เขนงนายพราน
เขนงนายพราน | |
---|---|
หม้อบนของ Nepenthes mirabilis | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
หมวด: | Magnoliophyta |
ชั้น: | Magnoliopsida |
อันดับ: | Caryophyllales |
วงศ์: | Nepenthaceae |
สกุล: | Nepenthes |
สปีชีส์: | N. mirabilis |
ชื่อทวินาม | |
Nepenthes mirabilis (Lour.) Druce (1916) | |
การกระจายพันธุ์ของ N. mirabilis | |
ชื่อพ้อง | |
|
เขนงนายพราน[1] (ชื่อวิทยาศาสตร์: Nepenthes mirabilis, มีรากศัพท์มาจากคำในภาษาละตินว่า mirabilis หมายถึง น่าพิศวง) หรือ Common Swamp Pitcher-Plant[2] เป็นพืชกินสัตว์ชนิดหนึ่ง ในวงศ์หม้อข้าวหม้อแกงลิง พบได้ตามหนองน้ำในเขตร้อนชื้นในแทบทุกภาคของประเทศไทย และมีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในหลายพื้นที่ ได้แก่ เกาะบอร์เนียว เกาะสุมาตรา ไทย มาเลเซียตะวันตก กัมพูชา เกาะนิวกินี อินโดจีน ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย จีน เกาะฮ่องกง ปาเลา หมู่เกาะโมลุกกะ พม่า มาเก๊า และไมโครนีเซีย ซึ่งผลสืบเนื่องมาจากการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางนี้เอง จึงทำให้เขนงนายพรานมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไปหลากหลายรูปแบบ ที่เห็นได้เด่นชัดคือ N. mirabilis var. echinostoma ชึ่งเป็นรูปแบบที่หายากประจำถิ่นในบรูไนและรัฐซาราวัก ซึ่งเพอริสโตมจะบาน กว้างและหนาพิเศษ ทั้งยังมีร่องละเอียดอย่างเห็นได้ชัด
ในประเทศไทย เขนงนายพรานมีชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ อีกดังนี้: กระบอกน้ำพราน (ภาคใต้) ปูโยะ (มลายู ปัตตานี) ลึงค์นายพราน (พัทลุง) หม้อแกงค่าง (ปัตตานี) หม้อข้าวลิง (จันทบุรี) หม้อข้าวหม้อแกงลิง (ใต้ นราธิวาส) เหน่งนายพราน (ใต้) [1]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
แก้เขนงนายพรานเป็นไม้เลื้อยหรือเกาะกันเป็นพุ่มเล็กแน่น อาจยาวได้ถึง 10 เมตร
ใบ
แก้ใบเดี่ยวรี ใบเรียงตัวเป็นเกลียว บางเหมือนกระดาษ ใบรูปไข่หรือรูปปลายหอก ขอบใบเป็นจักฟันเลื่อยเมื่อยังเล็กและจะหายไปเมื่อโตเต็มที่ ใบยาวไม่เกิน 30 ซม. กว้างไม่เกิน 7 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบค่อย ๆ แคบลงหรือแคบลงอย่างลาดชัน โคนใบธรรมดา-โอบรัดลำต้นกึ่งหนึ่งหากไม่มีก้านใบ เส้นใบแนวยาวเห็นได้ชัดเจน ฝั่งละ 4-5 เส้น เส้นใบย่อยจำนวนมาก สายดิ่งหรือมือจับยาวไม่เกิน 10 ซม.
หม้อ
แก้หม้อล่างมีลักษณะยาว ก้นหม้อเป็นกระเปาะ มีเอวช่วง 1 ใน 3 จากก้น ด้านบนทรงกระบอก สูงไม่เกิน 20 ซม. กว้างไม่เกิน 4 ซม. มีครีบ 1 คู่ (กว้างไม่เกิน 4 มม.) ตั้งแต่ขอบปากถึงก้นหม้อ บริเวณต่อมผลิตน้ำย่อยอยู่บริเวณก้นหม้อที่เป็นกระเปาะ ปากหม้อกลม ขนานกับพื้นหรือเฉียง เพอริสโตมแบนโค้งที่ขอบ หนาไม่เกิน 10 มม. ฟันเห็นไม่ชัดเจน ฝาหม้อเป็นรูปกลมรี ไม่มีเดือยใต้ฝา มีเดือย 1-2 เดือยที่ฐานด้านหลัง ยาวไม่เกิน 5 มม. หม้อบนทรงกระบอกครีบหดเล็กลง สีของหม้อมีสีตั้งแต่สีเขียวถึงแดง อาจมีจุด
ดอก
แก้ดอกเป็นแบบช่อกระจะ แบบดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ก้านช่อเดี่ยว ช่อดอกยาวไม่เกิน 30 ซม. ก้านดอกยาวไม่เกิน 15 มม. ไม่มีฐานรองดอก กลีบดอกรูปกลมหรือรูปไข่ ยาวไม่เกิน 7 มม. ดอกเพศผู้มีขดเกสรตัวผู้ 1 ขดมีลักษณะกลม ดอกเพศเมียมีรังไข่รูปรี เสมือนมีก้านดอก ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายน-กุมภาพันธ์
อื่น ๆ
แก้- ลำต้นหนาไม่เกิน 10 มม. ระยะระหว่างข้อไม่เกิน 15 ซม.
- ผล/ฝักเป็นรูปวงรีคล้ายแคปซูล 4 ลิ้นและแตกเมื่อแก่ ยาว 1.5–3 ซม. เมื่อแก่มีสีน้ำตาล เมล็ดรูปเส้นด้าย ยาว ประมาณ 1.2 ซม.[3]
- เมื่อยังเล็กจะปกคลุมด้วยขนหนาสั้นสีขาว แต่เมื่อโตเต็มที่ขนจะหายไป[4]
ญาติใกล้ชิด
แก้เขนงนายพรานจะมีลักษณะใกล้เคียงกับญาติใกล้ชิดของมันมากคือ N. rowanae และ N. tenax มาก ซึ่ง 2 ชนิดหลังนี้เป็นพืชถิ่นเดียวของออสเตรเลีย
ลักษณะ | N. mirabilis | N. rowanae |
---|---|---|
สัณฐานวิทยาของแผ่นใบ | แหลมถึงกลม | แคบลงไปทางส่วนปลาย, และต่อไปตามสายดิ่งในลักษณะที่แคบ, แหลม, กว้าง |
จุดต่อของสายดิ่งกับใบ | ทั่วไป | แบบก้นปิด |
ปีกหม้อ | ทั่วไป, มีขนขึ้นที่ขอบ | แบนที่ด้านหน้า, รูปร่างรูปตัวที, มีขนขึ้นที่ขอบ |
พื้นผิวของแผ่นใบ | คล้ายกระดาษ | คล้ายแผ่นหนัง แข็ง |
จุดต่อของแผ่นใบกับลำต้น | ทั่วไป, เป็นครีบ ⅓ ของความยาวของปล้อง | เป็นครีบน้อยกว่า ½ ของความยาวของปล้อง, ทั่วไปจะยาวกว่า |
ความหนาแน่นของต่อมในส่วนล่างของหม้อ | 1600-2500 / ซม.² | ประมาณ 3600 / ซม.² |
ตำแหน่งคอ/เอวในหม้อบน | กึ่งกลาง, ต่ำกว่ากึ่งกลาง | สูงกว่าหนึ่งในสี่ |
ตำแหน่งคอ/เอวในหม้อล่าง | ต่ำกว่าสามถึงหนึ่งในสี่ | ติดกับใต้เพอริสโตม |
การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย
แก้เขนงนายพรานเป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดหนึ่งที่มีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้าง ทำให้มีความหลากหลายที่สูงมาก แล้วด้วยเหตุนี้เองในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เอฟ.เอ็ม.เบลีย์ (F.M. Bailey) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ได้เข้าใจผิดและตั้งให้เขนงนายพรานเป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงถึง 10 ชนิด[5] เพราะลักษณะที่แตกต่างกันของตัวอย่างที่พบ ในการสำรวจหม้อข้าวหม้อแกงลิงในรัฐควีนส์แลนด์ ต่อมา บี.เอช. แดนเซอร์ (B. H. Danser) นักอนุกรมวิธานได้ตรวจสอบผลงานของเบลีย์และพบว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิงทั้ง 10 ชนิดนั้น แท้ที่จริงล้วนเป็นเขนงนายพรานทั้งสิ้น จึงได้แก้ไขใหม่หมดโดยระบุว่ามันเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของเขนงนายพรานเท่านั้น[6] เขนงนายพรานสามารถพบได้ที่ระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเล ไปจนถึงระดับสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,500 เมตร แต่ส่วนใหญ่จะพบเจริญเติบโตที่ระดับความสูงไม่เกิน 100 เมตรจากระดับน้ำทะเล[4] และมักเป็นบริเวณริมตลิ่ง พบได้มากบริเวณที่โล่ง เฉอะแฉะ บึงน้ำซึ่งมีน้ำท่วมขังเป็นประจำ หรือแม้กระทั่งในสวนยางพารา
เขนงนายพรานสามารถพบได้ในเกาะบอร์เนียว เกาะสุมาตรา ไทย มาเลเซียตะวันตก กัมพูชา เกาะนิวกินี อินโดจีน ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย จีน เกาะฮ่องกง ปาเลา หมู่เกาะโมลุกกะ พม่า มาเก๊า และไมโครนีเซีย ในประเทศไทย สามารถพบได้ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก และที่พบมากที่สุดคือ ภาคใต้ เขนงนายพรานมีชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ อีกดังนี้: กระบอกน้ำพราน (ภาคใต้) ปูโยะ (มลายู ปัตตานี) ลึงค์นายพราน (พัทลุง) หม้อแกงค่าง (ปัตตานี) หม้อข้าวลิง (จันทบุรี) หม้อข้าวหม้อแกงลิง (ใต้ นราธิวาส) เหน่งนายพราน (ใต้) [1]
ประวัติและการค้นพบ
แก้เกออร์จ เบเบอร์ฮาร์ด รัมฟิออซ (เยอรมัน: Georg Eberhard Rumphius) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันได้ค้นพบหม้อข้าวหม้อแกงลิง 2 ชนิดใหม่ในหมู่เกาะมลายู จากภาพในหนังสือ Herbarium Amboinensis (พรรณไม้จากอองบง) ทั้ง 6 เล่มของเขาที่เขียนเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2233 และได้ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2284 ในภาพหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดที่ชื่อ Cantharifera ที่แปลว่า "คนถือเหยือก" นั้นเมื่อนำมาพิจารณาแล้วคาดว่าคือเขนงนายพราน ส่วนชนิดที่เหลือก็คือ N. maxima[7] แต่ยังไม่เป็นที่แน่ใจนัก
ปี พ.ศ. 2333 โจเอา เดอ เลอรีโร (โปรตุเกส: João de Loureiro) นักบวชชาวโปรตุเกส ได้พรรณนาถึง Phyllamphora mirabilis หรือ "ใบรูปหม้ออันน่าพิศวง" จากเวียดนาม หรือก็คือเขนงนายพรานนั่นเอง แม้เขาจะอยู่ในประเทศนี้มาถึง 35 ปี มันดูเหมือนว่า เลอรีโรจะไม่ได้เฝ้าศึกษาหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนี้อย่างจริงจังนัก เขาอ้างว่าฝาของหม้อเคลื่อนไหวได้ในรูปแบบเปิดและปิดฝาหม้อไว้ในงานที่มีชื่อเสียงของเขา Flora Cochinchinensis (พืชจากเวียดนามใต้) ซึ่งเขาเขียนไว้ว่า:[8]
...สายดิ่งที่ยื่นยาวต่อจากปลายสุดของใบที่บิดขดเป็นวงอยู่ตรงกลาง ทำหน้ายึดหม้อนิ่ม ๆ รูปไข่นั่นไว้ มันมีปากที่เรียบเป็นโครงยื่นตรงขอบและที่ด้านตรงข้ามเป็นฝาปิด ซึ่งเปิดอยู่โดยธรรมชาติ และจะปิดเมื่อต้องเก็บกักน้ำค้างไว้ เป็นผลงานของพระผู้เป็นเจ้าที่น่าพิศวงมาก! — จากหนังสือหม้อข้าวหม้อแกงลิงจากบอร์เนียว[2]
ในที่สุด Phyllamphora mirabilis ก็ถูกเปลี่ยนเข้าสู่สกุลของหม้อข้าวหม้อแกงลิงโดยเกออร์จ คลาริดก์ ดรูซ (George Claridge Druce) ในปี พ.ศ. 2459[9] ดังนั้น P. mirabilis จึงเป็น ชื่อเดิม (basionym) ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงทั่วโลกหลายชนิด[10]
ในปี พ.ศ. 2382 พี.ดับเบิลยู. โคร์ทอลส์ (P. W. Korthals) ได้ตีพิมพ์เอกสารหม้อข้าวหม้อแกงลิงฉบับแรก โดยในรายชื่อหม้อข้าวหม้อแกงลิงทั้ง 9 ชนิดมีเขนงนายพรานรวมอยู่ด้วย
อนุกรมวิธาน
แก้หน่วยอนุกรมวิธานต่ำกว่าระดับชนิด
แก้การกระจายตัวที่กว้างจะทำให้เกิดการวิวัฒนาการที่แตกต่างของลักษณะของหม้อและสี ทำให้มีการแจกแจงไว้ดังนี้
- Nepenthes mirabilis f. anamensis (Hort.Weiner) Hort.Westphal (1991)
- Nepenthes mirabilis var. anamensis Hort.Weiner in sched. (1985) nom.nud.
- Nepenthes mirabilis var. biflora J.H.Adam & Wilcock (1992)
- Nepenthes mirabilis var. echinostoma (Hook.f.) Hort.Slack ex J.H.Adam & Wilcock (1992)
- Nepenthes mirabilis var. globosa M.Catal. (2010)[11]
- Nepenthes mirabilis f. simensis (Hort.Weiner) Hort.Westphal (1991)
- Nepenthes mirabilis var. simensis Hort.Weiner in sched. (1985) nom.nud.
- Nepenthes mirabilis f. smilesii (Hemsl.) Hort.Westphal (2000) = Nepenthes smilesii
- Nepenthes mirabilis var. smilesii (Hemsl.) Hort.Weiner in sched. (1985) = Nepenthes smilesii
N. mirabilis var. echinostoma
แก้N. mirabilis var. echinostoma (มีรากศัพท์มาจากคำในภาษาละตินว่า echinostoma อันหมายถึง ปากเป็นมันวาวคล้ายเปลือกกุ้ง หอย[12]) มีลักษณะแปรผันที่เด่นชัด มีเพอริสโตมที่บาน กว้างและหนาพิเศษ ทั้งยังมีร่องละเอียดอย่างเห็นได้ชัด ถูกค้นพบโดย โอโดอาร์โด เบคคารี (Odoardo Beccari) ในปี พ.ศ. 2408 และถูกจำแนกชนิดโดยเซอร์ โยเซพ ดาลตัน ฮุคเกอร์ในปี พ.ศ. 2416[2] N. mirabilis var. echinostoma เป็นลักษณะเดียวของชนิดที่ผิดแปลกไปการลักษณะอื่นเป็นอย่างมาก พบในประเทศบรูไน รัฐซาราวัก และรัฐซาบะฮ์[2] (ยังไม่ถูกยืนยัน) ครั้งแรกที่พบมันถูกจัดจำแนกเป็น Nepenthes echinostoma แต่ในภายหลัง อดัมและวิลคัก ได้จัดลำดับอนุกรมวิธานให้พืชนี้เป็นความหลากหลายของเขนงนายพรานเท่านั้น[4]
N. mirabilis var. globosa
แก้ในปี พ.ศ. 2550 หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิด N. globosa ที่ได้รับการระบุบโดย ไซเกะโอะ คุระตะ (Shigeo Kurata) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Nepenthes sp. Viking[13] ซึ่งสามารถพบในเกาะบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันของจังหวัดพังงา ใกล้กับจังหวัดตรัง ประเทศไทย[11][13] ในงาน Sarawak Nepenthes summit 2007 (งานประชุมเรื่องหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่รัฐซาราวัก ปี พ.ศ. 2550) ได้ลดระดับ N. globosa ลงเหลือสปีชีส์ย่อยของเขนงนายพรานแทน[14] เพราะยังมีการศึกษาในหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนี้น้อยมาก และถ้า N. globosa เป็นสปีชีส์ย่อยของเขนงนายพรานจริง จะทำให้ N. globosa เป็นความแปรผันมากที่สุดในรูปทรงของหม้อของเขนงนายพราน ต่อมาในภายหลังได้รับการระบุบโดย มาร์เชลโล กาตาลาโน (Marcello Catalano) ในปี พ.ศ. 2553 ภายใต้ชื่อ Nepenthes sp. Phanga Nga[13]
ลูกผสมตามธรรมชาติ
แก้ลูกผสมตามธรรมชาติของเขนงนายพรานตามที่มีการบันทึกไว้มีดังนี้:
- ? [I] (N. alata × N. merrilliana) × N. mirabilis = N. × tsangoya[15][II]
- ? [I] N. alata × N. mirabilis = N. × mirabilata[15][II]
- N. ampullaria × N. mirabilis = N. × kuchingensis, Nepenthes cutinensis[4]
- ? [I] (N. ampullaria × N. rafflesiana) × N. mirabilis = N. × hookeriana × N. mirabilis
- N. benstonei × N. mirabilis[16]
- N. bicalcarata × N. mirabilis[4]
- ? [I] (N. bicalcarata × N. rafflesiana) × N. mirabilis var. echinostoma[4]
- N. gracilis × N. mirabilis = N. × ghazallyana, N. × grabilis, N. neglecta ? [I][4]
- N. insignis × N. mirabilis
- N. mirabilis × N. northiana
- N. mirabilis × N. rafflesiana[4]
- N. mirabilis × N. rowanae
- N. mirabilis × N. smilesii
- N. mirabilis × N. spathulata[16]
- N. mirabilis × N. sumatrana
- N. mirabilis × N. tenax
- ? [I] N. mirabilis × N. thorelii
- ? [I] N. mirabilis × N. tomoriana
-
N. mirabilis × N. northiana
-
N. mirabilis × N. rafflesiana
-
N. mirabilis × N. sumatrana
-
? N. mirabilis × N. tomoriana
สถานะการอนุรักษ์
แก้เนื่องจากมีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้าง เขนงนายพรานจึงถูกจัดให้อยู่ในสถานะ LR/lc โดย IUCN ซึ่งหมายความว่ามีความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์ แต่ไม่มีแผนงานอนุรักษ์รองรับ และไม่ทราบว่าจะมีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์จากพื้นที่ธรรมชาติในอนาคตข้างหน้าหรือไม่ และอยู่ในบัญชีที่ 2 ของไซเตส[17] ที่กำหนดให้หม้อข้าวหม้อแกงลิงทุกชนิดอยู่ในบัญชีที่ 2 ยกเว้น N. khasiana และ N. rajah จัดอยู่ในบัญชีที่ 1
ในส่วนของประเทศไทยที่เป็นสมาชิกของไซเตสนั้น ได้กำหนดนโยบาย มาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามอนุสัญญาฯ ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่อง พืชอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2535 มีรายละเอียดเกี่ยวกับเขนงนายพรานดังนี้[18]
- วงศ์หม้อข้าวหม้อแกงลิง
- พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2
- Nepenthes spp. (ไทย: นีเพนเธส สปีชีส์) (Pitcher-plants, สกุลหม้อข้าวหม้อแกงลิงทุกชนิด)
- พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2
โดยมีข้อบังคับไว้โดยสรุปเกี่ยวกับพืชอนุรักษ์ดังนี้
- ห้ามมิให้ผู้ใดนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านพืชอนุรักษ์และซากของพืชอนุรักษ์ เว้นแต่ได้รับหนังสืออนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย (มาตรา 29 ตรี)
- ผู้ใดประสงค์จะขยายพันธุ์เทียมพืชอนุรักษ์เพื่อการค้า ให้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนสถานที่เพาะเลี้ยงพืชอนุรักษ์ต่อกรมวิชาการเกษตร (มาตรา 29 จัตวา)
สิ่งมีชีวิตอิงอาศัยหม้อข้าวหม้อแกงลิง
แก้มีการพบสิ่งมีชีวิตอิงอาศัยหลายชนิดในหม้อของเขนงนายพราน ประกอบไปด้วย แมลงวันวงศ์ sarcophagid Sarcophaga papuensis และแมลงหกขาขนาดเล็ก Nepenthacarus warreni ซึ่งทั้งคู่พบในประชากรของเขนงนายพรานในประเทศออสเตรเลีย[19][20] ในทำนองเดียวกัน ยังพบยุง Aedes dybasi และ Aedes maehleri อาศัยอยู่ในหม้อของเขนงนายพรานบนเกาะของประเทศปาเลาและเกาะยับ (Yap) ตามลำดับ[21] ยุงทั้ง 2 ชนิดมีวงจรชีวิตที่ผิดแปลกไปและรูปร่างสัญฐานลักษณะเฉพาะที่สัมพันธ์กับถิ่นอาศัยนี้[22][23]
นีมาโทดา Baujardia mirabilis ได้รับการระบุว่าพบได้จากเขนงนายพรานในประเทศไทย ซึ่งคาดกันว่าไม่ใช่ความบังเอิญที่หม้อของเขนงนายพรานจะเป็นถิ่นอาศัยตามธรรมชาติของนีมาโทดาชนิดนี้ ระบบนิเวศขนาดจิ๋วในหม้อถูกครอบครองโดยลูกน้ำยุง แมลงตัวเล็ก ๆ และ B. mirabilis มีการคาดเดากันว่านีมาโทดาชนิดนี้อาจมีความสัมพันธ์แบบพาหะกับแมลงอิงอาศัยชนิดหนึ่งหรือหลายชนิด[24]
ในตอนใต้ของประเทศจีน มีการพบกบต้นไม้ในหม้อของเขนงนายพราน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำนี้ ไม่พลัดตกลงไปในหม้อจนกลายเป็นเหยื่อของเขนงนายพราน แต่น่าจะลงไปกินแมลงที่ตกลงไปในหม้อมากกว่า[25] กบนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำย่อยที่มีฤทธ์เป็นกรดที่อยู่ในหม้อของเขนงนายพราน (ซึ่งอาจมีค่า ph ต่ำถึง 2) เป็นเพราะมีเมือกห่อหุ้มชั้นผิวหนังอยู่[26]
มีบันทึกว่าพบเห็ดราที่อาศัยอยู่ในน้ำครั้งแรกในหม้อของพืชกินสัตว์ มาจากตัวอย่างของเขนงนายพรานที่ขึ้นอยู่ริมแม่น้ำจาร์ดิน (Jardine) ในประเทศออสเตรเลีย เห็ดราที่เป็นเส้นใยนี้ สังเกตพบทั้งในน้ำที่อยู่ในกับดักของพืชกินสัตว์และติดกับไคทินแมลงที่เหลืออยู่[27][28]
นอกจากนี้ หม้อของเขนงนายพรานยังเป็นแหล่งอาศัยของชุมชนแบคทีเรียที่ซับซ้อนอีกด้วย[29]
ประโยชน์
แก้- เถาหรือลำต้นของเขนงนายพรานมีความเหนียวทนทานมาก ชาวบ้านนิยมไปทำเชือกเพื่อผูกมัดสิ่งของต่าง ๆ เช่น ผูกเสาทำรั้วบ้าน หรือ ใช้ถักเครื่องจักสาน เช่น พวกเครื่องดักปลา เป็นต้น[30]
- รากของเขนงนายพรานใช้ฝนกับน้ำในกระเปาะใช้พอกแผลถอนพิษสัตว์ ใช้ผสมยาอื่นแก้โลหิตเป็นพิษ ส่วนของหม้อใช้ผสมยาอื่นกินแก้โรคน้ำเหลืองเสีย[30]
- ทางภาคใต้ได้มีการนำเขนงนายพรานไปทำขนมที่มีชื่อว่า "ข้าวเหนียวหม้อแกงลิง"[31] วิธีการทำเริ่มจากการแช่ข้าวเหนียว แล้วนำส่วนที่เป็นหม้อของเขนงนายพรานไปล้างให้สะอาด กรอกข้าวเหนียวลงไปในหม้อ จากนั้นหยอดหางกะทิตามลงไป ยกขึ้นเตานึ่ง พอข้าวเหนียวใกล้สุกจึงหยอดหัวกะทิที่ผสมเกลือพอเค็ม นำมานึ่งอีกครั้งจนสุก
การปลูกเลี้ยง
แก้- ดูเพิ่ม: การปลูกเลี้ยงหม้อข้าวหม้อแกงลิง
เขนงนายพรานเป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงพืชพื้นราบ ส่วนมากพบสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 100 เมตร สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำได้ดี (ประมาณ 20%[32]) จึงเป็นหนึ่งในหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ปลูกเลี้ยงได้ง่ายมาก เป็นพืชต้องการแสงมาก อากาศไหลเวียนได้ดี เครื่องปลูกต้องระบายน้ำได้ดีแต่ไม่จับตัวกันแน่น และต้องชุ่มน้ำทั่วกระถางเมื่อมีการให้น้ำ ถึงแม้จะมีรายงานว่าพบเขนงนายพรานในบึงน้ำซึ่งมีน้ำท่วมขัง แต่ไม่ควรแฉะมากและไม่ควรหล่อน้ำทิ้งไว้เพราะจะทำให้รากเน่าได้ แนะนำให้ใช้กาบมะพร้าวสับเป็นเครื่องปลูก
การให้ปุ๋ยเคมี (ที่ประกอบไปด้วย NPK) นั้นสามารถให้ได้แต่ควรใช้เจือจางกว่าที่ระบุบในฉลาก และเนื่องจากเขนงนายพรานเป็นไม้เลื้อยที่อาจยาวได้ถึง 10 เมตร จึงจำเป็นต้องทำหลักหรือร้านให้มันยึดเกาะและเลื้อยไต่
การเผยแพร่ในสื่อ
แก้- ประเทศไทยได้จัดพิมพ์แสตมป์ชุดพืชกินแมลง 4 ดวง เป็นที่ระลึกสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย พ.ศ. 2549 โดยใช้ภาพที่ชนะเลิศจากการประกวดในงานสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมายประจำปี พ.ศ. 2548 ในหัวข้อ "พืชกินแมลง" 1 ใน 4 ดวงนั้นเป็นรูปเขนงนายพราน[III] ที่ออกแบบโดย นายพงศพล โพนะทา ราคา 3.00 บาท ออกจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2549[33]
เชิงอรรถ
แก้I. ^ เครื่องหมาย ? หมายถึง ผู้แต่งก็ยังไม่แน่ใจหรือยังมีความสับสนในหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนั้นอยู่
II. ^ N. × mirabilata (N. alata × N. mirabilis) และ N. × tsangoya ((N. alata × N. merrilliana) × N. mirabilis) เป็นแนวทางในการกล่าวอ้างของลูกผสมในธรรมชาติของลูกผสมหม้อข้างหม้อแกงลิงชนิดต่าง ๆ ( Nepenthes Hybrids (1995) )
III. ^ ภาพหม้อบนของหม้อข้าวหม้อแกงลิงในรูปภาพบนแสตมป์ คาดว่าเป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิด N. × ventrata มากกว่าที่จะเป็นเขนงนายพราน สังเกตได้จากเพอริสโตมมีขอบเป็นจีบหยัก หม้อมีเอวคอด ซึ่งโดยปกติแล้วหม้อบนของเขนงนายพรานนั้นเพอริสโตมมีขอบเรียบกลม หม้อเป็นทรงกระบอก
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 เต็ม สมิตินันทน์ ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เก็บถาวร 2010-05-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, พ.ศ. 2549
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 Phillipps, A. & A. Lamb 1996. Pitcher-Plants of Borneo. Natural History Publications (Borneo) , Kota Kinabalu.
- ↑ Nepenthes mirabilis Encyclocedia of Life
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 4.7 Clarke, C.M. 1997. Nepenthes of Borneo. Natural History Publications (Borneo) , Kota Kinabalu.
- ↑ Danser's Monograph on Nepenthes: Nepenthes mirabilis
- ↑ Nepenthes rowanae (Nepenthaceae), a remarkable species from Cape York, Australia Carnivorous Plant Newsletter Volume 34, Number 2, June 2005, pages 36 - 41
- ↑ Rumphius, G.E. 1741–1750. Cantharifera. In: Herbarium Amboinense 5, lib. 7, cap. 61, p. 121, t. 59, t. 2.
- ↑ de Loureiro, J. 1790. Flora Cochinchinensis 2: 606–607.
- ↑ Druce, G. 1916. Nepenthes mirabilis. In: Botanical Exchange Club of the British Isles Report 4: 637.
- ↑ Clarke, C.M. 1997. Nepenthes of Borneo. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
- ↑ 11.0 11.1 Catalano, M. 2010. Nepenthes mirabilis var. globosa M. Catal. var. nov.PDF In: Nepenthes della Thailandia. Prague. p. 40.
- ↑ "neofarm" Nepenthes mirabilis var. echinostoma
- ↑ 13.0 13.1 13.2 McPherson, S.R. 2009. Pitcher Plants of the Old World. 2 volumes. Redfern Natural History Productions, Poole.
- ↑ หม้อข้าวหม้อแกงลิงในเมืองไทย เก็บถาวร 2009-02-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน exoflora.net เก็บถาวร 2018-03-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ 15.0 15.1 Lauffenberger, A. 1995. Guide to Nepenthes Hybrids.
- ↑ 16.0 16.1 Clarke, C.M. 2001. Nepenthes of Sumatra and Peninsular Malaysia. Natural History Publications (Borneo) , Kota Kinabalu.
- ↑ APPENDICES I AND II as adopted by the Conference of the PartiesPDF (120 KiB)
- ↑ "ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง พืชอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๑๘๗ ง หน้า ๔๓–๖๑. วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕.
- ↑ Yeates, D.K., H. de Souza Lopes & G.B. Monteith 1989. A commensal sarcophagid (Diptera: Sarcophagidae) in Nepenthes mirabilis (Nepenthaceae) pitchers in Australia. Australian Entomological Magazine 16: 33–39.
- ↑ Fashing, N.J. 2002. Nepenthacarus, a new genus of Histiostomatidae (Acari: Astigmata) inhabiting the pitchers of Nepenthes mirabilis (Lour.) Druce in Far North Queensland, Australia.PDF (1.64 MiB) Australian Journal of Entomology 41(1): 7–17. doi:10.1046/j.1440-6055.2002.00263.x
- ↑ Sota, T. & M. Mogi 2006. Origin of pitcher plant mosquitoes in Aedes (Stegomyia): a molecular phylogenetic analysis using mitochondrial and nuclear gene sequences. Journal of Medical Entomology 43(5): 795–800. doi:10.1603/0022-2585(2006)43[795:OOPPMI2.0.CO;2]
- ↑ Bohart, R.M. 1956. Insects of Micronesia. Diptera: Culicidae.PDF Insects Micronesia 12(1): 1–85.
- ↑ Mogi, M. 2010. Unusual life history traits of Aedes (Stegomyia) mosquitoes (Diptera: Culicidae) inhabiting Nepenthes pitchers. Annals of the Entomological Society of America 103(4): 618–624. doi:10.1603/AN10028
- ↑ Bert, W., I.T. De Ley, R. Van Driessche, H. Segers & P. De Ley 2003. Baujardia mirabilis gen. n., sp. n. from pitcher plants and its phylogenetic position within Panagrolaimidae (Nematoda: Rhabditida).PDF Nematology 5(3): 405–420. doi:10.1163/156854103769224395
- ↑ Hua, Y. & H. Li 2005. Food web and fluid in pitchers of Nepenthes mirabilis in Zhuhai, China.PDF Acta Botanica Gallica 152(2): 165–175.
- ↑ Hua, Y. & L. Kuizheng 2004. The Special Relationship Between Nepenthes and Tree Frogs.PDF Carnivorous Plant Newsletter 33(1): 23–24.
- ↑ Cribbs, A.B. 1987. An aquatic fungus from pitchers of Nepenthes mirabilis. Queensland Naturalist 28: 72–73.
- ↑ Shnell, D.E. 1992. Literature Review. Carnivorous Plant Newsletter 21(3): 80–82.
- ↑ Yogiara, A. Suwanto & M.T. Suhartono 2006. A complex bacterial community living in pitcher plant fluid เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Jurnal Mikrobiologi Indonesia 11(1): 9–14.
- ↑ 30.0 30.1 มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เก็บถาวร 2009-06-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน “หม้อแกงลิง” พืชสารพัดประโยชน์
- ↑ "ข้าวเหนียวหม้อแกงลิง". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-04-25. สืบค้นเมื่อ 2009-06-19.
- ↑ Nepenthes mirabilis www.nepenthesaroundthehouse.com
- ↑ แสตมป์ชุดพืชกินแมลง เก็บถาวร 2016-03-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน stampthai.org เก็บถาวร 2007-05-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Adam, J. H., R. Omar & C. C. Wilcock 2002. Phytochemical Screening of Flavonoids in Three Hybrids of Nepenthes (Nepenthaceae) and their Putative Parental Species from Sarawak and Sabah.PDF OnLine Journal of Biological Sciences 2 (9) : 623–625.
- Bednar, B.L. 1983. Nepenthes mirabilis variation.PDF (111 KiB) Carnivorous Plant Newsletter 12 (3) : 64.
- Bednar, B.L. 1985. An Unusual mirabilis Plant.PDF Carnivorous Plant Newsletter 14 (4) : 91.
- Bert, W., I.T. De Ley, R. Van Driessche, H. Segers & P. De Ley 2003. Baujardia mirabilis gen. n., sp. n. from pitcher plants and its phylogenetic position within Panagrolaimidae (Nematoda: Rhabditida). Nematology 5 (3) : 405–420.
- Chaveerach, A., A. Tanomtong, R. Sudmoon & T. Tanee 2006. Genetic diversity among geographically separated populations of Nepenthes mirabilis. Biologia 61 (3) : 295–298.
- Clementi, G. 1843. Sull'aascidio della Nepenthes phyllamphora di Wildenow. Il Cimento 1 (13–14) : 217–220.
- Fashing, N.J. 2002. Nepenthacarus, a new genus of Histiostomatidae (Acari: Astigmata) inhabiting the pitchers of Nepenthes mirabilis (Lour.) Druce in Far North Queensland, Australia.PDF (1.64 MiB) Australian Journal of Entomology 41 (1) : 7–17.
- Hua, Y. & H. Li 2005. Food web and fluid in pitchers of Nepenthes mirabilis in Zhuhai, China.PDF Acta Botanica Gallica 152 (2) : 165–175.
- Lavarack, P.S. 1977. Notes on Nepenthes mirabilis and other Carnivorous Plants in Queensland.PDF Carnivorous Plant Newsletter 6 (3) : 49–50.
- Lavarack, P.S. 1981. Nepenthes mirabilis in Australia.PDF Carnivorous Plant Newsletter 10 (3) : 69–72, 74–76.
- Mokkamul, P., A. Chaveerach, R. Sudmoon & T. Tanee 2007. Species Identification and Sex Determination of the Genus Nepenthes (Nepenthaceae).PDF (702 KiB) Pakistan Journal of Biological Sciences 10 (4) : 561–567.
- Moran, J.A., W.E. Booth & J.K. Charles 1999. Aspects of Pitcher Morphology and Spectral Characteristics of Six Bornean Nepenthes Pitcher Plant Species: Implications for Prey Capture.PDF Annals of Botany 83: 521–528.
- Normawati, Y. 2002. The effect of stem length on pitcher and inflorescence production in Nepenthes gracilis and Nepenthes mirabilis at Serendah Selangor. B.Sc. Thesis. Universiti Kebangsaan Malaysia.
- Pavlovič, A., E. Masarovičová & J. Hudák 2007. Carnivorous Syndrome in Asian Pitcher Plants of the Genus Nepenthes. Annals of Botany 100 (3) : 527–536.
- Rice, B. 2007. Carnivorous plants with hybrid trapping strategies. Carnivorous Plant Newsletter 36 (1) : 23–27.
- Schulze, W., E.D. Schulze, J.S. Pate, A.N. Gillison 1997. The nitrogen supply from soils and insects during growth of the pitcher plants Nepenthes mirabilis, Cephalotus follicularis and Darlingtonia californica. Oecologia 112 (4) : 464–471.
- Sota, T. & M. Mogi 2006. Origin of Pitcher Plant Mosquitoes in Aedes (Stegomyia) : A Molecular Phylogenetic Analysis Using Mitochondrial and Nuclear Gene Sequences. Journal of Medical Entomology 43 (5) : 795–800.
- Ziemer, R.R. 1988. Carnivorous Plants in Micronesia.PDF Carnivorous Plant Newsletter 17 (3) : 70–73.
- รูปความหลากหลายและรูปแบบของเขนงนายพราน