เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ[1] (อังกฤษ: Prince Philip, Duke of Edinburgh; พระนามเดิมคือ เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก; Prince Philip of Greece and Denmark 10 มิถุนายน ค.ศ. 1921 – 9 เมษายน ค.ศ. 2021) เป็นสมาชิกของราชวงศ์บริติช เป็นพระราชสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร
เจ้าชายฟิลิป | |
---|---|
ดยุกแห่งเอดินบะระ | |
พระฉายาลักษณ์ทางการในปี 1992 | |
พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถ แห่งสหราชอาณาจักร | |
ดำรงพระยศ | 6 กุมภาพันธ์ 1952 – 9 เมษายน 2021 |
ก่อนหน้า | เอลิซาเบธ (พระราชินี) |
ถัดไป | คามิลลา (พระราชินี) |
ประสูติ | 10 มิถุนายน ค.ศ. 1921 มอนเรโปส คอร์ฟู ราชอาณาจักรกรีซ |
สิ้นพระชนม์ | 9 เมษายน ค.ศ. 2021 ปราสาทวินด์เซอร์ วินด์เซอร์ สหราชอาณาจักร | (99 ปี)
ฝังพระศพ | 17 เมษายน ค.ศ. 2021 โบสถ์น้อยเซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ สหราชอาณาจักร |
คู่อภิเษก | สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (สมรส 1947) |
พระบุตร | สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ |
ราชวงศ์ |
|
พระบิดา | เจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีซและเดนมาร์ก |
พระมารดา | เจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทินแบร์ค |
ลายพระอภิไธย |
เจ้าชายฟิลิปประสูติที่ประเทศกรีซ ในราชวงศ์กรีกและเดนมาร์ก แต่ครอบครัวของพระองค์ถูกเนรเทศออกจากประเทศ เมื่อพระองค์มีพระชนม์มายุ 18 พรรษา ภายหลังจากทรงเข้ารับการศึกษาในฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร พระองค์ทรงเข้ารับราชการทหารในราชนาวีของบริติชใน ค.ศ. 1939 โดยพระชนม์มายุ 18 พรรษา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1939 พระองค์ทรงเริ่มติดต่อทางจดหมายกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธที่มีพระชนม์มายุสิบสามพรรษา ซึ่งเป็นพระราชธิดาและทายาทโดยตรงกับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เจ้าชายฟิลิปทรงพบพระนางเป็นครั้งแรกในค.ศ. 1934 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นในกองเรือเมดิเตอร์เรเนียนและแปซิฟิกของบริติช
หลังสงคราม เจ้าชายฟิลิปทรงได้รับพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ก่อนที่จะมีการประกาศหมั้นหมายอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1947 พระองค์ทรงสละพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ทั้งหมดของกรีซและเดนมาร์ก กลายเป็น คนในบังคับอังกฤษ โดยทรงใช้ชื่อและนามสกุลอังกฤษ "เมานต์แบ็ตเทน" ซึ่งแปลงมาจากนามสกุลเยอรมัน "บัทเทินแบร์ค" ของฝ่ายพระมารดา พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ก่อนที่จะอภิเษกสมรส พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานฐานันดรศักดิ์แก่เจ้าชายฟิลิปให้เป็นฮิส รอยัลไฮเนส และสถาปนาพระองค์เป็นดยุกแห่งเอดินบะระ เอิร์ลแห่งแมริโอเน็ต และบารอนกรีนวิช เจ้าชายฟิลิปทรงลาออกจากการรับราชการทหาร เมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถในค.ศ. 1952 โดยทรงมีตำแหน่งยศเป็นผู้บัญชาการทหารและได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าชายบริติชใน ค.ศ. 1957 เจ้าชายฟิลิปทรงมีพระราชบุตรถึงสี่พระองค์กับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2: สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ,เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี ,เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ ผ่านทางพระราชเสาวนีย์ของควีนเอลิซาเบธที่สองแห่งบริติช(Order in Council) ได้ถูกประกาศขึ้นใน ค.ศ. 1960 ทายาทของเจ้าชายฟิลิปและควีนเอลิซาเบธที่สองจะไม่มีพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ ซึ่งสามารถใช้นามสกุลเป็น เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ ซึ่งมีสมาชิกบางพระองค์ในราชวงศ์ที่ใช้พระนามเต็ม เช่น เจ้าหญิงแอนน์ เจ้าชายแอนดรูว์ และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด
ด้วยการที่ทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ด้านกีฬา เจ้าชายฟิลิปทรงช่วยพัฒนางานกิจกรรมจากการขี่ม้ามาเป็นการขับขี่รถม้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ประธาน หรือสมาชิกขององค์กรต่าง ๆ กว่า 780 องค์กร และดำรงตำแหน่งเป็นประธานแห่งรางวัลดยุกแห่งเอดินบะระ ซึ่งเป็นโครงการการพัฒนาตนเองสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีอายุ 14 ถึง 24 ปี[2] พระองค์ทรงเป็นคู่อภิเษกสมรสที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของราชวงศ์บริติชและเป็นสมาชิกชายที่มีพระชนม์ที่ยาวนานที่สุดในราชวงศ์บริติช ทรงเกษียณจากพระราชกรณียกิจ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ด้วยพระชนม์มายุ 96 พรรษา โดยทรงสำเร็จจากพระราชกรณียกิจ 22,219 ครั้ง และกล่าวสุนทรพจน์ 5,493 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952[3] เจ้าชายฟิลิปสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 อีกสองเดือนก่อนที่พระองค์จะมีพระชนม์มายุครบ 100 ปี
วัยเยาว์
แก้เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์กประสูติที่เกาะคอร์ฟูในประเทศกรีซเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1921 เป็นพระโอรสพระองค์เดียวและเป็นบุตรคนที่ห้าของเจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีซและเดนมาร์ก กับเจ้าหญิงอลิซแห่งบัทเทินแบร์ค[4] ทรงเป็นสมาชิกในราชวงศ์ชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-เซอเนอร์ปอร์-กลึคส์บวร์ค อันเป็นสาขาหนึ่งของราชวงศ์อ็อลเดินบวร์ค เนื่องด้วยพระบิดาทรงเป็นทายาทโดยตรงของพระเจ้าเยออร์ยีโอสที่ 1 แห่งกรีซ และพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก ทำให้ทรงมีศักดิ์เป็นเจ้าชายของทั้งกรีซและเดนมาร์ก อยู่ในลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ของบัลลังก์ทั้งสอง อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์ก ค.ศ. 1953 ได้ตัดสิทธิ์สืบราชบัลลังก์เดนมาร์กของครอบครัวฟิลิป พระองค์ยังเป็นพระภาคิไนยในสมเด็จพระราชินีลูอีสแห่งสวีเดน
ความพ่ายแพ้ในสงครามกรีก–ตุรกี บีบบังคับให้เสด็จลุงของฟิลิป พระเจ้ากอนสตันดีโนสที่ 1 แห่งกรีซ ต้องสละราชสมบัติใน ค.ศ. 1922 และลี้ภัยไปเกาะซิซิลี ส่วนเจ้าชายแอนดรูว์พร้อมครอบครัวถูกจับกุมโดยคำสั่งของรัฐบาลทหารที่ตั้งขึ้นใหม่ ผู้บัญชาการรบหลายคนถูกประหารชีวิต ในขณะนั้น หลายคนมองว่าเจ้าชายแอนดรูว์คงไม่รอดชีวิต[5] เดือนธันวาคมปีนั้นเอง ศาลปฏิวัติได้พิพากษาเนรเทศเจ้าชายแอนดรูว์ออกจากประเทศกรีซตลอดชีวิต อังกฤษส่งเรือหลวงคาลิปโซมารับครอบครัวของเจ้าชายแอนดรูว์ไปยังประเทศฝรั่งเศส พวกเขาเลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านเช่าแถบชานเมืองกรุงปารีส ซึ่งเช่าจากพระญาติในราชสำนักฝรั่งเศส[6]
เจ้าชายฟิลิปได้รับการศึกษาครั้งแรกที่ The Elms โรงเรียนอเมริกันในกรุงปารีส[7] ทรงมีภาพจำเป็นเด็กฉลาดแต่ถ่อมตัว[8] ต่อมาในปีค.ศ. 1928 ทรงถูกส่งตัวไปอังกฤษและเข้าเรียนที่โรงเรียนแชม ช่วงนี้ทรงอยู่อาศัยกับพระอัยกีที่พระราชวังเค็นซิงตัน ซึ่งก็คือวิกตอเรีย เมานต์แบ็ทแตน มาร์เชเนสแห่งมิลด์ฟอร์ดเฮเวน และอาศัยกับท่านลุงที่ตำหนักลินเดิน ซึ่งก็คือจอร์จ เมานต์แบ็ทแตน มาร์ควิสที่ 2 แห่งมิลด์ฟอร์ดเฮเวน[9] และในช่วงสามปีหลังจากนี้ พี่สาวสี่พระองค์ได้สมรสกับเจ้าชายเยอรมันและย้ายไปพำนักในประเทศเยอรมนี ทางด้านพระมารดาถูกวิจนิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทและต้องอยู่ในสถานบำบัดของซีคมุนท์ ฟร็อยท์[10] พระบิดาก็ย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์ที่มงเต-การ์โล เมืองทางใต้ของฝรั่งเศสใกล้ชายแดนอิตาลี ฟิลิปแทบไม่ได้ติดต่อกับพระมารดาอีกเลยตลอดช่วงวัยเด็ก
ใน ค.ศ. 1933 เจ้าชายฟิลิปในวัย 12 ชันษาถูกส่งตัวไปยังโรงเรียนของวังซาเลิมในประเทศเยอรมนี เนื่องด้วยครอบครัวพี่เขยของพระองค์เป็นเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้ เมื่อระบอบนาซีเรืองอำนาจในเยอรมนี นายควร์ท ฮาน ชาวยิวซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตจึงได้อพยพไปยังประเทศสกอตแลนด์และก่อตั้งโรงเรียนกอร์ดอนสตันที่นั่น เจ้าชายฟิลิปย้ายตามไปที่นั่นในสองภาคเรียนให้หลัง[11] ต่อมาใน ค.ศ. 1937 เจ้าชายฟิลิปได้ทราบข่าวร้ายว่า เจ้าหญิงเซซีลี พี่สาวของพระองค์ พร้อมด้วยสามีและบุตรน้อยสามคน ทั้งหมดเสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินตกในเที่ยวบินโคโลญ–ลอนดอน เจ้าชายฟิลิปในวัย 16 ชันษาเสด็จร่วมรัฐพิธีศพที่เมืองดาร์มชตัท ประเทศเยอรมนี[12] และในปีต่อมา จอร์จ เมานต์แบ็ทแตน ผู้เป็นลุงและผู้ปกครองของเจ้าชายก็เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง
เนื่องด้วยเจ้าชายฟิลิปเสด็จออกจากประเทศกรีซขณะเป็นทารก ทำให้พระองค์ไม่สามารถตรัสภาษากรีก พระองค์เคยกล่าวใน ค.ศ. 1992 ว่าทรงเข้าใจภาษากรีกอยู่บ้าง[13] และระบุว่าทรงคิดว่าตัวเองเป็นคนเดนมาร์ก แต่ครอบครัวพระองค์พูดภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรมัน[13]
ราชการทหารเรือ
แก้หลังจบจากโรงเรียนกอร์ดอนสตันในปีค.ศ. 1939 เจ้าชายฟิลิปในวัย 18 ชันษาเข้าศึกษาที่ราชนาวิกวิทยาลัยเป็นเวลาหนึ่งภาคเรียน แล้วจึงถูกส่งตัวกลับประเทศกรีซไปอยู่กับพระมารดาเป็นเวลาราวหนึ่งเดือนที่กรุงเอเธนส์ สมเด็จพระราชาธิบดีเยออร์ยีโอสที่ 2 แห่งกรีซ สั่งให้เจ้าชายกลับอังกฤษ พระองค์จึงเสด็จกลับอังกฤษในเดือนกันยายนและเข้าเป็นนายเรือฝึกหัดในราชนาวีอังกฤษ[14] พระองค์จบการศึกษาจากราชนาวิกวิทยาลัยในปีถัดมา ขณะนั้น สงครามโลกครั้งที่สองกำลังขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วในยุโรป แต่เจ้าชายก็เลือกรับราชการทหารในกองทัพสหราชอาณาจักรต่อไป ในขณะที่พี่เขยทั้งสองของพระองค์ นั่นคือเจ้าชายคริสโทฟแห่งเฮ็สเซิน และแบร์โทลด์ มาร์คกราฟแห่งบาเดิน เข้าร่วมรบอยู่ฝ่ายเยอรมัน[15] เจ้าชายฟิลิปได้เป็นว่าที่เรือตรีในเดือนมกราคม ค.ศ. 1940 ทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลาสี่เดือนบนเรือหลวงรามิลีย์ (HMS Ramillies) ในภารกิจคุ้มกันขบวนเรือขนส่งทหารออสเตรเลียที่ผ่านมหาสมุทรอินเดีย ไม่นานจากนั้นก็ไปปฏิบัติหน้าที่บนเรือหลวงเคนต์ (HMS Kent) และเรือหลวงชรอปเชอร์ (HMS Shropshire) ในบริติชซีลอน ต่อมาหลังกองทัพอีตาลีบุกยึดประเทศกรีซในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 พระองค์ถูกโอนตัวจากมหาสมุทรอินเดียมาปฏิบัติหน้าที่บนเรือหลวงวาแลนต์ (HMS Valiant) ในกองเรือเมดิเตอร์เรเนียน[16]
สิ้นพระชนม์
แก้เจ้าชายฟิลิปสิ้นพระชนม์ด้วยวัยชรา[17] ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2021 ณ ปราสาทวินเซอร์ สิริพระชนมายุ 99 พรรษา ทรงเป็นคู่อภิเษกในพระมหากษัตริย์บริเตนที่ดำรงตำแหน่งเป็นเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์บริติช[18]
พระราชพิธีพระศพจัดขึ้นในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2021 ณ โบสถ์น้อยเซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์[19]
พระบุตร
แก้เจ้าชายฟิลิปทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร กับสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ทั้งสองมีพระราชโอรสและธิดาดังนี้
พระนาม | พระราชสมภพ/ประสูติ | สวรรคต/สิ้นพระชนม์ | คู่สมรส | บุตร |
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 | 14 พฤศจิกายน 1948 | ยังทรงพระชนม์ | เลดีไดอานา สเปนเซอร์ (หย่า) สมเด็จพระราชินีคามิลลา |
เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ เจ้าชายแฮร์รี ดยุกแห่งซัสเซกซ์ |
เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี | 15 สิงหาคม 1950 | ยังทรงพระชนม์ | มาร์ก ฟิลลิปส์ (หย่า) ทิโมที ลอเรนซ์ |
ปีเตอร์ ฟิลลิปส์ ซารา ทินดัลล์ |
เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก | 19 กุมภาพันธ์ 1960 | ยังทรงพระชนม์ | ซาราห์ เฟอร์กูสัน (หย่า) | เจ้าหญิงเบียทริซ นางเอโดอาร์โด มาเปลลี มอซซี เจ้าหญิงยูเชนี นางแจ็ก บรุกส์แบงก์ |
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเอดินบะระ | 10 มีนาคม 1964 | ยังทรงพระชนม์ | โซฟี ไรส์-โจนส์ | เลดีลูอีส เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ เจมส์ เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ เอิร์ลแห่งเวสเซ็กซ์ |
พระเกียรติยศ
แก้ธรรมเนียมพระยศของ เจ้าชายฟิลิป ดยุกเเห่งเอดินบะระ | |
---|---|
ตราประจำพระอิสริยยศ | |
ธงประจำพระอิสริยยศ | |
ตราประจำพระองค์ | |
การทูล | His Royal Highness (ใต้ฝ่าละอองพระบาท) |
การขานรับ | Your Royal Highness (พระเจ้าข้า/เพคะ) |
พระราชอิสริยยศ
แก้- 10 มิถุนายน 1921 – 28 กุมภาพันธ์ 1947: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก (His Royal Highness Prince Philip of Greece and Denmark)
- 28 กุมภาพันธ์ 1947 – 19 พฤศจิกายน 1947 : เรือเอก ฟิลิป เมานต์แบ็ตเทน (Lieutenant Philip Mountbatten)
- 19 พฤศจิกายน 1947 – 20 พฤศจิกายน 1947 : เรือเอก ฮิสรอยัลไฮเนส เซอร์ฟิลิป เมานต์แบ็ตเทน (Lieutenant His Royal Highness Sir Philip Mountbatten)[20]
- 20 พฤศจิกายน 1947 – 22 กุมภาพันธ์ 1957: ฮิสรอยัลไฮเนส ดยุกแห่งเอดินบะระ (His Royal Highness The Duke of Edinburgh)[20]
- 22 กุมภาพันธ์ 1957 – 9 เมษายน 2021: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ (His Royal Highness The Prince Philip, Duke of Edinburgh) [21][22]
พงศาวลี
แก้พงศาวลีของเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ |
---|
อ้างอิง
แก้- ↑ พระราชสาส์นแสดงความยินดี ในโอกาสที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี[ลิงก์เสีย], สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์, เผยแพร่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555, เรียกข้อมูลวันที่ 5 กรกฎาคม 2555
- ↑ "Do your DofE – The Duke of Edinburgh's Award". dofe.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 January 2019. สืบค้นเมื่อ 29 January 2019.
- ↑ Low, Valentine (9 April 2021). "Prince Philip was a man determined to make an impact". The Times. สืบค้นเมื่อ 12 April 2021.
- ↑ Brandreth, p. 56
- ↑ "News in Brief: Prince Andrew's Departure". The Times: 12. 5 December 1922.
- ↑ Alexandra, pp. 35–37; Heald, p. 31; Vickers, pp. 176–178
- ↑ Boothroyd, Basil (1971). Prince Philip: An Informal Biography (First American ed.). New York: McCall Publishing Company. ISBN 0841501165.
- ↑ Alexandra, p. 42; Heald, p. 34
- ↑ Heald, pp. 35–39
- ↑ Brandreth, p. 66; Vickers, p. 205
- ↑ Brandreth, p. 72; Heald, p. 42
- ↑ Brandreth, p. 69; Vickers, p. 273
- ↑ 13.0 13.1 Rocco, Fiammetta (13 December 1992). "A strange life: Profile of Prince Philip". The Independent. London. สืบค้นเมื่อ 22 May 2010.
- ↑ Eade, pp. 129–130; Vickers, pp. 284–285, 433.
- ↑ Vickers, pp. 293–295.
- ↑ Heald, p. 60.
- ↑ "Official cause of Prince Philip's death revealed". NZ Herald (ภาษาNew Zealand English).
- ↑ "Prince Philip has died aged 99, Buckingham Palace announces". BBC News. 9 April 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 April 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-04-12.
- ↑ "Prince Philip: Funeral to take place on 17 April". BBC News. 10 April 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-04-12.
- ↑ 20.0 20.1 "No. 38128". The London Gazette. 21 November 1947. p. 5495.
- ↑ "No. 41009". The London Gazette. 22 February 1957. p. 1209.
- ↑ "The Current Royal Family > The Duke of Edinburgh >Styles and Titles".
ก่อนหน้า | เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ในฐานะพระราชินี |
คู่อภิเษกสมรสในพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร (6 กุมภาพันธ์ 1952 – 9 เมษายน 2021) |
สมเด็จพระราชินีคามิลลา ในฐานะพระราชินี | ||
เจ้าชายอัลเฟรด | ดยุกแห่งเอดินบะระ (1947–2021) |
เจ้าชายชาลส์ |