เรืองโรจน์ มหาศรานนท์
พลเอก เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ อดีตนายทหารชาวไทย และนักการเมือง อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด, อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน อดีตนายทหารราชองครักษ์พิเศษ[1]
เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ | |
---|---|
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด | |
ดำรงตำแหน่ง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2548 – 30 กันยายน พ.ศ. 2549 | |
นายกรัฐมนตรี | ทักษิณ ชินวัตร |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม | ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา |
ก่อนหน้า | พลเอก ชัยสิทธิ์ ชินวัตร |
ถัดไป | พลเอก บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 28 มีนาคม พ.ศ. 2489 |
ศาสนา | พุทธ |
พรรคการเมือง | พลังประชาชน (2550–2551) |
คู่สมรส | ผศ.รัตนาภรณ์ มหาศรานนท์ |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | ไทย |
ยศ | พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก |
ประวัติ
แก้พล.อ. เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีชื่อเล่นว่า "ต๋อย" บุตร ร.ต.ท. ระดม มหาศรานนท์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา[2] มีพี่ชายชื่อ นายเรืองเดช มหาศรานนท์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิมา
พล.อ. เรืองโรจน์ สมรสกับ ผศ. รัตนาภรณ์ มหาศรานนท์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี มีบุตรชาย 1 คน ชื่อ นายเดชอุดม มหาศรานนท์ และบุตรสาว 1 คน
การศึกษา
แก้พล.อ. เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ต่อมาได้สอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2505 หลังจากนั้นได้เข้ารับการศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และจบออกรับราชการเป็นร้อยตรี ในเหล่าทหารราบเมื่อปี พ.ศ. 2511
การทำงาน
แก้ราชการทหาร
แก้ในตอนต้นของชีวิตราชการได้ปฏิบัติราชการในกรมผสมที่ 5 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ ภาคใต้ และต่อมาได้ย้ายมาดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในสังกัด กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ กรุงเทพมหานคร
หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบก เมื่อปี พ.ศ. 2522 ได้ไปปฏิบัติราชการเพื่อปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ โดยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายส่งกำลังบำรุงของกองพลทหารราบที่ 3 ต่อจากนั้น ได้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่เป็น ฝ่ายเสนาธิการประจำตัวของ พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานคณะกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ
ได้รับพระราชทานยศ "พลตรี" ในตำแหน่ง เสนาธิการกองอำนวยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2534 ต่อมาได้ยศ พลโท ในตำแหน่ง หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำ เสนาธิการทหาร พล.อ. มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ทำให้ได้สะสมประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาระดับสูงของกองทัพไทยเพิ่มขึ้น
พล.อ. เรืองโรจน์ได้รับความไว้วางใจในเวลาต่อมา ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดบัญชีทหาร ในช่วงที่ประเทศไทยประสบวิกฤตทางเศรษฐกิจ และมีส่วนสำคัญในการบริหารจัดการด้านงบประมาณของกองทัพไทย จนผ่านอุปสรรคมาได้ เป็นเวลาถึง 3 ปี ก่อนที่จะได้รับยศเป็น "พลเอก" ในตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เมื่อปี พ.ศ. 2543 หน่วยนี้ก่อตั้งมากว่า 43 ปี และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกองทัพไทยที่มีบทบาทในการพัฒนาชนบทเพื่อส่งเสริมความกินดีอยู่ดีของประชาชนและขจัดเงื่อนไขต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่การแตกแยกทางความคิดของประชาชนซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการดำรงความมั่นคงของชาติ
พล.อ. เรืองโรจน์ได้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นเวลา 3 ปี และได้ริเริ่มปรับทิศทางการพัฒนาเพื่อจัดระเบียบตามแนวชายแดน เพื่อให้ชุมชนชายแดนร่วมเป็นปราการในการป้องกันประเทศ แนวความคิดดังกล่าวนี้ยังเป็นแนวความคิดที่ยังใช้ได้มาจนถึงปัจจุบัน
พล.อ. เรืองโรจน์ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ทำหน้าที่ให้คำแนะนำและคำปรึกษาโดยตรงแก่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา
การเมือง
แก้ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 หลังจากที่ประชุมสมาชิกเดิมของพรรคไทยรักไทย มีมติให้ ส.ส.เก่าของพรรค สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน เพื่อดำเนินการทางการเมืองต่อไป พลเอกเรืองโรจน์ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคด้วย และได้รับเลือกเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 และต่อมาได้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี[3]
รัฐประหาร
แก้ในเหตุการณ์การรัฐประหารในคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พล.อ. เรืองโรจน์ถูกแต่งตั้งโดยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นผู้อำนวยการควบคุมสถานการณ์ แต่ทว่าคำสั่งนี้ไม่อาจปฏิบัติได้ เนื่องจากกองกำลังของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ควบคุมสถานการณ์ที่กองบัญชาการทหารสูงสุดไว้ได้แล้ว ต่อมา พล.อ. เรืองโรจน์ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษา คปค. และรองกรรมการคณะกรรมการคณะกรรมการกำกับดูแลการเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยตำแหน่งหลังแต่งตั้งเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554 แต่งตั้งโดย พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้า คปค.[4] และดำรงตำแหน่งนี้จนเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2549
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
แก้- พ.ศ. 2543 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[5]
- พ.ศ. 2540 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)[6]
- พ.ศ. 2515 – เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 2 (ส.ช.)[7]
- พ.ศ. 2532 – เหรียญราชการชายแดน (ช.ด.)[8]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
แก้- อินโดนีเซีย:
- พ.ศ. 2550 – เครื่องอิสริยาภรณ์ดารายุทธธรรม ชั้นอุตมา[9]
อ้างอิง
แก้- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/E/013/T_0001.PDF
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-04. สืบค้นเมื่อ 2016-04-20.
- ↑ "เปิดชื่อ 109 กก.บริหาร "พปช.-ชาติไทย-มัชฌิมาฯ" ถูกยุบ-เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-18. สืบค้นเมื่อ 2011-06-10.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-10-25. สืบค้นเมื่อ 2011-09-24.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย, เล่ม ๑๑๗ ตอนที่ ๒๕ ข หน้า ๒, ๑ ธันวาคม ๒๕๔๓
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2015-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๑๔ ตอนที่ ๒๗ ข หน้า ๑๑, ๓ ธันวาคม ๒๕๔๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน, เล่ม ๘๙ ตอนที่ ๙๙ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๗, ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญราชการชายแดน, เล่ม ๑๐๖ ตอนที่ ๑๐๒ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๑๑๙, ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๒
- ↑ 9.0 9.1 "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-11-11. สืบค้นเมื่อ 2022-11-11.
ดูเพิ่ม
แก้แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- กองบรรณาธิการมติชน. รัฐประหาร 19 กันยา 49 เรียบแต่ลึก. กรุงเทพฯ : มติชน, 2549. ISBN 947-323-851-4
ก่อนหน้า | เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พลเอก ชัยสิทธิ์ ชินวัตร | ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (1 ตุลาคม พ.ศ. 2548 – 30 กันยายน พ.ศ. 2549) |
พลเอก บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ |