Nepenthes bicalcarata
Nepenthes bicalcarata | |
---|---|
หม้อกลางของ N. bicalcarata | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
หมวด: | Magnoliophyta |
ชั้น: | Magnoliopsida |
อันดับ: | Caryophyllales |
วงศ์: | Nepenthaceae |
สกุล: | Nepenthes |
สปีชีส์: | N. bicalcarata |
ชื่อทวินาม | |
Nepenthes bicalcarata Hook.f. (1873) | |
ชื่อพ้อง | |
|
Nepenthes bicalcarata (มาจากคำในภาษาละติน: bi "สอง", calcaratus "เดือย, เขี้ยว")หรือ Fanged Pitcher-Plant[1] เป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ถิ่นเดียวของทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว
ประวัติ
แก้Nepenthes bicalcarata ถูกจำแนกครั้งแรกโดย โจเซฟ เดลตัน ฮุกเคอร์ (En:Joseph Dalton Hooker) ในปี ค.ศ. 1873 พบพื้นฐานของตัวอย่างที่เก็บมาโดย ฮักฮ์ โลว (En:Hugh Low) และ โอโดอาร์โด เบคคารี (En:Odoardo Beccari) ใกล้กับแม่น้ำลาวัส (Lawas) ในเกาะบอร์เนียว[2] ต้นแบบ Low s.n. ถูกเก็บรักษาไว้ที่สวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิว[3] 7 ปีต่อมา สเพนเซอร์ เลอ เมอร์ชานต์ มัวร์ (Spencer Le Marchant Moore) ได้จำแนกเป็น Nepenthes dyak บนพื้นฐานของตัวอย่างที่เก็บโดย โจฮันเนส์ อีเลียส ทีจ์สแมนน์ (En:Johannes Elias Teijsmann) ที่ชื่อ Teijsmann 10962 จากแม่น้ำกาปูวัส (Kapuas) ในทางตะวันตกของบอร์เนียว[4][5] ตัวอย่างนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่สวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิวเช่นกัน[3] และสำเนาถูกเก็บรักษาไว้ที่หอพรรณไม้แห่งชาติเนเธอร์แลนด์ในไลเดน[6] มีการกล่าวถึงชื่อ N. dyak ซึ่งถูกตั้งในภายหลังในหนังสือหลายเล่ม[7][8] ปัจจุบันมันถูกพิจารณาให้เป็นชนิดเดียวกันกับ N. bicalcarta[9]
Nepenthes bicalcarata ถูกนำมาสู่ยุโรปในปี ค.ศ. 1879 โดยนักสำรวจชาวอังกฤษที่ชื่อ เฟรดเดอร์ริก วิลเลียม เบอร์บิดก์ (Frederick William Burbidge) ซึ่งเก็บมาให้สถานเพาะเลี้ยงวีตช์ (Veitch Nurseries) ที่มีชื่อเสียง มีการปลูกเลี้ยงกันขนานใหญ่และแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางในปี ค.ศ. 1881[1]
ในระหว่างที่หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นที่นิยมอย่างมาก มีบันทึกใน The Gardeners' Chronicle ของปี ค.ศ. 1881 ถึง N. bicalcarata ของสถานเพาะเลี้ยงวีตช์ดังนี้:[10]
N. bicalcarata มีใบที่แข็ง ทน และมีหม้อทีมีเครื่องมือคล้ายกับดักหนูดูดุร้ายที่ฝา ทำให้มันแตกต่างจากหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดอื่นเป็นอย่างมาก
สองสามปีหลังจะถูกนำเข้ามา N. bicalcarata ยังคงเป็นต้นไม้ที่หายาก ในบัญชีวีตช์ในปี ค.ศ. 1889 N. bicalcarata มีราคา £3.3s ต่อต้น ขณะที่ต้นไม้ยอดนิยมอย่าง N. northiana และ N. rajah มีราคาเพียงr £2.2s[1]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
แก้N. bicalcarata เป็นพืชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุล เลื้อยไต่ได้สูงถึง 20 ม. ลำต้นทรงกระบอกหนากว่าชนิดอื่น มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5 ซม. ปล้องอาจยาวถึง 40 ซม.[9][11]
ใบของ N. bicalcarata มีก้านใบ คล้ายแผ่นหนัง แผ่นใบรูปไข่กลับ-รูปใบหอก มีขนาดใหญ่ ยาว 80 ซม.กว้าง 12 ซม.[12] เป็นครีบแคบๆที่ลำต้น แผ่นใบมีเส้นใบตามยาวไม่ชัดเจนและเส้นใบแบบขนนกจำนวนมาก สายดิ่งยาว 60 ซม.กว้าง 8 มม. มีแอ่งและรอยปูดใกล้กับหม้อ[9]
ถึงแม้หลายๆส่วนของพืชจะมีขนาดใหญ่ แต่หม้อก็ไม่ได้ใหญ่ตามอย่างเช่นในชนิด N. rajah แต่กระนั้น หม้อก็อาจมีปริมาตรมากกว่า 1 ลิตร หม้อสูง 25 ซม.กว้าง 16 ซม. มีปีกตะเข็บหนึ่งคู่ยื่นออกมา (กว้าง ≤15 มม.) ตลอดด้านหน้าของหม้อล่าง และจะลดรูปลงเหลือแค่สันในหม้อบน เพอริสโตม (กว้าง ≤20 มม.) มีลักษณะแบบโค้งเข้าหาภายใน มีฟันขนาดเล็กแยกกัน มีหนามแหลมหนึ่งคู่ใต้ฝา ยาว 3 ซม. กลายมาจากสันของเพอริสโตม 10–12 สัน[13] ฝารูปไตถึงรูปหัวใจ ไม่มีรยางค์ เดือยเดี่ยว (ยาว ≤15 มม.) แทรกอยู่ที่ฐานฝา[9]
N. bicalcarata มีช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ก้านช่อดอกอาจยาวถึง 40 ซม. แกนกลางยาว 100 ซม. ในช่อดอกเพศเมียจะสั้นกว่า[14] ก้านดอกย่อยยาว 40 มม.อาจมีดอกถึง 15 ดอก กลีบเลี้ยงรูปไข่กลับหรือรูปใบหอกยาว 4 มม.[9]
พืชที่โตเต็มที่ไม่มีสิ่งปกคลุม ขนร่วงง่ายจะพบในพืชที่ยังเล็กและช่อดอก
N. bicalcarata มีการกระจายตัวไม่กว้างนัก ไม่มีหน่วยอนุกรมวิธานต่ำกว่าระดับชนิดจำแนกไว้[9]
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 Phillipps, A. & A. Lamb 1996. Pitcher-Plants of Borneo. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
- ↑ Hooker, J.D. 1873. Nepenthaceae. In: A. De Candolle Prodromus systematis universalis regni vegetabilis 17: 90–105.
- ↑ 3.0 3.1 Schlauer, J. 2006. Nepenthes bicalcarata เก็บถาวร 2020-07-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Carnivorous Plant Database.
- ↑ Moore, S.L.M. 1880. Alabastra diversa. The Journal of Botany 18: 1–8.
- ↑ Jebb, M.H.P. & M.R. Cheek 1997. A skeletal revision of Nepenthes (Nepenthaceae). Blumea 42 (1): 1–106.
- ↑ Specimen detail: Teijsmann 10962 เก็บถาวร 2011-05-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Nationaal Herbarium Nederland.
- ↑ Burbidge, F.W. 1882. Notes on the new Nepenthes. The Gardeners' Chronicle 17(1): 56.
- ↑ Beccari, O. 1896. Malesia, III (1886–1890): Rivista delle specie del genere Nepenthes, p. 1–15.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 Clarke, C.M. 1997. Nepenthes of Borneo. Natural History Publications (Borneo), Kota Kinabalu.
- ↑ [Anonymous] 1881. Messr's Veitch's Nepenthes House. The Gardeners' Chronicle n. ser. 16: 598.
- ↑ Steiner, H. 2002. Borneo: Its Mountains and Lowlands with their Pitcher Plants. Toihaan Publishing Company, Kota Kinabalu.
- ↑ Danser, B.H. 1928. The Nepenthaceae of the Netherlands Indies. Bulletin de Jardin de Botanique, Buitenzorg, Série III, 9(3–4): 249–438.
- ↑ Cheek, M.R. & M.H.P. Jebb 2001. Nepenthaceae. Flora Malesiana 15: 1–157.
- ↑ Macfarlane, J.M. 1908. Nepenthaceae. In: A. Engler Das Pflanzenreich IV, III, Heft 36: 1–91.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Danser, B.H. 1928. 4. Nepenthes bicalcarata. In: The Nepenthaceae of the Netherlands Indies. Bulletin de Jardin de Botanique, Buitenzorg, Série III, 9(3–4): 249–438.