ากาวิละแปรพักตร์เข้ากับกรุงธนบุรีเสียแล้ว จึงยกทัพถอยไปตั้งหลังที่เวียงเชียงใหม่แต่ก็ไม่สามารถต้านการโจมตี จึงพากำลังบางส่วนและพวกหลบหนีออกทางประตูช้างเผือกมุ่งหน้าไปเชียงแสน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระยาจ่าบ้านขึ้นเป็น พระยาวิเชียรปราการ ปกครองนครเชียงใหม่ และตั้งนายก้อนแก้วผู้เป็นหลาน ขึ้นเป็นพระยาอุปราชนครเชียงใหม่ ขณะเดียวกัน ทรงสถาปนาเจ้ากาวิละขึ้นเป็นพระยานครลำปาง และให้เจ้าหนานธัมมลังกา เป็นพระยาอุปราชนครลำปาง ในฐานะประเทศราชของกรุงธนบุรี[4][6] ในการนี้ เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ได้รับเอาเจ้ารจจาน้องสาวของเจ้ากาวิละเป็นภริยากลับไปยังกรุงธนบุรีด้วย

ต่อมา ในปี พ.ศ. 2318 โปมะยุง่วนยกทัพพม่าจากเชียงแสนมาล้อมเวียงเชียงใหม่ พระยาวิเชียรปราการเห็นว่าสู้ไม่ไหวจึงมอบหมายให้อุปราชก้อนแก้วสะสมเสบียงรออยู่ที่วังพร้าว[7] เมื่อพม่าล้อมเชียงใหม่ได้แปดเดือน พระยาวิเชียรปราการจึงทิ้งเมืองมุ่งหน้าไปเมืองระแหง (เมืองตาก) เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี กองทัพพม่าตามไล่ตามตีมาจนถึงลำปางและยกทัพเข้าตีนครลำปาง พระยากาวิละและอนุชาไม่สามารถต้านทานจึงทิ้งเมืองมุ่งหน้าไปสวรรคโลก ทางด้านพระยาวิเชียรปราการนั้น พอยกทัพมาถึงวังพร้าวก็ทะเลาะวิวาทกับอุปราชก้อนแก้วเรื่องเสบียง ซึ่งทำให้พระยาวิเชียรปราการบันดาลโทสะฆ่าอุปราชก้อนแก้วเสีย เมื่อกองทัพกรุงธนบุรีขับไล่พม่าออกไปในปี พ.ศ. 2319 พระยากาวิละและอนุชาจึงยกทัพกลับมาตั้งมั่นที่นครลำปางอีกครั้ง

ในปี พ.ศ. 2323 ในคราวที่กรุงธนบุรียกทัพตีล้านช้าง เมื่อเจ้าพระยาจักรีและพระยาสุรสีห์ตีเวียงจันทน์ได้แล้ว แม่ทัพทั้งสองได้แต่งกองข้าหลวงออกไปสืบข่าวทางเมืองน่านจนถึงนครลำปาง แต่ข้าหลวงเหล่านั้นได้ประพฤติตนเช่นอันธพาล เที่ยวปล้นโจรกรรมชิงทรัพย์สินด้วยนานาประการ พระยากาวิละทราบความจึงคุมกำลังเข้าสังหารข้าหลวงเหล่านั้นเสีย พวกที่รอดตายพากันไปกราบทูลฟ้องพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงให้มีตราเรียกพระยากาวิละลงมาเข้าเฝ้าที่กรุงธนบุรี ซึ่งพระยากาวิละทราบว่าตนมีความผิดจึงไม่ยอมลงมาจึงขัดตรานั้นถึงสามครั้ง[7] ซึ่งพระยากาวิละก็ได้ไปตีเอาผู้คนจากเมืองลอง เมืองเทิงเพื่อหวังเอาความชอบไถ่โทษ เมื่อพระยาวิเชียรปราการพาผู้คนที่กวาดต้อนลงไปถวายพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงมีพระราชโองการให้ลงโทษ พระยาวิเชียรปราการในความผิดฆ่าอุปราชก้อนแก้วผู้เป็นหลาน และลงโทษพระยากาวิละที่ขัดตราด้วยการโบยคนละหนึ่งร้อยหวาย พร้อมทั้งให้ตัดขอบหูพระยากาวิละทั้งสองข้าง[7] ในความผิดสังหารข้าหลวง ทั้งสองถูกนำไปขังคุก ในระหว่างที่ถูกคุมขัง พระยากาวิละทูลขออาสาไปตีเมืองเชียงแสนเป็นการไถ่โทษ จึงได้รับพระราชทานอภัยโทษพร้อมกลับคืนฐานันดรศักดิ์ ส่วนพระยาวิเชียรปราการล้มป่วยและเสียชีวิตที่กรุงธนบุรี[7]

ยุครัตนโกสินทร์

แก้
 
อนุสรณ์สถานพระเจ้ากาวิละ

เมื่อพระยากาวิละตีเชียงแสนได้แล้ว เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระยากาวิละที่นำไพร่พลและเชลยลงไปเฝ้า ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ เจ้านครเชียงใหม่ พร้อมกันนี้โปรดเกล้าให้ เจ้าหนานธัมลังกาเป็นพระยาอุปราชนครเชียงใหม่ และให้เจ้าคำสม เป็นพระยานครลำปาง และเจ้าดวงทิพ เป็นพระยาอุปราชนครลำปาง[7]

เมื่อพระยาวชิรปราการขึ้นครองนครเชียงใหม่ ขณะนั้นเวียงเชียงใหม่ยังคงเป็นเมืองร้างที่ไร้ผู้คน พระยาวชิรปราการจึงต้องนำไพร่พลไปพักอยู่ที่เวียงเวฬุคาม นานเกือบ 20 ปี ซึ่งระหว่างนั้น ก็ได้ไปกวาดต้อนผู้คนจากที่ต่าง ๆ มาสะสมไว้ที่เวียงเวฬุคาม เพื่อรอฟื้นฟูเวียงเชียงใหม่ จึงเรียกว่ายุคนี้เป็นยุค "เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง"[7] ครั้นสะสมกำลังพลและพลเมืองพอที่จะดูแลเวียงเชียงใหม่ได้แล้ว จึงพยุหยาตราเข้าเวียงเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 2334 และได้ฟื้นฟูเวียงเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของล้านนาได้ในเวลาต่อมา โดยได้ขนานนามเวียงเชียงใหม่ว่า เมืองรัตนตึงษาอภินณบุรี [7] เมื่อปี พ.ศ. 2343

ในเวลาต่อมา กรุงอังวะของพม่าแต่งตั้งชาวยูนนานฉายาว่า "ราชาจอมหงส์" [8] มาเกลี้ยกล่อมให้นครเชียงใหม่เข้าร่วมกับพม่า และอ้างตนเป็นใหญ่เหนือล้านนาไท 57 เมืองในนาม เจ้ามหาสุวัณณหังสจักกวัติราช โดยตั้งมั่นเมืองสาด พระยาวชิรปราการตั้งให้อุปราชธัมลังกาและเจ้ารัตนหัวเมืองยกทัพไปตีที่เมืองสาด สามารถจับกุมราชาจอมหงส์ได้ พร้อมกันได้จับตัวส่วยหลิงมณี ทูตพม่าที่ส่งไปเมืองแกว (ญวน) ที่กำลังพำนักที่เชียงตุง นำทั้งสองล่องเรือไปถวายตัวที่กรุงเทพ นับว่ามีความชอบมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระยาวชิรปราการขึ้นเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ ปกครองดินแดนล้านนาไท 57 เมือง เฉลิมพระนามว่า พระบรมราชาธิบดี ศรีสุริยวงศ์อินทรสุรศักดิ์ สมญามหาขัตติยราชชาติราไชยสวรรค์ เจ้าขัณฑเสมาพระนครเชียงใหม่ราชธานี เมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2345

พระอิสริยยศ

แก้
ธรรมเนียมพระยศของ
พระเจ้ากาวิละ
การทูลไหว้สาพระบาทเจ้า
การแทนตนข้าบาทเจ้า
การขานรับบาทเจ้า
  • พ.ศ. 2285 - 2317: เจ้ากาวิละ
  • พ.ศ. 2317 - 2325: พระยานครลำปาง
  • พ.ศ. 2325 - 2345: พระยาวชิรปราการ พระยาเชียงใหม่
  • พ.ศ. 2345 - 2358: พระบรมราชาธิบดี พระเจ้าเชียงใหม่

สถานที่อันเนื่องมาจากพระนาม

แก้

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

แก้

มีนักแสดงผู้รับบท พระเจ้ากาวิละ ได้แก่

ราชตระกูล

แก้

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. รุ่งพงษ์ ชัยนาม. ประวัติศาสตร์ล้านนา : ประวัติศาสตร์ไทยที่คนไทยไม่ค่อยมีโกาสได้ศึกษา. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
  2. (แช่ม_บุนนาค) พงศาวดารลาวเฉียง[ลิงก์เสีย]
  3. อาณาจักรล้านนา กำเนิดและการล่มสลาย :พระบารมีปกเกล้า ยุพราชวิทยาลัย ๑๐๐ ปีนามพระราชทาน หน้า ๖๒; โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ; 2548
  4. 4.0 4.1 4.2 อาณาจักรล้านนา กำเนิดและการล่มสลาย :พระบารมีปกเกล้า ยุพราชวิทยาลัย ๑๐๐ ปีนามพระราชทาน หน้า ๔๐
  5. ปริศนาโบราณคดี : ‘พลับพลาพระเจ้าตาก’ สัญญาที่ไม่วิปลาส ต่อกองทหารโพกหัวแดง มติชน.
  6. วรชาติ มีชูบท (2556) เจ้านายฝ่ายเหนือ และตำนานรักมะเมียะ กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์บุ๊ค หน้า 4
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 อาณาจักรล้านนา กำเนิดและการล่มสลาย :พระบารมีปกเกล้า ยุพราชวิทยาลัย ๑๐๐ ปีนามพระราชทาน หน้า ๔๑
  8. อาณาจักรล้านนา กำเนิดและการล่มสลาย :พระบารมีปกเกล้า ยุพราชวิทยาลัย ๑๐๐ ปีนามพระราชทาน หน้า ๔๓

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้
  • กราบ๊อฟสกี้, ฟอลเกอร์. “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง.” ศิลปวัฒนธรรม 16, 3 (มกราคม 2538): 103-114.
  • คัมภีร์ คัมภีรญาณนนท์. เจ้านายฝ่ายเหนือ.[1] เก็บถาวร 2021-05-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  • นงเยาว์ กาญจนจารี. ดารารัศมี : พระประวัติพระราชชายา เจ้าดารารัศมี. เชียงใหม่: สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์, 2539.
  • ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง. เพ็ชร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 2. เชียงใหม่: ผู้จัดการ ศูนย์ภาคเหนือ, 2538.
  • วงศ์สักก์ ณ เชียงใหม่, เจ้า. เจ้าหลวงเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: คณะทายาทสายสกุล ณ เชียงใหม่, 2539.
  • สมหมาย เปรมจิตต์. ตำนานสิบห้าราชวงศ์ (ฉบับสอบชำระ). เชียงใหม่: มิ่งเมือง, 2540.
  • ศักดิ์ รัตนชัย. พงศาวดารสุวรรณหอคำนครลำปาง (ตำนานเจ้าเจ็ดพระองค์กับหอคำมงคล ฉบับสอบทานกับเอกสารสืบค้น สรสว. ลำปาง).
  • อนุวัฒน์ ไชยเมือง (บรรณาธิการ). ครบรอบ 100 ปี แม่เจ้าทรายมูล (มหาวงศ์) ไชยเมือง และประวัติสายสกุลเจ้าหลวงเมืองพะเยา พุทธศักราช 2387 - 2456. พะเยา: บริษัท ฮาซัน พริ้นติ้ง จำกัด, 2546
รัชสมัยก่อนหน้า พระเจ้ากาวิละ รัชสมัยถัดไป
เจ้าฟ้าสิงหาราชธานีเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว   เจ้าผู้ครองนครลำปาง
(พ.ศ. 2317 - 2325)
  พระยาคำโสม
พระยาวิเชียรปราการ (บุญมา)   เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
(พ.ศ. 2325 - 2358)
  พระยาธรรมลังกา