การปฏิวัติฝรั่งเศส
การปฏิวัติฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Révolution française) ระหว่างปี 1789-1799 เป็นยุคสมัยแห่งกลียุค ทางสังคมและการเมืองที่เปลี่ยนถึงรากฐานในฝรั่งเศสซึ่งมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อฝรั่งเศสและยุโรปที่เหลือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ปกครองฝรั่งเศสมาหลายศตวรรษล่มสลายลงใน 3 ปี สังคมฝรั่งเศสผ่านการปฏิรูปขนาดใหญ่ โดยเอกสิทธิ์ในระบบเจ้าขุนมูลนาย ของอภิชนและของนักบวชถูกกำจัดหมดสิ้นไปภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มการเมืองฝ่ายสาธารณรัฐนิยม ฝูงชนบนท้องถนน และชาวไร่ในชนบท[1] แนวคิดดั้งเดิมที่เกี่ยวกับจารีตประเพณีและลำดับชั้นบังคับบัญชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจและฐานันดรของกษัตริย์ อภิสิทธิชน และนักบวชในศาสนา ถูกโค่นล้มอย่างฉับพลัน และถูกแทนที่โดยอุดมคติของความเสมอภาค ความเป็นพลเมือง และสิทธิที่ไม่อาจถูกพรากได้ (inalienable rights) อันเป็นหลักการใหม่แห่งยุคเรืองปัญญา การปฏิวัติฝรั่งเศสก่อให้เกิดผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทิศทางของประวัติศาสตร์สมัยใหม่ นำไปสู่ความเสื่อมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั่วโลก นักประวัติศาสตร์ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
การปฏิวัติฝรั่งเศส Révolution française | |
---|---|
![]() การประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส | |
วันที่ | 5 พฤษภาคม 1789 – 9 พฤศจิกายน 1799 (10 ปี 6 เดือน 4 วัน) |
ผล |
|
ประเทศฝรั่งเศส |
![]() บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ: |
|
ร่วมสมัย
|
ประเทศอื่นๆ · แผนที่ |
การปฏิวัติฝรั่งเศสเริ่มต้นใน 1789 ด้วยการเรียกประชุมสภาฐานันดรในเดือนพฤษภาคม ในเดือนมิถุนายนปีแรกของการปฏิวัติ เกิดเหตุการณ์สำคัญเมื่อสมาชิกฐานันดรที่สามประกาศคำปฏิญาณสนามเทนนิส ว่าจะไม่ยอมถอนตัวจนกว่าจะไม่ยอมสลายตัวจนกว่ามอบรัฐธรรมนูญให้แก่ประเทศได้ การทลายคุกบัสตีย์เกิดขึ้นตามมาในเดือนกรกฎาคม คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองในเดือนสิงหาคม และการเดินขบวนสู่แวร์ซายซึ่งบังคับให้ราชสำนักกลับไปยังกรุงปารีสในเดือนตุลาคม เหตุการณ์ในปีถัด ๆ มาแสดงถึงความตึงเครียดระหว่างสมัชชาเสรีนิยมต่าง ๆ และกษัตริย์ทางฝ่ายขวาซึ่งแสดงเจตนาขัดขวางการปฏิรูปใหญ่
ต่อมามีการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐในเดือนกันยายน 1792 และพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกประหารชีวิตในปีถัดมา นอกจากนี้ภัยคุกคามจากนอกประเทศในระหว่างนั้น ยังมีบทบาทครอบงำในพัฒนาการของการปฏิวัติ สงครามปฏิวัติฝรั่งเศสเริ่มขึ้นใน 1792 และสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของฝรั่งเศสที่สามารถการพิชิตคาบสมุทรอิตาลี กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำและดินแดนส่วนใหญ่ทางตะวันตกของแม่น้ำไรน์ อันเป็นความสำเร็จซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสแต่ก่อนทำไม่ได้มาหลายศตวรรษ
สำหรับสถานการณ์ในประเทศ กระแสความตื่นตัวและอารมณ์ของประชาชนได้เปลี่ยนทิศทางของการปฏิวัติจนลึกลงไปถึงรากฐาน ซึ่งปูทางให้กับการขึ้นสู่อำนาจของมักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ และสโมสรฌากอแบ็ง (Jacobins) และกลายมาเป็นเผด็จการโดยแท้ภายใต้คณะกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวมระหว่างสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว ในระหว่างปี 1793 ถึง 1794 มีผู้ถูกสังหารถึงระหว่าง 16,000 ถึง 40,000 คน[2] หลังกลุ่มฌากอแบ็งเสื่อมอำนาจและรอแบ็สปีแยร์ถูกประหารชีวิต คณะดีแร็กตัวร์ (Directoire) เข้าควบคุมประเทศฝรั่งเศสใน 1795 การปฏิวัติสิ้นสุดลงเมื่อนายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต ก่อรัฐประหาร 18 บรูว์แมร์ ล้มล้างคณะดีแร็กตัวร์ และตั้งคณะกงสุล (Consulat) ในปีวันที่ 10 พฤศจิกายน 1799
การปฏิวัติฝรั่งเศสนำมาซึ่งยุคใหม่ของฝรั่งเศส การเติบโตของระบอบสาธารณรัฐและประชาธิปไตยเสรีนิยม การแผ่ขยายของลัทธิฆราวาสนิยม การพัฒนาอุดมการณ์สมัยใหม่ และการปรากฏขึ้นของสงครามเบ็ดเสร็จ[3] ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส เหตุการณ์สืบเนื่องสำคัญหลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ได้แก่ สงครามนโปเลียน การฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์ถัดมาอีกสองวาระต่างหากจากกัน และการปฏิวัติอีกสองครั้ง (1830 และ 1848) ขณะที่ฝรั่งเศสสมัยใหม่ก่อร่างขึ้น
สาเหตุแก้ไข
มูลเหตุของการปฏิวัติฝรั่งเศสมีความซับซ้อนและยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ชี้ไปที่เหตุการณ์ และปัจจัยภายในต่าง ๆ ของระบอบเก่า (Ancien Régime) จำนวนหนึ่งว่าเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การปฏิวัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยทางเศรษฐกิจรวมถึงความหิวโหยและทุพโภชนาการในประชากรกลุ่มที่ยากแค้นที่สุด อันเนื่องมาจากราคาขนมปังที่สูงขึ้น หลังจากการเก็บเกี่ยวธัญพืชที่ให้ผลไม่ดีหลายปีติดต่อกัน ซึ่งบางส่วนเกิดจากสภาพอากาศผิดปกติจากสภาพความหนาวเย็นผิดฤดู ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกิจกรรมของภูเขาไฟที่ลากีและกริมสวอทน์ใน 1783-1784 ประกอบกับราคาอาหารที่สูงขึ้น และระบบการขนส่งที่ไม่เพียงพอซึ่งขัดขวางการส่งสินค้าอาหารปริมาณมากจากพื้นที่ชนบทไปยังศูนย์กลางประชากรขนาดใหญ่ ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้สังคมฝรั่งเศสขาดเสถียรภาพในช่วงก่อนการปฏิวัติอย่างยิ่ง[4][5]
สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ ภาวะใกล้จะล้มละลายของรัฐบาลจากค่าใช้จ่ายในสงครามที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมรบจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเจ็ดปีและสงครามปฏิวัติอเมริกา สงครามใหญ่เหล่านี้ก่อหนี้จำนวนมหาศาลให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงจากการสูญเสียการครอบครองพื้นที่อาณานิคมของฝรั่งเศสในทวีปอเมริกาเหนือ และการครอบงำทางพาณิชย์ของบริเตนใหญ่ที่เพิ่มขึ้น ทั้งระบบการเงินที่ไม่มีประสิทธิภาพและล้าสมัยของฝรั่งเศสก็ไม่สามารถจัดการกับหนี้สาธารณะได้ ทางรัฐบาลพยายามจะแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม แต่ลักษณะการเก็บภาษีเป็นแบบถดถอย (regressive) กล่าวคือยิ่งมีรายได้มากภาระการจ่ายภาษียิ่งลดลง วิธีการเก็บภาษีดังกล่าวนอกจากจะล้าสมัยแล้ว ยังทวีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มขึ้นไปอีก[6][7] เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติการคลังเช่นนี้ กษัตริย์ฝรั่งเศสจึงทรงเรียกประชุมสภาฐานันดรขึ้นตามคำแนะนำของสภาอภิชนในปี 1787
สำหรับปัจจัยทางการเมือง เยือร์เกิน ฮาเบอร์มาส นักปรัชญาชาวเยอรมันอธิบายว่าเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของ "พื้นที่สาธารณะ" ที่กำลังเกิดขึ้นในฝรั่งเศสและยุโรปในช่วง ศ.ที่หนึ่ง8[8] โดยก่อนหน้านี้ (ศตวรรษที่หนึ่ง7) ฝรั่งเศสมีจารีตประเพณีการปกครองที่แยกชนชั้นปกครองออกจากชนชั้นที่ถูกปกครองอย่างชัดเจน ฝ่ายชนชั้นปกครองของฝรั่งเศสเป็นผู้ยึดกุมพื้นที่สาธารณะอย่างสิ้นเชิง และมุ่งจะแสดงออกถึงอำนาจทางการเมืองผ่านทางวัตถุ โดยการสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะที่ใหญ่โต หรูหรา และมีราคาแพง[9] เช่น พระราชวังแวร์ซาย ซึ่งถูกสร้างให้อาคันตุกะต้องมนต์ของความงดงามอลังการ และเพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งอำนาจที่เกรียงไกรของราชอาณาจักรฝรั่งเศสในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แต่พอถึงศตวรรษที่ 18 ประชาชนเริ่มมีความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น การรู้หนังสือในหมู่ราษฎรมีเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจเอกสารสิ่งพิมพ์มีความคึกคัก มีการพบปะพูดคุยและเปลี่ยนความคิดเห็นและข่าวสารตามร้านกาแฟ ร้านหนังสือพิมพ์ และโรงช่างฝีมือในกรุงปารีส จนเกิดเป็นพื้นที่สาธารณะนอกการควบคุมของรัฐ และมีศูนย์กลางอยู่ที่ปารีสแทนที่จะเป็นแวร์ซาย[10] กรณีพิพาทบูฟง (Querelle des Bouffons) ในปี 1750 เป็นเหตุการณ์แรก ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าความเห็นของสาธารณะมีความสำคัญ แม้แต่ในเรื่องรสนิยมทางดนตรีซึ่งเคยเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมของชนชั้นสูง หลังจากนั้นความเชื่อว่าทัศนะของสาธารณชน (แทนที่จะเป็นราชสำนัก) มีสิทธิที่จะตัดสินปัญหาทางวัฒนธรรมก็พัฒนาไปสู่ความต้องการของสาธารณะที่จะชี้ขาดปัญหาทางการเมืองในเวลาต่อมา
เหตุการณ์ช่วงต้นแก้ไข
วิกฤติการคลังแก้ไข
ปี 1774 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ขึ้นครองราชบัลลังก์ท่ามกลางวิกฤติการคลัง ฝรั่งเศสประสบภาวะขาดดุลงบประมาณติดต่อกันจนรัฐบาลเกือบล้มละลาย[11] ซึ่งมีสาเหตุมาจากการมีส่วนในสงครามเจ็ดปีและสงครามปฏิวัติอเมริกา[12] ขุนคลังเอกตูร์โก (Turgot) พยายามแก้ปัญหาได้บ้าง แต่เนื่องจากไปแตะเรื่องเอกสิทธิ์มากเกินไปจึงถูกพวกในราชสำนักรวมหัวบีบให้เขาลาออกเมื่อพฤษภาคม 1776 จนกระทั่งในปีต่อมา ฌัก แนแกร์ (Necker) นายธนาคารชาวสวิสได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการพระคลังหลวง เนื่องจากแนแกร์นับถือโปรเตสแตนท์ ขณะที่ราชสำนักฝรั่งเศสนับถือโรมันคาทอลิก แนแกร์จึงดำรงตำแหน่งขุนคลังเอกอย่างเต็มตัวไม่ได้[13]
แนแกร์ตระหนักดีว่าระบบอัตราภาษีแบบถดถอยสร้างภาระหนักหนาต่อชนชั้นล่างเกินไป[13] ขุนนางและพระได้รับการยกเว้นภาษีมากมายไปหมด[14] แนแกร์เห็นว่าประเทศไม่สามารถเก็บเพิ่มอัตราภาษีสูงกว่านี้แล้ว ควรลดรายการภาษีที่ได้รับการยกเว้นของขุนนางและพระ และยังเสนอให้ราชสำนักทำการกู้เงินเพื่อผ่านวิกฤติการคลังครั้งนี้ เขาตีพิมพ์รายงานฉบับหนึ่งเพื่อสนับสนุนความคิดนี้ และเสนอให้ลดอำนาจของกลุ่มสภาอำมาตย์ที่เรียกว่า ปาร์เลอมง (Parlements)[13] สภาอำมาตย์เหล่านี้มีทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีอำนาจวินิจฉัยตัดสินคดีความต่างๆ และยังมีอำนาจรับรองนโยบายของรัฐบาลให้เป็นกฎหมาย
นโยบายการปฏิรูปของแนแกร์ถูกต่อต้านและขัดขวางโดยราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ แนแกร์ต้องการตำแหน่งนี้สูงกว่านี้ และร้องขอให้ทรงแต่งตั้งเขาเป็นขุนคลังเอกเต็มตัว พระเจ้าหลุยส์ทรงปฏิเสธ ท้ายที่สุด แนแกร์จึงลาออกในเดือนพฤษภาคม 1781 จนกระทั่งราชสำนักได้มือดีอย่างกาลอน (Calonne) มาในปี 1783[13] ในช่วงแรกกาลอนมีท่าทีใจกว้างต่อราชสำนัก แต่ไม่นานเขาก็ตระหนักถึงสถานการณ์ความเลวร้ายทางด้านการคลัง และเสนอประมวลกฎหมายภาษีฉบับใหม่[15] เนื่องจากร่างกฎหมายภาษีฉบับใหม่จะทำให้ขุนนางและพระเสียภาษีที่ดิน จึงตกเป็นที่ต่อต้านโดยสภาอำมาตย์ กาลอนนำเรื่องเข้าสภาอภิชนแต่ถูกต่อต้านและทำให้ตัวกาลอนตกอยู่ในสถานะลำบากเสียเอง เหล่าขุนนางเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนด้วย ดังนั้นสภาที่ควรจะตัดสินเรื่องนี้จึงควรเป็นสภาฐานันดร (États généraux)
กาลอนตัดสินใจลาออกในเดือนพฤษภาคม 1787 และผู้มาแทนที่คือบรีแยน (Brienne) ร่างกฎหมายที่บรีแยนเสนอต่อสภาอภิชน (Assemblée des notables) นั้นแทบไม่แตกต่างจากของกาลอนเลย ต่างแต่มีการยกเว้นภาษีเหนือที่ดินโบสถ์เท่านั้น แน่นอนว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกตีตกโดยสภาอภิชน บรีแยนพยายามอุทธรณ์ร่างกฎมหายนี้ไปยังสภาอำมาตย์ปารีส แม้สภาอำมาตย์ปารีสจะเห็นชอบในหลักการ แต่ก็พูดเหมือนสภาอภิชนว่ามีเพียงสภาฐานันดรเท่านั้นที่มีอำนาจผ่านร่างกฎหมายที่ส่งผลเปลี่ยนแปลงสังคมขนาดนี้
ในเดือนสิงหาคม 1788 พระเจ้าหลุยส์ทรงเรียกแนแกร์มารับตำแหน่งในราชสำนัก เชื่อกันว่าพระนางมารีอ็องตัวแน็ตมีส่วนช่วยให้แนแกร์กลับมามีอำนาจ[16] แนแกร์ยืนกรานขอตำแหน่งขุนคลังเอก (Contrôleur général des finances) พระเจ้าหลุยส์ทรงยอมตามนั้น และยังตั้งแนแกร์เป็นมุขมนตรีแห่งรัฐอีกตำแหน่งหนึ่ง (เทียบเท่านายกรัฐมนตรี)
การประชุมสภาฐานันดรแก้ไข
การประชุมสภาฐานันดรครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1614 สภาฐานันดรประกอบด้วยผู้แทนจากสามชนชั้น ได้แก่ พระ ขุนนาง และไพร่ ในวันที่ 24 มกราคม 1789 พระเจ้าหลุยส์ทรงตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสภาฐานันดรอย่างเป็นทางการ และจากนั้นก็มีการจัดการเลือกตั้งผู้แทนชนชั้นไพร่ในฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกัน ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนนคือชายชาวฝรั่งเศสโดยกำเนิดที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ ต้องเป็นผู้พำนักในท้องที่ในวันเวลาเลือกตั้งและต้องเป็นผู้มีประวัติการเสียภาษี
สภาฐานันดรประกอบด้วยสมาชิก 1,201 คน มาจากชนชั้นพระ 303 คน ชนชั้นขุนนาง 291 คน และชนชั้นไพร่ 610 คน ฐานันดรที่หนึ่งเป็นผู้แทนของพระและนักบวชราวหนึ่งแสนคนทั่วฝรั่งเศส ศาสนจักรถือกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินราว 10% ของประเทศ และยังได้สิทธิ์จัดเก็บภาษีจากชาวไร่ที่ใช้ประโยชน์เหนือที่ดิน ที่ดินเหล่านี้ถูกควบคุมโดยเหล่ามุขนายกและอธิการอาราม[17] ฐานันดรที่สองเป็นผู้แทนของขุนนางซึ่งมีจำนวนราวสี่แสนคน ชนชั้นขุนนางถือกรรมสิทธิ์ที่ดินราว 25% ของประเทศ และได้รับสิ่งบรรณาการและค่าเช่าจากชาวไร่เป็นการตอบแทน ฐานันดรที่สามเป็นผู้แทนของไพร่ซึ่งมีจำนวนราว 28 ล้านคน กว่าครึ่งของผู้แทนฐานันดรที่สามเป็นข้าราชการท้องถิ่นหรือนักกฎหมายผู้มีการศึกษา[18][19]
พิธีเปิดสมัยการประชุมจัดขึ้นที่พระราชวังแวร์ซายในวันที่ 5 พฤษภาคม 1789 ที่ประชุมเสนอให้ใช้ระบบลงคะแนนแบบทั้งสภามีเพียงสามเสียง แต่ละฐานันดรลงคะแนนได้เพียงหนึ่งเสียง นั่นทำให้ฐานันดรที่สามที่แม้จะมีจำนวนสมาชิกมากสุด แต่กลับมีสิทธิ์ออกเสียงเพียงหนึ่งในสามของสภา วิธีการลงคะแนนนี้ทำให้ฐานันดรที่สามไม่มีทางชนะสองฐานันดรแรก ผู้แทนฐานันดรที่สามชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมดังกล่าวและเสนอให้ลงคะแนนแบบหนึ่งคนหนึ่งเสียงแทน แต่ได้รับการปฏิเสธ ผู้แทนฐานันดรที่สามไม่พอใจอย่างมากจึงถอนตัวจากการประชุมและไปตั้งสภาของตนเองแยกต่างหาก
ชนชั้นไพร่ตั้งสมัชชาแห่งชาติแก้ไข
ฐานันดรที่สามรวมตัวกันที่โถงเดตาต์ในพระราชวังแวร์ซายเพื่อจัดตั้งสภาใหม่ที่เรียกว่า สมัชชาแห่งชาติ (Assemblée nationale) พวกเขาร่วมกันประกาศคำยืนยันอำนาจที่เป็นอิสระจากองค์กรอื่น และประกาศว่าสภาของตนเท่านั้นที่มีอำนาจตราหรือแก้ไขกฎหมายภาษี เนื่องจากไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาลพระเจ้าหลุยส์ที่สนับสนุนแต่พระและขุนนาง สมัชชาแห่งชาติประกาศยกเว้นการเก็บภาษีเป็นการชั่วคราว เหล่านายทุนเกิดความเชื่อมั่นและให้การสนับสนุนสมัชชาแห่งชาติ
พระเจ้าหลุยส์สั่งทหารหลวงให้ปิดโถงเดตาต์ สถานที่ใช้ประชุมของสมัชชาแห่งชาติ และในเช้าวันที่ 20 มิถุนายน 1789 เหล่าสมาชิกสมัชชาแห่งชาติต่างตกตะลึงเมื่อพบว่าห้องโถงถูกลงกลอนและเฝ้ายามโดยทหารหลวง พวกเขาจึงพากันไปรวมตัวที่สนามเฌอเดอโปมและร่วมกันประกาศคำปฏิญาณสนามเทนนิส (Serment du Jeu de Paume) ว่า "จะไม่มีวันแตกแยก และจะรวมตัวกันไม่ว่าในที่แห่งหนหรือสถานการณ์ใดก็ตาม จนกว่าธรรมนูญแห่งอาณาจักรจะถูกตราขึ้น"[20] ความพยายามของพระเจ้าหลุยส์ที่จะให้สภานี้เป็นโมฆะประสบความล้มเหลว พระองค์เริ่มยอมรับอำนาจของสมัชชาแห่งชาติในวันที่ 27 มิถุนายน[21] สมัชชาแห่งชาติได้รับเสียงสนับสนุนจากชาวปารีสและเมืองอื่นๆของฝรั่งเศส[22]
เมื่อพระเจ้าหลุยส์ทรงยอมรับสถานะของสมัชชาแห่งชาติ ทรงขอให้อีกสองฐานันดรเข้าร่วมประชุมกับสมัชชาแห่งชาติ ไม่นานหลังจากนั้น เกินครึ่งของฐานันดรที่หนึ่งก็ยอมเข้าร่วมประชุมกับสมัชชาแห่งชาติ ขณะที่ผู้แทนฐานันดรที่สองยอมเข้าร่วมเพียง 47 คน ในวันที่ 9 กรกฎาคม สมัชชาแห่งชาติถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ (Assemblée nationale constituante) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ในองค์กรเดียว[21]
การทลายคุกบัสตีย์แก้ไข
พระเจ้าหลุยส์ได้รับแรงกดดันอีกครั้งจากพระนางมารี อ็องตัวแน็ต ผู้เป็นมเหสี และเคานต์แห่งอาร์ตัว (Comte d'Artois) ผู้เป็นอนุชา (ต่อมาคือพระเจ้าชาร์ลที่ 10) พระเจ้าหลุยส์จ้างกองทหารต่างชาติเข้ามาประจำการในกรุงปารีสและพระราชวังแวร์ซาย นอกจากนี้พระเจ้าหลุยส์ยังทรงปลดฌัก แนแกร์ (ผู้เป็นดั่งสัญลักษณ์ของฐานันดรที่สาม) ลงจากตำแหน่งอีกครั้งในวันที่ 11 กรกฎาคม 1789 กองทัพหลวงฝรั่งเศสมีทหารรับจ้างต่างชาติอย่างสวิสและเยอรมันประจำการอยู่ในสัดส่วนที่ไม่น้อยเลย สาเหตุที่จ้างทหารต่างชาติเหล่านี้มาเนื่องจากถูกมองว่าควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ดีกว่าทหารชาวฝรั่งเศสที่จะต้องมารับมือกับคนชาติเดียวกัน[23] ในเดือนกรกฎาคม 1789 คาดว่าทหารรับจ้างต่างชาติที่ตรึงกำลังในปารีสและแวร์ซายนี้มีจำนวนมากถึง 25,000 นาย[24]
ข่าวการปลดแนแกร์ไปถึงกรุงปารีสในบ่ายวันที่ 12 กรกฎาคม ชาวปารีสเดือดดาลมาก มองว่านี่คือการก่อรัฐประหารเงียบโดยกลุ่มอำนาจเก่า นอกจากนี้ การที่ทหารหลวงตรึงกำลังในหลายจุด ทั้งที่วังแวร์ซาย, ลานช็องเดอมาร์ส และแซ็ง-เดอนี ทำให้ประชาชนมองว่าพระเจ้าหลุยส์คิดจะใช้กำลังทหารล้มล้างสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ ประชาชนชาวปารีสนับหมื่นออกมาชุมนุมกันที่ลานหน้าพระราชวังหลวง นักสื่อสารมวลชนกามีย์ เดมูแล็ง (Desmoulins) ประกาศว่า: "ราษฎรทั้งหลาย! จะมัวเสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว สำหรับผู้รักชาติ การปลดแนแกร์มันก็คือเสียงระฆังลางร้ายของวันเซนต์บาโทโลมิวนี่เอง คืนนี้กองทหารสวิสและเยอรมันทั้งหมดจะเคลื่อนพลออกจากช็องเดอมาร์สมาฆ่าพวกเราตายหมด ทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ คือจับอาวุธ!"[25]
เช้าวันที่ 14 กรกฎาคม ชาวเมืองปารีสบุกเข้าไปยังออแตลเดแซ็งวาลีด (Hôtel des Invalides) คลังแสงของกองทัพ และยึดปืนยาวราว 30,000 กระบอกแต่ไม่มีกระสุนและดินปืน ผู้ดูแลออแตลเดแซ็งวาลีดสั่งให้ขนดินปืน 250 ถังไปเก็บไว้ที่คุกบัสตีย์ไม่กี่วันก่อนหน้านั้นแล้ว[26] ชาวเมืองจึงพากันไปชุมนุมรอบคุกบัสตีย์ในช่วงสาย พวกเขายื่นคำขาดให้คุกยอมจำนน ให้คุกรื้อถอนปืนใหญ่บนกำแพงและมอบอาวุธและดินปืนทั้งหมดแก่กองกำลังประชาชน[26] เกิดการปะทะกันด้วยอาวุธจนถึงเวลา 17:30 นาฬิกาก็สามารถปลดสะพานข้ามคูลงมาได้[27] ประชาชนจึงกรูเข้าไปในคุกเพื่อเอาอาวุธและดินปืน และพากันกลับไปตั้งมั่นที่ออแตลเดแซ็งวาลีด กองทหารต่างชาติซึ่งตรึงกำลังที่ช็องเดอมาร์สไม่ได้เข้าแทรกแซงแต่ประการใดเลย
ประชาชนตั้งคอมมูนปารีสแก้ไข
เช้าวันที่ 15 กรกฎาคม พระเจ้าหลุยส์ทราบการทลายคุกจากดยุกเดอลาโรฌฟูโก ทรงถามดยุกว่า "เขาจะกบฏกันเหรอ?" ดยุกตอบว่า "มิได้พะยะค่ะ มิใช่การกบฏ แต่เป็นการปฏิวัติ"[28] พระเจ้าหลุยส์กลัวความรุนแรงจากฝูงชน จึงทรงแต่งตั้งนายพล เดอ ลา ฟาแย็ต เป็นผู้บัญชาการกองอารักษ์ชาติ (Garde Nationale) เพื่อรักษาความเป็นระเบียบภายใต้อำนาจสภา อีกด้านหนึ่ง ผู้แทนชาวปารีส 144 คนนำโดยฌ็อง ซีลแว็ง บายี[29] ได้จัดตั้งคณะปกครองกรุงปารีสที่ชื่อว่าคอมมูนปารีส (Commune de Paris) ถึงจุดนี้ พระเจ้าหลุยส์เสียอำนาจควบคุมเหนือกรุงปารีสไปแล้ว
พระเจ้าหลุยส์ทรงเรียกแนแกร์มาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในวันที่ 16 กรกฎาคม แนแกร์ได้พบกับประชาชนที่ออแตลเดอวีล (l'Hôtel de Ville) ซึ่งถูกประดับไปด้วยธงไตรรงค์ แดง-ขาว-น้ำเงิน วันเดียวกันนั้น เคานต์แห่งอาร์ตัวก็ได้หลบหนีออกนอกประเทศ ถือเป็นพระญาติองค์แรก ๆ ที่หนีออกนอกประเทศในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์เสด็จเยือนปารีสพร้อมบรรดาสมาชิกสภานับร้อยคนในวันที่ 17 กรกฎาคม พระองค์ยอมรับธงไตรรงค์เป็นธงชาติฝรั่งเศส เกิดความสมานฉันท์ขึ้นชั่วคราว พระองค์ได้รับยกย่องเป็น หลุยส์ที่ 16 พระบิดาแห่งฝรั่งเศสและกษัตริย์แห่งเสรีชน[30]
การเดินขบวนสู่แวร์ซายของสตรีแก้ไข
5 ตุลาคม 1789 ชาวปารีสราว 7,000-9,000 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรี ได้เดินขบวนจากปารีสไปยังพระราชวังแวร์ซายเพื่อเรียกร้องขนมปังจากกษัตริย์ พระเจ้าหลุยส์รับปากว่าจะแจกจ่ายอาหารจากหลังหลวงให้ ทำให้ส่วนหนึ่งเดินทางกลับปารีส แต่ส่วนใหญ่ไม่เชื่อในคำสัญญาจึงยังคงปักหลักที่พระราชวัง พระองค์จึงทรงประกาศยอมรับกฤษฎีกาสิงหาคม (กฎหมายเลิกระบบศักดินา) และทรงยอมรับประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมืองโดยไม่มีเงื่อนไข วันต่อมาเกิดความรุนแรงขึ้นในพระราชวังและมีการปะทะกันถึงขึ้นเสียชีวิต นายพล เดอ ลา ฟาแย็ต ผู้บัญชาการกองอารักษ์ชาติ ทูลเชิญพระเจ้าหลุยส์ย้ายไปประทับถาวรยังพระราชวังตุยเลอรีในปารีส หวังว่าเหตุการณ์จะดีขึ้นหากกษัตริย์อยู่ใกล้ชิดประชาชน ภายหลังเหตุการณ์นี้ พระเจ้าหลุยส์มีอารมณ์เศร้าหมองเหมือนเป็นอัมพาตทางจิตใจ ราชการแผ่นดินจึงตกอยู่ในการตัดสินใจของราชินีมารี อ็องตัวแน็ต
การจับกุมองค์กษัตริย์ ณ วาแรนแก้ไข
มิถุนายน 1791 มีข่าวลือสะพัดอย่างหนาหูว่า พระนางอ็องตัวแน็ตได้แอบติดต่อกับพระเชษฐา คือจักรพรรดิเลโอพ็อลท์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะให้ทรงยกทัพมาตีฝรั่งเศสและคืนอำนาจให้ราชวงศ์ ฝ่ายพระเจ้าหลุยส์นั้นไม่ได้ทรงพยายามหนีออกนอกประเทศหรือรับความช่วยเหลือ แต่จะทรงหนีไปตั้งมั่นอยู่กับนายพลบุยเล ที่จงรักภักดีและสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่พระองค์ พระองค์เสด็จออกจากพระราชวังตุยเลอรีในคืนวันที่ 20 มิถุนายน 1791 แต่ทรงถูกจับได้ที่เมืองวาแรน ในวันต่อมา ส่งผลให้ความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อพระองค์นั้นลดลงฮวบฮาบ พระองค์ถูกนำตัวกลับมากักบริเวณในกรุงปารีส
รัฐธรรมนูญร่างเสร็จแก้ไข
แม้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของสภาจะนิยมระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มากกว่าระบอบสาธารณรัฐก็ตาม[ต้องการอ้างอิง] แต่ ณ ขณะนั้น พระเจ้าหลุยส์ก็ไม่ได้มีบทบาทมากไปกว่าหุ่นเชิด พระองค์ถูกบังคับให้ปฏิญาณตนต่อรัฐธรรมนูญ และให้ยอมรับเงื่อนไขที่ว่า หากกระทำการใด ๆ ที่จะชักนำให้กองทัพต่างชาติมาโจมตีฝรั่งเศส หรือกระทำสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้ถือว่าพระองค์สละราชสมบัติโดยอัตโนมัติ
ขณะเดียวกันนั้น ฌัก ปีแยร์ บรีโซ (Brissot) ร่างประกาศโจมตีพระเจ้าหลุยส์ มีสาระสำคัญว่าพระเจ้าหลุยส์ทรงสละราชสมบัติไปตั้งแต่พระองค์เสด็จหนีจากพระราชวังตุยเลอรีแล้ว[ต้องการอ้างอิง] ฝูงชนจำนวนมากพยายามเข้ามาในช็องเดอมาร์สเพื่อลงนามในใบประกาศนั้น ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น สภาขอร้องให้คอมมูนปารีสช่วยรักษาความสงบแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุด กองอารักษ์ชาติภายใต้การบัญชาการของนายพล เดอ ลา ฟาแย็ต เข้ามารักษาความสงบ ฝูงชนได้ปาก้อนหินใส่กองอารักษ์ชาติในช่วงแรก กองอารักษ์ชาติโต้ตอบด้วยการยิงขึ้นฟ้าแต่ไม่สำเร็จ นายกเทศมนตรีฌ็อง ซีลแว็ง บายี จึงสั่งการให้ยิงปืนใส่ฝูงชน ทำให้ประชาชนตายไปประมาณ 50 คน[ต้องการอ้างอิง]
หลังจากการสังหารหมู่ครั้งนี้ ทางการก็ได้ดำเนินการปราบปรามพวกสมาคมสาธารณรัฐนิยมรวมทั้งหนังสือพิมพ์ของพวกนี้อีกด้วย เช่น หนังสือพิมพ์เพื่อนประชาชน (L'Ami du Peuple) ของฌ็อง-ปอล มารา บุคคลที่มีแนวคิดแบบนี้เช่นมาราและกามีย์ เดมูแล็ง ต่างพากันหลบซ่อน ส่วนฌอร์ฌ ด็องตง หนีไปอังกฤษ
เหตุการณ์ช่วงสงครามแก้ไข
ขณะที่ภายในฝรั่งเศสกำลังวุ่นวาย เหล่าราชวงศ์ของยุโรปนำโดยพระเจ้าฟรีดริช วิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งปรัสเซีย, จักรพรรดิเลโอพ็อลท์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนพระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ร่วมมือกันออกคำประกาศของดยุกแห่งเบราน์ชไวค์ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือให้พระเจ้าหลุยส์มีอิสรภาพสมบูรณ์และให้ยุบสภา ถ้าหากสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นก็จะส่งกองทัพโจมตีฝรั่งเศสเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย แต่ประชาชนชาวฝรั่งเศสไม่สนใจต่อคำประกาศดังกล่าวและเตรียมการต่อต้านอย่างแข็งขัน สภาเริ่มส่งทหารไปชายแดนและมีมติประกาศสงครามกับออสเตรียและบริเตนเมื่อวันที่ 20 เมษายน 1792
ตั้งสาธารณรัฐ พระเจ้าหลุยส์ถูกประหารแก้ไข
คำประกาศของดยุกแห่งเบราน์ชไวค์ยิ่งทำให้สถานการณ์ของฝ่ายเจ้าในฝรั่งเศสเลวร้ายลง คอมมูนปารีสไม่เชื่อฟังสภาอีกต่อไป และนำกลุ่มฝูงชนบุกเข้าพระราชวังตุยเลอรีในวันที่ 10 สิงหาคม 1792 พระบรมวงศ์ต้องไปหลบภัยที่สภา และในสามวันถัดมา พระองค์ถูกประกาศจับกุมอย่างเป็นทางการและถูกส่งตัวไปจองจำที่หอคอยต็องเปลอ (Square du Temple) ป้อมปราการเก่าในปารีส และในวันที่ 21 กันยายน สภามีมติให้ล้มเลิกระบอบกษัตริย์ และสถาปนาเป็นสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฐานันดรและพระอิสริยยศทั้งหมดถูกล้มล้าง พระองค์ได้ชื่อใหม่ว่า นายหลุยส์ กาเป อีกด้านหนึ่ง สภาเปลี่ยนชื่อเป็นสภากงว็องซียงแห่งชาติ (Convention nationale)
พฤศจิกายน 1792 เกิดเหตุอื้อฉาวพบตู้นิรภัยในห้องพระบรรทมซึ่งภายในบรรจุเอกสารลับมากมายที่เขียนติดต่อกับต่างชาติ ชื่อเสียงของอดีตกษัตริย์ยิ่งย่ำแย่ลง สภากงว็องซียงแห่งชาติมีมติเอกฉันท์ในวันที่ 15 มกราคม 1793 ว่าอดีตกษัตริย์มีความผิดจริงฐาน "สมคบประทุษร้ายต่อเสรีภาพปวงชนและความมั่นคงแห่งรัฐ" (conspiration contre la liberté publique et la sûreté générale de l'État) วันต่อมา ที่ประชุมชนะโหวตกำหนดบทลงโทษเป็นการประหารชีวิตในทันที อดีตกษัตริย์ขออุทธรณ์โทษประหารชีวิต แต่แพ้โหวตในสภา คำตัดสินดังกล่าวจึงเป็นอันสิ้นสุด อดีตกษัตริย์หลุยส์ถูกนำตัวไปประหารชีวิตด้วยกิโยตีนที่ปลัสเดอลาเรวอลูว์ซียงในวันที่ 21 มกราคม 1793
ผลของการปฏิวัติในช่วงต้นแก้ไข
การเลิกระบบศักดินาแก้ไข
ปลายเดือนกรกฎาคม 1789 มีรายงานว่าชาวไร่ผู้ก่อจลาจลกำลังมุ่งหน้าเข้ากรุงปารีสจากทั่วทุกทิศของประเทศ สภาจึงตัดสินใจที่จะปฏิรูปโครงสร้างทางสังคมเสียใหม่เพื่อหวังลดอุณหภูมิทางการเมืองและจะนำไปสู่การปรองดอง ในคืนวันที่ 11 สิงหาคม 1789 สภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติได้มีมติล้มเลิกระบบศักดินาทั้งปวง ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน และเลิกเอกสิทธิการงดเว้นภาษีของนักบวช รวมทั้งให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมในการประกอบอาชีพ นักประวัติศาสตร์ ฟร็องซัว ฟูเร (François Furet) ระบุต่อเหตุการณ์นี้ไว้ว่า:
"สังคมแบบเจ้าขุนมูลนายตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุด ถูกพวกเขาทำลายไปพร้อมอภิสิทธิ์และโครงสร้างที่ว่าคนต้องมีสังกัด พวกเขาแทนที่โครงสร้างเหล่านี้ด้วยสิ่งที่ใหม่กว่า นั่นคือความเป็นปัจเจกบุคคล มีเสรีที่จะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย...ดังนั้นสิ่งที่ขับเคลื่อนการปฏิวัติในช่วงแรก คือความเชื่อแบบปัจเจกนิยมจากระดับรากฐาน"[31]
เขตการปกครองของสภาอำมาตย์ (parlements) ทั้ง 13 แห่งทั่วประเทศถูกระงับในเดือนพฤศจิกายน 1789 และล้มเลิกอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 1790 สถาบันเสาหลักแบบเก่าถูกโค่นล้มลงทั้งหมด
ประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมืองแก้ไข
เป็นคำประกาศที่ปูทางไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปรัชญาในยุคเรืองปัญญา และคำประกาศนี้ได้แบบอย่างจากรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา คำประกาศนี้ผ่านการพิจารณาของสภาฯ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1789 มีเนื้อหาหลักแสดงถึงหลักการพื้นฐานของการปฏิวัติ ภายใต้คำขวัญที่ว่า "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ"
ในขณะนั้นมีข่าวลือในหมู่ประชาชนว่าจะมีการยึดอำนาจคืนของฝ่ายนิยมระบอบเก่าเมื่อชาวปารีสรู้ข่าวก็มีการตื่นตัวกันขนานใหญ่ ดังนั้นประชาชนชาวปารีสซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิงได้เดินขบวนไปยังพระราชวังแวร์ซาย และเชิญพระเจ้าหลุยส์พร้อมทั้งราชวงศ์มาประทับในกรุงปารีส ในวันที่ 5-6 ตุลาคม ปีเดียวกัน โดยมีสมาชิกสภาร่างธรรมนูญที่อนุรักษนิยมตามเสด็จกลับกรุงปารีสด้วย สำหรับสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติในขณะนั้นประกอบด้วยสมาชิกที่หัวก้าวหน้าเป็นส่วนมาก แต่มีภารกิจสำคัญอันดับแรกของสภาคือการดำรงสถาบันกษัตริย์ไว้ ดังนั้นจึงยังไม่มีการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ในขณะนั้น
การปฏิรูปครั้งใหญ่แก้ไข
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของฝรั่งเศสมีผลบังคับใช้เมื่อปลายปี 1789 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
- ตำแหน่งต่าง ๆ ในราชการไม่สามารถตกทอดไปยังลูกหลาน
- ยุบมณฑลต่าง ๆ แบ่งประเทศออกเป็น 83 จังหวัด (départements)
- ก่อตั้งศาลประชาชน
- ปฏิรูปกฎหมายฝรั่งเศส
- การเวนคืนที่ธรณีสงฆ์ แล้วนำมาค้ำประกันพันธบัตร ที่ออกเพื่อระดมทุนจากประชาชน มาแก้ไขปัญหาหนี้ของประเทศ
การปฏิรูปสถานะของนักบวชแก้ไข
นอกจากที่ธรณีสงฆ์จะถูกเวนคืนแล้ว การปกครองคริสตจักรในประเทศฝรั่งเศสก็ยังถูกเปลี่ยนแปลง ตามกฎหมายการปกครองคริสตจักรฉบับใหม่ที่ออกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 1790 โดยใช้การปกครองประเทศเป็นแม่แบบ คือกำหนดจำนวนมุขนายก (évêque) ไว้มุขมณฑลละ 1 ท่าน และให้เมืองใหญ่แต่ละเมืองมีอัครมุขนายก (archévêque) 1 ท่าน โดยมุขนายกและอัครมุขนายกแต่ละท่านจะถูกเลือกโดยสมัชชาแห่งชาติ และได้รับเงินเดือนจากรัฐบาล นอกจากนี้ ผู้ที่จะมาเป็นนักบวชในทุกระดับจะต้องสาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อประเทศอีกด้วย
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ "French Revolution".
- ↑ Donald Greer, The Incidence of the Terror during the French Revolution: A Statistical Interpretation (1935).
- ↑ Bell, David Avrom (2007). The First Total War: Napoleon's Europe and the birth of warfare as we know it. New York: Houghton Mifflin Harcourt. p. 51. ISBN 0-618-34965-0.
The French Revolution, which began in 1789 and led to the total war of 1792–1815....
- ↑ Tilly, Louise A. "Food entitlement, famine, and conflict". Journal of Interdisciplinary History (1983): 333–49.
- ↑ Hufton, Olwen. "Social conflict and the grain supply in eighteenth-century France". Journal of interdisciplinary history (1983): 303–31.
- ↑ Marshall, Thomas H. Citizenship and social class. Vol. 11. Cambridge, 1950.
- ↑ Lichbach, Mark Irving. "An evaluation of 'does economic inequality breed political conflict?' studies". World Politics 41.04 (1989): 431–70.
- ↑ Blanning, T.C.W. (1998). The French Revolution: Class War or Culture Clash?. London: Macmillan. p. 26.
- ↑ Blanning 1998, p. 26.
- ↑ Blanning 1998, p. 27.
- ↑ Frey, p. 3
- ↑ "France's Financial Crisis: 1783–1788". สืบค้นเมื่อ 26 October 2008.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 Hibbert, pp. 35, 36
- ↑ Frey, p. 2
- ↑ Doyle, The French Revolution: A very short introduction, p. 34
- ↑ John Hardman (2016) The life of Louis XVI
- ↑ William Doyle, The Oxford History of the French Revolution (1989) p. 59
- ↑ Doyle, The Oxford History of the French Revolution (1989) pp. 99–101
- ↑ Albert Soboul, The French Revolution 1787–1799 (1975) pp. 127–29.
- ↑ Thompson, Marshall Putnam (1914). "The Fifth Musketeer: The Marquis de la Fayette". Proceedings of the Bunker Hill Monument Association at the annual meeting. p. 50. สืบค้นเมื่อ 10 February 2011.
- ↑ 21.0 21.1 Paul R. Hanson (23 February 2007). The A to Z of the French Revolution. Scarecrow Press. p. 14. ISBN 978-1-4617-1606-8.
- ↑ Schama 2004, p. 312
- ↑ Munro Price, p. 76 The Fall of the French Monarchy, ISBN 0-330-48827-9
- ↑ Jaques Godechot. "The Taking of the Bastille July 14th, 1789", p. 258. Faber and Faber Ltd 1970.
- ↑ Mignet 1824, §Chapter I
- ↑ 26.0 26.1 Simon Schama, p. 399 Citizens: A Chronicle of the French Revolution, ISBN 0-670-81012-6
- ↑ Schama (1989), p. 403
- ↑ Guy Chaussinand-Nogaret, La Bastille est prise, Paris, Éditions Complexe, 1988, p. 102.
- ↑ François Furet and Mona Ozouf, eds. A Critical Dictionary of the French Revolution (1989), pp. 519–28.
- ↑ Schama 1989, pp. 423-424.
- ↑ Furet, Critical Dictionary of the French Revolution, p. 112