เคที เพร์รี
แคเทอรีน เอลิซาเบธ ฮัดสัน (อังกฤษ: Katheryn Elizabeth Hudson; เกิด 25 ตุลาคม ค.ศ. 1984) หรือชื่อในวงการคือ เคที เพร์รี (อังกฤษ: Katy Perry) เป็นนักร้อง และนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน หลังจากเธอร้องเพลงในโบสถ์ในวัยเด็ก เธอได้ทำงานดนตรีแนวเพลงกอสเปลขณะเป็นวัยรุ่น เพร์รีเซ็นสัญญากับสังกัดเรดฮิลล์เรเคิดส์ และออกสตูดิโออัลบั้มแรกในชื่อ เคที ฮัดสัน โดยใช้ชื่อเกิดของเธอ เมื่อ ค.ศ. 2001 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เธอย้ายไปที่ลอสแอนเจลิสเพื่อเปลี่ยนแนวดนตรีทางโลกมากขึ้นหลังค่ายเรดฮิลล์ปิดตัวลง ซึ่งต่อมาเธอได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์เพลง เกล็น บัลลาร์ด ดร.ลู้ก และแมกซ์ มาร์ติน หลังจากเธอใช้ชื่อว่าเคที เพร์รี และหมดสัญญากับค่ายเพลงดิไอส์แลนด์เดฟแจมมิวสิกกรุ๊ปและโคลัมเบียเรเคิดส์ เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายแคปิตอลเรเคิดส์ใน ค.ศ. 2007
เคที เพร์รี | |
---|---|
![]() เพร์รีในเดือนมีนาคม 2019 | |
เกิด | แคเทอรีน เอลิซาเบธ ฮัดสัน ตุลาคม 25, 1984 แซนตาบาร์บารา แคลิฟอร์เนีย สหรัฐ |
ชื่ออื่น |
|
อาชีพ |
|
คู่สมรส | รัสเซลล์ แบรนด์ (สมรส ค.ศ. 2010; 2012) |
คู่รัก | ออร์แลนโด บลูม (2016–ปัจจุบัน; หมั้น) |
ญาติ |
|
อาชีพทางดนตรี | |
แนวเพลง | |
เครื่องดนตรี |
|
ช่วงปี | 2001–ปัจจุบัน |
ค่ายเพลง | |
เว็บไซต์ | katyperry.com |
เพร์รีเริ่มมีชื่อเสียงใน ค.ศ. 2008 หลังจากออกซิงเกิล "ไอคิสด์อะเกิร์ล" ที่ทำให้เกิดประเด็นเรื่องรักร่วมเพศ และซิงเกิล "ฮอตเอ็นโคลด์" จากอัลบั้มชุดที่สอง วันออฟเดอะบอยส์ อัลบั้มชุดที่สามในชื่อ ทีนเอจดรีม (ค.ศ. 2010) ดนตรีเปลี่ยนเป็นแนวดิสโก้ และมีซิงเกิลอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ได้แก่ "แคลิฟอร์เนียเกิลส์", "ทีนเอจดรีม", "ไฟร์เวิร์ก", "อี.ที." และ "ลาสต์ฟรายเดย์ไนต์ (ที.จี.ไอ.เอฟ.)" และซิงเกิลอันดับสาม "เดอะวันแด้ตก็อตอะเวย์" อัลบั้มนี้กลายเป็นอัลบั้มแรกของศิลปินหญิงที่มีซิงเกิลอันดับหนึ่งของชาร์ตบิลบอร์ดถึง 5 เพลง และเป็นรองจากอัลบั้ม แบด ของไมเคิล แจ็กสัน ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2012 เธอออกอัลบั้มจำหน่ายซ้ำในชื่อ ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน มีซิงเกิล "พาร์ตออฟมี" และ "วายด์อะเวก" อัลบั้มที่สี่ ปริซึม ออกจำหน่ายใน ค.ศ. 2013 ดนตรีเป็นแนวป็อปและแดนซ์ เธอเป็นศิลปินคนแรกที่มิวสิกวิดีโอมียอดผู้ชมถึง 1 พันล้านครั้งในช่องวีโวมากกว่าหนึ่งเพลง ได้แก่มิวสิกวิดีโอเพลง "โรร์" และ "ดาร์กฮอร์ส"
เพร์รีได้รับรางวัลและได้เสนอเข้าชิงรางวัลมากมาย และได้บันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ 4 หัวข้อ และได้อยู่ในรายชื่อ "สตรีที่มีรายได้สูงสุดด้านดนตรี" (2011–16) จัดโดยนิตยสารฟอบส์ เธอเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดตลอดกาล โดยขายได้ 100 ล้านหน่วยทั่วโลกตลอดการเป็นนักร้อง ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 เธอออกภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติแบบ 3 มิติเรื่อง เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี และพากย์เสียงให้ตัวละคร สเมิร์ฟเฟตต์ ในภาพยนตร์เรื่อง เดอะสเมิฟส์ (2011) และ เดอะสเมิฟส์ 2 (2013)
ชีวิตและอาชีพการงานแก้ไข
1984–98: ชีวิตช่วงแรกแก้ไข
แคเทอรีน เอลิซาเบธ ฮัดสัน เกิดในแซนตาบาร์บารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรของศิษยาภิบาลลัทธิเพนเทคอสต์ชื่อแมรี คริสตีน (ชื่อเกิดคือ เพร์รี) และเมารีซ คีธ ฮัดสัน[1][2] พ่อแม่ของเธอล้วนแต่เป็นคริสต์ศาสนิกชนเกิดใหม่ (born again Christians) แต่ละคนได้หันไปนับถือศาสนาหลังจากเคยมี "วัยหนุ่มสาวเป็นคนเถื่อน" (wild youth)[3] เพร์รีมีบรรพบุรุษเป็นชาวอังกฤษ เยอรมัน ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส[4] เธอเป็นหลานฝั่งแม่ของผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ชื่อ แฟรงก์ เพร์รี (1930–1995)[5] เธอยังมีน้องชายที่เป็นนักร้องเช่นกันชื่อ เดวิด ฮัดสัน (เกิด ค.ศ. 1988) เป็นนักร้อง[6] และพี่สาวชื่อแองเจลา (เกิด ค.ศ. 1982)[7] อายุ 3-11 ขวบ ครอบครัวของเพร์รีย้ายที่อยู่บ่อยครั้งเพื่อสร้างโบสถ์คริสต์ทั่วประเทศ ก่อนที่จะย้ายกลับมาที่แซนตาบาร์บาราอีกครั้ง เมื่อเติบโตขึ้น ในช่วงชั้นประถมศึกษา[2][8] เธอเข้าโรงเรียนและค่ายสอนศาสนา รวมถึงโรงเรียนคริสต์พาราไดส์แวลลี ในรัฐแอริโซนา และโรงเรียนคริสต์แซนตาบาร์บารา ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ครอบครัวของเธอขัดสนเงิน[9] บางครั้งต้องใช้แสตมป์อาหาร และกินอาหารจากจากธนาคารอาหารที่มีไว้สำหรับกลุ่มคนในโบสถ์ของพ่อแม่ของเธอ[10]
เมื่อเติบโตขึ้น เพร์รีและพี่น้องไม่ได้รับอนุญาตให้กินซีเรียลลักกีชาร์ม เพราะคำว่า "luck" ทำให้นึกถึงแม่ของลูซิเฟอร์ และต้องเรียกไข่ปีศาจ (deviled egg) ว่า "ไข่นางฟ้า" (angel egg)[11] เพร์รีฟังเพลงกอสเปลเป็นหลัก[12] เนื่องจากครอบครัวของเธอต่อต้านเพลงที่เกี่ยวกับทางโลก เธอรู้จักกับเพลงที่เป็นที่นิยมผ่านซีดีที่เธอแอบหยิบมาจากเพื่อนของเธอ[13] แม้ว่าเพร์รีจะดูไม่เคร่งศาสนา แต่เพร์รีก็เคยกล่าวว่า "ฉันสวดมนต์อยู่ตลอดเวลา เพื่อควบคุมตนเอง เพื่อความอ่อนน้อมถ่อมตน"[14] เพร์รีเริ่มร้องเพลงตามอย่างพี่สาว โดยฝึกจากเทปคาสเซตของพี่สาว เธอร้องเพลงหลายเพลงต่อหน้าพ่อแม่ ซึ่งต่อมาแนะนำให้เธอเรียนร้องเพลง เธอเริ่มฝึกร้องเพลงเมื่ออายุ 9 ขวบ[15] และได้ร่วมร้องเพลงในโบสถ์ของพ่อแม่เธอด้วย[3] เธอร้องในโบสถ์ตั้งแต่อายุ 9-17 ปี[16] เมื่ออายุ 13 ปี เพร์รีได้กีตาร์ตัวแรกเป็นของขวัญวันเกิด[3][17] และร้องเพลงที่เธอแต่งต่อหน้าสาธารณชน[9] เธอพยายาม "เป็นเด็กหญิงชาวแคลิฟอร์เนียธรรมดา" ขณะกำลังเติบโต และเริ่มเล่นโรลเลอร์สเกต สเกตบอร์ด และโต้คลื่น เดวิดมองว่าในช่วงวัยรุ่น เธอเป็นทอมบอยคนหนึ่ง[18] เธอเคยเรียนเต้นรำ และสามารถเต้นท่าสวิง ลินดีฮอป และจิตเตอร์บัก (jitterbug)[19]
1999–2006: เริ่มอาชีพงานดนตรีแก้ไข
ระหว่างการเรียนไฮสกูลปีแรก[20] เพร์รีผ่านการสอบการพัฒนาการศึกษาทั่วไป (General Educational Development) หรือ GED ขณะอายุ 15 ปี และออกจากโรงเรียนโดสพวยโบลสไฮสกูล (Dos Pueblos High School) เพื่อทำงานดนตรี เพร์รีได้ศึกษาวิชาอุปรากรอิตาลี (Italian opera) เป็นเวลาสั้น ๆ ที่สถาบันดนตรีตะวันตก (Music Academy of the West) ในแซนตาบาร์บารา[21] การร้องเพลงของเธอเป็นที่สนใจต่อสตีฟ โทมัส และเจนนิเฟอร์ แนปป์ จากแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เขาสองคนพาเธอไปฝึกฝนการแต่งเพลง[22][23] ที่แนชวิลล์ เธอบันทึกเสียงเดโมและเรียนรู้การแต่งเพลงและเล่นกีตาร์[12] หลังจากเซ็นสัญญากับสังกัดเรดฮิลล์เรเคิดส์ เพร์รีบันทึกเสียงอัลบั้มแรก เป็นอัลบั้มเพลงแนวกอสเปลชื่อว่าเคที ฮัดสัน อัลบั้มออกจำหน่ายวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2001 และเธอร่วมทัวร์คอนเสิร์ต เดอะสเตรนจ์ลีนอร์มัลทัวร์ (The Strangely Normal Tour) ของฟิล โจล[24][25] ขณะกำลังแสดงงานของตนเองในสหรัฐด้วยเช่นกัน[26] อัลบั้มเคที ฮัดสัน ได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวก แต่ไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย โดยขายได้ประมาณ 200 ชุด ก่อนที่ค่ายเพลงจะปิดตัวลงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2001[27][28]
หลังจากเปลี่ยนแนวเพลงจากกอสเปล เป็นเพลงทางโลก เพร์รีเริ่มแต่งเพลงกับโปรดิวเซอร์ เกล็น แบลลาร์ด[29] และย้ายไปที่ลอสแอนเจลิสเมื่ออายุ 17 ปี ใน ค.ศ. 2003[30] เธอแสดงดนตรีในชื่อแคเธอรีน เพร์รี ชั่วคราวเพื่อไม่ให้สับสนกับนักแสดง เคต ฮัดสัน ต่อมาเธอหันไปใช้สเตจเนมว่า เคที เพร์รี โดยใช้นามสกุลเก่าของแม่เธอ[31]
ใน ค.ศ. 2004 เพร์รีเซ็นสัญญากับสังกัดของแบลลาร์ด สังกัดจาวา ซึ่งเป็นสังกัดในเครือดิไอส์แลนด์เดฟแจมมิวสิกกรุ๊ป เธอเริ่มทำอัลบั้มเดี่ยว แต่อัลบั้มถูกพับไปหลังจากสังกัดจาวาปิดตัว[32] จากนั้นแบลลาร์ดแนะนำเพร์รีให้รู้จักกับทิม เดวีน ผู้บริหารฝ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปินของสังกัดโคลัมเบียเรเคิดส์ และเธอได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินเดี่ยว ผ่านไปสองปี เพร์รีเขียนและบันทึกเสียงสำหรับอัลบั้มแรกในสังกัดโคลัมเบีย และร่วมงานกับนักแต่งเพลงมากมาย เช่น เดสมอนด์ ไชลด์, เกร็ก เวลส์, บุตช์ วอล์กเกอร์, สกอตต์ คัตเลอร์/แอนน์ เพรวิน, ทีมเดอะแมทริกซ์, แครา ดิโอกวาร์ดี, แมกซ์ มาร์ติน และดร.ลู้ก[33][34] นอกจากนี้ หลังจากเดวีนแนะว่าพวกเขาได้เป็น "กลุ่มของจริง" (real group) แล้ว เธอได้บันทึกเสียงกับเดอะแมทริกซ์[35] เพร์รีถูกถอดออกจากโคลัมเบียใน ค.ศ. 2006 ขณะที่ผลงานใกล้จะสมบูรณ์แล้ว หลังจากนั้น เพร์รีทำงานเป็นฝ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปินในบริษัทอิสระชื่อ แท็กซีมิวสิก[36]
เพร์รีประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก่อนจะมีชื่อเสียง หนึ่งในเพลงที่เธอบันทึกเสียงกับแบลลาร์ดในอัลบั้มคือเพลง "ซิมเพิล" ได้กลายเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ปี ค.ศ. 2005 เรื่อง มนต์รักกางเกงยีนส์ (The Sisterhood of the Traveling Pants)[37] เธอยังร้องเบื้องหลังให้กับเพลง "โอลด์แฮบิตส์ดายฮาร์ด" ของมิก แจ็กเกอร์[38] รวมอยู่ในอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์อัลฟี่ กิ๊ก ๆ กั๊ก ๆ ไม่รักสักที (Alfie) ออกฉายปี ค.ศ. 2004[39] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2004 นิตยสารเบลนเดอร์ขนานนามเพร์รีว่าเป็น "บุคคลยิ่งใหญ่คนถัดไป" (The Next Big Thing)[37] เธอยังร้องเบื้องหลังให้กับเพลง "กูดบายฟอร์นาว" ของพี.โอ.ดี. และแสดงในมิวสิกวิดีโอใน ค.ศ. 2006 ในปีนั้น เพร์รียังแสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "เลิร์นทูฟลาย" ของคาร์บอน ลีฟ รับบทเป็นคนรักกับนักร้องนำวงจิม คลาส ฮีโรส์ ชื่อ เทรวี แม็กคอย คนรักหนุ่มของเธอในขณะนั้น ในมิวสิกวิดีโอเพลง "คิวปิดส์โช้กโฮลด์" ด้วย[40]
2007–09: ประสบความสำเร็จจากอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์แก้ไข
หลังจากสังกัดโคลัมเบียถอดเธอออก แองเจลิกา ค็อบ-แบเลอร์ ผู้บริหารสังกัดในขณะนั้น นำเดโมของเพร์รีมาเสนอเจสัน ฟลอม ประธานสังกัดเวอร์จินเรเคิดส์ ฟลอมเชื่อว่าเธอจะเป็นดาราที่ประสบความสำเร็จ และเธอเซ็นสัญญากับแคปิตอลเรเคิดส์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2007 สังกัดนัดพบเธอเพื่อให้ร่วมงานกับดร.ลู้กเพื่อเพิ่ม "แนวคิดดีเยี่ยมอย่างไม่อาจปฏิเสธได้" (undeniable smash) ลงไปในงานเพลงที่มีอยู่[41][42] เพร์รีและดร.ลู้กร่วมเขียนเพลง "ไอคิสด์อะเกิร์ล" และ "ฮอตเอ็นโคลด์" ใส่สตูดิโออัลบั้มที่สองชื่อ วันออฟเดอะบอยส์ โครงการรณรงค์โครงการหนึ่งเริ่มขึ้นด้วยวิดีโอเพลง "ยัวร์โซเกย์" ที่ออกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 มีเป้าหมายคือทำให้เธอเป็นที่รู้จักในตลาดดนตรี[43] ภายหลัง อีพีดิจิตอลชุดหนึ่งนำโดยเพลง "ยัวร์โซเกย์" ออกจำหน่ายเพื่อดึงดูดความสนใจ[3][44] มาดอนนาช่วยส่งเสริมเพลงโดยกล่าวชื่นชมเธอในรายการวิทยุ จอห์นเจย์แอนด์ริช ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2008[45] กล่าวว่ามันเป็น "เพลงโปรดของเธอ"[46] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 เพร์รีปรากฏช่วงสั้น ๆ เป็นนักร้องในคลับในซีรีส์ ไวลด์ไฟร์ ตอน "Life's Too Short"[47] และยังปรากฏในเรื่อง เดอะยังแอนด์เดอะเรสต์เลส ระหว่างถ่ายรูปนิตยสารเรสต์เลสสไตล์ ในเดือนมิถุนายน[48]
เพร์รีออกซิงเกิลแรกกับสังกัดแคปิตอล "ไอคิสด์อะเกิร์ล" เมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2008[49] เป็นซิงเกิลนำจากอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ สถานีแรกที่เปิดเพลงนี้คือ WRVW ในแนชวิลล์ ที่หลังจากเล่นเพลงนี้เพียง 3 วัน ก็มีโทรศัพท์เข้ามาขอเพลงเป็นจำนวนมาก[44] เพลงขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[50] อัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ ออกจำหน่ายวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2008 ได้รับคำวิจารณ์แบบคละกัน[51] และขึ้นถึงอันดับที่ 9 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200[52][53] อัลบั้มขายได้ถึง 7 ล้านชุดทั่วโลก[54] เพลง "ฮอตเอ็นโคลด์" ออกมาในเดือนกันยายน[55] กลายเป็นเพลงที่สองที่ประสบความสำเร็จ ขึ้นอันดับ 3 บนบิลบอร์ดฮอต 100[56] และขึ้นอันดับ 1 ในเยอรมนี[57] แคนาดา[58] เนเธอร์แลนด์[59] และออสเตรีย[60] หลังจากนั้นมีซิงเกิลเพลง "ธิงกิงออฟยู" และ "เวกกิงอัปอินเวกัส" ออกมาใน ค.ศ. 2009[61][62] และขึ้น 30 อันดับแรกบนชาร์ตฮอต 100[56] อัลบั้มของเดอะแมทริกซ์ที่เพร์รีอัดเสียงด้วยเมื่อ ค.ศ. 2004 ได้ออกจำหน่ายหลังจากเพร์รีประสบความสำเร็จ เธอขอให้ชะลอการออกจำหน่ายไว้จนกว่าจะออกซิงเกิลที่สี่จากอัลบั้มวันออฟเดอะบอยส์ แต่อัลบั้ม เดอะแมทริกซ์ ออกจำหน่ายทางไอทูนส์ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2009 ก่อนซิงเกิลที่สี่ "เวกกิงอัปอินเวกัส"[63][39]
หลังจากจบทัวร์คอนเสิร์ต วาปต์ทัวร์ 2008 (Warped Tour 2008)[64] เพร์รีเป็นพิธีกรในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวียุโรปมิวสิกอะวอดส์ 2008 ซึ่งเธอได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (Best New Act)[65] ในงานประกาศรางวัลบริตอะวอดส์ 2009 เธอได้รับรางวัลศิลปินเดี่ยวหญิงสากล[66] เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตของตนเองในชื่อ เฮลโลเคทีทัวร์ (Hello Katy Tour) ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงพฤศจิกายน ค.ศ. 2009 เพื่อส่งเสริมอัลบั้มวันออฟเดอะบอยส์[67] ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 2009 เธอแสดงเป็นศิลปินเปิดให้กับทัวร์คอนเสิร์ตซัมเมอร์ทัวร์ 2009 ของวงดนตรีโนเดาต์[68] เพร์รียังเป็นพิธีกรในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวียุโรปมิวสิกอะวอดส์ 2009 ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2009 กลายเป็นคนแรกที่เป็นพิธีกรงานประกาศรางวัลสองครั้งติดต่อกัน[69] ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 เพร์รีบันทึกอัลบั้มแสดงสด เอ็มทีวีอันพลักด์ ที่นำเพลงจากอัลบั้มวันออฟเดอะบอยส์ 5 เพลงแรกมาทำเป็นฉบับอะคูสติก และมีเพลงใหม่ 2 เพลง[70] อัลบั้มออกจำหน่ายวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009[71] เพร์รียังปรากฏในซิงเกิลของศิลปินอื่น 2 ซิงเกิล ในเวอร์ชันทำใหม่ของเพลง "สตาร์สตรักก์" ของวงดนตรีจากโคโลราโดชื่อ ทรีโอ!ทรี เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2009[72] และผลงานคู่กับทิมบาแลนด์ในเพลง "อิฟวีเอเวอร์มีตอะเกน" จากอัลบั้ม ช็อกแวลยู II เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2010[73][74] บันทึกสถิติโลกกินเนสส์บันทึกให้เธอเป็น "ศิลปินหญิงที่เริ่มต้นได้ดีที่สุดบนชาร์ตดิจิตอลของสหรัฐ" (Best Start on the U.S. Digital Chart by a Female Artist) หลังจากที่เธอทำยอดขายดิจิตอลซิงเกิลได้มากกว่า 2 ล้านชุด[75]
เพลง "ไอคิสด์อะเกิร์ล" ทำให้เกิดประเด็นในกลุ่มเคร่งศาสนาและกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มเคร่งศาสนาตำหนิเนื้อหาเชิงรักร่วมเพศ ขณะที่กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศกล่าวหาว่าเธอขายความฝักใฝ่ในสองเพศผ่านบทเพลง จากที่เธอเข้าใจว่าพ่อแม่ของเธอไม่สนับสนุนงานเพลงและอาชีพของเธอ เพร์รีกล่าวกับเอ็มทีวีในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 ว่า พ่อแม่ของเธอไม่มีปัญหาเรื่องความสำเร็จของเธอ[76] หลังจากความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม็กคอยจบลงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008[77] เพร์รีพบกับคนที่ต่อมาเป็นสามีของเธอ รัสเซลล์ แบรนด์ ในฤดูร้อน ค.ศ. 2009 ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง จับร็อคซ่าส์มาโชว์เฟี้ยว (Get Him to the Greek) ที่เขาแสดง ฉากที่เธอเล่นเป็นฉากที่ทั้งสองคนจูบกัน ไม่ปรากฏในภาพยนตร์[78] เธอเริ่มคบหากับแบรนด์หลังจากพบเขาอีกครั้งในเดือนกันยายนที่งานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2009[79] ทั้งคู่หมั้นกันในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ขณะพักร้อนที่รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย[79]
2010–12: อัลบั้มทีนเอจดรีม และ การสมรสแก้ไข
หลังจากเป็นกรรมการรับเชิญในรายการอเมริกันไอดอล[80] เพร์รีออกเพลง "แคลิฟอร์เนียเกิลส์" ร้องร่วมกับแร็ปเปอร์ สนูป ด็อกก์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2010[81] เป็นซิงเกิลนำของสตูดิโออัลบั้มชุดที่สาม ทีนเอจดรีม และขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เมื่อเดือนมิถุนายน[82][83] เธอยังเป็นกรรมการรับเชิญในรายการดิเอ็กซ์แฟกเตอร์ สหราชอาณาจักร ในเดือนต่อมา[84] ก่อนออกซิงเกิลที่สอง "ทีนเอจดรีม" เมื่อเดือนกรกฎาคม[85] เพลง "ทีนเอจดรีม" ขึ้นอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดในเดือนกันยายน[86] ส่วนอัลบั้มออกจำหน่ายในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2010[87] เปิดตัวที่อันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด 200[88] อัลบั้มได้รับคำวิจารณ์คละกัน[89] และขายได้ 6 ล้านชุดทั่วโลก[90] อัลบั้มทีนเอจดรีมได้รับรางวัลจูโนอะวอร์ด สาขาอัลบั้มสากลแห่งปี 2011[91] ในเดือนตุลาคม เพลง "ไฟร์เวิร์ก" เป็นซิงเกิลที่สามของอัลบั้ม[92] กลายเป็นเพลงที่ติดอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นเพลงที่สามติดต่อกันในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2010[93]
เพลง "อี.ที." ฉบับรีมิกซ์ ร้องรับเชิญโดยแร็ปเปอร์ คานเย เวสต์ ได้ออกเป็นซิงเกิลที่สี่จากอัลบั้มทีนเอจดรีมในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011[94] เพลงติดอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 เป็นเวลา 5 สัปดาห์ไม่ติดต่อกัน ทำให้อัลบั้ม ทีนเอจดรีม เป็นอัลบั้มลำดับที่เก้าในประวัติศาสตร์ที่ทำเพลงอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 ได้ถึง 4 เพลง[95] "ลาสต์ฟรายเดย์ไนต์ (ที.จี.ไอ.เอฟ.)" ตามมาเป็นซิงเกิลที่ห้าในเดือนมิถุนายน[96] และเมื่อเพลงนี้ขึ้นอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮอต 100 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ทำให้เพร์รีกลายเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่มีเพลงติดอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 จากอัลบั้มเดียวกันถึง 5 เพลง และศิลปินคนที่สองถัดจากอัลบั้ม แบด ของไมเคิล แจ็กสัน[97][98] เธอได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ดในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011[99] และบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ค.ศ. 2013[98] ในวันที่ 7 กันยายน เธอทำสถิติศิลปินหญิงคนแรกที่มีเพลงติดสิบอันดับแรกบนชาร์ตฮอต 100 ได้นาน 69 สัปดาห์[100] ในเดือนตุลาคม "เดอะวันแด้ตก็อตอะเวย์" ออกเป็นซิงเกิลที่หก[101] เพลงขึ้นอันดับ 3 บนชาร์ตฮอต 100[102] และอันดับ 2 ในแคนาดา[58] ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 แคปิตอลออกซิงเกิลนำจากอัลบั้ม ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน เพลง "พาร์ตออฟมี" เปิดตัวอันดับที่ 1 บนชาร์ตฮอต 100 และเป็นซิงเกิลที่เจ็ดที่ขึ้นอันดับ 1[56][103] อัลบั้ม ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน ออกจำหน่ายวันที่ 23 มีนาคม[104] เพลง "วายด์อะเวก" ออกในวันที่ 22 พฤษภาคมเป็นซิงเกิลที่สอง[105] ขึ้นถึงอันดับที่ 2 บนชาร์ตฮอต 100[102] และอันดับ 1 ในแคนาดา[58] และนิวซีแลนด์[106] ในวันที่ 5 มกราคม เธอเป็นนักร้องที่ขายเพลงดิจิตอลได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ในสหรัฐ ด้วยยอดขายทั้งหมด 37.6 ล้านหน่วยจากข้อมูลของนีลเซน ซาวด์สแกน[107] และในเดือนนั้น เธอเป็นนักร้องคนแรกที่มีเพลงได้ขายได้มากกว่า 5 ล้านหน่วยดิจิตอลถึง 5 เพลง[108]
เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ต แคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์ เพื่อส่งเสริมอัลบั้มทีนเอจดรีม[67] ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ถึงมกราคม ค.ศ. 2012[109] ทัวร์ทำรายได้ได้ US$59.5 ล้าน จากทั่วโลก[110] และได้รับรางวัลสาขาแสดงสดยอดเยี่ยม (Best Live Act) ในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวียุโรปมิวสิกอะวอดส์ 2011[111]
ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2011 เธอแสดงในวันเปิดงานร็อกอินริโอเฟสติวัล 2011 ร่วมกับเอลตัน จอห์น, คลาวเจอ เลชี และริอานนา[112] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2010 เพร์รีได้ปรากฏตัวในตอนแรกของรายการเซซามี สตรีท ซีซันที่ 41 หลังจากฉากที่เธอแสดงถูกอัปโหลดขึ้นยูทูบ ผู้ชมวิจารณ์เรื่องชุดที่เผยให้เห็นร่องอก หลังจากออกอากาศ 4 วัน เซซามีเวิร์กช็อปประกาศว่าฉากนั้นจะไม่ออกอากาศในโทรทัศน์ แต่ยังสามารถรับชมได้ทางออนไลน์[113] หลังจากนั้น เพร์รีล้อเลียนประเด็นถกเถียงดังกล่าวในรายการแซตเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ ซึ่งเธอเป็นศิลปินรับเชิญ และสวมเสื้อธีมเอลโมแสดงส่วนเว้าขนาดใหญ่ในการแสดงฉากหนึ่ง[114]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2010 เพร์รีแสดงเป็นแฟนสาวของ Moe Szyslak ในฉากแสดงสดฉากหนึ่งของเดอะซิมป์สัน ตอนพิเศษช่วงคริสต์มาสในตอน "The Fight Before Christmas"[115][116] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 เธอเป็นนักแสดงรับเชิญในละครฮาวไอเม็ตยัวร์มาเธอร์ ตอน "Oh Honey" แสดงเป็นผู้หญิงชื่อ ฮันนี[117] บทบาทนี้ทำให้เธอได้รับรางวัลพีเพิลส์ชอยซ์อะวอดส์ สาขาดารารับเชิญโทรทัศน์ยอดนิยม (Favorite TV Guest Star) ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2012[118] เธอปรากฏในภาพยนตร์ครั้งแรกในภาพยนตร์การ์ตูนแนวครอบครัวเรื่อง เดอะสเมิฟส์ รับบทเป็น สเมิร์ฟเฟตต์ ในวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทั่วโลก[119] ขณะที่นักวิจารณ์ให้ความเห็นด้านลบ[120] เธอยังเป็นพิธีกรในรายการ แซตเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ร่วมกับโรบิน ที่เป็นแขกรับเชิญ จากงานพิธีกรดังกล่าว เพร์รีได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ที่ยกย่องถึงจังหวะการแสดงมุกตลกและซีรีส์เรื่องสั้นที่เธอแสดงร่วมกับแอนดี้ แซมเบิร์ก[121] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2012 เธอแสดงรับเชิญในซีรีส์เรื่องเรซิงโฮป รับบทเป็นผู้คุมนักโทษชื่อ ริกกี ในตอน "Single White Female Role Model" ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 เพร์รีได้ออกผลงานภาพยนตร์อัตชีวประวัติในชื่อ เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี ผ่านทางพาราเมาต์พิกเจอส์[122][123] ภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์ที่ดี[124]และทำรายได้บนบ็อกซ์ออฟฟิศได้ US$30 ล้าน ทั่วโลก[125]
เพร์รีเริ่มทำธุรกิจเมื่อเธอได้เซ็นรับรองน้ำหอมตัวแรกชื่อ เพอร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 ตัวที่สองชื่อ เมียว! ออกจำหน่ายในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2011 น้ำหอมทั้งสองตัวออกวางขายที่ห้างสรรพสินค้านอร์ดสตรอม[126][127] อิเล็กทรอนิก อาตส์ ได้จ้างเธอให้ส่งเสริมภาคเสริมเกม เดอะซิมส์ 3: โชว์ไทม์[128] ก่อนจะออกภาคเสริมอีกภาคที่มีเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และทรงผมที่ได้แรงบันดาลใจจากเพร์รี ในชื่อ เดอะซิมส์ 3: เคที เพร์รีสวีตทรีตส์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012[129] ในเดือนต่อมา เธอเป็นโฆษกและทูตให้กับผลิตภัณฑ์ ป็อปชิปส์ และลงทุนในบริษัทดังกล่าวด้วย[130] และนิตยสารบิลบอร์ดจัดให้เธอเป็น "ผู้หญิงแห่งปี" ค.ศ. 2012[131]
เธอสมรสกับรัสเซลล์ แบรนด์ในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2010 โดยจัดพิธีสมรสแบบฮินดูใกล้ ๆ เขตสงวนพันธุ์เสือรันทัมบอร์ ในรัฐราชสถาน[132] แบรนด์ประกาศในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ว่าพวกเขาได้หย่าร้างกันหลังจากใช้ชีวิตคู่กัน 14 เดือน[133] ต่อมา เพร์รีกล่าวว่า ตารางเวลาที่ไม่ตรงกันและเขาต้องการมีบุตรโดยที่เธอยังไม่พร้อม ทำให้การสมรสสิ้นสุดลง[134] และเขาไม่พูดกับเธออีกเลยหลังจากส่งข้อความขอหย่าถึงเธอ[135] ขณะที่แบรนด์ยืนยันว่าเขาหย่ากับเพร์รีเพราะชื่อเสียงของเธอที่เพิ่มขึ้น ความสำเร็จ และความลังเลที่จะเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย[136] แรกเริ่มเธอรู้สึกคุ้มคลั่งเรื่องหย่าร้าง และกล่าวว่าเธอเคยคิดฆ่าตัวตาย[137][138] หลังจากการสมรสสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 2012[139] เพร์รีเริ่มต้นความสัมพันธ์กับนักร้อง จอห์น เมเยอร์ ในเดือนสิงหาคมนั้นเอง[140]
2013–2015: อัลบั้มปริซึม ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 49 และการแสดงช่วงพักครึ่งแก้ไข
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 เพร์รีเริ่มทำงานอัลบั้มชุดที่สี่ ปริซึม เธอกล่าวกับนิตยสารบิลบอร์ดว่า "ฉันรู้ว่าผลงานที่ฉันจะทำต่อไป ฉันรู้ปกอัลบั้ม สีสัน โทน" และ "ฉันรู้แม้กระทั่งทัวร์คอนเสิร์ตที่ฉันจะจัด ฉันจะพอใจมากถ้าภาพที่ฉันคิดในหัวออกมาเป็นความจริงได้"[141] แม้ว่าเธอบอกกับ L'Uomo Vogue ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 ว่าเธอวางแผนไว้ว่าจะมี "องค์ประกอบที่มืดมนลง" (darker elements) ในอัลบั้มปริซึม หลังจากการสมรสสิ้นสุดลง[142] เธอเผยกับเอ็มทีวีในระหว่างงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2013 ว่าเธอได้เปลี่ยนทิศทางของอัลบั้มหลังจากเธอใช้เวลาไตร่ตรองตนเอง เธอออกความเห็นว่า "ฉันรู้สึกถึงแสงส่องดั่งปริซึม (prismatic) อย่างมาก" กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับชื่ออัลบั้ม[143] เพลง "โรร์" ออกโรงเป็นซิงเกิลนำจากอัลบั้ม ปริซึม ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 2013[144] เธอส่งเสริมเพลงนี้ผ่านการแสดงในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ และเพลงขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[145][146] เพลง "อันคอนดิชันเนิลลี" ออกเป็นซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2013[147] และขึ้นถึงอันดับที่ 14 ในสหรัฐ[148]
อัลบั้ม ปริซึม ออกจำหน่ายในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2013 และขายได้ 4 ล้านชุดนับถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015[149] อัลบั้มได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวก[150] และเปิดตัวที่อันดับที่ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200[151] สี่วันต่อมา เพร์รีแสดงเพลงใหม่จากอัลบั้มที่โรงละครไอฮาร์ตเรดิโอในลอสแอนเจลิส[152] เพลง "ดาร์กฮอร์ส" ออกมาเป็นซิงเกิลที่สามในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2013[153] กลายเป็นเพลงที่ติดอันดับ 1 เป็นเพลงที่เก้าของเธอเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2014[154][155] ใน ค.ศ. 2014 เพลง "เบิร์ธเดย์"[156] และ "ดิสอิสฮาววีดู"[157] ออกมาเป็นซิงเกิลที่สี่และห้าจากอัลบั้มปริซึม และขึ้นถึง 25 อันดับแรกบนชาร์ตฮอต 100[56] นอกจากนี้ เธอยังได้บันทึกเสียงและแต่งเพลงร่วมกับ จอห์น เมเยอร์ ในเพลง "ฮูยูเลิฟ" จากอัลบั้มของเขา พาราไดซ์แวลลี เพลงออกมาวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2013[158][159] เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่สามในชื่อ เดอะพริสมาติกเวิลด์ทัวร์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 และจบลงในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015[149] ทำรายได้ได้ US$204.3 ล้าน จากทั่วโลก [160] และเพร์รีได้รับรางวัล "แพ็กเกจสูงสุด" ในงานประกาศรางวัลบิลบอร์ดทัวริงอะวอดส์ 2014[161] เธอแสดงในเทศกาลดนตรีร็อกอินริโอ 2015 ในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2015[162]
ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 เอ็นเอฟแอลประกาศว่าเพร์รีจะแสดงในช่วงพักครึ่งในงานซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 49 ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 พร้อมกับแขกรับเชิญ เลนนี แครวิตซ์ และมิสซี เอลเลียต[163][164] หลังการแสดงสองวัน บันทึกสถิติโลกกินเนสส์บันทึกว่าการแสดงของเพร์รีมีผู้ชม 118.5 ล้านคนในสหรัฐ กลายเป็นการแสดงที่มีผู้ชมมากที่สุดและมีเรตสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของซูเปอร์โบวล์ ยอดคนชมสูงกว่าตัวกีฬาเอง ซึ่งมีคนชมอยู่ที่ 114.4 ล้านคน[165]
สมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศตั้งให้เพร์รีเป็นศิลปินระดับโลกอันดับที่ห้าของปี ค.ศ. 2013[166] ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2014 สมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้เพร์รีเป็นศิลปินที่ได้รับการรับรองมากที่สุด (Top Certified Digital Artist Ever) หลังจากทำยอดขายได้ 72 ล้านหน่วยดิจิตอลในสหรัฐ[167][168] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 ภาพนิ่งของเพร์รีที่วาดโดยมาร์ก ไรเดน ได้แสดงในนิทรรศการ "The Gay 90s" และแสดงที่ Kohn Gallery ในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เธอยังได้บันทึกเสียงเพลงฉบับทำใหม่ "เดซีเบลล์ (ไบซีเคิลบิลต์ฟอร์ทู)" ร่วมกับศิลปินอื่นมากมายในอัลบั้มชื่อ เดอะเกย์ไนน์ทีส์โอลด์ไทม์มิวสิก: เดซีเบลล์ รุ่นจำกัดที่มาพร้อมกับนิทรรศการดังกล่าว[169] ในเดือนเดียวกันนั้น ภาพนิ่งอีกภาพหนึ่งของเพร์รีวาดโดยวิล ค็อตตัน ได้แสดงอยู่ในแกลอรีภาพนิ่งแห่งชาติ[170] ในวันที่ 23 พฤศจิกายน เพร์รีแสดงในโครงการโฆษณาวันหยุดของ เอชแอนด์เอ็ม ซึ่งเธอแต่งและบันทึกเพลง "เอเวอรีเดย์อิสอะฮอลิเดย์" ให้[171][172]
ในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2014 เพร์รีประกาศว่าเธอได้ก่อตั้งค่ายเพลงของตัวเองภายใต้สังกัดแคปิตอลเรเคิดส์ในชื่อ เมตามอร์โฟซิสมิวสิก เฟร์ราส์เป็นศิลปินคนแรกที่เซ็นสัญญาเข้าสังกัดดังกล่าว และเพร์รีเป็นหัวหน้าโปรดิวเซอร์ให้อีพีของเขา เธอยังบันทึกเสียงเพลง "เลเจนส์เนเวอร์ดาย" ร่วมกับเขาในอีพีด้วย[173] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 นิตยสารฟอบส์ประมาณรายได้สุทธิของเธออยู่ที่ US$125 ล้าน[174] และติดอันดับที่หกในรายชื่อ "ผู้หญิงที่มีค่าตัวสูงที่สุดในวงการดนตรี" โดยมีรายได้ US$41 ล้าน[175]
นอกจากงานดนตรี เพร์รีได้กลับมารับบทสเมิร์ฟเฟตต์ ในภาพยนตร์ เดอะสเมิฟส์ 2 ออกมาในวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2013[176] เช่นเดียวกับภาคก่อนหน้า ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จด้านรายได้[177] แม้ว่าจะได้รับคำวิจารณ์แตกต่างกันไป[178] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 เธอเป็นแขกรับเชิญรับบทเป็นตนเองในรายการโครลโชว์ ตอน "Blisteritos Presents Dad Academy Graduation Congraduritos Red Carpet Viewing Party"[179] น้ำหอมตัวที่สามชื่อ คิลเลอร์ควีน ออกมาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ผ่านทางบริษัทโคตี (Coty, inc.)[180] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 เธอเป็นภัณฑารักษ์รับเชิญให้มาดอนน่าในโครงการริเริ่ม อาร์ตฟอร์ฟรีดอม[181] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 เธอปรากฏตัวในภาพยนตร์สารคดีเรื่องแบรนด์: อะเซกันด์คัมมิง สารคดีที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงจากงานแสดงตลกไปเป็นนักกิจกรรมของอดีตสามี รัสเซลล์ แบรนด์ และออกภาพยนตร์คอนเสิร์ตเรื่อง เคที เพร์รี: เดอะพริสมาติกเวิลด์ทัวร์ ออกอากาศทางช่องอีพิกซ์ เกิดขึ้นในระหว่างการทัวร์คอนเสิร์ตชื่อเดียวกัน[123] เพร์รีแสดงรับเชิญในมิวสิกวิดีโอเพลง "บิตช์ไอม์มาดอนน่า" ของมาดอนน่าเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015[182] ในเดือนต่อมา เธอออกน้ำหอมอีกรุ่นหนึ่งกับบริษัทโคตี ในชื่อ แมดโพชัน[183] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2015 ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง เคที เพร์รี: เมกกิงออฟเดอะเปปซีซูเปอร์โบวล์ฮาล์ฟไทม์โชว์ ออกฉายหลังจากเพร์รีเตรียมตัวแสดงในงานซูเปอร์โบวล์[184] และเจเรมี สก็อตต์: เดอะพีเพิลส์ดีไซเนอร์ ที่เล่าเรื่องชีวิตและอาชีพนักออกแบบของเจเรมี สก็อตต์[185] เพร์รีออกโปรแกรมประยุกต์ชื่อ เคทีเพร์รีป็อป ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2015 ผ่านตัวแทนจำหน่าย กลูโมไบล์ ซึ่งตัวละครของเธอทำให้ผู้เล่นกลายเป็นนักดนตรีชื่อดัง[186] เธออธิบายถึงโปรแกรมนี้ว่าเป็น "โลกที่สนุกและมีสีสันสดใสที่สุดที่ช่วยนำทางสู่ฝันทางดนตรีของคุณ"[187]
2016–2018: อัลบั้ม วิตนิสส์ และอเมริกันไอดอลแก้ไข
เมื่อต้นปี ค.ศ. 2016 เธอเริ่มทำเพลงใหม่ในเดือนมิถุนายน[188] และอัดเพลงประกอบการออกอากาศการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ทางช่องเอ็นบีซีสปอตส์ ชื่อ "ไรส์" ออกจำหน่ายวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 โดยเพร์รีเลือกจำหน่ายเป็นซิงเกิลแยกเดี่ยวแทนที่จะเก็บไว้ในอัลบั้มใหม่ 'เพราะตอนนี้ โลกต้องการให้เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว' เอ็นบีซีโอลิมปิกส์รู้สึกว่าเพลงนี้เป็นข้อความที่พูดถึงเนื้อหาของเพลงเป็นแรงบันดาลใจโดยตรงต่อจิตวิญญาณของโอลิมปิกส์และนักกีฬา[189] เพลงเปิดตัวที่อันดับที่หนึ่งในประเทศออสเตรเลีย[190] และอันดับที่ 11 ในสหรัฐ[56]
เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2016 เพร์รีกล่าวว่าเธอต้องการทำเพลงที่ "เชื่อมโยง เกี่ยวข้องกัน และเป็นแรงบันดาลใจ"[191]และบอกกับไรอัน ซีเครสต์ว่าเธอ "ไม่รีบ" ทำอัลบั้มที่ห้า และเสริมว่า "ฉันแค่กำลังสนุกอยู่ แต่ก็ทดลองทำดนตรีกับโปรดิวเซอร์หลาย ๆ คน ร่วมงานกับหลาย ๆ คนและดนตรีหลาย ๆ รูปแบบ"[192] ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 เพร์รีออกซิงเกิล "เชนด์ทูเดอะริทึม" ร้องรับเชิญโดยสกิป มาร์เลย์[193][194] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในฮังการี[195] และอันดับสี่ในสหรัฐ[56] เพลงถูกสตรีมมากกว่าสามล้านครั้งภายใน 24 ชั่วโมง ทำลายสถิติซิงเกิลที่สตรีมมากที่สุดในวันแรกของศิลปินหญิง[196] ซิงเกิลที่สอง "บอนาเพที" ร้องรับเชิญโดยมีโกส ออกจำหน่ายในเดือนเมษายน[197] ซิงเกิลที่สาม "สวิชสวิช" ร้องรับเชิญโดยนิกกี มินาจ ออกตามมาในเดือนถัดไป[198] เพลงขึ้นอันดับ 59 และ 46 ในสหรัฐ[56] และขึ้นถึงสิบห้าอันดับแรกในแคนาดา[58]
อัลบั้ม วิตนิสส์ วางจำหน่ายในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2017 ได้รับคำวิจารณ์ผสมกัน[199] และเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในสหรัฐ[200] หลังออกอัลบัม เพร์รีถ่ายทอดสดตนเองบนยูทูบในวันที่วางจำหน่ายในชื่อรายการเคที เพร์รี ไลฟ์: วิตนิสส์เวิลด์ไวด์ จนถึงวันที่ 12 มิถุนายน[201] รายการสดมีผู้ชมมากกว่า 49 ล้านคนจาก 190 ประเทศ[202] เพร์รีออกทัวร์คอนเสิร์ตชื่อ วิตนิสส์: เดอะทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 2017 ถึงสิงหาคม ค.ศ. 2018[203] ในวันที่ 15 มิถุนายน แคลวิน แฮร์ริสออกเพลง "ฟีลส์" ซึ่งเพร์รีร้องรับเชิญ ร่วมกับบิกฌอน และฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ จากอัลบั้ม ฟังก์เวฟเบาน์ซิส วอลยุม 1[204] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักร[205]
เพร์รีอัดเสียงร้องเพลงคัฟเวอร์ "เวฟวิงทรูอะวินโดว์" ประกอบละครเวทีเรื่องเดียร์อีวานแฮนเซน ลงอัลบั้มเพลงประกอบรุ่นพิเศษ วางจำหน่ายวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018[206] ผู้สร้างละคร เบน พาเซก และจัสติน พอล ขอให้เพร์รีร้องเพลงดังกล่าวเพื่อส่งเสริมทัวร์ละครเวทีในประเทศและสร้างความตระหนักต่อสุขภาพจิต[207] ในวันที่ 15 พฤศจิกายน เพร์รีออกเพลง "โคซีลิตเทิลคริสต์มาส" เฉพาะในแอมะซอนมิวสิก[208] เธออัดเพลง "อิมมอร์ทัลเฟลม" ให้เกมไฟนอลแฟนตาซีเบรฟเอกซ์เวียส และมีตัวละครเล่นได้ที่ออกแบบตามแบบเธอ[209] ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 61 เพร์รีร้องเพลง "เฮียร์ยูคัมอะเกน" ร่วมกับดอลลี พาร์ตันและเคซีย์ มัสเกรฟส์ แสดงความเคารพแก่พาร์ตัน[210] และในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 เธอออกเพลง "365" ร่วมกับดีเจเซดด์[211] สองเดือนถัดมา แดดดีแยงกีออกเพลง "กอนกอลมา" ฉบับรีมิกซ์ที่รวมเสียงเพร์รีและสโนว์ลงในเพลง[212] เธอออกซิงเกิล "เนเวอร์เรียลลีโอเวอร์" ตามมาในวันที่ 31 พฤษภาคม และ "สมอลล์ทอล์ก" ในวันที่ 9 สิงหาคม[213][214]
นอกเหนือจากงานเพลง เธอรับบทเป็นตนเองในภาพยนตร์เรื่อง ซูแลนเดอร์ 2 ออกฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016[215][216] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 เพร์รีออกสินค้ารองเท้าในชื่อ "เคที เพร์รี คอลเลกชันส์"[217] รองเท้าของเธอวางจำหน่ายในเว็บไซต์ เคที เพร์รี คอลเลกชันส์ ของเธอ และที่ร้านค้าปลีก เช่น ดิลลาร์ด และวอลมาร์ต[218] เดือนสิงหาคม เธอเป็นพิธีกรในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2017[219] เธอเซ็นสัญญารับเงินเดือน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับตำแหน่งกรรมการตัดสินในรายการอเมริกันไอดอลซีซันใหม่ ออกอากาศทางช่องเอบีซี เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2018<[220][221] เพร์รีเริ่มคบหากับออร์แลนโด บลูมเมื่อต้นปี ค.ศ. 2016 และหมั้นกันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019[222][223] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 เธอปรากฏในมิวสิกวิดีโอเพลง "ยูนีดทูคาล์มดาวน์" ของเทย์เลอร์ สวิฟต์[224]
หนึ่งเดือนถัดมา คณะลูกขุนในแคลิฟอร์เนียยื่นคำตัดสินคดีเพลง "ดาร์กฮอร์ส" ที่คัดลอกเพลง "จอยฟุลนอยส์" ปี ค.ศ. 2008 ของเฟลม หลังจากเขายื่นฟ้องคดีลิขสิทธิ์ว่าเพลงได้นำจังหวะเพลงของตนมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต[225] คณะลูกขุนสั่งให้เธอชดใช้เขาเป็นเงิน 550,000 ดอลลาร์สหรัฐ[226] จอช คลอส นักแสดงร่วมกับเพรรีในมิวสิกวิดีโอ "ทีนเอจดรีม" กล่าวหาเธอในเรื่องการคุกคามทางเพศ ในโพสต์โพสต์หนึ่งในอินสตาแกรม คลอสกล่าวหาว่า ระหว่างงานเลี้ยงที่ลานสเกต เพร์รีดึงกางเกงและกางเกงในของเขาลง ทำให้เพื่อนผู้ชายเห็นองคชาตของเขา คลอสยังเขียนอีกว่าเธอพยายามไม่ให้เขาพูดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับเธอ เพร์รียังไม่ได้ให้การใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้[227]
2019–ปัจจุบัน: อัลบั้ม สไมล์ และมีบุตรแก้ไข
หลังจากออกซิงเกิล "เนเวอร์วอร์นไวต์" ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2020 เพร์รีเปิดเผยในมิวสิกวิดีโอว่าเธอตั้งครรภ์บุตรคนแรกกับคู่หมั้น ออร์แลนโด บลูม[228] ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม เพร์รีออกซิงเกิล "เดซีส์" ซึ่งเป็นซิงเกิลนำของอัลบั้มที่หก สไมล์ อัลบั้ม สไมล์ ออกจำหน่ายในวันที่ 28 สิงหาคม[229] สองวันก่อนอัลบั้มออกจำหน่าย เพร์รีให้กำเนิดบุตรสาวชื่อ เดซี ดัฟ บลูม[230] อัลบั้ม สไมล์ ได้รับเสียงตอบรับแบบผสม[231] เปิดตัวในอันดับที่ 5 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ของสหรัฐ[232]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2023 เธอได้ขึ้นแสดงในคอนเสิร์ตฉลองพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ณ ปราสาทวินด์เซอร์
งานดนตรีแก้ไข
อิทธิพลแก้ไข
ในช่วงแรกของงานดนตรี แนวเพลงที่เพร์รีร้องบ่อย ๆ คือกอสเปล และเธอใฝ่ฝันจะประสบความสำเร็จเหมือนเอมี แกรนต์[233] เมื่ออายุ 15 ปี เธอได้รู้จักเพลง "คิลเลอร์ควีน" ของวงควีน และนับว่าเป็นเพลงที่บันดาลใจเธอให้ทำอาชีพดนตรี[234] เธอกล่าวถึงนักร้องนำ เฟรดดี เมอร์คูรี ว่าเป็น "อิทธิพลใหญ่สุด" (biggest influence) ของเธอและอธิบายว่า "การผสมผสานของการแต่งเพลงแบบประชดประชันกับทัศนคติที่ว่า 'ฉันไม่ใส่ใจ' (I don't give a fuck) เป็นแรงบันดาลใจให้เธอได้อย่างไร"[235] เธอแสดงความนับถือวงดังกล่าวโดยตั้งชื่อน้ำหอมตัวที่สามของเธอว่า คิลเลอร์ควีน[180] เพร์รียังพูดถึงวงเดอะบีชบอยส์ และอัลบั้ม เพ็ตซาวส์ ในฐานะที่เป็นอัลบั้มที่มีอิทธิพลต่อเธออย่างมากว่า "เพ็ตซาวส์ เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ฉันโปรดปรานที่มีผลต่อเพลงที่ฉันแต่ง ทุก ๆ เมโลดีที่ฉันแต่งขึ้นก็มีที่มาจากอัลบั้มเพ็ตซาวส์"[236] เพร์รีสรรเสริญอัลบั้มเดอะบีเทิลส์ ของวงเดอะบีเทิลส์ และอัลบั้ม เพ็ตซาวส์ อย่างมากและถือว่าเป็น "อัลบั้มที่ฉันฟังนานถึง 2 ปีติดต่อกัน"[237]
เพร์รีกล่าวถึงอลานิส มอริสเซตต์ และอัลบั้ม แจกกิดลิตเทิลพิลล์ (ค.ศ. 1995) ว่าเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญต่องานดนตรีของเธอ และมักจะได้ทำงานร่วมกับเกล็น แบลลาร์ด ซึ่งเคยทำงานกับมอริสเซตต์บ่อยครั้ง เพร์รีกล่าวว่า "อัลบั้มแจกกิดลิตเทิลพิลล์ เป็นอัลบั้มเพลงผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยทำมา มันมีเพลงที่แต่งไว้สำหรับทุกคน และเพลงทุกเพลงก็เกี่ยวกับฉันทั้งหมดด้วย เพลงเหล่านั้นยังคงอยู่เป็นนิรันดร์ตลอดมา" นอกจากนี้ เพร์รียังได้รับอิทธิพลจากอัลบั้ม เฟลมมิงเรด ของแพตตี กริฟฟิน และอัลบั้ม 10 เซนต์วิงส์ ของโจนาธา บรู๊ก[238] เพร์รีใฝ่ฝันอยากจะเป็นอย่างคาโรล คิง, บอนนีย์ เรตต์ และโจนี มิตเชลล์ และตั้งใจจะเป็น "มากกว่าโจนี มิตเชลล์" โดยจะออกเพลงแนวโฟล์กและอะคูสติก[239] ภาพยนตร์อัตชีวประวัติของเพร์รีเรื่อง เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี มีอิทธิพลมาจากภาพยนตร์เรื่อง มาดอนน่า: ทรูธออร์แดร์ เธอยกย่องความสามารถของมาดอนน่าในการนำเสนอตัวเองในรูปแบบใหม่ได้ และกล่าวว่า "ฉันอยากจะค่อย ๆ พัฒนาตนเองให้เหมือนกับมาดอนน่า"[240] และให้เครดิตว่ามาดอนน่าเป็นแรงบันดาลใจให้เธอทำอัลบั้ม ปริซึม "มืดมน"กว่าอัลบั้มก่อนหน้า
เพร์รีถือว่า ปีเยิร์ก เป็นอิทธิพลทางดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเป็นแรงบันดาลใจให้เธอ "เต็มใจที่จะลองเสี่ยงอยู่เสมอ"[238] นักดนตรีคนอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลกับเพร์รี ได้แก่ แอ็บบ้า เดอะคาร์ดิแกนส์[241] เอซออฟเบส[242] ซินดี ลอเปอร์[243] ซีซี พีนิสตัน ซีแอนด์ซีมิวสิกแฟกทอรี แบล็กบ็อกซ์ คริสตัลวอเทอส์ มารายห์ แครี[239] พิงก์[244] และเกว็น สเตฟานี[238] เพลง "ไฟร์เวิร์ก" มีแรงบันดาลใจจากหนังสือชื่อ ออนเดอะโรด (On The Road) ของแจ็ก เครูแอ็ก ที่ผู้เขียนได้เปรียบเทียบคนที่มีชีวิตชีวาเป็นดั่งพลุที่พวยพุ่งไปบนท้องฟ้า และมองดูด้วยความเกรงขาม[245] คอนเสิร์ตครั้งที่สองของเธอ แคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์ ทำให้รำลึกถึงนวนิยายเรื่องอลิซท่องแดนมหัศจรรย์ (Alice's Adventures in Wonderland) และพ่อมดมหัศจรรย์แห่งเมืองออซ ( The Wonderful Wizard of Oz)[246] เธอยังให้เครดิตว่าภาพยนตร์ปี ค.ศ. 1996 เรื่องสี่แหววพลังแม่มด (The Craft) ทำให้เกิดเพลง "ดาร์กฮอร์ส"[247] และหนังสือเรื่องพลังแห่งจิตปัจจุบัน (The Power of Now) เขียนโดยเอคาร์ต ทอเลอ ที่ทำให้เกิดอัลบั้ม ปริซึม ขึ้นมา[137]
แนวดนตรีและรูปแบบเพลงแก้ไข
— เพร์รีกล่าวถึงความมั่นใจในฐานะนักแต่งเพลง[248]
ขณะที่แนวเพลงเพร์รีจะเป็นแนวป็อป ร็อก และดิสโก้ แต่ "เคที ฮัดสัน" จะร้องแค่แนวกอสเปล อัลบั้มวันออฟเดอะบอยส์ และ ทีนเอจดรีม มีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศและความรัก อัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ เป็นงานเพลงแนวป็อปร็อก ขณะที่อัลบั้ม ทีนเอจดรีม จะมีแนวดิสโก้เพิ่มเข้ามาด้วย[249][250] อัลบั้มที่สี่ ปริซึม เป็นดนตรีแนวแดนซ์และป็อปอย่างเห็นได้ชัด ในด้านเนื้อเพลง อัลบั้ม ปริซึม บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ การไตร่ตรองตนเอง และชีวิตประจำวัน[251] เพลงของเธอหลายเพลง โดยเฉพาะในอัลบั้ม ทีนเอจดรีม สะท้อนถึงความรักระหว่างวัยรุ่น นิตยสาร W บรรยายถึงการประชดประชันเรื่องเพศในอัลบั้มว่าเป็น "เมโลดีที่น่าจดจำอย่างไม่อาจต้านทานได้" (irresistible hook-laden melodies)[30] เนื้อหาเพลงแบบให้อำนาจตนเองเป็นเนื้อหาหลักในเพลงของเพร์รี[252]
เพร์รีระบุตนเองว่าเป็น "นักร้อง-นักแต่งเพลงสวมรอยเป็นดาราเพลงป็อป"[253] และยืนยันว่าการแต่งเพลงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ เธอกล่าวกับนิตยสาร มารี แคลร์ ว่า "ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าลูกเล่นเวทมนตร์ลับของฉันที่ทำให้ฉันต้องแยกจากเพื่อนเป็นเรื่องที่กล้าหาญมากที่ต้องยอมอ่อนแอ จริงใจ และซื่อสัตย์" ฉันคิดว่าคุณจะผูกมิตรกับใครได้เมื่อจะต้องอ่อนแอ"[14] คริสเต็น วิก ให้ความเห็นว่า "เรียบง่าย เย็นสบาย และมีผลต่อผู้อื่นอย่างเพลงของเพร์รีสวมควรจะทำได้ ภายใต้พื้นผิวซ่อนทะเลอารมณ์ แรงจูงใจ และแรงกระตุ้นที่ขัดกันซับซ้อนมากพอที่จะเติมเต็มเพลงของคาโรล คิง"[237] เกร็ก ค็อต แห่งหนังสือพิมพ์ชิคาโกทริบูน กล่าวว่า "การเอาจริงเอาจังอาจเป็นความท้าทายที่ดีที่สุดของเพร์รีแล้ว"[254] หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทม์ส กล่าวว่า "เธอเป็นดาราป็อปที่มีศักยภาพที่สุดของวัน เพลงดังของเธอเป็นคำพูดเปรยจากการทดลองเท่านั้น"[255] แรนดอล โรเบิตส์ จากหนังสือพิมพ์ ลอสแอนเจลิสไทม์ส วิพากย์การใช้สำนวนและอุปมา และการใช้ "สำนวนจำเจ" (cliché) บ่อยเกินไป[256] ตลอดอาชีพของเธอ เพร์รีได้ร่วมเขียนเพลงให้กับศิลปินจำนวนมาก ได้แก่ เซลีนา โกเมซ แอนด์เดอะซีน[257][258] เจสซี เจมส์[259] เคลลี คลาร์กสัน[260] เลสลีย์ รอย[261] บริตนีย์ สเปียส์[262] อิกกี อะเซเลีย[263] และอะรีอานา กรานเด[264]
เสียงร้องแก้ไข
เพร์รีมีช่วงเสียงร้องต่ำแบบคอนทราลโต (contralto)[265][266] การร้องเพลงของเธอได้รับทั้งคำชมและคำตำหนิ เบ็ตตี คลาร์ก แห่งหนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดียน ให้ความเห็นว่า "เสียงร้องของเธอทรงพลัง" (hard-edged)[267] ขณะที่ร็อบ เชฟฟิลด์ จากนิตยสาร โรลลิงสโตน ติว่าเสียงร้องของเพร์รี "มีปัญหาในเรื่องโน้ตสแตกคาโต" (staccato) จากในอัลบั้ม ทีนเอจดรีม[250] ดาร์เรน ฮาร์วีย์ จากเว็บไซต์มิวสิกโอเอ็มเอช เปรียบเทียบเสียงเพร์รีจากอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ กับเสียงของอลานิส มอริสเซตต์ ว่าทั้งคู่มี "เสียงมีชีวิตชีวา ที่เปลี่ยนระดับเสียงในกลางพยางค์ของคำเป็นอ็อกเทฟได้" (perky voice shifting octaves mid-syllable)[268] อเล็กซ์ มิลเลอร์ จากนิตยสาร เอ็นเอ็มอี รู้สึกว่าในอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ ปัญหาของเพร์รีคือเสียง... ในบางช่วงของท่อน มีคนทำให้เธอเชื่อว่าเธอเหมือนลูกไก่ร็อกใจกล้า (ballsy rock chick)[269] แม้ว่าเบอร์นาเด็ตต์ แม็กทัลตี จาก เดอะเดลีเทเลกราฟ ชื่นชม "เสียงลูกไก่ร็อก" ของเธอในบทวิจารณ์ของคอนเสิร์ตส่งเสริมอัลบั้มปริซึม[270]
ภาพลักษณ์สาธารณะแก้ไข
เพร์รีถือว่าเป็นดาราที่เป็นสัญลักษณ์ทางเพศ (sex symbol) นิตยสาร GQ ตั้งให้เธอเป็น "จินตนิมิตไร้ขีดจำกัดของผู้ชาย" (full-on male fantasy)[9] ขณะที่นิตยสาร แอล บรรยายร่างกายเธอว่า "ราวกับถูกร่างภาพขึ้นจากเด็กชายวัยรุ่น"[20] นิตยสาร ไวซ์ บรรยายเธอว่าเป็น "ดาราป็อป/ผู้หญิง/สัญลักษณ์ทางเพศ ที่เอาจริงเอาจัง"[271] เธอถูกจัดให้อยู่อันดับหนึ่งในรายชื่อแม็กซิมฮอต 100 ของนิตยสารแม็กซิม ใน ค.ศ. 2010 เป็น "ผู้หญิงที่ร้อนแรงที่สุดในโลก" (hottest woman on Earth) บรรณาธิการ โจ เลวี บรรยายเธอว่า "ร้อนแรงคูณสาม ไม่ใช่คูณสี่" (triple – no quadruple – kind of hot)[272] นักอ่านนิตยสารเม็นส์เฮลต์ โหวตให้เธอเป็น "ผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุดในปี ค.ศ. 2013"[273] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 เพร์รีกล่าวกับนิตยสาร ฮาร์เปอส์บะซาร์ ว่าเธอภูมิใจและพอใจในตัวตนของเธอ[274]
แฟชันเสื้อผ้าของเพร์รีจะมีอารมณ์ขัน มีสีสันฉูดฉาด และมีอาหารประดับ[275] อย่างเช่น ชุดเป็ปเปอร์มินต์หมุนวน (spinning peppermint swirl dress) ของเธอที่มีเครื่องหมายการค้า[276] นิตยสารโว้ก บรรยายตัวเธอว่า "เป็นคนที่ไม่เคยหลบเลี่ยงพวกที่ระรานหรือสุดโต่งในทุกอาณาบริเวณ"[277] ขณะที่นิตยสาร แกลเมอร์ ตั้งชื่อให้เธอว่า "ราชินีนักเล่นสำนวน" (queen of quirk)[278] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 เพร์รีกล่าวกับนิตยสาร เซเวนทีน ว่ารูปแบบแฟชันของเธอเป็น "การประกอบสิ่งที่แตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าด้วยกัน" และกล่าวว่าเธอชอบแต่งตัวให้ดูมีอารมณ์ขัน[279] เธอยังบรรยายตนเองว่าเป็นคน "หลายบุคลิกภาพ" (multipersonality disorder) ในเรื่องแฟชัน[274] เพร์รีถือว่าเกว็น สเตฟานี, เชอร์ลีย์ แมนสัน, โคลอี เซเวอนี, แดฟนี กินเนส, นาตาลี พอร์ตแมน และตัวละคร โลลิตา เป็นสัญรูปแฟชันของเธอ[30][280]
ในสื่อสังคม ทวิตเตอร์ของเพร์รีมียอดผู้ติดตามสูงที่สุด แซงจัสติน บีเบอร์เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013[281] เธอทำสถิติในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ว่ามีผู้ติดตามทวิตเตอร์มากที่สุด[282] และกลายเป็นคนแรกที่มีผู้ติดตามถึง 90 ล้านคนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016[283] โดโรธี โพเมแรนซ์ นักเขียนนิตยสารฟอบส์ ยกย่องเพร์รีด้านการใช้สื่อสังคมว่า "เพร์รีใช้ทวิตเตอร์ได้อย่างฉลาด โดยพูดคุยกับแฟนคลับของเธอและแบ่งปันรูปภาพและวิดีโอตลก ๆ แบบที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเพร์รีเป็นคู่หูที่ดีที่สุดของพวกเขา"[284] คีธ คอลฟิลด์ จากนิตยสารบิลบอร์ด กล่าวว่า เธอเป็น "คนดังหายากที่มีความนิยมมหาศาลแต่มีปฏิสัมพันธ์กับเคทีแคตส์ (KatyCats) ที่เธอรัก แบบติดดินอย่างแท้จริง"[285] ในปี ค.ศ. 2011 นิตยสารฟอบส์ จัดอันดับเพร์รีอยู่ที่ 3 ในรายชื่อ "ผู้หญิงที่ทำได้มากที่สุดจากวงการดนตรี" ด้วยรายได้ US$44 ล้าน[286] และอันดับที่ 5 ในรายชื่อเดียวกันปี ค.ศ. 2012 ด้วยรายได้ US$45 ล้าน[287] ต่อมา นิตยสารฟอบส์จัดให้เธอเป็น "ผู้หญิงที่ทำเงินได้มากที่สุดด้านดนตรี" อันดับที่ 7 ของปี ค.ศ. 2013 ด้วยรายได้ US$39 ล้าน[288] และอันดับที่ 5 ของปี ค.ศ. 2014 ด้วยรายได้ US$40 ล้าน[289] จากรายได้ US$135 ล้าน นิตยสารฟอบส์ จัดอันดับให้เพรรีเป็น "สตรีที่มีรายได้สูงสุดด้านดนตรี" อันดับหนึ่ง ประจำปี ค.ศ. 2015 และเป็นคนดังเพศหญิงที่มีรายได้สูงที่สุดอยู่อันดับที่ 3 ในรายชื่อ 100 คนดังของฟอบส์[290]
กิจกรรมอื่น ๆแก้ไข
องค์กรการกุศลแก้ไข
เพร์รีร่วมสนับสนุนองค์กรและหัวข้ออภิปรายการกุศลตลอดอาชีพด้านดนตรี เธออุทิศตนให้กับองค์กรที่มุ่งเน้นการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและค่าธรรมเนียมของเด็ก ๆ เป็นพิเศษ ในเดือนเมษายน เธอเข้าร่วมองค์กรยูนิเซฟเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ในมาดากัสการ์ด้านการศึกษาและโภชนาการ[291] ในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 2013 เธอกลายเป็นทูตสันถวไมตรีของยูนิเซฟอย่างเป็นทางการ "ด้วยความมุ่งเน้นในการช่วยคนหนุ่มสาวในองค์กรเพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ที่อ่อนแอที่สุดของโลก"[292] เงินส่วนหนึ่งที่ได้จากค่าตั๋วคอนเสิร์ตเดอะพริสมาติกเวิลด์ทัวร์ถูกบริจาคให้องค์การยูนิเซฟ[293] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2010 เธอช่วยสร้างและออกแบบสถานสงเคราะห์ความหวังเด็กชาย/ความหวังเด็กหญิง (Boys Hope/Girls Hope) ในบัลติมอร์เพื่อเป็นที่พักให้กับคนหนุ่มสาวร่วมกับเรเวน ซิโมน, ชาคีล โอนีล และนักแสดงจากรายการเรียลลิตีเรื่อง เอ็กซ์ตรีมเมกโอเวอร์: โฮมเอดิชัน [294]
เธอยังสนับสนุนการศึกษาเด็ก ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 เพร์รีและนักร้องที่ได้รับเลือกจำนวนหนึ่งได้ร้องเพลง "เดซีเบลล์ (ไบซีเคิลบิลต์ฟอร์ทู)" จากอัลบั้มที่ออกควบคู่กับนิทรรศการศิลปะ "เดอะเกย์ 90s" ของจิตรกรชื่อ มาร์ก ไรเดน กำไรทั้งหมดจากยอดขายของอัลบั้มถูกบริจาคเข้าองค์กรการกุศลชื่อลิตเติลคิดส์ร็อก ที่สนับสนุนการศึกษาดนตรีให้กับโรงเรียนประถมด้อยโอกาส[169] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2014 เธอร่วมมือกับบริษัทสเตเปิลในโปรเจกต์ชื่อ "เมกโรร์แฮปเพิน" (Make Roar Happen) พร้อมบริจาคเงิน US$59.5 ล้านให้กับองค์การโดเนอส์ชูส องค์การที่สนับสนุนครูและหาทุนเพื่อสร้างห้องเรียนในโรงเรียนสาธารณะ[295] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2016 เธอร่วมงานกับยูนิเซฟพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กในประเทศเวียดนาม โดยหวังว่าจะ "ทำลายวัฏจักรความยากจนและเร่งพัฒนาสุขภาพ การศึกษา และชีวิตที่ดีขึ้นของเด็ก ๆ"[296] ในเดือนถัดมา ยูนิเซฟประกาศว่าเพร์รีจะได้รับรางวัลมนุษยธรรมของออเดรย์ เฮปเบิร์น "สำหรับงานในฐานะทูตสันถวไมตรีให้กับยูนิเซฟที่สนับสนุนเด็ก ๆ ที่ด้อยโอกาสที่สุดในโลก" ที่งานสโนว์เฟลกบอลประจำปีในเดือนพฤศจิกายน[297]
เพร์รียังสนับสนุนองค์กรที่มุ่งช่วยเหลือผู้ป่วยโรคต่าง ๆ เช่นโรคมะเร็ง และเอดส์ ในระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต 2008 วาปต์ทัวร์ เธอทำเฝือกรูปหน้าอกที่จำลองแบบจากหน้าอกของเธอเพื่อหาเงินให้มูลนิธิคีปอะเบรสต์[298] เธอเป็นพิธีกรและแสดงดนตรีในคอนเสิร์ตวีแคนเซอร์ไวฟ์ ร่วมกับบอนนี แม็กคี, เคซี มัสเกรฟส์, ซารา บาเรลลิส, เอลลี โกลดิง และศิลปินคู่ ทีแกน และ ซารา ที่ฮอลลิวูดโบลในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2013 โดยบริจาคกำไรจากคอนเสิร์ตให้กับองค์การยังเซอร์ไวเวิลโคอะลิชัน องค์การที่ช่วยเหลือหญิงสาวที่เป็นโรคมะเร็งเต้านม[299] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 เธอออกแบบชิ้นส่วนประดับเสื้อผ้าให้เอชแอนด์เอ็มในโครงการรณรงค์ "แฟชันต่อต้านเอดส์" (Fashion Against AIDS) ที่ช่วยหาเงินให้กับโครงการความตระหนักโรคเอดส์ต่าง ๆ[300]
รายได้จากซิงเกิล "พาร์ตออฟมี" ถูกบริจาคเข้าองค์การกุศลมิวสิแคส์ (MusiCares) ที่ช่วยนักดนตรียามตกทุกข์ได้ยาก[301] ในขณะทัวร์คอนเสิร์ตแคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์ เธอนำเงินมากกว่า US$175,000 เข้ากองระดมทุนทิกเก็ตส์ฟอร์แชริตี เงินแบ่งให้กับ 3 มูลนิธิ ได้แก่ กองทุนสุขภาพเด็ก (Children's Health Fund) องค์การเอื้อเฟื้อน้ำ (Generosity Water) และองค์การส่งเสริมมนุษยธรรมแห่งสหรัฐ (The Humane Society of the United States)[302] ในวันเกิดครบรอบ 27 ปี เพร์รีสร้างหน้าเว็บรับบริจาคสำหรับสมาคมป้องกันความรุนแรงต่อสัตว์ (Society for the Prevention of Cruelty to Animals) ที่อ็อกแลนด์[303] และสร้างหน้าเว็บคล้าย ๆ กันให้กับมูลนิธิเดวิด ลินช์ (David Lynch Foundation) ในวันเกิดอายุ 28 ปี[304] ในวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2014 เธอช่วยนำเงิน US$2.4 ล้าน ให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย (Museum of Contemporary Art) ในลอสแอนเจลิสร่วมกับคนดังเช่น ไรอัน ซีเครสต์, ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์, ทิม อัลเลน, ลิซา เอเดลสตีน และไรลีย์ คีโอ[305]
เพร์รีแสดงที่คอนเสิร์ตวันเลิฟแมนเชสเตอร์ เพื่อหารายได้ให้เหยื่อเหตุระเบิดที่แมนเชสเตอร์อะรีนา ร่วมกับศิลปินอีกหลายคน รวมถึงอารีอานา กรานเดด้วย[306]
การเมืองแก้ไข
เพร์รีเป็นนักกิจกรรมสิทธิชายรักร่วมเพศคนหนึ่ง เธอสนับสนุนองค์กรการกุศลสโตนวอลล์ในโครงการรณรงค์ชื่อ "อิตเก็ตส์เบ็ตเทอร์.....ทูเดย์" เพื่อป้องกันการรังแกพวกรักร่วมเพศ[307] และทำมิวสิกวิดีโอเพลง "ไฟร์เวิร์ก" อุทิศให้กับโครงการอิตเก็ตส์เบ็ตเทอร์โปรเจกต์[308] เพร์รีกล่าวกับองค์กรดูซัมธิงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ว่าเธอภูมิใจที่ได้เป็นนักสงเคราะห์ชายรักร่วมเพศ "ฉันเป็นคนที่ใจกว้างอยู่เสมอ และเชื่อในความเสมอภาค" เธอยืนยันว่าเธอไม่เห็นด้วยกับญัตติข้อที่ 8 การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย (ซึ่งสุดท้ายถูกวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ) ที่นิยามการสมรสว่าเป็นการอยู่กินด้วยกันเฉพาะระหว่างชายกับหญิงเท่านั้นในรัฐแคลิฟอร์เนียตามกฎหมาย[309] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 เพร์รีตั้งความหวังต่อความเสมอภาคของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) กล่าวว่า "หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะมองย้อนมาถึงเวลานี้และคิดอย่างที่เราคิดในขณะนี้เกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชน[อื่น ๆ]" เราจะไม่ส่ายหน้าเป็นนัยว่าไม่เชื่อ บอกว่า 'ขอบคุณพระเจ้าที่เราวิวัฒนา' นั่นจะเป็นคำอธิษฐานของฉันในวันข้างหน้า"[310] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 เพร์รีได้รับรางวัลเทรเวอร์ฮีโรอะวอร์ด จากโครงการเดอะเทรเวอร์โปรเจกต์ สำหรับงานและนโยบายของเธอในฐานะคนหนุ่มสาวที่สนับสนุน LGBT[311] เธอเป็นผู้สนับสนุนสิทธิสตรี[312] และปรากฏในวิดีโอคลิปของโครงการ "ไชม์ฟอร์เชนจ์" เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2013 มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมอำนาจให้แก่ผู้หญิง[313] เธอยังกล่าวว่าความขาดแคลนการบริการทางสาธารณสุขฟรีในอเมริกาทำให้เธอ "บ้าจริงๆ" (absolutely crazy)[314] จากเหตุยิงกันที่ไนต์คลับในออร์แลนโด ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016 เพร์รีและศิลปินและผู้บริหารอีกเกือบ 200 คนลงชื่อในจดหมายจัดขึ้นโดยนิตยสารบิลบอร์ด จ่าหน้าถึงรัฐสภาสหรัฐ เรียกร้องให้เพิ่มข้อบังคับว่าด้วยอาวุธปืนในสหรัฐ[315]
เพร์รีสนับสนุนประธานาธิบดีบารัก โอบามา ในการลงเลือกตั้งสมัยที่สองและยกย่องที่เขาสนับสนุนการสมรส[316] และความเสมอภาคในเพศเดียวกัน[317] ผ่านทางทวิตเตอร์และการแสดงในงานชุมนุม เธอแสดงในงานชุมนุมให้แก่โอบามา 3 ครั้งในลอสแอนเจลิส ลาสเวกัส และวิสคอนซิน โดยร้องเพลง "เล็ตส์สเตย์ทูเก็ดเดอร์" และเพลงของเธออีกหลายเพลง ในระหว่างการแสดง เธอสวมชุดที่ทำเลียนแบบใบลงคะแนนเลือกตั้งที่กาช่องเลือกโอบามา[318] ในทวิตเตอร์ เธอเชิญชวนให้ผู้ติดตามเลือกโอบามาด้วย[319] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 เพร์รีรณรงค์ให้สาธารณชนไม่เลือกโทนี แอ็บบอตต์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เพราะว่าเขาต่อต้านการสมรสกับชายรักร่วมเพศ และบอกว่าแอ็บบอตต์ว่า "ฉันรักคุณในฐานะมนุษย์คนหนึ่งแต่ฉันไม่อาจเลือกคุณได้"[320] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2014 เธอเข้าร่วมงานแถลงข่าวทางการเมืองเพื่อสนับสนุนมาเรียน วิลเลียมสัน ในโครงการรณรงค์ของเขตรัฐสภาที่ 33 ของแคลิฟอร์เนีย[321] เพร์รียังสนับสนุนห้อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฮิลลารี คลินตัน ให้เป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2016 ด้วย[322][323] และมอบเงิน US$2,700 ให้กับโครงการรณรงค์ของคลินตัน[324] เธอแสดงในการชุมนุมเพื่อคลินตันที่รัฐไอโอวาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015[325] และแสดงร่วมกับเอลตัน จอห์น ที่คอนเสิร์ตระดมทุนแก่คลินตันที่นครนิวยอร์กในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2016[326] เพร์รีได้กล่าวและแสดงดนตรีในการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครต ค.ศ. 2016 ที่ฟิลาเดลเฟีย เพื่อสนับสนุนฮิลลารี คลินตัน เธอกระตุ้นให้ประชาชนเลือกคลินตัน ให้ความเห็นว่าพวกเขาจะ "มีอำนาจเหมือนกับนักวิ่งเต้นของสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ" และ "จะมีอำนาจเทียบเท่ากับเศรษฐีพันล้าน" ในการเลือกตั้งครั้งนี้[327]
ความสำเร็จแก้ไข
ตลอดอาชีพนักร้องของเธอ เพร์รีได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 5 สาขา[328] รางวัลพีเพิลส์ชอยซ์อะวอดส์ 14 สาขา[329] และบันทึกไว้ในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ 4 หัวข้อ[75][98][282] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2012 บิลบอร์ดขนานนามให้เธอเป็น "ผู้หญิงแห่งปี" (Woman of the Year)[131] เธอมีเพลงอยู่บน 10 อันดับแรกของชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 นานติดต่อกันมากที่สุดถึง 69 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 ถึงกันยายน ค.ศ. 2011[100][330] อัลบั้ม ทีนเอจดรีม เป็นอัลบั้มของนักร้องผู้หญิงอัลบั้มแรกที่มีเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100ได้ทั้งหมด 5 เพลง และเป็นอัลบั้มที่สองรองจากอัลบั้ม แบด ของไมเคิล แจ็กสัน[97] สมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศประกาศให้เธอเป็น ศิลปินหญิงระดับโลกแห่งปี ค.ศ. 2013 (Top Global Female Recording Artist of 2013)[166] นับจนถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 เธอมีเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 ทั้งหมด 9 เพลง เพลงล่าสุดคือ "ดาร์กฮอร์ส"[155] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 มิวสิกวิดีโอเพลง "ดาร์กฮอร์ส" กลายเป็นวิดีโอเพลงของผู้หญิงตัวแรกที่มียอดผู้ชมเกิน 1 พันล้านครั้งในวีโว[331][332] เดือนต่อมา มิวสิกวิดีโอเพลง "โรร์" มียอดผู้ชมเกิน 1 พันล้านครั้งในวีโว ทำให้เธอเป็นนักร้องคนแรกที่มีวิดีโอยอดผู้ชม 1 พันล้านครั้งมากกว่า 1 ตัว[333]
จากข้อมูลของสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา เพร์รีเป็นศิลปินที่มีดิจิตอลซิงเกิลขายดีที่สุดอันดั้บที่สามในสหรัฐ ขายได้ทั้งหมด 83.5 ล้านซิงเกิลผ่านช่องทางออนดีมานด์สตรีมมิง (on-demand streaming)[334] เพลง "ไฟร์เวิร์ก", "อี.ที.", "แคลิฟอร์เนียเกิลส์", "ฮอตเอ็นโคลด์", "โรร์" และ "ดาร์กฮอร์ส" ต่างขายได้ซิงเกิลละมากกว่า 5 ล้านหน่วยดิจิตอล[335] ตลอดอาชีพของเธอ เพร์รีขายเพลงได้ 100 ล้านหน่วยทั่วโลก[336][337] และเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล[283]
ผลงานเพลงแก้ไข
- เคที ฮัดสัน (2001)
- วันออฟเดอะบอยส์ (2008)
- ทีนเอจดรีม (2010)
- ปริซึม (2013)
- วิตนิสส์ (2017)
- สไมล์ (2020)
ผลงานภาพยนตร์แก้ไข
- เดอะสเมิฟส์ (2011)
- เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี (2012)
- เดอะสเมิฟส์ 2 (2013)
- แบรนด์: อะเซกันด์คัมมิง (2015)
- เคที เพร์รี: เดอะพริสมาติกเวิลด์ทัวร์ (2015)
- เคที เพร์รี: เมกกิงออฟเดอะเปปซีซูเปอร์โบวล์ฮาล์ฟไทม์โชว์ (2015)
- เจเรมี สก็อตต์: เดอะพีเพิลส์ดีไซเนอร์ (2015)
- ซูแลนเดอร์ 2 (2016)
ทัวร์แก้ไข
คอนเสิร์ตของตัวเอง
- เฮลโลเคทีทัวร์ (2009)
- แคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์ (2011–2012)
- เดอะพริสมาติกเวิลด์ทัวร์ (2014–2015)
- วิตนิสส์: เดอะทัวร์ (2017–2018)
คอนเสิร์ตร่วมกับศิลปินอื่น
- สเตรนจ์ลีนอร์มัลทัวร์ (2001)
- วาปต์ทัวร์ (2008)
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Perry 2012, 05:23.
- ↑ 2.0 2.1 Friedlander 2012, p. 15
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Graff, Gary (February 21, 2009). "Interview: Katy Perry – Hot N Bold". The Scotsman. สืบค้นเมื่อ February 28, 2009.
- ↑ Cowlin 2014, pp. 11, 51
- ↑ Robinson, Lisa (May 3, 2011). "Katy Perry's Grand Tour". Vanity Fair. Advance Publications. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-25. สืบค้นเมื่อ January 2014.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Martins, Chris (September 4, 2012). "7 Questions With David Hudson: His Movement, The Music & Advice From Big Sister Katy Perry". Spin. SpinMedia. สืบค้นเมื่อ April 30, 2014.
- ↑ Friedlander 2012, p. 7
- ↑ Masley, Ed (January 9, 2015). "Katy Perry talks Super Bowl, Scottsdale childhood". The Arizona Republic. สืบค้นเมื่อ January 9, 2015.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 Wallace, Amy (January 19, 2014). "Katy Perry's GQ Cover Story". GQ. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
- ↑ Grigoriadis, Vanessa (August 19, 2010). "Sex, God & Katy Perry". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-11-13. สืบค้นเมื่อ May 20, 2014.
- ↑ Hudson 2012, p. 27
- ↑ 12.0 12.1 Montgomery, James (June 24, 2008). "Katy Perry Dishes on Her 'Long And Winding Road' From Singing Gospel To Kissing Girls". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ February 15, 2009.
- ↑ "Katy Perry Discusses Evangelical Childhood, Term 'Deviled Eggs' Banned from House". Billboard. May 4, 2011. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
- ↑ 14.0 14.1 Hoffman, Claire (December 9, 2013). "Katy Conquers All". Marie Claire. สืบค้นเมื่อ December 10, 2013.
- ↑ Friedlander 2012, p. 8
- ↑ Hudson 2012, p. 41
- ↑ Friedlander 2012, p. 18
- ↑ Hudson 2012, p. 25
- ↑ Summers 2012, p. 37
- ↑ 20.0 20.1 Hudson, Kathryn (August 29, 2013). "Katy Perry: Elle Canada Interview". Elle. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-23. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
- ↑ Hudson 2012, p. 37
- ↑ Hudson 2012, p. 37
- ↑ Spencer, Amy (January 6, 2010). "Katy Perry (she kisses boys, too!)". Glamour. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ August 9, 2014.
- ↑ Erlewine, Stephen Thomas. "Katy Hudson – Katy Hudson". AllMusic. สืบค้นเมื่อ December 27, 2013.
- ↑ Monroe, Blaire (September 17, 2015). "Remember When Katy Perry Was a Christian Music Artist?". Complex. สืบค้นเมื่อ February 19, 2016.
- ↑ "Katy's tour info". katyhudson.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 16, 2001.
- ↑ Summers 2012, pp. 10–11
- ↑ Price, Deborah Evans (December 1, 2001). "Doors close in Pamplin's beleaguered music division". Billboard. สืบค้นเมื่อ August 6, 2014.
- ↑ Perry 2012, 21:11.
- ↑ 30.0 30.1 30.2 Hirschberg, Lynn (October 22, 2013). "Katy Perry". W. Advance Publications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-25. สืบค้นเมื่อ November 2013.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Perry 2012, 38:33.
- ↑ Conniff, Tamara (December 25, 2004). "I've Stopped Asking for Permission . I'd Rather Ask for Forgiveness". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 25, 2015.
- ↑ Blumenrath, Jan (October 18, 2010). "Interview with Chris Anokute". Hit Quarters. สืบค้นเมื่อ 25 April 2015.
- ↑ "Katy Perry Cover Story". Billboard. July 3, 2010. สืบค้นเมื่อ 25 April 2015.
- ↑ Hochman, Steve (February 15, 2004). "Making a production of it". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ April 25, 2015.
- ↑ Summers 2012, pp. 11–12
- ↑ 37.0 37.1 Summers 2012, p. 11
- ↑ "Mick Jagger says he never hit on 18-year-old Katy Perry". USA Today. October 31, 2013. สืบค้นเมื่อ October 31, 2013.
- ↑ 39.0 39.1 Erlewine, Stephen Thomas. "Katy Perry". AllMusic. สืบค้นเมื่อ February 10, 2016.
- ↑ Music video guest appearances:
- Summers 2012, p. 12
- Rosen, Craig (October 18, 2013). "Katy Perry's Best Moments Undercover". Yahoo! Music. Yahoo!. สืบค้นเมื่อ August 22, 2014.
- Friedlander 2012, p. 46
- ↑ "Correction to the interview with Chris Anokute". HitQuarters. January 21, 2011. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ Mervis, Scott (July 21, 2014). "Katy Perry's star keeps rising". Pittsburgh Post-Gazette. John Robinson Block. สืบค้นเมื่อ July 31, 2014.
- ↑ Friedlander 2012, pp. 58, 61
- ↑ 44.0 44.1 "Interview With Chris Anokute". HitQuarters. October 18, 2010. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ Summers 2012, pp. 38–39
- ↑ Friedlander 2012, p. 61
- ↑ Summers 2012, p. 61
- ↑ Summers 2012, p. 99
- ↑ "I Kissed a Girl". Rolling Stone. July 30, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-08. สืบค้นเมื่อ October 24, 2014.
- ↑ Cohen, Jonathan (August 14, 2008). "Rihanna Topples Katy Perry on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ March 15, 2014.
- ↑ "One of the Boys". Metacritic. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ March 6, 2009.
- ↑ "One of the Boys by Katy Perry". Metacritic. สืบค้นเมื่อ March 6, 2009.
- ↑ "Katy Perry – Chart history: Billboard 200". Billboard. สืบค้นเมื่อ March 2, 2009.
- ↑ Kaufman, Gil (August 26, 2010). "Katy Perry, Fantasia look to unseat Eminem on charts". MTV News. สืบค้นเมื่อ February 28, 2016.
- ↑ "Hot n Cold". Rolling Stone. July 30, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-08. สืบค้นเมื่อ October 24, 2014.
- ↑ 56.0 56.1 56.2 56.3 56.4 56.5 56.6 "Katy Perry – Chart history: The Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
- ↑ "Hot n Cold (Single)". Musicline. GfK Entertainment. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-22. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
- ↑ 58.0 58.1 58.2 58.3 "Katy Perry – Chart history: Billboard Canadian Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
- ↑ "Nederlandse Top 40 – week 01, 2009". Dutch Top 40. สืบค้นเมื่อ July 27, 2014.
- ↑ "Katy Perry — Hot N Cold". Ö3 Austria Top 40. สืบค้นเมื่อ July 27, 2014.
- ↑ "Thinking of You". Rolling Stone. July 30, 2014. สืบค้นเมื่อ April 5, 2017.
- ↑ "Waking Up in Vegas". Rolling Stone. July 30, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-22. สืบค้นเมื่อ October 21, 2014.
- ↑ Kaufman, Gil (January 27, 2009). "The Matrix Drop Long-Lost Album Featuring Katy Perry". MTV News. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ "Katy Perry on Warped 2008: Mosh Pits, Injuries and Andrew WK". Rolling Stone. August 25, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-11-13. สืบค้นเมื่อ April 3, 2014.
- ↑ Kaufman, Gil (November 7, 2008). "Americans Katy Perry, Britney Spears, Kanye West, 30 Seconds To Mars Dominate 2008 MTV EMAs". MTV News. สืบค้นเมื่อ September 13, 2015.
- ↑ "Brit Awards 2009: Full list of winners". The Daily Telegraph. February 18, 2009. สืบค้นเมื่อ November 3, 2015.
- ↑ 67.0 67.1 Hudson 2012, p. 83
- ↑ Ching, Albert (August 5, 2009). "Last Night: No Doubt, Katy Perry, the Sounds at Verizon Wireless Amphitheater". OC Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-21. สืบค้นเมื่อ May 20, 2014.
- ↑ "MTV EMAs Host Katy Perry Brings 'Cabaret' To Berlin". MTV. October 1, 2009. สืบค้นเมื่อ September 13, 2015.
- ↑ MTV Unplugged (Compact Disc). Katy Perry. Capitol Records. 2009.
{{cite AV media notes}}
: CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ Montgomery, James (October 12, 2009). "Katy Perry's MTV Unplugged Album Will Feature Two New Songs". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
- ↑ "Starstrukk (feat. Katy Perry)". iTunes Store. Apple Inc. September 14, 2009. สืบค้นเมื่อ July 23, 2014.
- ↑ "If We Ever Meet Again". Rolling Stone. July 30, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-11-13. สืบค้นเมื่อ November 2, 2014.
- ↑ "Video: Timbaland f/ Katy Perry – 'If We Ever Meet Again'". Rap-Up. January 18, 2010. สืบค้นเมื่อ August 2, 2010.
- ↑ 75.0 75.1 Glenday 2010, p. 405
- ↑ Vena, Jocelyn (August 20, 2008). "Katy Perry Responds To Rumors of Parents' Criticism: 'They Love And Support Me'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ "Katy Perry And Travis Split". MTV News. Viacom. January 5, 2009. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ Vena, Jocelyn (June 4, 2010). "Katy Perry Explains Why She Was Cut From 'Get Him to the Greek'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ February 18, 2012.
- ↑ 79.0 79.1 Ziegbe, Mawuse (September 4, 2010). "Katy Perry, Russell Brand's Love Story Began at the VMAs". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ November 9, 2010.
- ↑ Barrett, Annie (January 27, 2010). "'American Idol': The Kara vs. Katy Lifetime movie". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ Montgomery, James (May 7, 2010). "Katy Perry Debuts New Single 'California Gurls'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ September 21, 2014.
- ↑ Montgomery, James (June 9, 2010). "Katy Perry's 'California Gurls' Makes History in Rise To #1". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
- ↑ Trust, Gary (June 9, 2010). "Katy Perry Speeds To No. 1 on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 9, 2010.
- ↑ "Katy Perry Hits Dublin For X Factor Auditions". MTV News. Viacom. June 28, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-17. สืบค้นเมื่อ June 28, 2010.
- ↑ Greenblatt, Leah (July 22, 2010). "Katy Perry's new single 'Teenage Dream' hits the web". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ September 21, 2014.
- ↑ Pietroluongo, Silvio (September 8, 2010). "Katy Perry's 'Teenage Dream' Dethrones Eminem on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ July 31, 2014.
- ↑ Vena, Jocelyn (May 11, 2010). "Katy Perry To Release Teenage Dream On August 24". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ September 10, 2014.
- ↑ Caulfield, Keith (October 23, 2013). "Katy Perry's 'Prism' Set for No. 1 Debut on Billboard 200 Chart". Billboard. สืบค้นเมื่อ March 15, 2014.
- ↑ "Teenage Dream by Katy Perry". Metacritic. สืบค้นเมื่อ March 15, 2014.
- ↑ Michaels, Sean (July 30, 2013). "Katy Perry announces new album, Prism, on side of golden lorry". The Guardian. สืบค้นเมื่อ June 20, 2016.
- ↑ "2011 JUNO Gala Dinner & Award Winners". Juno Awards. March 26, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-01-27. สืบค้นเมื่อ June 18, 2015.
- ↑ Semigran, Aly (February 8, 2011). "Glee Sets 'Firework' Apart From 'Silly Love Songs'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ September 21, 2014.
- ↑ Pietroluongo, Silvio (December 8, 2010). "Katy Perry's 'Firework' Shines Over Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ December 8, 2010.
- ↑ "FMQB: Radio Industry News, Music Industry Updates, Nielsen Ratings, Music News and more!". FMQB. June 6, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ September 21, 2014.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Trust, Gary (March 30, 2011). "Katy Perry's 'E.T.' Rockets To No. 1 on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ March 30, 2011.
- ↑ "FMQB: Radio Industry News, Music Industry Updates, Nielsen Ratings, Music News and more!". FMQB. June 6, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-01. สืบค้นเมื่อ September 21, 2014.
- ↑ 97.0 97.1 Trust, Gary (August 17, 2011). "Katy Perry Makes Hot 100 History: Ties Michael Jackson's Record". Billboard. สืบค้นเมื่อ August 17, 2011.
- ↑ 98.0 98.1 98.2 Glenday 2013, p. 423
- ↑ Nordyke, Kimberly (November 20, 2011). "AMAs 2011: Katy Perry Surprised With Special Achievement Award". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ November 15, 2015.
- ↑ 100.0 100.1 Trust, Gary (September 7, 2011). "Adele's 'Someone Like You' Soars To No. 1 on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 7, 2011.
- ↑ "Available for Airplay (10/11)". FMQB. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-10. สืบค้นเมื่อ September 22, 2014.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ 102.0 102.1 Lipshutz, Jason (August 9, 2013). "Katy Perry's 10 Biggest Billboard Hits". Billboard. สืบค้นเมื่อ October 21, 2014.
- ↑ Trust, Gary (February 11, 2012). "Katy Perry's' 'Part of Me' Hits iTunes, Radio Monday". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ "Teenage Dream: The Complete Confection". iTunes Store. Apple Inc. March 23, 2012. สืบค้นเมื่อ July 31, 2014.
- ↑ "Top 40/M Future Releases". All Access. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-21. สืบค้นเมื่อ September 22, 2014.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ "Katy Perry — Wide Awake". Top 40 Singles. สืบค้นเมื่อ July 31, 2014.
- ↑ Loynes, Anna. "The Nielsen Company & Billboard's 2011 Music Industry Report". Business Wire. Berkshire Hathaway. สืบค้นเมื่อ January 5, 2012.
- ↑ Grein, Paul (January 19, 2012). "Week Ending Jan. 15, 2012. Songs: The Song That Won't Drop". Yahoo!. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ Lipshutz, Jason (November 18, 2013). "Katy Perry Announces First 'PRISMATIC' World Tour Dates". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ "Top 25 Worldwide Tours (01/01/2011 – 12/31/2011)" (PDF). Pollstar. December 28, 2011. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-29. สืบค้นเมื่อ December 28, 2011.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Vena, Jocelyn (November 7, 2011). "Justin Bieber Parties With Selena Gomez, LMFAO After MTV EMA". MTV News. สืบค้นเมื่อ September 13, 2015.
- ↑ "Rock in Rio 2011: A hora e a vez do pop". Jornal da Cidade de Bauru (ภาษาโปรตุเกส). September 26, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-11. สืบค้นเมื่อ November 5, 2011.
- ↑ Getler, Michael (September 24, 2010). "Was This Show a Must or a Bust(ier)?". PBS. สืบค้นเมื่อ November 27, 2014.
- ↑ "Katy Perry mocks Sesame Street ban". Capital FM. สืบค้นเมื่อ January 14, 2014.
- ↑ Kaufman, Gil (September 27, 2010). "Katy Perry to appear on 'The Simpsons' in December". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ August 19, 2011.
- ↑ Snierson, Dan (September 25, 2010). "Katy Perry to guest star on 'The Simpsons'! Here's your exclusive first look". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ November 27, 2014.
- ↑ Tucker, Ken (February 7, 2011). "How I Met Your Mother: 'Oh Honey'". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ August 27, 2011.
- ↑ "Katy Perry Wins Five People's Choice Awards Including Fave Guest Star for 'How I Met Your Mother'". The Hollywood Reporter. January 11, 2012. สืบค้นเมื่อ February 25, 2014.
- ↑ "The Smurfs (2011)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ November 6, 2011.
- ↑ "The Smurfs". Rotten Tomatoes. Flixster. สืบค้นเมื่อ January 16, 2014.
- ↑ Rutherford, Keith (December 11, 2011). "Katy Perry Hosts 'SNL': The Hits & Misses, Including a Florence Welch Spoof". Billboard. สืบค้นเมื่อ August 8, 2013.
- ↑ Gleiberman, Owen (August 14, 2012). "Katy Perry: Part Of Me". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ September 13, 2015.
- ↑ 123.0 123.1 Zemler, Emily (March 27, 2015). "Katy Perry Premieres Concert TV Special, Explains Why Pop Stars Should Always Play Their Hits". Billboard. สืบค้นเมื่อ July 19, 2015.
- ↑ "Katy Perry: Part of Me (2012)". Rotten Tomatoes. Flixster. สืบค้นเมื่อ August 4, 2012.
- ↑ "Katy Perry: Part of Me". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ August 16, 2012.
- ↑ Howard, Hilary (November 17, 2010). "Beauty Spots". The New York Times. Arthur Ochs Sulzberger, Jr. สืบค้นเมื่อ August 22, 2014.
- ↑ Moraski, Lauren (February 1, 2012). "Katy Perry to perform at Grammy Awards". CBS News. CBS Corporation. สืบค้นเมื่อ August 22, 2014.
- ↑ Sweeney, Mark (January 17, 2012). "Katy Perry becomes a Sim". The Guardian. สืบค้นเมื่อ January 22, 2012.
- ↑ "The Sims 3 Katy Perry's Sweet Treats". Electronic Arts. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 6, 2015. สืบค้นเมื่อ April 3, 2014.
- ↑ Donnelly, Matt (July 25, 2012). "First Look: Katy Perry joins Popchips as its face, an investor". Los Angeles Times. Eddy Hartenstein. สืบค้นเมื่อ July 25, 2012.
- ↑ 131.0 131.1 "Katy Perry: Billboard's Woman of the Year". Billboard. September 25, 2012. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ Ganguly, Prithwish (October 26, 2010). "Katy affirms Brand loyalty". The Times of India. The Times Group. สืบค้นเมื่อ November 9, 2010.
- ↑ Freydkin, Donna (December 30, 2011). "Russell Brand, Katy Perry call it quits". USA Today. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-08. สืบค้นเมื่อ August 7, 2014.
- ↑ Perry 2012, 01:11:49.
- ↑ Saad, Nardine (June 18, 2013). "Katy Perry's First Vogue Cover". Los Angeles Times. Eddy Hartenstein. สืบค้นเมื่อ July 23, 2014.
- ↑ Mary Ward (March 16, 2015). "Documentary reveals Russell Brand and Katy Perry split caused by singer's rising fame". The Sydney Morning Herald. สืบค้นเมื่อ March 16, 2015.
- ↑ 137.0 137.1 Diehl, Matt (September 27, 2013). "Katy Perry's 'PRISM': The Billboard Cover Story". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 27, 2013.
- ↑ Heller, Jill (September 30, 2013). "Katy Perry Contemplated Suicide After Divorcing Russell Brand, Says Split Was A 'Dark Time'". International Business Times. IBT Media. สืบค้นเมื่อ August 7, 2014.
- ↑ "Katy Perry says Russell Brand texted his desire to divorce". United Press International. News World Communications. June 18, 2013. สืบค้นเมื่อ August 21, 2014.
- ↑ "John Mayer Dedicates Song to Katy Perry During Tour Opener". Billboard. July 8, 2013. สืบค้นเมื่อ July 11, 2013.
- ↑ "Katy Perry Won't Rush New Album: "I Know Exactly The Record I Want To Make Next"". Capital. Global Group. December 1, 2012. สืบค้นเมื่อ May 19, 2014.
- ↑ "Katy Perry inspired by Madonna". MTV News. Viacom. June 29, 2012. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ Garibaldi, Christina (August 27, 2013). "Katy Perry 'Lets the Light In' On Prism". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ August 28, 2013.
- ↑ Caulfield, Keith (August 10, 2013). "Katy Perry's 'Roar' Arrives Early: Listen". Billboard. สืบค้นเมื่อ May 19, 2014.
- ↑ Wickman, Kase (August 26, 2013). "Katy Perry Makes Brooklyn 'Roar' With Epic VMA Finale". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ May 19, 2014.
- ↑ Trust, Gary (September 4, 2013). "Katy Perry Dethrones Robin Thicke Atop Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 4, 2013.
- ↑ Benjamin, Jeff (October 16, 2013). "Katy Perry Wails on New Single "Unconditionally"". Fuse. The Madison Square Garden Company. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
- ↑ Trust, Gary (February 17, 2014). "Ask Billboard: Katy Perry Regains No. 1 Momentum". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 27, 2014.
- ↑ 149.0 149.1 Bell, Amanda (August 14, 2015). "Katy Perry Just Gave The Middle Finger Send-Off To Her Prism Era". MTV News. สืบค้นเมื่อ September 13, 2015.
- ↑ "Prism by Katy Perry". Metacritic. สืบค้นเมื่อ November 15, 2013.
- ↑ Caulfield, Keith. "Katy Perry's 'PRISM' Shines at No. 1 on Billboard 200". Billboard. สืบค้นเมื่อ November 9, 2013.
- ↑ Gundersen, Edna (October 22, 2013). "Live stream: Katy Perry's 'Prism' album release party". USA Today. สืบค้นเมื่อ May 22, 2014.
- ↑ Trust, Gary (December 9, 2013). "Perry's 'Dark Horse' Hit". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ December 18, 2013.
- ↑ "Dark Horse (feat. Juicy J)". Rolling Stone. July 30, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-22. สืบค้นเมื่อ October 21, 2014.
- ↑ 155.0 155.1 Trust, Gary (January 29, 2014). "Katy Perry's 'Dark Horse' Gallops to No. 1 on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ January 29, 2014.
- ↑ "CHR/Top 40". Radio & Records. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2014. สืบค้นเมื่อ April 11, 2014.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Strecker, Erin (July 24, 2014). "Katy Perry Releases Lyric Video For New Single 'This Is How We Do'". Billboard. สืบค้นเมื่อ July 24, 2014.
- ↑ Danton, Eric R. (August 13, 2013). "Listen to John Mayer's 'Paradise Valley' Now". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-08-16. สืบค้นเมื่อ August 13, 2013.
- ↑ Gicas, Peter (February 26, 2014). "Katy Perry and John Mayer: Inside Their Relationship's Ups and Downs". E!. NBCUniversal. สืบค้นเมื่อ August 25, 2014.
- ↑ ทัวร์ทำรายได้ได้ US$153.3 ล้าน ในปี ค.ศ. 2014 และ US$51 ล้าน ในปี ค.ศ. 2015
- "2014 Pollstar Year End Top 100 Worldwide Tours" (PDF). Pollstar. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-12-31. สืบค้นเมื่อ February 10, 2016.
- "2015 Pollstar Year End Top 100 Worldwide Tours" (PDF). Pollstar. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-03-08. สืบค้นเมื่อ February 10, 2016.
- ↑ Hampp, Andrew (November 20, 2014). "One Direction, Lionel Richie & Katy Perry Win at Billboard Touring Awards". สืบค้นเมื่อ June 12, 2015.
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help) - ↑ Leopold, Todd (September 30, 2015). "Katy Perry kissed by a girl -- too much". CNN. สืบค้นเมื่อ October 25, 2015.
- ↑ "Katy Perry confirmed to perform at Super Bowl halftime show". CBS News. CBS Corporation. November 23, 2014. สืบค้นเมื่อ November 24, 2014.
- ↑ Reed, Ryan (January 30, 2015). "Missy Elliott and Katy Perry Will Team Up for Super Bowl Halftime Show". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ January 31, 2015.
- ↑ Angert, Alex (February 3, 2015). "Super Bowl XLIX: How Brady, Belichick and Katy Perry's shark ensured the records tumbled". Guinness World Records. สืบค้นเมื่อ November 14, 2015.
- ↑ 166.0 166.1 Brandle, Lars (January 30, 2014). "One Direction Named Most Popular Recording Artist for 2013". Billboard. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
- ↑ "RIAA Crowns Katy Perry Top Certified Digital Artist Ever". Recording Industry Association of America. June 26, 2014. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
- ↑ "Katy Perry Becomes the RIAA's All-Time Top Digital Artist". Billboard. June 26, 2014. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
- ↑ 169.0 169.1 Williams, Maxwell (May 2, 2014). "Katy Perry Featured on Pop Artist Mark Ryden's $100 'Gay Nineties' Album". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ May 3, 2014.
- ↑ "Katy Perry Added to US National Portrait Gallery". Billboard. May 21, 2014. สืบค้นเมื่อ May 29, 2014.
- ↑ Mallenbaum, Carly (November 23, 2015). "Katy Perry debuts new 'Holiday' song in H&M commercial". USA Today. สืบค้นเมื่อ November 23, 2015.
- ↑ "World Premiere: H&M Holiday Featuring Katy Perry" (Press release). H&M. November 9, 2015. สืบค้นเมื่อ November 23, 2015.
- ↑ Lindner, Emilee (June 17, 2014). "Katy Perry Starts Her Own Record Label and Reveals First Signee". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ June 17, 2014.
- ↑ Greenburg, Zack O'Malley (June 2, 2016). "Katy Perry's Net Worth: $125 Million In 2016". Forbes. สืบค้นเมื่อ June 2, 2016.
- ↑ Greenburg, Zack O'Malley (November 2, 2016). "The World's Highest-Paid Women In Music 2016". Forbes. สืบค้นเมื่อ November 4, 2016.
- ↑ "Katy Perry taped background vocals for 'Ooh La La'". United Press International. News World Communications. July 29, 2013. สืบค้นเมื่อ August 8, 2013.
- ↑ "The Smurfs 2 (2013)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ "The Smurfs 2". Rotten Tomatoes. Flixster. สืบค้นเมื่อ January 16, 2014.
- ↑ "Katy Perry Makes Hilarious Cameo on Kroll Show". Maxim. March 26, 2014. สืบค้นเมื่อ July 25, 2014.
- ↑ 180.0 180.1 Reed, Ryan (July 15, 2013). "Katy Perry Names New Perfume After Queen". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-09-11. สืบค้นเมื่อ September 10, 2014.
- ↑ "Katy Perry to Guest Curate Madonna's Art for Freedom Project". Billboard. January 7, 2014. สืบค้นเมื่อ May 26, 2014.
- ↑ Linder, Emilee (June 17, 2015). "Madonna's New Video: Here's Every Blink-And-You-Miss-It Celeb Cameo". MTV News. สืบค้นเมื่อ June 17, 2015.
- ↑ Kinosian, Janet (August 12, 2015). "Katy Perry hopes her Mad Potion fragrance will help you time-travel". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ February 19, 2016.
- ↑ Hipes, Patrick (September 11, 2015). "'Katy Perry: Making Of The Pepsi Super Bowl Halftime Show' Trailer: What 118.5 Million Viewers Didn't See". Deadline.com. สืบค้นเมื่อ September 12, 2015.
- ↑ Scheck, Frank (September 17, 2015). "'Jeremy Scott: The People's Designer': Film Review". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ October 25, 2015.
- ↑ Bryant, Jacob (December 15, 2015). "Glu Mobile's 'Katy Perry Pop' Hopes to Rival Success of 'Kim Kardashian: Hollywood'". Variety. สืบค้นเมื่อ January 4, 2016.
- ↑ Bell, Amanda (October 14, 2015). "'Katy Perry Pop': First Look At Her App". MTV News. สืบค้นเมื่อ October 14, 2015.
- ↑ "Grammys 2017: Katy Perry On The Meaning Behind 'Chained To The Rhythm'". Access Hollywood. February 12, 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 21, 2017. สืบค้นเมื่อ May 5, 2017.
{{cite news}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ "NBC Olympics Features New Katy Perry Anthem "Rise"". NBC Sports. July 14, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 18, 2016. สืบค้นเมื่อ July 14, 2016.
{{cite news}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Ryan, Gavin (July 25, 2016). "Australian Singles: Katy Perry 'Rise' Has A Go At No 1". Noise11.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 25, 2016. สืบค้นเมื่อ July 25, 2016.
{{cite news}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Carroll, Sarah (August 18, 2016). "Katy Perry Is 'Taking Chances' & 'Not Rushing' Her New Music". 97.1 AMP Radio. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 19, 2016. สืบค้นเมื่อ August 19, 2016.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ "Katy Perry Reveals She's 'Experimenting' With New Album, Talks Forthcoming Shoe Collection". On Air with Ryan Seacrest. August 18, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 20, 2016. สืบค้นเมื่อ August 19, 2016.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Perry, Katy. "Chained to the Rhythm (feat. Skip Marley) – Single". iTunes Store. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 14, 2017. สืบค้นเมื่อ February 14, 2017.
- ↑ Aiello, McKenna; Vulpo, Mike (March 5, 2017). "Katy Perry Opens 2017 iHeartRadio Music Awards With a Bunch of Kids and a Dancing Hamster". E!. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 6, 2017. สืบค้นเมื่อ March 6, 2017.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ "Archívum – Slágerlisták – MAHASZ" (ภาษาฮังการี). Rádiós Top 40 játszási lista. April 7, 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 26, 2017. สืบค้นเมื่อ April 27, 2017.
- ↑ Romano, Nick (February 11, 2017). "Katy Perry's 'Chained to the Rhythm' Breaks Spotify Streaming Record". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ February 16, 2017.
- ↑ Tom, Lauren (April 26, 2017). "Katy Perry Unveils 'Bon Appetit' Single Art, Release Date & Migos Feature". Billboard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 27, 2017. สืบค้นเมื่อ April 27, 2017.
{{cite magazine}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Moore, Sam (May 19, 2017). "Listen to Katy Perry's new song 'Swish Swish', featuring Nicki Minaj". NME. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 19, 2017. สืบค้นเมื่อ September 1, 2017.
{{cite magazine}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ "Witness by Katy Perry". Metacritic. สืบค้นเมื่อ June 9, 2017.
- ↑ Caulfield, Keith (June 18, 2017). "Katy Perry Scores Third No. 1 Album on Billboard 200 Chart With 'Witness'". Billboard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 19, 2017. สืบค้นเมื่อ June 18, 2017.
{{cite magazine}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Stutz, Colin (June 9, 2017). "Katy Perry YouTube Live Stream Wraps Monday With Live Concert; James Corden, Sia & More Guests to Pop In". Billboard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 10, 2017. สืบค้นเมื่อ June 10, 2017.
{{cite magazine}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Bell, Sadie (June 15, 2017). "Katy Perry's Witness World Wide Generated Over 49 Million Views". Billboard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 15, 2017. สืบค้นเมื่อ June 16, 2017.
{{cite magazine}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Roth, Madeline (August 17, 2017). "Katy Perry Has Good News And Bad News About Her Witness Tour". MTV News. สืบค้นเมื่อ August 18, 2017.
- ↑ Findlay, Mitch (June 14, 2017). "Calvin Harris Announces Single With Big Sean, Pharrell, & Katy Perry". HotNewHipHop. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-06-22. สืบค้นเมื่อ June 14, 2017.
- ↑ White, Jack (August 11, 2017). "Calvin Harris dethrones Despacito to claim his eighth Number 1 single". Official Charts Company. สืบค้นเมื่อ August 11, 2017.
- ↑ Nolfi, Joey (November 2, 2018). "Katy Perry releases soaring cover of Dear Evan Hansen's Waving Through a Window". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ November 14, 2018.
- ↑ Kaufman, Gil (November 1, 2018). "Katy Perry Re-Recorded 'Dear Evan Hansen' Song 'Waving Through a Window' to Help Launch Show's National Tour: Listen". Billboard. สืบค้นเมื่อ November 14, 2018.
- ↑ Blistein, Jon (November 15, 2018). "Katy Perry Unwraps New Holiday Song 'Cozy Little Christmas'". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ November 15, 2018.
- ↑ Fogel, Stefanie (December 11, 2018). "Katy Perry Joins 'Final Fantasy Brave Exvius' as Playable Character". Variety. สืบค้นเมื่อ December 12, 2018.
- ↑ Watts, Cindy (February 10, 2019). "Dolly Parton honored at Grammys with star-studded tribute from Katy Perry, Miley Cyrus and more". USA Today. สืบค้นเมื่อ February 11, 2019.
- ↑ Bloom, Madison (February 14, 2019). "Zedd and Katy Perry Share New Song and Video '365': Listen". Pitchfork. สืบค้นเมื่อ February 14, 2019.
- ↑ Fernandez, Suzette (April 19, 2019). "Katy Perry Joins Daddy Yankee's 'Con Calma': Listen". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
- ↑ Knapp, Toby (May 31, 2019). "KATY PERRY: Never Really Over... Anthem for US because WE'VE BEEN THERE!". iHeartRadio. สืบค้นเมื่อ May 31, 2019.
- ↑ Smith, Lindsey (August 6, 2019). "Katy Perry Announces New Single 'Small Talk' Out This Friday". iHeartRadio. สืบค้นเมื่อ August 7, 2019.
- ↑ Doty, Meriah. "From Amanpour to Zane: All the Celebrity Cameos in 'Zoolander 2' (Spoilers!)". Yahoo! Movies. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 23, 2016. สืบค้นเมื่อ February 13, 2016.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Ryan, Patrick (February 10, 2016). "Ben Stiller, Owen Wilson put 'Zoolander' back in fashion". USA Today. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 13, 2016. สืบค้นเมื่อ February 13, 2016.
{{cite news}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Mackenzie, Macaela (February 13, 2017). "Katy Perry Just Named a Shoe After Hillary Clinton". Allure. สืบค้นเมื่อ November 19, 2017.
- ↑ Grinberg, Emanuella. "Katy Perry faces criticism over shoes that evoke blackface". CNN. สืบค้นเมื่อ February 13, 2019.
- ↑ Roth, Madeline (July 27, 2017). "Katy Perry Is Ready To Be Your 'Moonwoman' As Host Of The 2017 VMAs". MTV News. สืบค้นเมื่อ July 27, 2017.
- ↑ O'Connell, Michael (August 3, 2017). "'American Idol' Producer Talks Revival Salaries, New ABC Home". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ August 23, 2017.
- ↑ Gelman, Vlada (September 29, 2017). "American Idol Taps Lionel Richie as Third Judge for ABC Revival". Yahoo! Music. สืบค้นเมื่อ October 25, 2017.
- ↑ Enos, Morgan (April 30, 2018). "A Timeline of Katy Perry and Orlando Bloom's Relationship". Billboard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 6, 2018. สืบค้นเมื่อ October 6, 2018.
{{cite magazine}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ O'Kane, Caitlin (February 15, 2019). "Katy Perry and Orlando Bloom get engaged on Valentine's Day". CBS News. สืบค้นเมื่อ February 15, 2019.
- ↑ Zemler, Emily (June 17, 2019). "Watch Taylor Swift Reunite With Katy Perry in 'You Need to Calm Down' Video". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ June 18, 2019.
- ↑ Eggertsen, Chris (July 29, 2019). "Katy Perry Loses 'Dark Horse' Copyright Trial". Billboard. สืบค้นเมื่อ July 31, 2019.
- ↑ "Katy Perry among those ordered to pay a total of $2.78M in song copying lawsuit". Canadian Broadcasting Corporation. August 1, 2019. สืบค้นเมื่อ August 2, 2019.
- ↑ Nickolai, Nick (August 12, 2019). "'Teenage Dream' Co-Star Accuses Katy Perry of Sexual Misconduct". Variety. สืบค้นเมื่อ August 12, 2019.
- ↑ Sabrina Barr (2020-03-05). "Katy Perry pregnant: Singer confirms she is expecting a baby with Orlando Bloom". The Independent.
- ↑ Sanchez, Omar (May 15, 2020). "Katy Perry releases new single 'Daisies' and announces album release date". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ May 24, 2020.
- ↑ "Katy Perry and Orlando Bloom announce birth of first child Daisy Dove Bloom". BBC. August 27, 2020. สืบค้นเมื่อ August 27, 2020.
- ↑ "Smile by Katy Perry". Metacritic. สืบค้นเมื่อ September 10, 2020.
- ↑ Billboard staff (September 9, 2020). "Five Burning Questions: Katy Perry's 'Smile' Debuts at No. 5 on Billboard 200 Albums Chart". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 10, 2020.
- ↑ "Katy Perry on the 180 That Saved Her Career". NPR. October 26, 2013. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
- ↑ Schneider, Marc (May 12, 2012). "Katy Perry Wants a 'Fucking Vacation' After Next Single". Billboard. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
- ↑ "Freddie Mercury inspired Katy Perry to 'Kiss a Girl'". NME. September 26, 2008. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
- ↑ "Katy Perry, The Things They Say". Contactmusic.com. Channel 4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-06. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
- ↑ 237.0 237.1 Wiig, Kristen (March 2, 2012). "Katy Perry". Interview. Brant Publications. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
- ↑ 238.0 238.1 238.2 Mitchell, Gail (November 30, 2012). "Katy Perry Q&A: Billboard's Woman of the Year 2012". Billboard. สืบค้นเมื่อ November 30, 2012.
- ↑ 239.0 239.1 Michaels, Sean. "Katy Perry wants to go folk acoustic – in style of Joni Mitchell". The Guardian. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
- ↑ Dinh, James (April 6, 2012). "Katy Perry's 'Part of Me' Film Inspired By Madonna". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ Newman, Melinda (April 22, 2010). "Katy Perry dishes details on new dance-fueled album". HitFix. สืบค้นเมื่อ March 30, 2016.
- ↑ Vena, Jocelyn (September 22, 2009). "Katy Perry wants to make new music her fans can 'roller-stake' to". MTV News. สืบค้นเมื่อ March 25, 2016.
- ↑ Ryan, Chris (March 30, 2010). "What Will Katy Perry's New Album Sound Like? Check Out 5 Video Clues". MTV News. สืบค้นเมื่อ March 26, 2016.
- ↑ "Katy Perry praises "really great" Pink – Music News". Digital Spy. August 15, 2009. สืบค้นเมื่อ December 5, 2013.
- ↑ Friedlander 2012, p. 123
- ↑ "Katy Perry's 'California Dreams' Tour: What the Critics Are Saying". The Hollywood Reporter. June 19, 2011. สืบค้นเมื่อ August 6, 2014.
- ↑ Rutherford, Kevin (October 22, 2013). "Katy Perry Reveals 'Prism' Influences, Adds Stripped-Down Performances at Album Release Event". Billboard. สืบค้นเมื่อ December 9, 2013.
- ↑ Woods, Vicki (June 2013). "Katy Perry's First Vogue Cover". Vogue. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-07-26. สืบค้นเมื่อ July 2013.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Musical genres of Katy Hudson and One of the Boys:
- Friedlander 2012, p. 20
- Merritt, Stephanie (September 14, 2008). "Pop review: Katy Perry, One of the Boys". The Guardian. สืบค้นเมื่อ August 6, 2014.
- Erlewine, Stephen Thomas. "One of the Boys – Katy Perry". AllMusic. สืบค้นเมื่อ July 25, 2014.
- ↑ 250.0 250.1 Sheffield, Rob (August 23, 2010). "Teenage Dream". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-06. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
- ↑ Trust, Gary (September 9, 2013). "Katy Perry's Future 'Prism' Hits: Industry Picks". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 19, 2013.
- ↑ Reed, James (October 20, 2013). "Perry shows many colors on 'Prism'". Boston Globe. Christopher Mayer. สืบค้นเมื่อ February 7, 2014.
- ↑ Wallace, Amy (January 19, 2014). "Katy Perry's GQ Profile Outtakes: Going Back to School, Dating Musicians, and Plastic Surgery". GQ. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ February 2014.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Kot, Greg (October 20, 2013). "Katy Perry album review; Prism reviewed". Chicago Tribune. Tony W. Hunter. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
- ↑ Pareles, Jon; Ratliff, Ben; Carmanica, Jon; Chinen, Nate (September 6, 2013). "Fall Pop Music Preview: An Abundance of Rhythms and Styles". The New York Times. Arthur Ochs Sulzberger, Jr. สืบค้นเมื่อ August 7, 2014.
- ↑ Roberts, Randall (October 22, 2013). "Review: Hits pack Katy Perry's 'Prism'". Los Angeles Times. Eddy Hartenstein. สืบค้นเมื่อ February 4, 2014.
- ↑ Vena, Jocelyn. "Selena Gomez 'Had To Fight' To Get Katy Perry Song 'Rock God'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ September 22, 2010.
- ↑ When the Sun Goes Down. Selena Gomez & the Scene. Hollywood Records. 2011.
{{cite AV media notes}}
: CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ Jessie James. Jessie James. Mercury Records/The Island Def Jam Music Group. 2009.
{{cite AV media notes}}
: CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ All I Ever Wanted. Kelly Clarkson. RCA Records/19 Recordings. 2009.
{{cite AV media notes}}
: CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ Castellanos, Melissa (September 26, 2008). "Second Cup Cafe: Lesley Roy". CBS News. CBS Corporation. สืบค้นเมื่อ May 24, 2014.
- ↑ Garibaldi, Christina (December 4, 2013). "Britney Spears Explains How 'Amazing' Katy Perry Ended Up On Britney Jean". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ August 25, 2014.
- ↑ The New Classic. Iggy Azalea. The Island Def Jam Music Group. 2014.
{{cite AV media notes}}
: CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ The Pinkprint. Nicki Minaj. Universal Music Group. 2014.
{{cite AV media notes}}
: CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ Grewal, Samar (October 9, 2008). "Review: Katy Perry – One of the Boys". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ March 16, 2014.
- ↑ Mirkin, Steven (February 1, 2009). "Review: 'Katy Perry'". Variety. สืบค้นเมื่อ March 16, 2014.
- ↑ Clarke, Betty (October 1, 2013). "Katy Perry – review". The Guardian. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
- ↑ Harvey, Darren (September 15, 2008). "Katy Perry – One of the Boys". musicOMH. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
- ↑ Miller, Alex. "NME Album Reviews – Katy Perry". NME. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
- ↑ McNulty, Bernadette (October 1, 2013). "Katy Perry, iTunes Festival, Roundhouse, review". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
- ↑ George, Kat (May 24, 2014). "Does Madonna Need Katy Perry More Than Katy Perry Needs Madonna?". Vice. สืบค้นเมื่อ May 29, 2014.
- ↑ "Katy Perry tops Maxim's Hot 100 list". CNN. Turner Broadcasting System. May 10, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-22. สืบค้นเมื่อ October 21, 2014.
- ↑ "The Hottest Women of 2013". Men's Health. Rodale, Inc. January 2013. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ 274.0 274.1 Apodaca, Rose. "Katy Perry's Interview – Quotes from Katy Perry". Harper's Bazaar. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
- ↑ Larson, John (September 14, 2010). "Katy Perry // "Teenage Dream"". Tacoma Weekly. Pierce County Community Newspaper Group. สืบค้นเมื่อ June 19, 2013.
- ↑ Menyes, Carolyn (July 12, 2012). "Katy Perry Asked to Ditch Hazardous Peppermint Bra". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 19, 2013.
- ↑ "Fashion Fireworks: Katy Perry's Best Performance Looks". Vogue. Advance Publications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-21. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
- ↑ Lyons Powell, Hannah. "Katy Perry's Changing Style and Fashion". Glamour. Advance Publications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-19. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
- ↑ "Find Out What Influences Katy Perry's Cute Style!". Seventeen. February 5, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 8, 2009. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ Young, Katy (October 1, 2013). "Katy Perry reveals her perfume preferences". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ October 1, 2013.
- ↑ Hollister, Sean (November 3, 2013). "Katy Perry passes Justin Bieber as most popular person on Twitter". The Verge. สืบค้นเมื่อ November 4, 2013.
- ↑ 282.0 282.1 Grow, Kory (September 4, 2014). "Wherever They May Roam: Metallica Set Guinness World Record for Touring". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-09-05. สืบค้นเมื่อ September 4, 2014.
- ↑ 283.0 283.1 McIntyre, Hugh (July 1, 2016). "Katy Perry Just Hit 90 Million Twitter Followers. Is 100 Million Coming Soon?". Forbes. สืบค้นเมื่อ July 2, 2016.
- ↑ Pomerantz, Dorothy. "Katy Perry – In Photos: Social Networking Superstars". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
- ↑ Gundersen, Edna (October 21, 2013). "Katy Perry tells how to 'tame the social media dragon'". USA Today. สืบค้นเมื่อ February 7, 2014.
- ↑ Greenburg, Zack O'Malley (December 14, 2011). "The Top-Earning Women In Music 2011". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ December 14, 2011.
- ↑ Greenburg, Zack O'Malley (December 12, 2012). "The Top-Earning Women In Music 2012". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ December 12, 2012.
- ↑ Greenburg, Zack O'Malley (December 11, 2013). "The Top-Earning Women In Music 2013". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ December 11, 2013.
- ↑ Greenburg, Zack O'Malley (November 4, 2014). "The Top-Earning Women In Music 2014". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ November 27, 2014.
- ↑ 2015 Forbes rankings:
- Greenburg, Zack O'Malley (June 29, 2015). "How Katy Perry Became America's Top Pop Export". Forbes. สืบค้นเมื่อ June 30, 2015.
- ↑ "Katy Perry teams up with UNICEF and visits children in Madagascar". UNICEF. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-11-04. สืบค้นเมื่อ April 7, 2013.
- ↑ "Katy Perry is UNICEF's newest Goodwill Ambassador". UNICEF. December 3, 2013. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
- ↑ Ryan, Reed (January 15, 2014). "Katy Perry Cues Up 'Prismatic' World Tour". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-07. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
- ↑ "Boys Hope/Girls Hope". American Broadcasting Company. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 18, 2014. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
- ↑ Trakin, Roy (June 12, 2014). "Katy Perry and Staples 'Make Roar Happen' to Help Support Teachers". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 18, 2014.
- ↑ "UNICEF Goodwill Ambassador Katy Perry meets children facing immense challenges in Viet Nam". UNICEF. June 1, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-02. สืบค้นเมื่อ June 2, 2016.
- ↑ "2016 UNICEF Snowflake Ball to Honor UNICEF Goodwill Ambassador Katy Perry and Philanthropist Moll Anderson". UNICEF. June 23, 2016. สืบค้นเมื่อ June 23, 2016.
- ↑ "The Keep A Breast Foundation". Keep A Breast Foundation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-07-03. สืบค้นเมื่อ May 20, 2014.
- ↑ Aguila, Justino (October 24, 2013). "Katy Perry Hosts Famous Friends, Previews Next Tour at Hollywood Bowl: Live Review". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
- ↑ Vena, Jocelyn. "Katy Perry, Tokio Hotel Join H&M for Fashion Against AIDS". MTV News. Viacom. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-08. สืบค้นเมื่อ March 14, 2014.
- ↑ Myers, Alexandra (February 16, 2012). "Katy Perry donates proceeds from new single to charity". Yahoo! News. สืบค้นเมื่อ May 25, 2014.
- ↑ "Katy Perry Celebrates Over $175K Raised for Charity on Her California Dreams Tour through Tickets-for-Charity" (PDF). Children's Health Fund. December 8, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-09-23. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
- ↑ "Katy Perry Asks For Charity Donations To Mark Birthday". Contactmusic.com. Channel 4. October 26, 2011. สืบค้นเมื่อ November 11, 2011.
- ↑ Davidson, Danica. "Sweet Treat: Katy Perry asks for Charitable Donations for her 28th Birthday". MTV. accessdate=June 27, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-02. สืบค้นเมื่อ 2014-08-16.
{{cite web}}
: ไม่มี pipe ใน:|publisher=
(help) - ↑ Daunt, Tina (March 31, 2014). "Katy Perry, Pharrell Williams Help Raise $2.4 Million for MOCA". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 10, 2014.
- ↑ "One Love Manchester: What you need to know". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2017-06-04. สืบค้นเมื่อ 2017-06-04.
- ↑ "High profile support: Other messages". Stonewall. November 17, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-04-14. สืบค้นเมื่อ March 13, 2014.
- ↑ Mapes, Jillian (October 28, 2010). "Katy Perry Dedicates Leaked 'Firework' Video to LGBT Campaign". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
- ↑ "Katy Perry talks about gay rights in interview with CGG". Do Something. November 4, 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-06. สืบค้นเมื่อ November 5, 2011.
- ↑ Hauser, Brooke (June 28, 2012). "Katy Perry Celebrates Her Independence". Parade. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
- ↑ "Katy Perry Accepts Hero Award From Trevor Project". Contactmusic.com. Channel 4. December 3, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-24. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
- ↑ Stampler, Laura (March 18, 2014). "Katy Perry: Maybe I am a Feminist After All". Time. สืบค้นเมื่อ June 16, 2014.
- ↑ Levinson, Lauren (April 16, 2013). "Watch: Beyoncé, Blake Lively, Katy Perry, and More Unite in Chime for Change Video". Elle. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
- ↑ "Katy Perry Talks Body Image, Fame, and Politics in Rolling Stone Cover Story". Rolling Stone. June 22, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-07. สืบค้นเมื่อ February 16, 2014.
- ↑ "An Open Letter to Congress from the Music Industry". Billboard. June 23, 2016. สืบค้นเมื่อ June 23, 2016.
- ↑ Porter, Amber (Oct 8, 2012). "Katy Perry Nails it for Obama". ABC News. The Walt Disney Company. สืบค้นเมื่อ November 4, 2012.
- ↑ Strecker, Erin (November 1, 2012). "Katy Perry performing another free concert at Obama rally". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ November 4, 2012.
- ↑ Strecker, Erin. "Katy Perry performs at third President Obama rally in Wisconsin". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ February 9, 2014.
- ↑ Nessif, Bruna (November 5, 2012). "K2012 Election: Katy Perry, George Lopez, Rashida Jones, and More Take to Twitter to Get Out the Vote". E!. NBCUniversal. สืบค้นเมื่อ February 16, 2014.
- ↑ "Katy Perry confronts Tony Abbott on gay marriage". The Daily Telegraph. August 15, 2013. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
- ↑ Schwiegershausen, Erica (April 9, 2014). "Katy Perry Exposed a Springy Strip of Upper Belly". New York. New York Media, LLC. สืบค้นเมื่อ April 9, 2014.
- ↑ "Katy Perry Offers to Write Hillary Clinton Campaign Theme Song". The Hollywood Reporter. June 22, 2014. สืบค้นเมื่อ August 21, 2015.
- ↑ Todd, Bridget (June 13, 2015). "Celebs show they are ready for Hillary by embracing her logo". MSNBC. สืบค้นเมื่อ August 21, 2015.
- ↑ "Page By Page Report Display For 201510159003054880". Federal Election Commission. p. 14954. สืบค้นเมื่อ October 25, 2015.
- ↑ "Katy Perry to Rally Hillary Clinton Supporters in Iowa". Billboard. October 10, 2015. สืบค้นเมื่อ June 3, 2016.
- ↑ Claiborne, Matthew (March 3, 2016). "Katy Perry, Elton John Perform at Hillary Clinton Fundraiser In New York". ABC News. สืบค้นเมื่อ June 3, 2016.
- ↑ Grant, Sarah (July 28, 2016). "Watch Katy Perry 'Rise' and 'Roar' for Hillary Clinton at DNC". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-07-30. สืบค้นเมื่อ July 29, 2016.
- ↑ American Music Awards for Katy Perry:
- Dinh, James (November 20, 2011). "Katy Perry Strips Down 'One That Got Away' At AMAs". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 26, 2014.
- "AMAs 2012: Full Winners List". Billboard. November 18, 2012. สืบค้นเมื่อ April 26, 2014.
- Fekadu, Mesfin (November 23, 2014). "One Direction, Katy Perry win big at American Music Awards". The Boston Globe. สืบค้นเมื่อ November 23, 2014.
- ↑ People's Choice Awards for Katy Perry:
- "People's Choice Awards 2009 Nominees". CBS Corporation. สืบค้นเมื่อ April 27, 2014.
- "People's Choice Awards 2011 Nominees". CBS Corporation. สืบค้นเมื่อ April 27, 2014.
- "People's Choice Awards 2012 Nominees". CBS Corporation. สืบค้นเมื่อ April 27, 2014.
- "People's Choice Awards 2013 Nominees". CBS Corporation. สืบค้นเมื่อ April 27, 2014.
- "People's Choice Awards 2014 Nominees". CBS Corporation. สืบค้นเมื่อ April 27, 2014.
- ↑ Trust, Gary (May 12, 2011). "Katy Perry Celebrates Year in Hot 100's Top 10". Billboard. สืบค้นเมื่อ May 13, 2011.
- ↑ Strecker, Erin (June 10, 2015). "Katy Perry's 'Dark Horse' Passes 1 Billion Vevo Views". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 10, 2015.
- ↑ Kaufman, Gil (June 9, 2015). "Katy Perry Just Beat Taylor Swift To A Huge Milestone". MTV News. สืบค้นเมื่อ June 9, 2015.
- ↑ "Katy Perry's 'Roar' Video Surpasses 1 Billion Vevo Views". iHeartRadio. July 10, 2015. สืบค้นเมื่อ August 6, 2015.
- ↑ "RIAA – Top Artists (Digital Singles)". Recording Industry Association of America. สืบค้นเมื่อ August 21, 2015.
- ↑ Grein, Paul (May 21, 2014). "MJ Makes Hot 100 History". Yahoo! Music. Yahoo!!!. สืบค้นเมื่อ May 21, 2014.
- ↑ "The Wild World of User Generated Content and Streaming". Association of Independent Music Publishers. November 15, 2012. สืบค้นเมื่อ June 29, 2016.
- ↑ Adejobi, Alicia (September 13, 2016). "How Katy Perry became the most-followed celebrity on Twitter with 92.7 million fans". International Business Times. สืบค้นเมื่อ September 15, 2016.