สงครามสยาม-เวียดนาม พ.ศ. 2314
สงครามสยาม-เวียดนาม พ.ศ. 2314 เป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างสยามสมัยอาณาจักรธนบุรีในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนรวมไปถึงอาณาจักรเขมรอุดงในสมัยของพระนารายน์ราชารามาธิบดี(นักองค์ตน) และราชรัฐห่าเตียนซึ่งการปกครองโดยหมักเทียนตื๊อหรือพระยาราชาเศรษฐี ต่อเนื่องมาเป็นการรบที่สักเกิ่ม-สว่ายมู้ต
สงครามสยาม-เวียดนาม พ.ศ. 2314 | |||||
---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามสยาม-เวียดนาม | |||||
![]() แผนที่ อินโดจีน ในปี 2313 | |||||
| |||||
คู่สงคราม | |||||
![]() |
ตระกูลเหงียน![]() ราชรัฐห่าเตียน | ||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เหงียน ฟุก ถ่วน (Nguyễn Phúc Thuần) เหงียน กิ๋ว ด่าม (Nguyễn Cửu Đàm) ต๊ง เฟื๊อก เหียป (Tống Phước Hiệp) เหงียน ฮิ๋ว เญิน (Nguyễn Hữu Nhơn) เหงียน ควา เทวียน (Nguyễn Khoa Thuyên) ![]() ![]() หมัก เทียน ตื๊อ (Mạc Thiên Tứ) | ||||
กำลัง | |||||
ประมาณ 20,000 คน | มากกว่า 12,000 คน |
เหตุการณ์นำ
แก้หลังจากที่ตระกูลจิ่ญและตระกูลเหงียนร่วมกันเข้ายึดเมืองดงกิญ (ฮานอย) คืนจากราชวงศ์หมัก (Mạc dynasty) และฟื้นฟูราชวงศ์เล (Lê dynasty) ขึ้นได้สำเร็จในพ.ศ. 2135 เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างตระกูลจิ่ญและตระกูลเหงียน ฮว่างเด๊หรือพระเจ้าเวียดนามราชวงศ์เลประทับอยู่ที่เมืองดงกิญอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าญวนเหนือตระกูลจิ่ญ ในขณะที่ตระกูลเหงียนตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นในเวียดนามภาคกลางและใต้ เป็นเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียน ทำให้เวียดนามแบ่งออกเป็นสองส่วน เจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนแผ่ขยายอำนาจลงสู่เวียดนามภาคใต้บริเวณปากแม่น้ำโขง ซึ่งเดิมเป็นดินแดนของอาณาจักรเขมรอุดง และเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนยังเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองในกัมพูชาอีกด้วย
กำเนิดรัฐห่าเตียน
แก้หลังการล่มสลายของราชวงศ์หมิง ชายชาวจีนกวางตุ้งชื่อว่าหมักกิ๋ว (Mạc Cửu, 鄚玖) หรือม่อจิ่ว (พินอิน: Mò Jiǔ) จากเมืองเล้ยโจว (Leizhou) มณฑลกวางตุ้ง ไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิง จึงเดินทางอพยพมายังเมืองเมืองเปียม (เขมร: ពាម) ของอาณาจักรเขมรอุดงในพ.ศ. 2241[1] คำว่า "เปียม" แปลว่าปากน้ำ หมายถึงว่าเป็นปากน้ำของเมืองบันทายมาศ ซึ่งเป็นเมืองด้านในของกัมพูชา เมืองบันทายมาศเป็นคนละแห่งกันกับเมืองเปียม แต่พงศาวดารไทยมักเรียกเมืองเปียมนี้ว่าเมือง "บันทายมาศ" หรือ "พุทไธมาศ" ด้วยสับสนว่าเป็นเมืองเดียวกัน เมือง"เปียมบันทายมาศ" หรือ"ปากน้ำพุทไธมาศ"นี้ มีชื่อภาษาจีนว่าเหอเซียน (河仙) หรือภาษาเวียดนามว่า "ห่าเตียน" (Hà Tiên) เป็นเมืองท่าที่มีชาวจีนและชาวญวนอาศัยอยู่ หมักกิ๋วตั้งบ่อนเบี้ยขึ้นที่เมืองเปียมบันทายมาศหรือห่าเตียนจนร่ำรวยมีฐานะขึ้น จนได้รับบรรดาศักดิ์ออกญาจากกษัตริย์กัมพูชา หมักกิ๋วนำเมืองห่าเตียนเข้าสวามิภักดิ์ต่อทั้งกัมพูชาและเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียน[1] ในพ.ศ. 2250 หมักกิ๋วเจ้าเมืองห่าเตียนเข้าสวามิภักดิ์ต่อเจ้าญวนใต้เหงียนฟุกจู (Nguyễn Phúc Chu 阮福淍) ได้รับยศและตำแหน่งเป็น"กิ๋วหง็อกเหิ่ว" (Cửu Ngọc hầu) นำไปสู่การกำเนิดของราชรัฐห่าเตียน (Hà Tiên 河仙) อย่างไรก็ตาม พงศาวดารกัมพูชาระบุว่าในเวลาเดียวกันนั้นมีขุนนางเขมรคือออกญาราชาเศรษฐี (เขมร: ឧកញ៉ារាជាសេដ្ឋី) อีกคนหนึ่งปกครองเมืองเปียมบันทายมาศอยู่แล้ว สันนิษฐานว่าหมักกิ๋วนั้นมีอำนาจปกครองชาวจีนและญวนในห่าเตียน ในขณะที่ออกญาราชาเศรษฐีปกครองชาวกัมพูชาในเมืองเปียมบันทายมาศ แยกส่วนอยู่คู่กัน[1]
หมักกิ๋วถึงแก่กรรมในพ.ศ. 2278 หมักเทียนตื๊อ (Mạc Thiên Tứ, 鄚天賜) หรือม่อซื่อหลิน (莫士麟 พินอิน: Mò Shìlín) บุตรชายของหมักกิ๋วขึ้นสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองห่าเตียนต่อจากบิดา ในสมัยของหมักเทียนตื๊อรัฐห่าเตียนเจริญรุ่งเรืองขึ้นจากการค้าและขึ้นมามีอำนาจบทบาททางการเมืองในภูมิภาค
การแย่งชิงราชสมบัติในกัมพูชา
แก้ในพ.ศ. 2257 สมเด็จพระศรีธรรมราชาธิราช หรือนักองค์ธรรม กษัตริย์กัมพูชาซึ่งในพงศาวดารไทยเรียกว่า"พระธรรมราชาวังกระดาน"[2] ขัดแย้งกันกับองค์อิ่มนักแก้วฟ้าหรือที่พงศาวดารไทยเรียกว่า"นักแก้วฟ้าสะจอก"[2] พระแก้วฟ้าขอกำลังสนับสนุนจากเจ้าญวนใต้เหงียนฟุกจูเข้ามาช่วย ฝ่ายนักองค์ธรรมพ่ายแพ้เดินทางมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระในสมัยกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายญวนจึงตั้งให้พระแก้วฟ้าเป็นกษัตริย์กัมพูชาต่อมา สมเด็จพระเจ้าท้ายสระพระราชทานบ้านเรือนบริเวณวัดค้างคาว[2]ให้แก่นักองค์ธรรมได้อยู่อาศัย
ในพ.ศ. 2260 สมเด็จพระเจ้าท้ายสระมีพระราชโองการให้ยกทัพเข้าโจมตีกัมพูชาและเมืองบันทายมาศ เพื่อนำนักองค์ธรรมคืนสู่ราชสมบัติกัมพูชา เจ้าพระยาจักรีโรงฆ้องเป็นแม่ทัพทางบก[2] ในขณะที่เจ้าพระยาพระคลังจีนเป็นแม่ทัพเรือ ฝ่ายทัพเรือสยามพ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายญวนและหมักกิ๋วเมืองห่าเตียน ส่วนฝ่ายทัพบกเจ้าพระยาจักรีโรงฆ้องนำทัพเข้าล้อมเมืองอุดง พระแก้วฟ้ากษัตริย์กัมพูชาฝ่ายญวนยอมอ่อนน้อมยอมส่งบรรณาการต้นไม้เงินต้นไม้ทองแก่สยาม เจ้าพระยาจักรีจึงยกทัพกลับ แต่ทว่ากัมพูชายังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนามเจ้าญวนใต้
ในพ.ศ. 2265 พระแก้วฟ้ายกราชสมบัติให้แก่พระโอรสคือนักพระสัตถาเป็นกษัตริย์กัมพูชาองค์ต่อมา ในพ.ศ. 2280 นักองค์ธรรมพระศรีธรรมราชากลับมาครองกัมพูชาเป็นกษัตริย์อีกครั้ง พระสัตถาพ่ายแพ้เสด็จหลบหนีไปเมืองญวน นักองค์ธรรมครองราชย์สมบัติจนถึงพ.ศ. 2290 จึงสวรรคต พระมหาอุปโยราชพระองค์ทองขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระรามาธิบดี แต่ทว่าในปีต่อมาพ.ศ. 2291 ฝ่ายญวนได้ฉวยโอกาสยกทัพนำพระสัตถาอดีตกษัตริย์เขมรมาโจมตีเมืองอุดง พระรามาธิบดีเสด็จหนีไปยังอยุธยารัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีพระราชโองการให้พระยาราชสุภาวดี[2] (ประตูจีน) ยกทัพนำนักองค์สงวนพระโอรสของนักองค์ธรรมออกจากกรุงศรีอยุธยามาครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระศรีไชยเชษฐาแห่งกัมพูชาเมื่อพ.ศ. 2291 พระสัตถาพ่ายแพ้เสด็จหลบหนีไปเมืองญวนอีกครั้งและสิ้นพระชนม์ ในระยะเวลาเพียงสองปีนี้ มีกษัตริย์กัมพูชาขึ้นครองราชสมบัติแล้วสามพระองค์
ในพ.ศ. 2300 พระมหาอุปโยราช (นักองค์หิง)[3] ยกทัพไปสู้รบกับพระมหาอุปราชพระอุไทยราชา (นักองค์ตน) นักองค์ตนพระมหาอุปราชจึงเสด็จหลบหนีไปเมืองเปียมบันทายมาศ ขอพึ่งหมักเทียนตื๊อหรือ"นักพระโสร์ทศ"[3]เจ้าเมืองบันทายมาศ หมักเทียนตื๊อรับนักองค์ตนเจ้าชายกัมพูชาเป็นบุตรบุญธรรม[1][3] หมักเทียนตื๊อขออนุญาตเจ้าญวนใต้ให้แต่งตั้งนักองค์ตนเป็นกษัตริย์กัมพูชาองค์ใหม่ และส่งทัพเมืองบันทายมาศไปปราบพระมหาอุปโยราชนักองค์หิงได้สำเร็จ ฝ่ายนักองค์ตนจับองค์หิงสำเร็จโทษประหารชีวิต พระอนุชาติกษัตรี[3]พระชายาขององค์หิงส่งทัพมารบกับนักองค์ตน นักองค์ตนตีทัพของพระอนุชาติกษัตรีแตกพ่ายไป พระศรีไชยเชษฐาเสด็จลี้ภัยจากเมืองอุดงไปสวรรคตที่เมืองโพธิสัตว์ในพ.ศ. 2300 พระอนุชาติกษัตรีถูกจับประหารชีวิต พระรามราชานักองค์โนนซึ่งอยู่ฝ่ายองค์หิงและเป็นโอรสของพระศรีไชยเชษฐาหลบหนีไปเมืองสันธุก นักองค์ตนตามไปจับกุมนักองค์โนนที่เมืองสันธุกได้ใส่กรงขังไว้ ออกญาปาร (เหตุ) ลักลอบเปิดกรงให้นักองค์โนนหลบหนีไปกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ[3]
สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์ตน ทรงตอบแทนบุญคุณให้แก่นักพระโสร์ทศหมักเทียนตื๊อที่ได้ช่วยเหลือพระองค์ให้ได้ราชสมบัติกัมพูชา จึงยกดินแดนห้าเมืองซึ่งรวมไปถึงเมืองกำปงโสมและเมืองกำปอดให้แก่หมักเทียนตื๊อ[1] ชาวเวียดนามจึงเข้ามาตั้งรกรากในอาณาบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมากขึ้น นำไปสู่การก่อตั้งเมืองล็องโห่ (Long Hồ) เมืองซาเด๊ก (Sa Đéc) และเมืองเจิวด๊ก (Châu Đốc) โดยฝ่ายเวียดนาม[1]
สมัยกรุงธนบุรี
แก้ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวจีนแต้จิ๋วเข้ามาตั้งรกรากในหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออกของสยามเช่นจันทบุรี บางปลาสร้อย โดยเฉพาะเมืองจันทบุรีเป็นชุมชนที่มีชาวจีนแต้จิ๋วอาศัยอยู่จำนวนมาก เมื่อครั้งที่พม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น ฝ่ายอยุธยาได้มีหนังสือขอความช่วยเหลือจากพระยาราชาเศรษฐีหมักเทียนตื๊อเจ้าเมืองเปียมบันทายมาศ พระยาราชาเศรษฐีได้ส่งกองกำลังและเสบียงอาหารมาที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา[4] แต่ถูกพม่าตีสะกัดจึงถอยกลับไป ในเดือนมกราคมพ.ศ. 2310 ประมาณสามเดือนก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระยาตาก ขุนนางเชื้อสายจีนแต้จิ๋วนามว่าเจิ้งเจา (鄭昭 พินอิน: Zhèng Zhāo) หรือเจิ้งสิ้น (鄭信 พินอิน: Zhèng Xìn) นำกองกำลังฝ่าวงล้อมของพม่าออกมาจากอยุธยา เดินทางไปตั้งมั่นที่เมืองจันทบุรีอันเป็นเมืองของชาวจีนแต้จิ๋ว นักองค์โนนเจ้าชายกัมพูชาได้ติดตามพระยาตากออกมาในครั้งนั้นด้วย นักองค์โนนจึงเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพระยาตากแต่แรกเริ่ม พระยาตากแต่งศุภอักษรให้พระยาพิชัยราชาและนายบุญมีไปขอความช่วยเหลือจากพระยาราชาเศรษฐี[4]หมักเทียนตื๊อในการร่วมรบกับพม่า ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2310 พระยาตากสามารถเข้ายึดเมืองจันทบุรีได้สำเร็จ พระยาจันทบุรี (เจ้าขรัวหลาน) หลบหนีไปยังเมืองเปียมบันทายมาศหรือพุทไธมาศ[4]
หลังจากที่เสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าแล้ว เจ้าชายในราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่ยังตกค้างอยู่ได้แก่ เจ้าศรีสังข์ (พระโอรสในเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ) ได้หลบหนีมายังเมืองบางปลาสร้อย เจ้าศรีสังข์ได้พบกับมิชชันนารีฝรั่งเศส ซึ่งได้ช่วยเหลือเจ้าศรีสังข์ให้เสด็จลี้ภัยมายังเมืองห่าเตียนจากนั้นนำเสด็จต่อไปยังเมืองอุดงกัมพูชา[5] และเจ้าจุ้ย (พระโอรสของเจ้าฟ้าอภัย ซึ่งเป็นพระโอรสในพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) ได้เสด็จลี้ภัยมายังเมืองห่าเตียนอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของหมักเทียนตื๊อ พระยาตากมีหนังสือถึงหมักเทียนตื๊อเจ้าเมืองห่าเตียนขอให้ส่งตัวเจ้าศรีสังข์[5] แต่หมักเทียนตื๊อปฏิเสธเนื่องจากมีความหมายมั่นที่จะยกเจ้าชายสยามให้ขึ้นครองราชสมบัติเพื่อขยายอิทธิพลของตนเอง
หมักเทียนตื๊อมีความขัดแย้งกับกลุ่มพ่อค้าชาวจีนแต้จิ๋วในหัวเมืองชายทะเลตะวันออก[1] ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองจันทบุรี ในพ.ศ. 2311 หมักเทียนตื๊อออกอุบายให้หลานของตนเองขนข้าวขึ้นทัพเรือมายังปากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จมาพบเพื่อประทุษร้าย[1] แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงรู้เท่าทันจึงทรงส่งกองกำลังไปตีทัพเรือของเมืองห่าเตียนที่ปากน้ำแตกพ่ายไปและยึดข้าวจากเมืองห่าเตียนไว้ได้[1] ทัพเรือห่าเตียนถอยไปที่เมืองบางปลาสร้อยซึ่งหลานของหมักเทียนตื๊อล้มป่วยเสียชีวิต (พงศาวดารไทยระบุว่า แลสำเภาบันทุกเข้าสารมาแต่เมืองพุทไธมาศ จำหน่ายถังละสามบาทสี่บาทห้าบาทบ้าง ทรงพระกรุณาให้ซื้อแจกคนทั้งปวง)[6] ปีต่อมาพ.ศ. 2312 หมักเทียนติ๊อส่งทัพเรือมาโจมตีเมืองจันทบุรี[1] พงศาวดารกัมพูชาระบุว่า พ.ศ. 2313 นักพระโสร์ทศยกทัพไปโจมตีเมืองจันทบุรีและเมืองทุ่งใหญ่ แต่แตกพ่ายแพ้ถอยกลับมาเมืองเปียม[3]
ฝ่ายจีนราชวงศ์ชิงส่งขุนนางลงมาสืบเหตุการณ์ที่เมืองห่าเตียนในพ.ศ. 2311[7] ขุนนางจีนได้รับข้อมูลว่าพระยาตากนามว่าเจิ้งสิ้นได้ตั้งตนขึ้นในสยามทำการปราบปรามชุมนุมต่างๆ ขุนนางจีนได้พบกับเจ้าจุ้ยที่เมืองห่าเตียน[7]และหมักเทียนตื๊อได้มอบแผนที่แสดงเส้นทางจากเมืองกวางตุ้งถึงสยามให้แก่ขุนนางจีน[7] เมื่อพระยาตากได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว ทรงส่งผู้แทนข้าหลวงนำศุภอักษรไปยังเมืองกว่างโจว (เมืองกวางตุ้ง) ในพ.ศ. 2311 ทรงใช้พระนามเรียกขานพระองค์เองว่า"เจาพีหย่ากันเอินชื่อ"[7] (昭丕雅甘恩敕) ขอการรับรองจากราชสำนักจีนเพื่อเข้าสู่ระบบบรรณาการจิ้มก้อง แต่ราชสำนักจีนปฏิเสธการรับรองเนื่องจากหมักเทียนตื๊อเจ้าเมืองห่าเตียนได้แจ้งแก่ราชสำนักจีนว่ายังมีทายาทของกษัตริย์อยุธยาประทับอยู่ที่เมืองห่าเตียน[7] ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2314 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งทูตไปกว่างโจวอีกครั้ง โดยนำเชลยพม่าที่จับมาได้จากเชียงใหม่ไปมอบให้แก่ราชสำนักจีน[7] เนื่องจากในขณะนั้นจีนและพม่ามีความขัดแย้งกันอยู่ในสงครามจีน-พม่า (Sino-Burmese War) ในครั้งนี้สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงใช้พระนามว่า"เจิ้งเจา"
สงครามตีเมืองกัมพูชา พ.ศ. 2312
แก้ในพ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงมีพระราชสาสน์ถึงพระนารายณ์ราชานักองค์ตน ให้กัมพูชาแต่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองเครื่องบรรณาการไปถวายแก่กรุงธนบุรีดังเช่นเคยในสมัยอยุธยา พระนารายณ์ราชาซึ่งฝักใฝ่ญวนและได้รับการสนับสนุนจากหมักเทียนตื๊อเจ้าเมืองเปียมบันทายมาศหรือห่าเตียนไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นของสยาม "พระเจ้าตากนี้ เปนเสมอเพียงแต่บุตรจีนไหหง แลมาตั้งตัวเองขึ้นเปนกระษัตริย์ จะให้เรานำเครื่องราชบรรณาการดอกไม้ทองเงินไปถวาย ยอมเป็นเมืองขึ้นเช่นนี้ดูกะไรอยู่"[3] สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระพิโรธจึงมีพระราชโองการให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ (ทองด้วง) และพระยาอนุชิตราชา (บุญมา) ยกทัพจำนวน 2,000 คน[6] ให้นักองโนนไปในกองทัพด้วย ไปทางเมืองนครราชสีมาทางหนึ่ง และพระยาโกษา (ตั้งเลี้ยง) ยกทัพไปทางปราจีนบุรีอีกทางหนึ่ง เข้าโจมตีเมืองอุดงเพื่อยกราชสมบัติให้แก่นักองค์โนน
ฝ่ายพระยาอภัยรณฤทธิ์ (ทองด้วง) และพระยาอนุชิตราชา (บุญมา) ยกทัพจากเมืองนครราชสีมาเข้าโจมตีเมืองเสียมราฐ สู้รบกับออกญากลาโหม (ปาง) ที่เมืองเสียมราฐ ฝ่ายสยามเข้ายึดเมืองเสียมราฐได้สำเร็จ ออกญากลาโหม (ปาง) สิ้นชีวิตในที่รบ[3] ส่วนพระยาโกษา (ตั้งเลี้ยง) ยกทัพจากปราจีนบุรีเข้ายึดเมืองพระตะบองได้สำเร็จ นักองค์ตนพระนารายณ์ราชากษัตริย์กัมพูชาจึงเสด็จยกทัพออกมารบทางทะเลสาบเขมรเพื่อยึดเมืองเสียมราฐคืน พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาอนุชิตราชายกทัพเรือออกรบกับพระนารายณ์ราชาในทะเลสาบเขมร[6]
ในเวลานั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จกรีฑาทัพออกไปปราบชุมนุมนครศรีธรรมราช เกิดข่าวลือว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินได้เสด็จสวรรคต[6] พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาอนุชิตราชาเกรงว่าจะเกิดจลาจลขึ้นจึงถอยทัพออกจากกัมพูชากลับไปยังธนบุรี พระยาอภัยรณฤทธิ์หยุดทัพที่นครราชสีมาในขณะที่พระยาอนุชิตราชายกทัพมาถึงลพบุรี จึงทราบข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมิได้ทรงเป็นอันตรายแต่อย่างใด[6] ฝ่ายพระยาโกษาเมื่อทราบว่าทัพทางเสียมราฐได้ถอยกลับไป จึงถอยจากพระตะบองกลับมาอยู่ที่ปราจีนบุรี พระยาโกษามีหนังสือบอกกราบทูลว่า[6] พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาอนุชิตราชาถอยทัพออกมาก่อน ตนเองจึงถอยทัพออกตามมาเนื่องจากเกรงว่าหากเหลือตั้งอยู่ทัพเดียวจะถูกฝ่ายกัมพูชาทุ่มโจมตี สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้ตำรวจนำตัวพระยาอนุชิตราชามาเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่าเหตุใดจึงยกทัพกลับมาก่อน พระยาอนุชิตราชาตอบว่าเกิดข่าวลือออกไปเกรงว่าข้าศึกอื่นจะมาแย่งชิงพระนครธนบุรีจึงหวังรีบกลับมารักษาแผ่นดินไว้[6] สมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงสดับฟังแล้วจึงคลายพระพิโรธ สรรเสริญพระยาอนุชิตราชาว่าเป็นคนสัตย์ซื่อแท้[6] และมีพระราชโองการให้พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาอนุชิตราชาเลิกทัพกลับธนบุรี
สงครามตีเมืองกัมพูชาและห่าเตียน พ.ศ. 2314
แก้การจัดเตรียมทัพ
แก้ในพ.ศ. 2314 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงมีพระราชดำริที่จะยกทัพไปตีเมืองกัมพูชาให้แก่นักองค์โนน และเพื่อตามหาเจ้าศรีสังข์และเจ้าจุ้ยอีกครั้ง ทรงมีพระราชโองการให้เกณฑ์ไพร่พลไทยจีนทัพบกทัพเรือ สรรพาวุธต่างๆ และทรงให้จัดทัพเข้าตีเมืองกัมพูชาดังนี้;
- พระยายมราช (ทองด้วง) (พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาจักรี[4] เอกสารชั้นต้นจดหมายเหตุรายวันทัพคราวปราบเมืองพุทไธมาศและเขมรระบุว่าดำรงตำแหน่งเป็นพระยายมราช เช่นเดียวกับพงศาวดารกัมพูชาซึ่งระบุว่าเป็นพระยายมราช) ยกทัพบกจำนวน 10,590 คน[8] ให้นักองค์โนนไปในทัพนี้ด้วย ยกจากปราจีนบุรีเข้าโจมตีเมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ เข้าโจมตีเมืองอุดงบันทายเพชร
- สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จนำทัพเรือด้วยพระองค์เอง เข้าโจมตีเมืองพุทไธมาศ หรือ ห่าเตียน เสด็จทางชลมารค ทรงพระที่นั่งเรือรบ กองทัพเรือหลวงมีจำนวน 10,866 คน[8] ทรงให้พระยาพิพิธ (เฉินเหลียน 陳聯 หรือ ตั้งเลี้ยง) ผู้ว่าที่โกษาธิบดี ยกทัพเรือล่วงหน้าไปก่อน และทรงให้พระยาพิชัยไอศวรรย์ (หยางจิ้นจง[9] 楊進宗 Yáng Jìnzōng)[7] เป็นทัพหน้า
พระยายมราช (ทองด้วง) ยกทัพออกจากธนบุรีไปเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 11[8] (17 ตุลาคม พ.ศ. 2314) จดหมายเหตุรายวันทัพฯระบุจำนวนไพร่พลจำนวนเรือและอาวุธในกองเรือต่างๆไว้ดังนี้;[8]
- กองพระยาพิชัยไอศวรรย์ เรือรบหลวง 44 ลำ รวมเรือทั้งสิ้น 73 ลำ ไพร่พลรวม 1,686 คน ปืนคาบศิลา 426 กระบอก รวมปืนทั้งสิ้น 684 กระบอก
- กองพระยาพิพิธ เรือรบหลวง 12 ลำ ไพร่พลรวม 1,481 คน ปืนคาบศิลา 16 กระบอก รวมปืนทั้งสิ้น 64 กระบอก
- กองพระสีหราชเดโช เรือรบ 27 ลำ ไพร่พลรวม 974 คน ปืนคาบศิลา 324 กระบอก รวมปืนทั้งสิ้น 462 กระบอก
- กองพระท้ายน้ำ เรือรบ 43 ลำ ไพร่พลรวม 1,101 คน ปืนคาบศิลา 37 กระบอก รวมปืนทั้งสิ้น 346 กระบอก
- กองเจ้าพระยาจักรี (หมุด) เรือทั้งสิ้น 13 ลำ ไพร่พลรวม 649 คน รวมปืนทั้งสิ้น 178 กระบอก
- กองพระยาโกษานอกราชการ เรือรบ 10 ลำ เรือสำเภา 24 ลำ รวมเรือทั้งสิ้น 34 ลำ ไพร่พลรวม 1,705 คน ปืนคาบศิลา 361 กระบอก รวมปืนทั้งสิ้น 533 กระบอก
- กองพระยาทิพโกษา เรือรบหลวง 7 ลำ รวมเรือทั้งสิ้น 13 ลำ ไพร่พลรวม 453 คน ปืนคาบศิลา 123 กระบอก รวมปืนทั้งสิ้น 175 กระบอก
- กองหลวง สมเด็จพระเจ้าตากสิน เรือรบหลวง 85 ลำ ไพร่หลวง 1,102 คน ไพร่สม 962 คน รวมไพร่พล 2,246 คน ปืนคาบศิลา 725 กระบอก รวมปืนทั้งสิ้น 1,016 กระบอก[8]
สยามโจมตีและเข้ายึดเมืองห่าเตียน
แก้วันอาทิตย์ แรมสิบเอ็ดค่ำเดือนสิบเอ็ด[4] (3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2314) สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงเรือพระที่นั่งสำเภาพร้อมเรือแม่ทัพนายกองไทยจีนทั้งหลายประกอบด้วยเรือรบ 200 ลำ เรือทะเล 200 ลำ กำลังพล 15,000 คน[4][6] ยกพยุหยาตราจากธนบุรีไปยังปากน้ำสมุทรปราการ จากนั้นเสด็จยกทัพต่อไปยังจันทบุรี มีพระราชโองการให้พระยาพิพิธ (ตั้งเลี้ยง) ยกทัพล่วงหน้าไปโจมตีเมืองกำปงโสม ทัพเรือหลวงใช้เวลาห้าวันจึงเดินทางถึงปากน้ำบันทายมาศในวันพฤหัสบดีขึ้นแปดค่ำเดือนสิบสอง[4][6] (14 พฤศจิกายน) สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จขึ้นไปบนตึกจีนแห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองห่าเตียน มีพระราชโองการให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) และพระยาทิพโกษา ไปทำค่ายน้ำสองฟากไว้สำหรับเรือรบปืนใหญ่ ขณะนั้นมีนายมาชาวญวนเข้าสวามิภักดิ์[8] นายมากราบทูลว่าพระยาราชาเศรษฐีกำลังคิดวางแผนที่จะหนี จึงมีพระราชโองการให้พระยาพิชัยไอศวรรย์ (หยางจิ้นจง) แต่งสาสน์ให้นายมาชาวญวนถือเข้าไปหาพระยาราชาเศรษฐีใจความว่า
สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวยกกองทัพบกทัพเรือมานี้ พระราชประสงค์จะเศกพระองค์รามราชาให้ครองกรุงกัมพูชาธิบดี แล้วจะเอาตัวเจ้าจุ้ยเจ้าเสสังแลข้าหลวงชาวกรุงซึ่งไปอยู่เมืองใดๆจงสิ้น ถ้าและพระยาราชาเศรษฐีมิได้ภักดีด้วยเห็นว่าต้านทานได้ ก็ให้แต่งการป้องกันเมืองจงสรรพ ถ้าเห็นว่าจะสู้มิได้ ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดอยู่ ให้ออกมากราบถวายบังคม เราจะช่วยทำนุบำรุง เถิงว่าแก่แล้วมามิได้ ก็ให้แต่งหุเอียบุตรออกมาถวายบังคงจงฉับพลัน ถ้าช้าอยู่จะทรงพิโรธฆ่าเสียให้สิ้น
ฝ่ายพระยาราชาเศรษฐีหมักเทียนตื๊อได้รับสาสน์แล้ว ตอบว่าขอเวลาปรึกษาหารือขุนนางกันก่อน ถ้าได้ข้อตกลงแล้วจะกราบทูลอีกครั้ง หลักฐานเวียดนามระบุว่า เมืองห่าเตียนนั้นเป็นป้อมปราการมีกำแพงเพียงทำจากไม้เท่านั้น[1] ฝ่ายเมืองห่าเตียนสูญเสียกำลังพลไปมากจากการโจมตีเมืองจันทบุรีก่อนหน้านี้ เกณฑ์กำลังพลมาป้องกันเมืองได้เพียง 1,000 คนเท่านั้น[1] หมักเทียนตื๊อขอความช่วยเหลือจากเหงียนฟุกถ่วน (Nguyễn Phúc Thuần, 阮福淳) เจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียน แต่ฝ่ายเวียดนามยังไม่ให้การสนับสนุนแก่หมักเทียนตื๊อ เนื่องจากในครั้งก่อนเมื่อพ.ศ. 2310 หมักเทียนตื๊อเคยขอทัพญวนมา ทัพญวนมารออยู่เป็นเวลานานแต่ทัพสยามไม่ได้ยกมา[1] ฝ่ายสยามนำปืนใหญ่ขึ้นไปบนเขายิงถล่มใส่เมืองห่าเตียน[1] ส่วนในเมืองห่าเตียนนั้นคลังกระสุนดินดำเกิดระเบิดขึ้นสร้างความสับสนวุ่นวาย หมักเทียนตื๊อให้บุตรชายคือหมักตื๊อซุง (Mạc Tử Dung, 鄚子溶) นำทัพเข้ารบกับสยามทางบก และหมักตื๊อถั๋ง (Mạc Tử Thảng, 鄚子淌) รบกับสยามทางเรือ[1]
ผ่านไปสามวันหมักเทียนตื๊อยังไม่ตอบสาสน์ของพระยาพิชัยไอศวรรย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงตรัสเรียกประชุมแม่ทัพ ตรัสถามว่าจะให้เข้าโจมตีหักเอาเมืองพุทไธมาศในคืนนี้ได้หรือไม่ ถ้าได้ก็ให้ว่าได้ ถ้าไม่ได้ก็ว่าไม่ได้ ถ้าว่าได้แต่บุกเข้าไปแล้วไม่ได้ถอยออกมาจะให้ประหารชีวิตเสีย[8] ถ้าบุกเข้าไปยึดเมืองพุทไธมาศได้จะทรงปูนบำเหน็จ มีพระราชโองการให้ตั้งค่ายล้อมเมืองและเกณฑ์กำลังพล 2,400 คน และอาทมาท 111 คน เข้าสมทบกองอาจารย์ พระราชทานฤกษ์และอุบายให้เข้าโจมตีเมืองพุทไธมาศในคืนนั้น[4]
ในเวลาสองยามคืนนั้น กองอาจารย์พร้อมไพร่พลและอาทมาทเข้าโจมตีเมืองพุทไธมาศ สามารถปืนกำแพงขึ้นไปได้ ฝ่ายสยามจุดไฟเผาเมืองพุทไธมาศหรือห่าเตียนเกิดแสงสว่างสู้รับกับฝ่ายญวนในเมืองนั้น ฝ่ายทัพสยามที่ล้อมเมืองไม่สามารถยกเข้าไปช่วยได้ เนื่องจากฝ่ายญวนยังรักษาเชิงเทินไว้อยู่ยิงปืนใหญ่ใส่ทัพสยาม ฝ่ายสยามยกกำลังเข้าโจมตีเมืองพุทไธมาศทั้งทางน้ำทางบก เข้ายึดเมืองพุทไธมาศห่าเตียนได้สำเร็จในเช้าวันรุ่งขึ้นวันอาทิตย์ขึ้นสิบเอ็ดค่ำเดือนสิบสอง[4][6] (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2314) แม่ทัพฝ่ายญวนได้ช่วยเหลือพระยาราชาเศรษฐีหมักเทียนตื๊อให้ลงเรือหลบหนีออกจากเมืองห่าเตียนไปได้[1] ไปอยู่ที่เมืองเจิวด๊ก (พงศาวดารกัมพูชาว่าไปที่ตึกเขมา)[3] ส่วนบุตรชายสามคนของหมักเทียนตื๊อได้แก่ หมักตื๊อฮว่าง (Mạc Tử Hoàng, 鄚子潢) หมักตื๊อถั๋ง และหมักตื๊อซุง หลบหนีไปเกียนซาง[1]อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของเวียดนาม
วันรุ่งขึ้นเสด็จไปประที่วังหรือจวนของพระยาราชาเศรษฐี ให้พลทหารทั้งปวงเที่ยวเก็บทรัพย์สินในเมืองมาได้จำนวนมาก ตรัสถามพระญาณประสิทธิ์ พระสุธรรมาจารย์ และอาจารย์จันทร์ แห่งกองอาจารย์นั้นว่า เมื่อคุมทหารเข้าโจมตีเมืองห่าเตียนนั้นเข้าทางด้านใดของเมือง อาจารย์ทั้งสามตอบไม่เหมือนกันและไม่ตรงกับความจริง จึงลงพระราชอาญาให้เฆี่ยนอาจารย์ทั้งสาม ทรงได้บุตรีของพระยาราชาเศรษฐีสองคนมีผู้นำมาถวายฯ[8] ฝ่ายเจ้าจุ้ยซึ่งประทับอยู่ที่เมืองห่าเตียนลงเรือเสด็จหนีออกไปเช่นกันแต่ถูกจับกุมกลับมาได้ มีพระราชโองการให้เฆี่ยนเจ้าจุ้ยหนึ่งยกแล้วจองจำไว้[8] พระราชทานเงินรางวัลให้แก่ผู้ที่สามารถเข้าตีเมืองพุทไธมาศได้ก่อน เป็นเงินถึงสามร้อยยี่สิบห้าชั่ง แล้วมีประกาศกฏห้ามมิให้กำลังพลสยามทำร้ายราษฏรจีนญวน ให้ค้าขายดังแต่ก่อน ทรงแต่งตั้งพระยาพิพิธ (ตั้งเลี้ยง) ผู้ว่าราชการที่โกษา[4][6][8] เป็นพระยาราชาเศรษฐีเจ้าเมืองปากน้ำพุทไธมาศ นับจากนั้น พระยาพิพิธ (ตั้งเลี้ยง) จึงได้รับสมยานามว่า"พระยาราชาเศรษฐีจีน" ในขณะที่หมักเทียนตื๊ออดีตเจ้าเมืองห่าเตียนได้รับสมยานามว่า"พระยาราชาเศรษฐีญวน"
สยามเข้ายึดเมืองกัมพูชา
แก้ฝ่ายพระยายมราช (ทองด้วง) ยกทัพสามารถเข้ายึดเมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ เมืองบริบูรณ์ และเข้าโจมตีเมืองอุดง เมื่อเสียเมืองห่าเตียนให้แก่สยามแล้ว หมักเทียนตื๊อจึงส่งคนไปแจ้งข่าวทูลแก่สมเด็จพระนารายณ์ราชานักองค์ตนกษัตริย์กัมพูชา พระนารายณ์ราชาพร้อมทั้งพระราชวงศ์รวมทั้งเจ้าศรีสังข์จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่ง พร้อมกับข้าราชการข้าราชบริพารกัมพูชา เสด็จหนีไปยังตระโลงโขศบทอันเจียน[3]ที่บาพนม บรรดาราษฏรชาวกัมพูชาจึงพากันแตกตื่น ลงเรือตามเสด็จหนีไปด้วย พระยายมราชจึงสามารถเข้ายึดเมืองอุดงได้สำเร็จ ราษฏรชาวกัมพูชาตั้งค่ายตัดไม้มาปักเป็นรั้วขึ้นที่คลองปากกระสา[3]หรือคลองมักกะสาที่บาพนมเพื่อป้องกันตนเอง โดยมีออกญายมราช (ทุย) เป็นผู้นำ[3]
วันพุธเดือนสิบสองขึ้นสิบสี่ค่ำ (20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2314) สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จยกทัพเรือกำลังพล 5,000 คน[8] ออกจากเมืองพุทไธมาศไปตามคลองเพื่อตามหาพระยาราชาเศรษฐี ทรงให้ชาวจีนผู้หนึ่งทางไป ปราบฏว่าชาวจีนผู้นั้นนำทางผิด จึงทรงให้ประหารชีวิตชาวจีนคนนั้นเสีย[8] จากนั้นให้เชลยชาวกัมพูชานำทาง ปรากฏว่าเชลยชาวกัมพูชานั้นกระโดดหนีลงน้ำ ข้าหลวงจึงแทงชาวกัมพูชานั้นเสียชีวิต[8] สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จมาถึงเกาะพนมเปญเมื่อวันพุธเดือนสิบสองแรมหกค่ำ (27 พฤศจิกายน) เจ้าพระยาจักรี (หมุด) นำความมากราบทูลว่า เจ้ากัมพูชาหลบหนีไปอยู่ที่บาพนม[4] จึงมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาจักรี พระสีหราชเดโช และพระท้ายน้ำ ยกทัพติดตามไป วันรุ่งขึ้นทัพหลวงจึงเสด็จตามไป เจ้าพระยาจักรีมีหนังสือมาบอกว่าญวนลูกหน่ายมารับเจ้ากัมพูชาไปเมืองญวนแล้ว[4] ทัพหลวงเสด็จไปถึงคลองมักกะสาพบกับค่ายของราษฏรชาวกัมพูชาซึ่งได้ตั้งขึ้นไว้ป้องกันตนเอง ประกอบด้วยกำลังพลชาวกัมพูชา 1,000 คน ตั้งค่ายสองฟากคลองมีแพผูกกั้นไว้ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงให้เจ้าพระยาจักรีนำกองกำลังเข้าโจมตีค่ายกัมพูชา นำไปสู่การรบที่คลองมักกะสา ในวันแรมแปดค่ำเดือนสิบสอง (29 พฤสจิกายน) ค่ายราษฏรกัมพูชานั้นแตกพ่ายฝ่ายสยามจับได้เชลยชาวกัมพูชาจำนวนมาก[8]
สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จกลับมาที่พนมเปญ พระรามราชานักองค์โนนมาจากเมืองอุดงบันทายเพชรมาเข้าเฝ้าที่พนมเปญ จึงพระราชทานเครื่องต้น ปืนใหญ่น้อย และครัวราษฏรชาวกัมพูชาที่กวาดต้อนมาได้นั้นให้แก่นักองค์โนน ครองเมืองอุดงเป็นใหญ่ในกัมพูชา[6] โปรดฯให้พระยายมราช (ทองด้วง) และพระยาโกษานอกราชการ อยู่ช่วยราชการนักองค์โนนในกัมพูชาจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ[8] จากนั้นมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) ตั้งอยู่ที่บ้านจินจงคอยเกลี้ยกล่อมเมืองป่าสัก (เมืองซ้อกจัง Sóc Trăng) ให้เข้าสวามิภักดิ์[8] และสมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จกลับถึงเมืองเปียมบันทายมาศหรือพุทไธมาศในวันจันทร์เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ[8] (9 ธันวาคม พ.ศ. 2314) มีพระราชโองการให้พระยาพิชัยไอศวรรย์ (หยางจิ้นจง) แต่งคนไปแจ้งข่าวที่พระนครธนบุรี
ฝ่ายหมักเทียนตื๊อ ซึ่งหลบหนีไปเมืองเจิวด๊ก ได้ขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพญวนชื่อต๊งเฟื๊อกเหียป (Tống Phước Hiệp, 宋福洽) จากเมืองล็องโห่ เจ้าพระยาจักรี (หมุด) นำทัพเข้าโจมตีเมืองเจิวด๊ก นำไปสู่การรบที่เมืองเจิวด๊ก ต๊งเฟื๊อกเหียปนำทัพเข้าป้องกันการรุกรานของสยามที่เมืองเจิวด๊กสามารถขับทัพสยามให้ถอยร่นไปได้[1] เจ้าพระยาจักรีกราบทูลรายงานว่า รบกับญวนที่เมืองป่าสักเสียหลวงรักษมณเฑียรถูกญวนสังหารในที่รบกับเสียเรือ 8 ลำ[8] พระยาอธิกวงศาเจ้าเมืองป่าสักชาวกัมพูชาเข้าสวามิภักดิ์ต่อสยาม เอกสารเวียดนามระบุว่าทัพเรือฝ่ายสยามไม่ชำนาญเส้นทางแม่น้ำ ฝ่ายเวียดนามสามารถเอาชนะทัพเรือสยามได้ สังหารพลสยามได้ 300 คน และยึดเรือสยามได้ 5 ลำและฝ่ายสยามทิ้งเรือหนีขึ้นบกไป[1]
สมเด็จพระเจ้าตากสินพระราชทานปืนใหญ่ 5 กระบอก และปืนคาบศิลา 100 กระบอก ไว้ให้แก่นักองค์โนนไว้ป้องกันกัมพูชาจากญวน เจ้าพระยาจักรีมีหนังสือถึงนักองค์โนนว่าให้อย่าพึ่งเก็บส่วยภาษีจากราษฏรเนื่องจากยังอยู่ในภาวะสงคราม และเจ้าพระยาจักรี (หมุด) ได้กล่าวโทษแก่พระยาพิชัยไอศวรรย์ว่าตีเมืองเปียมพุทไธมาศไม่สำเร็จร้อนถึงทัพหลวงต้องเสด็จตีเมืองพุทไธมาศด้วยพระองค์เอง สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงคาดโทษพระยาพิชัยไอศวรรย์ให้ก่อกำแพงพระนครธนบุรีให้สำเร็จในเวลาที่กำหนดเพื่อเป็นการไถ่โทษ และพระราชทานข้าวเปลือก 70 เกวียนไว้ให้แก่พระยาราชาเศรษฐี (ตั้งเลี้ยง) เพื่อแบ่งให้แก่นักองค์โนนในเวลาที่ขัดสน[8] เจ้าพระยาศรีธรรมธิราชผู้รักษาพระนครธนบุรีส่งความมากราบทูลข่าวการศึกพม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงเสด็จยกทัพออกจากเมืองเปียมบันทายมาศหรือพุทไธมาศในวันอังคารแรมสามค่ำเดือนอ้าย (24 ธันวาคม พ.ศ. 2314) กลับไปยังพระนครธนบุรี โดยนำเชลยประกอบด้วยสมาชิกครอบครัวของหมักเทียนตื๊อที่จับกุมได้ รวมทั้งเจ้าจุ้ยและพระยาจันทบุรี (เจ้าขรัวหลาน) อดีตเจ้าเมืองจันทบุรีที่จับตัวได้กลับไปด้วย เสด็จถึงธนบุรีในวันจันทร์เดือนยี่ขึ้นเก้าค่ำ (13 มกราคม พ.ศ. 2315)[8] โปรดฯพระราชทานญวนข้างในให้แก่เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยามหาเสนา เจ้าพระยามหาสมบัติ และเจ้าพระยามหามณเฑียร ให้โขลนนำไปพระราชทานถึงเรือน[8] เอกสารเวียดนามระบุว่า ต่อมาเจ้าจุ้ยถูกสำเร็จโทษประหารชีวิต[1]
ญวนยึดเมืองห่าเตียนคืน
แก้หมักเทียนตื๊อยอมรับผิดขอโทษแก่เจ้าญวนใต้เหงียนฟุกถ่วนผู้เป็นนายของตนว่าเสียเมืองห่าเตียนให้แก่สยามไป เหงียนฟุกถ่วนให้อภัยแก่หมักเทียนตื๊อและมอบเงินให้ ในเดือนสาม (กุมภาพันธ์) พ.ศ. 2315 เจ้าศรีสังข์สิ้นพระชนม์ สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์ตนเจ้ากัมพูชาเสด็จจากตระโลงโขศมาประทับที่แพรกเมียดกันโดร์หรือคลองปากหนู[3] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2315 เจ้าญวนใต้เหงียนฟุกถ่วนจัดตั้งทัพเข้าโจมตีเพื่อยึดเมืองห่าเตียนและกัมพูชาคืนจากสยามดังนี้;[1]
- เหงียนกิ๋วด่าม (Nguyễn Cửu Đàm, 阮久潭) ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็น ด่ามอึงเหิ่ว (Đàm Ưng hầu) ยกทัพมาตามแม่น้ำโขง
- เหงียนควาเทวียน (Nguyễn Khoa Thuyên) ยกทัพจากเมืองสักซ้า (Rạch Giá) และซาเด๊ก เข้าโจมตีเมืองห่าเตียนทางทะเล
- เหงียนหิวเญิน (Nguyễn Hữu Nhơn) ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็น เญินทัญเหิ่ว (Nhơn Thanh hầu) ยกทัพมาตามแม่น้ำป่าสัก ประกอบด้วยกำลังพล 1,000 คน เรือรบ 50 ลำ[1]
หมักเทียนตื๊ออาศัยลี้ภัยอยู่ที่เมืองเกียงซางหรือเกิ่นเทอ (Cần Thơ) ฝ่ายเวียดนามใช้เวลาเตียมทัพห้าเดือน ถึงเริ่มยกทัพมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2315[1] ฝ่ายเวียดนามยกทัพมาทางทะเล พระยาราชาเศรษฐีจีน (ตั้งเลี้ยง) เจ้าเมืองพุทไธมาศตั้งตัวไม่ทัน ยกพลชาวไทยจีนเข้าสู้รบกับฝ่ายญวนเป็นเวลาสามชั่วโมง[6] ไม่สามารถต้านทานได้ ฝ่ายเวียดนามจึงยึดเมืองพุทไธมาศหรือห่าเตียนคืนได้สำเร็จ พระยาราชาเศรษฐีจีนจำต้องหลบหนีออกจากเมืองพุทไธมาศไปยังเมืองกำปอด พระยาปังลิมา[6]เจ้าเมืองกำปอดให้ความช่วยเหลือแก่พระยาราชาเศรษฐีจีนจัดเตรียมไพร่พลเข้ายึดเมืองพุทไธมาศคืน พระยาราชาเศรษฐีจีนให้เวลาเตรียมทัพสามวัน จึงยกทัพเข้าโจมตีเมืองพุทไธมาศอีกครั้งในเวลากลางคืนเวลาสองยาม พระยาราชาเศรษฐีให้ทหารทุกคนคาบไม้ติ้วไว้ในปากเพื่อไม่ให้มีเสียง[6] ว่ายน้ำยกทัพเข้ายึดเมืองพุทไธมาศคืนได้สำเร็จดังเดิม ฝ่ายพระยายมราช (ทองด้วง) ที่เมืองอุดง เมื่อทราบข่าวว่าเมืองพุทไธมาศเสียให้แก่ญวน จึงเตรียมยกทัพลงมาช่วยพระยาราชาเศรษฐี แต่พระยาราชาเศรษฐีสามารถยึดเมืองคืนได้ก่อน[6]
ฝ่ายทัพเวียดนามทางแม่น้ำป่าสัก เหงียนหิวเญินผู้เป็นแม่ทัพล้มป่วยจึงมอบหมายให้เฮี้ยนเชืองเหิ่ว (Hiến Chương hầu) เป็นผู้นำทัพแทน เฮี้ยนเชืองเหิ่วพ่ายแพ้ให้แก่ทัพสยามที่แม่น้ำป่าสักถอยไปอยู่ที่เมืองเกิ่นเทอ[1]
เหงียนกิ๋วด่ามส่งขุนนางกัมพูชาคือออกญายมราช (ทุย) เป็นแม่ทัพหน้ายกทัพจำนวน 10,000 คน เข้าโจมตีเจ้าพระยาจักรี (หมุด) ที่เปียมเบญจพัน (ในจังหวัดไพรแวง) ฝ่ายไทยพ่ายแพ้แตกพ่ายไป ฝ่ายญวนเข้ายึดเมืองพนมเปญได้สำเร็จ[1][3] เป็นเหตุให้นักองค์โนนที่เมืองอุดงหลบหนีไปยังเมืองกำปอดชายทะเล ฝ่ายเวียดนามจึงสามารถเข้าครองกัมพูชาตะวันออกได้ ในขณะที่พระยายมราช (ทองด้วง) ยังคงรักษาการอยู่ที่เมืองอุดง
ในกลางปีพ.ศ. 2315 สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์ตนเสด็จจากแพรกเมียตกันโดร์มาประทับที่แพรกปักปรัดหรือคลองบางเชือกหนัง[3] กัมพูชาเกือบทั้งหมดจึงกลับไปอยู่ภายใต้อำนาจของพระอุไทยราชา (นักองค์ตน) และฝ่ายเวียดนาม ยกเว้นหัวเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ได้แก่เมืองกำปอด เมืองกำปงโสม และเมืองบาทีอยู่ภายใต้อำนาจของนักองค์โนน ซึ่งตั้งมั่นอยู่ที่เมืองกำปอด นักองโนนมีกำลังพลจากธนบุรี 500 คน[3] นักองโนนเกณฑ์ไพร่พลกัมพูชาจากเมืองตรัง เมืองเชิงกรรชุม และเมืองบันทายมาศ (คนละเมืองกันกับเมืองเปียมบันทายมาศหรือห่าเตียน เมืองบันทายมาศนี้เป็นเมืองด้านในของกัมพูชา) ยกจากเมืองกำปอดมาตั้งอยู่ที่เปียมระกา ออกญายมราช (ทุย) นำทัพออกมารบกับนักองโนนที่เปียมระกา[3] ฝ่ายเวียดนามส่งองโดยจินมาเป็นเบาฮอหรือผู้อารักขาในกัมพูชา
พระยาราชาเศรษฐี (ตั้งเลี้ยง) บอกข้อราชการไปยังธนบุรี ในปีต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2316 เจ้าญวนใต้เหงียนฟุกถ่วนมีคำสั่งให้หมักเทียนตื๊อส่งผู้แทนมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าตากสินที่ธนบุรีเพื่อเจรจาสงบศึก สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงรับไมตรีและโปรดฯพระราชทานบุตรหญิงและภรรยาของหมักเทียนตื๊อกลับคืนไป[1] สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชดำริว่า เมืองพุทไธมาศนั้นรักษาไว้ได้ยาก[6] จึงมีพระราชโองการให้พระยาราชาเศรษฐีถอยทัพออกมาจากเปียมบันทายมาศหรือพุทไธมาศ พระยาราชาเศรษฐีจึงกวาดต้อนชาวเมืองห่าเตียนลงเรือใหญ่น้อยกลับเข้ามาที่กรุงธนบุรีตามพระราชกำหนดนั้น ในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2316 จากนั้นจึงมีพระราชโองการให้พระยายมราชถอยทัพกลับจากกัมพูชาเช่นกัน พระยายมราชกวาดต้อนชาวกัมพูชาจำนวนประมาณ 10,000 คนเศษ[3]กลับไปยังธนบุรีทัพ ฝ่ายญวนจึงถอนกำลังออกไปจากกัมพูชาในเช่นกันในปีนั้นพ.ศ. 2316[1]
ผลลัพธ์และเหตุการณ์สืบเนื่อง
แก้กบฏเต็ยเซิน
แก้ในสงครามครั้งนี้เมืองห่าเตียนถูกทัพฝ่ายสยามทำลายเมืองลง ทำให้เมืองห่าเตียนสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองในบริเวณหัวเมืองชายฝั่งตะวันออก หมักเทียนตื๊ออดีตเจ้าเมืองห่าเตียนพำนักอยู่ที่เมืองเกิ่นเทอหลังสงครามสิ้นสุดลงแล้วโดยที่ไม่ได้กลับไปเมืองห่าเตียนอีก ชาวกัมพูชาค่อยๆเข้าแทนที่ชาวจีนในเมืองห่าเตียน[1]
ในพ.ศ. 2314 ปีเดียวกับที่สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จกรีฑาทัพมาตีเมืองห่าเตียนนั้น ได้เกิดกบฏเต็ยเซิน (Tây Sơn) ขึ้น นำโดยสามพี่น้องตระกูลเหงียนวันเพื่อต่อต้านการปกครองของเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนฟุก ในพ.ศ. 2316 กบฏเต็ยเซินได้เข้ายึดเมืองกวีเญิน (Quy Nhơn) ได้สำเร็จ และต่อมาปีพ.ศ. 2317 เจ้าญวนเหนือจิ่ญซัม (Trịnh Sâm, 鄭森) ได้ฉวยโอกาสนี้ยกทัพจากเมืองฮานอยทางเหนือลงมาโจมตียึดเมืองเว้ (Huế) ได้สำเร็จ เป็นเหตุให้เจ้าญวนใต้เหงียนฟุกถ่วนรวมทั้งสมาชิกตระกูลเหงียนและข้าราชการจำต้องหลบหนีลงเรือไปลี้ภัยทางใต้ที่เมืองไซ่ง่อน[1]
ในพ.ศ. 2320 เหงียนวันเหวะ หรือเหงียนเหวะ (Nguyễn Huệ, 阮惠) หนึ่งในสามพี่น้องเต็ยเซิน ยกทัพลงมาตีเมืองไซ่ง่อนยึดเมืองไซ่ง่อนได้สำเร็จ เหงียนฟุกถ่วนเจ้าญวนใต้หลบหนีมาอาศัยอยู่กับหมักเทียนตื๊อที่เมืองเกิ่นเทอ หมักเทียนตื๊อส่งบุตรชายคือหมักตื๊อซุงยกทัพไปสู้กับเต็ยเซินแต่พ่ายแพ้ หมักเทียนตื๊อนำพาเจ้าญวนใต้หลบหนีต่อไปยังเมืองล็องเซวียน (Long Xuyên) แต่ทว่าเหงียนเหวะยกทัพติดตามมาจนถึงเมืองล็องเซวียน ยึดเมืองได้ และจับกุมตัวเจ้าญวนใต้เหงียนฟุกถ่วนไปสำเร็จโทษประหารชีวิตที่เมืองไซ่ง่อน สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งข้าหลวงนั่งเรือไปพบกับหมักเทียนตื๊อ เสนอให้หมักเทียนตื๊อเข้ามาพึ่งพระโพธิสมภารที่กรุงธนบุรี หมักเทียนตื๊อมีความเกรงกลัวในพระราชอำนาจ จึงเดินทางมาพร้อมกับครอบครัวของตนเองและโตนเทิ้ตซวน (Tôn Thất Xuân 尊室春) หรือ เหงียนฟุกซวน (Nguyễn Phúc Xuân 阮福春) หรือ"องเชียงชุน" (ông chánh Xuân) ผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลเหงียน เข้ามาที่เมืองจันทบุรีจากนั้นเดินทางต่อมาถึงกรุงธนบุรีในที่สุดในพ.ศ. 2321[1]
ในพ.ศ. 2323 พระองค์แก้ว (ด้วง) เจ้าชายกัมพูชา ได้ทูลแก่สมเด็จพระเจ้าตากสินว่า พบจดหมายของ"องเชียงสือ"เหงียนฟุกอั๊ญ เจ้าญวนใต้คนใหม่ซึ่งกำลังต่อสู้กับเต็ยเซินอยู่ที่เมืองไซ่ง่อน โดยองเชียงสือนั้นได้เขียนจดหมายถึงองเชียงชุนผู้เป็นญาติให้ก่อกบฏเข้ายึดพระนครธนบุรี หมักเทียนตื๊อเมื่อได้ทราบความดังนั้นจึงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน[1] สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้ลงพระราชอาญาประหารชีวิตองเชียงชุน รวมทั้งครอบครัวของหมักเทียนตื๊อได้แก่ภรรยาของหมักเทียนตื๊อ บุตรชายสองคนได้แก่หมักตื๊อฮว่างและหมักตื๊อซุง และชาวเวียดนามจำนวนทั้งสิ้น 53 คน[1] ล้วนถูกประหารชีวิต ออกญากลาโหมได้ทูลขอให้ไว้ชีวิตบุตรชายของหมักเทียนตื๊อที่อายุยังน้อย ได้แก่ หมักตื๊อซิญ (Mạc Tử Sinh 鄚子泩) หมักตื๊อท้วน (Mạc Tử Tuấn, 鄚子浚) หมักตื๊อเทียม (Mạc Tử Thiêm, 鄚子添) และหลานของหมักเทียนตื๊ออีกสามคน[1]
เหตุการณ์สืบเนื่องในอาณาจักรกัมพูชา
แก้ในปีพ.ศ. 2315 สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์ตนเจ้ากัมพูชาทรงตระหนักว่าสงครามความขัดแย้งระหว่างพระองค์กับนักองค์โนน ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสยามและเวียดนามนั้น เป็นเหตุให้อาณาประชาราษฏร์ชาวกัมพูชาได้รับความเดือดร้อน ต้องพรัดพรากล้มหายตายจากประสบกับภาวะอดอาหาร[3] ส่วนฝ่ายญวนที่เคยให้การสนับสนุนแก่พระองค์นั้น เวลานี้ต้องประสบกับเหตุการณ์กบฏเต็ยเซิน จึงมีพระราชโองการให้พระองค์แก้ว (ด้วง) เป็นผู้แทนพระองค์ไปเจรจาสงบศึกกับแม่ทัพไทยในกองทัพของนักองค์โนนที่เปียมระกา ฝ่ายแม่ทัพไทยและนักองค์โนนจึงถอยกลับไปอยู่ที่เมืองกำปอดและส่งพระองค์แก้ว (ด้วง) ไปยังกรุงธนบุรี ฝ่ายพระองค์แก้วเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าตากสิน ขอพระราชทานสงบศึกเป็นมิตรไมตรีด้วย แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงไม่ไว้วางพระทัยนักองค์ตน จึงมีพระราชโองการให้จับกุมพระองค์แก้วไปจำคุกเสีย[3]
ต่อมาในพ.ศ. 2317 สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์ตนเสด็จไปประทับที่เกาะจีน พระองค์แก้ว (ด้วง) ส่งคนมากราบทูลสมเด็จพระอุไทยราชา ขอพระราชทานบุตรและภรรยาของพระองค์แก้วไปที่ธนบุรี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงเชื่อว่าพระองค์แก้วนั้นมีความซื่อสัตย์จริง จึงทรงพระกรุณาให้ถอดพระองค์แก้วออกจากคุก สมเด็จพระอุไทยราชาเจ้ากัมพูชามีดำริว่า การที่พระรามราชานักองค์โนนยกทัพมากระทำการสงครามเหตุเกิดจากการที่นักองค์โนนปรารถนาในราชสมบัติกัมพูชา ตรัสเรียกประชุมพระมหาสังฆราช พระมหาราชครู ขุนนางใหญ่น้อยแล้ว จึงเห็นว่าควรมอบราชสมบัติให้แก่พระรามราชานักองค์โนนเพื่อยุติสงคราม ในปีต่อมาพ.ศ. 2318 สมเด็จพระอุไทยราชาทรงให้พระพรหมมุนี (หลง) ซึ่งเป็นที่พระสังฆราช นำความถวายพระพรไปยังนักองค์โนนที่เมืองกำปอด อัญเชิญให้มาครองราชสมบัติที่เมืองบันทายเพชร นักองค์โนนจึงเดินทางจากเมืองกำปอดมายังเมืองอุดง ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระรามราชากษัตริย์กัมพูชาพระองค์ใหม่ ส่วนสมเด็จพระอุไทยราชานักองค์ตน ทรงลดยศลงเป็นพระมหาอุปโยราช[3] และให้นักองค์ธมเป็นพระมหาอุปราช
ในพ.ศ. 2320 ออกญาวิบูลราช (ชู) คิดก่อกบฏยกราชสมบัติให้แก่พระมหาอุปราช (องค์ธม) แต่พระมหาอุปราชทรงไม่เห็นด้วย ออกญาวิบูลราช (ชู) เกรงว่าตนจะมีความผิดจึงนำความไปทูลแก่สมเด็จพระรามราชาว่าพระมหาอุปราชจะเป็นกบฏ สมเด็จพระรามราชาจึงมีพระราชโองการให้ลอบปลงพระชนม์พระมหาอุปราชไปเสียในเดือนยี่มกราคมพ.ศ. 2321[3] ในเดือนเดียวกันนั้นพระมหาอุปโยราชนักองค์ตนประชวรสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระรามราชานักองค์โนนเจ้ากัมพูชาจึงครองอำนาจอยู่พระองค์เดียว ในสงครามเวียงจันทน์ พ.ศ. 2321 สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมีคำสั่งให้เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เดินทางมายังกัมพูชาเพื่อเกณฑ์ไพร่พลและเสบียงอาหารไปสงครามกับลาว สมเด็จพระรามราชาจึงมีพระราชโองการให้เกณฑ์ไพร่พลและเสบียงในเขตเมืองกำปงสวายและกำปงธมมอบให้แก่เจ้าพระยาสุรสีห์ฯ สร้างความไม่พอใจแก่ราษฏรชาวกัมพูชาซึ่งได้รับความเดือดร้อน[3] ออกญาเดโช (แทน) เจ้าเมืองกำปงสวายจึงก่อการกบฏขึ้นในพ.ศ. 2322 สมเด็จพระรามราชาส่งเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) เข้าปราบกบฏ แต่เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) กลับไปเข้ากับฝ่ายกบฏ เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ขอความช่วยเหลือจากองเชียงสือเหงียนฟุกอั๊ญ ซึ่งกำลังสู้รบกับเต็ยเซินอยู่ที่เมืองไซ่ง่อน องเชียงสือส่งทัพญวนเข้ามายังกัมพูชา สมเด็จพระรามราชาทรงพ่ายแพ้ถูกสำเร็จโทษถ่วงน้ำที่บึงขยอง[3] เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) จึงยกเอานักองค์เองพระชนมายุเพียงเจ็ดชันษาขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชาพระองค์ใหม่ภายใต้ความคุ้มครองของเวียดนาม
ความสัมพันธ์ระหว่างธนบุรีและจีน
แก้หลังจากที่หมักเทียนตื๊อเสียเมืองห่าเตียนให้แก่ทัพฝ่ายสยามแล้ว หมักเทียนตื๊อได้ส่งคนไปรายงานเหตุการณ์ต่อราชสำนักจีนราชวงศ์ชิงที่ปักกิ่งในปีพ.ศ. 2315 ดังปรากฏในเอกสารของจีน จดหมายเหตุทางทหารของราชวงศ์ชิง (軍機處檔摺件)[7] ฉบับหนึ่งซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2315 ระบุว่า;
ปีที่แล้วเจิ้งสิ้นยกทัพขนาดใหญ่มา (ตีเมืองห่าเตียน) เป็นจำนวนหลายหมื่นคน โดยมีเฉินเหลียนเป็นแม่ทัพเรือและหยางจิ้นจงผู้เป็นนายเรือเป็นทัพหน้า
หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเข้ายึดและทำลายเมืองห่าเตียนลงแล้ว และเจ้าศรีสังข์และเจ้าจุ้ยได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ราชสำนักจีนมีทัศนคติต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินในทางที่ดีขึ้น เอกสารจีนเริ่มที่จะเรียกขานพระนามว่า"เจิ้งเจา" สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งผู้แทนพระองค์เป็นพ่อค้าจีนนำราชสาสน์ไปถึงเมืองกวางตุ้งในพ.ศ. 2317 และพ.ศ. 2318 เพื่อขอซื้อกำมะถันมาใช้ในการสงคราม[7] ในพ.ศ. 2320 หลี่ ซื่อเหยา (李侍堯 พินอิน: Lǐ Shìyáo) ข้าหลวงประจำมณฑลกวางตุ้งและกว่างสี กราบทูลพระจักรพรรดิเฉียนหลงว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินในฐานะกษัตริย์แห่งสยามมีความสามารถและความทุ่มเทในการสู้รบกับพม่าซึ่งเป็นศัตรูของจีน แสดงให้เห็นจากการส่งเชลยชาวพม่าให้แก่จีน[7] ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2320 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งผู้แทนสามคนไปพบกับหยางจิ่งสู้ (楊景素 พินอิน: Yáng Jǐngsù) ข้าหลวงประจำมณฑลกวางตุ้งและกว่างสีคนใหม่ แจ้งว่าทางธนบุรีต้องการขอการรับรองจากราชสำนักจีน เป็นเหตุให้พระจักรพรรดิเฉียนหลงมีกระแสรับสั่งไปยังหยางจิ่งสู้ว่า ทรงอนุญาตให้ทางธนบุรีเข้ามาติดต่อและซื้อกำมะถันเพิ่มเติมได้[10] ในครั้งนี้ราชสำนักจีนได้เรียกขานสมเด็จพระเจ้าตากสินว่าเป็น"อ๋อง"[10] ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการยอมรับจากราชสำนักจีน จักรพรรดิเฉียงหลงมีพระราชดำริที่จะพระราชทานตราตั้งให้แก่สมเด็จพระเจ้าตากสิน แต่ทว่าในปีต่อมาพ.ศ. 2321 สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชสาสน์ประทับตราบัวแก้วบนอักษร"ปิ้น"ไปยังกรุงปักกิ่ง ขออนุญาตเลื่อนการส่งบรรณาการออกไป[7]เนื่องจากการที่สยามได้รับความเสียหายจากสงครามอะแซหวุ่นกี้
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งคณะทูตอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบไปจิ้มก้องยังราชสำนักปักกิ่งในเดือนพฤษภาคมพ.ศ. 2324[7][10] ในครั้งนี้พระราชสาสน์คำหับไม่มีตราโลโต[11] เนื่องจากฝ่ายธนบุรียังไม่ได้รับตราโลโตมาจากราชสำนักจีน ใช้ตราไอยราพตแทน[11] ราชสำนักจีนมอบตราตั้งหรือตราโลโตให้แก่สยามอย่างเป็นทางการในพ.ศ. 2330[7] ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 1.19 1.20 1.21 1.22 1.23 1.24 1.25 1.26 1.27 1.28 1.29 1.30 1.31 1.32 Breazeale, Kennon. From Japan to Arabia; Ayutthaya's Maritime Relations with Asia. Bangkok: the Foundation for the promotion of Social Sciences and Humanities Textbook Project, 1999.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๔: พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม).
- ↑ 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 3.12 3.13 3.14 3.15 3.16 3.17 3.18 3.19 3.20 3.21 3.22 3.23 ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณแปลใหม่. จางวางตรี พระยาไกรเพ็ชรรัตนสงคราม สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ พิมพ์แจก ในงานศพ พระตำรวจตรี พระยากำแหงรณฤทธิ์ จางวางพระตำรวจ ผู้บิด พ.ศ. ๒๔๖๐.
- ↑ 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 4.10 4.11 4.12 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๕: พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
- ↑ 5.0 5.1 ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๙: เรื่อง จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศกับ ครั้งกรุงธนบุรีแลกรุงรัตนโกสินทรตอนต้น ภาคที่ ๖. มหาอำมาตย์โท หม่อมเจ้าธำรงศิริ พิมพ์ในการบำเพ็ญกุศล อายุครบ ๕๐ ปี พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศรีหงส์
- ↑ 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 6.13 6.14 6.15 6.16 6.17 พระราชพงษาวดารกรุงเก่า (ฉบับหมอบรัดเล).
- ↑ 7.00 7.01 7.02 7.03 7.04 7.05 7.06 7.07 7.08 7.09 7.10 7.11 7.12 7.13 Masuda Erika. The Fall of Ayutthaya and Siam's Disrupted Order of Tribute to China (1767-1782). Taiwan Journal of Southeast Asian Studies, พ.ศ. 2550.
- ↑ 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 8.13 8.14 8.15 8.16 8.17 8.18 8.19 8.20 ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖: จดหมายเหตุรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรี คราวปราบเมืองพุทไธมาศและเขมร และจุลยุทธการวงศ์
- ↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. กรุงเทพฯ; มติชน, พ.ศ. 2550.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 Geoff Wade, James K. Chin. China and Southeast Asia: Historical Interactions. Routledge, 19 ธ.ค. 2561.
- ↑ 11.0 11.1 สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์. (พ.ศ. 2506). บันทึกเรื่องความรู้ต่างๆ ประทานพระยาอนุมานราชธน กรุงเทพ: ไทยวัฒนาพานิช.