ราชอาณาจักรอารากอน

ราชอาณาจักรในสมัยกลางและสมัยใหม่ตอนต้นบนคาบสมุทรไอบีเรีย (ค.ศ. 1035-1707)

ราชอาณาจักรอารากอน[1] (สเปน: Reino de Aragón; อารากอน: Reino d'Aragón; กาตาลา: Regne d'Aragó; ละติน: Regnum Aragonum) เป็นราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสเปนระหว่างปี ค.ศ. 1035 ถึงปี ค.ศ. 1707 โดยมีพระเจ้ารามิโรที่ 1 แห่งอารากอนแห่งราชวงศ์อารากอนเป็นกษัตริย์องค์แรก อาณาจักรอารากอนเป็นอาณาจักรแบบราชาธิปไตย อาณาบริเวณเป็นบริเวณเดียวกับแคว้นอารากอนในประเทศสเปนปัจจุบัน ราชอาณาจักรอารากอนเดิมเป็นส่วนหนึ่งของ ราชบัลลังก์อารากอน (Crown of Aragon) ซึ่งรวมทั้งราชอาณาจักรบาเลนเซียและราชรัฐกาตาลุญญา ซึ่งมีประมุขร่วมกัน

ราชอาณาจักรอารากอน

Reino d'Aragón (อารากอน)
Reino de Aragón (สเปน)
Regne d'Aragó (กาตาลา)
Regnum Aragonum (ละติน)
ค.ศ. 10351707
ตราแผ่นดินของราชอาณาจักรอารากอน
ตราแผ่นดิน
ราชอาณาจักรอารากอนเมื่อปี ค.ศ. 1400
ราชอาณาจักรอารากอนเมื่อปี ค.ศ. 1400
สถานะราชอาณาจักร
เมืองหลวงซาราโกซา
ภาษาทั่วไปภาษาอารากอน ภาษากาตาลา และภาษากัสติยา
ศาสนา
คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
การปกครองราชาธิปไตย
กษัตริย์ 
ประวัติศาสตร์ 
• แคว้นอารากอนก่อตั้งเป็นราชอาณาจักรอิสระ
ค.ศ. 1035
• อารากอนและกัสติยารวมเป็นประเทศสเปน
1707
ก่อนหน้า
ราชอาณาจักรนาวาร์
อารากอนกอร์เตส (รัฐสภา)

ราชอาณาจักรเดิมเป็นแคว้นฟิวดัลของชาวแฟรงก์รอบเมืองฆากาซึ่งรวมตัวกับราชอาณาจักรปัมโปลนาที่ต่อมาเป็นราชอาณาจักรนาวาร์ในปี ค.ศ. 925 แคว้นอารากอนแยกตัวจากราชอาณาจักรนาวาร์ในปี ค.ศ. 1035 และเลื่อนฐานะขึ้นเป็นอาณาจักรเต็มตัวโดยพระเจ้ารามิโรที่ 1 อาณาจักรอารากอนขยายตัวไปทางใต้ทางอูเอสกา ในปี ค.ศ. 1096 และต่อมาซาราโกซา ในปี ค.ศ. 1118 จนกระทั่งปี ค.ศ. 1285 พรมแดนทางใต้ที่สุดของอารากอนเป็นดินแดนจากมัวร์

อาณาจักรอารากอนรวมกับราชบัลลังก์อารากอนหลังจากการเสกสมรสระหว่างสองราชวงศ์ในปี ค.ศ. 1150 ระหว่างราโมน บารังเกที่ 4 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา และเปโตรนีลาแห่งอารากอน พระราชินีแห่งอารากอน พระโอรสของทั้งสองพระองค์ได้รับดินแดนของทั้งสองอาณาจักร นอกจากนั้นพระเจ้าแผ่นดินแห่งอารากอนยังได้รับตำแหน่งเพิ่มเป็นเคานต์แห่งบาร์เซโลนา ปกครองดินแดนเดิมและราชรัฐกาตาลุญญา และต่อมาหมู่เกาะแบลีแอริก ราชอาณาจักรบาเลนเซีย ราชอาณาจักรซิซิลี ราชอาณาจักรเนเปิลส์ และราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย

พระเจ้าแผ่นดินแห่งอารากอนเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรกที่ทรงปกครองบริเวณอารากอนโดยตรงและทรงดำรงตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดินแห่งบาเลนเซีย พระเจ้าแผ่นดินแห่งมาจอร์กา (ชั่วระยะหนึ่ง) เคานต์แห่งบาร์เซโลนา ลอร์ดแห่งมงเปอลีเย และดุ๊กแห่งเอเธนส์ (ชั่วระยะหนึ่ง) แต่ละตำแหน่งที่ได้มาหรือเสียไปก็เป็นการเพื่มหรือลดดินแดนภายใต้การปกครองในคริสต์ศตวรรษที่ 14 อำนาจของพระมหากษัตริย์แห่งอารากอนก็จำกัดลงเพียงบริเวณอารากอนเองตามข้อตกลง “สหภาพอารากอน” (Union of Aragon)

ราชบัลลังก์อารากอนถูกยุบเลิกโดยปริยายหลังจากการรวมกับราชบัลลังก์กัสติยา แต่หลังจากการรวมตัวอารากอนก็ยังรักษาอำนาจบางอย่างอยู่บ้างจนกระทั่งมาสิ้นสุดลงทั้งหมดตามพระราชกฤษฎีกานูเอบาปลันตา (Nueva Planta decrees) ที่ออกในปี ค.ศ. 1707

ประวัติศาสตร์ แก้

การถือกำเนิด แก้

อารากอนเดิมทีเป็นเคานตีตามระบอบศักกดินาของราชวงศ์การอแล็งเฌียงซึ่งตั้งอยู่แถวเมืองฆากา ต่อมาในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 9 ได้กลายเป็นรัฐบริวารของราชอาณาจักรปัมโปลนา (ต่อมาคือราชอาณาจักรนาวาร์) ตระกูลของเคานต์แห่งอารากอนสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 922 เมื่อไร้ซึ่งทายาทเพศชาย

หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าซันโชที่ 3 แห่งนาวาร์ในปี ค.ศ. 1035 ราชอาณาจักรนาวาร์ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ (1) ปัมโปลนาและดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไปตามแนวชายฝั่งและพื้นที่ทางตะวันตกของแคว้นบาสก์ (2) กัสติยา และ (3) โซบราเบ, ริบาร์โกร์ซา และอารากอน กอนโซลา พระโอรสของพระเจ้าซันโช ได้สืบทอดต่อโซบราเบและริบาร์โกร์ซา ขณะที่รามิโร บุตรชายนอกสมรสได้บริหารปกครองอารากอนภายใต้การปกครองของกอนซาโลอีกทีหนึ่ง[2] แต่หลังจากนั้นไม่นานกอนซาโลถูกสังหาร ดินแดนทั้งหมดที่เป็นของพระองค์จึงตกเป็นของรามิโร พระอนุชานอกสมรสที่กลายเป็นกษัตริย์แห่งอารากอนในทางพฤตินัยคนแรก[3] แม้พระองค์จะไม่เคยได้ครองตำแหน่งนี้ อารากอนถูกจำกัดพื้นที่ด้วยเทือกเขาพีรินีและมีพรมแดนติดกับราชอาณาจักรนาวาร์ที่ทรงอำนาจที่สุดและไตฟาซาราโกซาที่มีความสำคัญ แต่จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและความต้องการดินแดนมาเป็นที่อยู่อาศัยผลักดันให้ต้องขยายอาณาเขต แม้ว่าในช่วงแรกจะมีการทหารที่อ่อนแอ[4]

หลังปราบพระเชษฐา พระเจ้าการ์ซิอา ซันเชซที่ 3 แห่งนาวาร์ ได้ รามิโรสร้างเอกราชให้อารากอนได้สำเร็จ พระโอรสของพระองค์ พระเจ้าซันโช รามิเรซ ที่ได้สืบทอดต่อราชอาณาจักรนาวาร์ด้วยเป็นคนแรกที่เรียกตนเองว่า "กษัตริย์ของชาวอารากอนและชาวปัมโปลนา"[5]

การขยายอาณาเขต แก้

จุดมุ่งหมายของพระเจ้ารามิโรที่ 1 ในการพิชิตพื้นที่ราบกลับคืนมาได้รับการสานต่อจากผู้สืบทอดตำแหน่งของพระองค์ทันที

พระเจ้าซันโช การ์เซสที่ 4 แห่งนาวาร์ถูกพระอนุชาของตนเองสังหารในปี ค.ศ. 1076[4] ชาวนาวาร์ไม่ต้องการได้คนที่ฆ่าพี่น้องมาบริหารปกครองจึงเลือกพระเจ้าซันโช รามิเรซแห่งอารากอนเป็นกษัตริย์ อันเป็นการรวมราชบัลลังก์ปัมโปลนาเข้ากับอารากอน ราชอาณาจักรนาวาร์ถูกแบ่งให้ราชอาณาจักรเลออน-กัสติยา และราชอาณาจักรอาณาจักรอารากอนซึ่งได้รับอาณาเขตสำคัญ หนึ่งในนั้นคือเมืองหลวงของนาวาร์ และขยายขนาดใหญ่ขึ้นสามเท่า แม้จะต้องแลกกับการยอมรับการครองอำนาจเหนือกว่าในทางทฤษฎีของเลออน-กัสติยา[4] เพื่อฉลองการขยายอาณาเขต พระเจ้าซันโชได้ก่อตั้งเมืองฆากาขึ้น ขณะควบคุมพื้นที่สูงที่มีพรมแดนติดกันแม่น้ำเอโบรทางตอนเหนือ พระองค์ได้ทำการรุกรานหลายครั้ง โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ไตฟาซาราโกซา และได้พยายามขยายอาณาเขตไปทางพื้นที่ราบ โดยมีเป้าหมายหลักคือพื้นที่ราบที่อยู่ติดกับหุบเขาอารากอน, โซบราเบ และริบาโกร์ซา[6] เพื่อชดเชยการขาดแคลนกำลังพลที่จำเป็นต้องใช้ในการขยายอาณาเขต พระองค์ได้พยายามนำเอากำลังพลมาจากทางใต้ของฝรั่งเศส[6] การขยายดินแดนประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการพิชิตจุดยุทธศาสตร์อย่างเกราส์ในปี ค.ศ. 1083 และอาเยร์เบในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน[7] ในปี ค.ศ. 1089 การปิดล้อมมอนซอนของอารากอนถูกขัดขวางโดยชุมชนทีตั้งอยู่ระหว่างแยย์ดากับอูเอสกา ในปี ค.ศ. 1091 อารากอนได้สร้างปราสาทเอลกัสเตยาร์ขึ้นมาบนพื้นที่ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างซาราโกซากับตูเดลา[8] พระเจ้าซันโชทำการปิดล้อมเมืองอูเอสกาซึ่งเป็นเมืองสำคัญที่มีขนาดใหญ่กว่าฆากาและปัมโปลนา แต่ทรงสิ้นพระชนม์เสียก่อน ผู้ที่ขึ้นสืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์ทันทีคือพระเจ้าเปโดร พระโอรส ที่กลับมาปิดล้อมเมืองต่อทันที[9]

พระเจ้าเปโดรที่ 1 แห่งอารากอนพิชิตอูเอสกาได้เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1096 หลังปราบพระเจ้าอัลมุสตาอินที่ 2 แห่งไตฟาซาราโกซาได้ในสมรภูมิอัลกอรัซซึ่งต่อสู้กันเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนของปีเดียวกันนั้น[10] ในปี ค.ศ. 1101 ทรงยึดบาร์บัสโตรและซารีญเญนา และยึดตามารีเตเดลีเตราได้ในปี ค.ศ. 1104

ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 1 ผู้ประจันบาญ การยึดซาราโกซาได้ในปี ค.ศ. 1118 นำไปสู่การล่มสลายของราชอาณาจักรมัวร์ทั้งหมด พระเจ้าอัลฟอนโซประสบความล้มเหลวในชีวิตแต่งงานกับพระราชินีอูร์รากาแห่งเลออน ทั้งคู่ไม่มีพระโอรสธิดาด้วยกัน ตามพระประสงค์ของพระองค์ ทรงยกราชอาณาจักรของตนให้กับกลุ่มทหารสามกลุ่ม แต่ไม่มีใครคิดจะทำตามพระประสงค์นั้น ขุนนางอารากอนได้รวมตัวกันที่ฆากาและยอมรับรามิโร พระอนุชาของพระองค์เป็นกษัตริย์ ฝั่งนาวาร์ได้เลือกการ์ซิอา รามิเรซเป็นกษัตริย์ และแยกตัวออกมาเป็นราชอาณาจักรนาวาร์ ในตอนนั้นรามิโรดำรงตำแหน่งเป็นบิชอปแห่งโรดา-บาร์บัสโตร แต่ต้องมาครองบัลลังก์

ราชบัลลังก์อารากอน แก้

 
ตำแหน่งที่ตั้งของอารากอนในราชบัลลังก์อารากอน

ในปี ค.ศ. 1137 พระเจ้ารามิโรที่ 2 ผู้เป็นพระได้ตกลงหมั้นหมายเปโตรนิยาแห่งอารากอน พระธิดาเพียงคนเดียวของพระองค์ กับราโมน บารังเกที่ 4 แห่งบาร์เซโลนา พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 แห่งอารากอน พระโอรสของทั้งคู่เป็นกษัตริย์คนแรกที่สืบทอดตำแหน่งเป็นทั้งกษัตริย์แห่งอารากอนและเคานต์แห่งบาร์เซโลนา และปกครองอาณาเขตที่ไม่ได้มีเพียงแคว้นอารากอนในปัจจุบัน แต่ยังรวมถึงกาตาลุญญา และมาจอร์กา, บาเลนเซีย, ซิซิลี, เนเปิลส์ และซาร์ดิเนียในเวลาต่อมา กษัตริย์แห่งอารากอนเป็นกษัตริย์โดยตรงของแคว้นอารากอน และยังครองตำแหน่งเป็นเคานต์แห่งโพรว็องส์, เคานต์แห่งบาร์เซโลนา, ลอร์ดแห่งมงเปอลีเย และดยุคแห่งเอเธนส์และเนโอปาเตรีย ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเมื่อทรงสูญเสียและพิชิตดินแดนได้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระราชอำนาจถูกจำกัดโดยสหภาพอารากอน

การรวมกันของราชบัลก์อารากอนและราชบัลลังก์กัสติยา และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น แก้

ราชบัลลังก์อารากอนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองระบอบกษัตริย์ของสเปนหลังการรวมราชวงศ์กับกัสติยา ซึ่งถูกมองว่าเป็นการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในทางพฤตินัยของราชอาณาจักรทั้งสองภายใต้พระมหากษัตริย์ส่วนกลาง ในปี ค.ศ. 1412 หลังการหมดสิ้นทายาทในปี ค.ศ. 1410 ของราชบาร์เซโลนาซึ่งปกครองราชบัลลังก์มาจนถึงช่วงเวลาดังกล่าว ผู้สรรหาของอารากอนได้เลือกเจ้าชายกัสติยา เฟร์นันโดแห่งอันเตกีรา เป็นผู้ครองบัลลังก์อารากอนที่ว่างอยู่ ท่ามกลางการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชาวกาตาลัน พระเจ้าฆวนที่ 2 แห่งอารากอน หนึ่งในผู้สืบทอดตำแหน่งของพระเจ้าเฟร์นันโด จัดการกับการต่อต้านของชาวกาตาลันด้วยการจับเฟร์นันโด ทายาทแห่งกาตาลุญญา แต่งงานกับอีซาเบล รัชทายาทของพระเจ้าเอนริเกที่ 4 แห่งกัสติยา ในปี ค.ศ. 1479 เมื่อพระเจ้าฆวนที่ 2 สิ้นพระชนม์ ราชบัลลังก์อารากอนและราชบัลลังก์กัสตียาถูกรวมเข้าด้วยกันและกลายเป็นหัวใจหลักของประเทศสเปนในปัจจุบัน ทว่าต่อมาดินแดนของอารากอนตกเป็นของสภาและหน่วยงานอิสระด้านการบริหารปกครอง จนกระทั่งพระเจ้าเฟลิเปที่ 5 แห่งสเปนประกาศใช้พระราชกฤษฎีกานูเอบาปลันตาในช่วงปี ค.ศ. 1707 ถึง ค.ศ. 1715 หลังเกิดสงครามการสืบราชบัลลังก์สเปนซึ่งสุดท้ายก็ได้ข้อยุติ[11] พระราชกฤษฎีกายุติราชอาณาจักรอารากอน, ราชอาณาจักรบาเลนเซีย, ราชอาณาจักรมาจอร์กา และราชรัฐกาตาลุญญา และรวมดินแดนดังกล่าวเข้ากับกัสติยาเพื่อสร้างราชอาณาจักรสเปนขึ้นมาอย่างเป็นทางการ[12] พระราชกฤษฎีกานูเอบาปลันตาฉบับใหม่ในปี ค.ศ. 1711 คืนสิทธิบางส่วนให้อารากอน เช่น สิทธิพลเมืองของชาวอารากอน แต่ยังคงการยุติอิสรภาพทางการเมืองของราชอาณาจักรไว้[12]

ราชอาณาจักรอารากอนเดิมเหลือรอดอยู่ในฐานะหน่วยปกครองย่อยจนถึงปี ค.ศ. 1833 เมื่อดินแดนถูกแบ่งออกเป็นสามจังหวัด หลังการเสียชีวิตของฟรานซิสโก ฟรังโกในปี ค.ศ. 1982 อารากอนกลายเป็นหนึ่งในแคว้นปกครองตนเองของประเทศสเปน

การสืบราชบัลลังก์ แก้

ราชวงศ์ฆิเมเนซ แก้

ราชอาณาจักรอารากอนเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1035 ที่สถาปนาตนเป็นราชอาณาจักรอิสระ โดยมีปฐมกษัตริย์คือพระเจ้ารามิโรที่ 1 แห่งอารากอน พระโอรสนอกสมรสของพระเจ้าซันโชที่ 3 แห่งปัมโปลนา

 
พระเจ้ารามิโรที่ 1 แห่งอารากอนใน พงศาวลีเคานต์แห่งบาร์เซโลนา ในคริสต์ศตวรรษที่ 15

พระมเหสีคนแรกของพระเจ้ารามิโรคือเอร์เมซินดาแห่งบิกอร์เร พระราชินีแห่งอารากอนคนแรก ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันห้าคน เอร์เมซินดาสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1049 กษัตริย์อภิเษกสมรสใหม่กับหญิงชื่อแอนเญ็ส ซึ่งอาจเป็นบุตรสาวของดยุคแห่งอากีแตน แต่ทั้งคู่ไม่มีพระโอรสธิดาด้วยกัน พระเจ้ารามิโรสิ้นพระชนม์ที่สมรภูมิเกราส์ในปี ค.ศ. 1063 ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าซันโชที่ 5 ผู้เป็นพระโอรสคนโต พระเจ้าซันโชอภิเษกสมรสกับอิซาเบลแห่งอูร์เกลในปี ค.ศ. 1062 ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคนก่อนจะหย่าขาดจากกันในปี ค.ศ. 1070 ปีต่อมากษัตริย์อภิเษกสมรสใหม่กับเฟลิเซียแห่งรูซี ทั้งคู๋มีพระโอรสธิดาด้วยกันสามคน พระเจ้าซันโชสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1094 ที่สมรภูมิอูเอสกา ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าเปโดรที่ 1 แห่งอารากอนผู้เป็นพระโอรสคนโต ในปี ค.ศ. 1086 พระองค์อภิเษกสมรสกับแอนเญ็สแห่งอากีแตน ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันสองคนซึ่งต่างก็สิ้นพระชนม์ก่อนพระบิดา แอนเญ็สสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1097 พระเจ้าเปโดรอภิเษกสมรสใหม่กับหญิงชื่อแบร์ธา แต่ทั้งคู่ไม่มีพระโอรสธิดาด้วยกัน พระเจ้าเปโดรสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1104 ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์คือพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 1 ผู้เป็นพระอนุชาต่างมารดา

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 1 สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองในสนามรบและอภิเษกสมรสกับพระราชินีอูร์รากาแห่งเลออนและกัสติยาในปี ค.ศ. 1109 แต่การแต่งงานถูกประกาศให้เป็นโมฆะในปี ค.ศ. 1112 เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1134 ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อคือพระเจ้ารามิโรที่ 2 พระอนุชาคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้ารามิโรได้สาบานตนเข้าสู่อาราม แต่พระองค์ระงับคำสาบานชั่วคราวเพื่อมาแต่งงานกับแอนเญ็สแห่งอากีแตนและเป็นบิดาของรัชทายาท พระองค์จึงเป็นที่รู้จักในชื่อผู้เป็นพระ ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันเพียงคนเดียวคือเปโตรนียาที่เสด็จพระราชสมภพในปี ค.ศ. 1136 ทรงจัดแจงให้พระธิดาแต่งงานกับราโมน บารังเกที่ 4 เคานต์แห่งบาร์เซโลนาซึ่งแก่กว่าเปโตรนียา 23 ปี และสละราชบัลลังก์ให้พระธิดา เปโตรนียากลายเป็นพระราชินีผู้ปกครองคนแรกของอารากอนตอนอายุเพียง 1 พรรษา การแต่งงานได้รับการอนุมัติเมื่อพระราชินีเปโตรนียาพระชนมายุ 14 พรรษาและถูกทำให้สมบูรณ์ในปีต่อมา การแต่งงานให้กำเนิดพระโอรสธิดาห้าคน พระราชินีเปโตรนียาเป็นม่ายในปี ค.ศ. 1162 และพระองค์สละราชบัลลังก์ให้พระโอรสวัย 7 พรรษาในสองปีต่อมา พระโอรสของพระองค์กลายเป็นพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 และเป็นกษัตริย์แห่งอารากอนคนแรกที่มาจากราชวงศ์บาร์เซโลนา

ราชวงศ์บาร์เซโลนา แก้

 
พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 แห่งอังกฤษกับพระมเหสี ซันชา รายล้อมด้วยด้วยสตรีในราชสำนัก จาก ลีเบอร์ เฟวดอรุม มายยอร์

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 อภิเษกสมรสกับซันชาแห่งกัสติยาในปี ค.ศ. 1174 ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันแปดคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีชีวิตรอดถึงวัยผู้ใหญ่ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1196 ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าเปโดรที่ 2 ผู้เป็นพระโอรสคนโต พระองค์เป็นกษัตริย์อารากอนคนแรกที่ได้รับการสวมมงกุฎจากสมเด็จพระสันตะปาปา ในปี ค.ศ. 1204 พระองค์กลายเป็นสามีคนที่สามของมารีแห่งมงต์เปลิเยร์ ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคนก่อนที่พระองค์จะทอดทิ้งมารี เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1213 ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าไฆเมที่ 1 พระโอรสที่ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อผู้พิชิตจากการขยายราชอาณาจักรออกไปอย่างมากมายในรัชสมัยของพระองค์

พระเจ้าไฆเมอภิเษกสมรสกับเลโอนอร์แห่งกัสติยา ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคนก่อนที่การแต่งงานจะถูกประกาศให้เป็นโมฆะ พระโอรสของทั้งคู่ต่อมาแต่งงานกับกงสต็องซ์แห่งเบียร์งแต่สิ้นพระชนม์ก่อนพระบิดาโดยไร้ซึ่งทายาท ในปี ค.ศ. 1235 กษัตริย์อภิเษกสมรสใหม่กับวิโอลันต์แห่งฮังการี ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันสิบคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีชีวิตรอดจนถึงวัยผู้ใหญ่ หลังวิโอลันต์สิ้นพระชนม์ (ไม่ทราบวัน) กษัตริย์อภิเษกสมรสใหม่กับอนุภรรยาของพระองค์ เตเรซา กิล เด บิดาอูเร พระองค์ทิ้งเตเรซาเมื่อเตเรซาเริ่มเป็นโรคเรื้อน พระเจ้าไฆเมสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1276 ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าเปโดรที่ 3 พระโอรสที่ยังมีชีวิตอยู่คนโต พระองค์ได้แต่งงานกับคอนสแตนซ์แห่งซิซิลี ทายาทแห่งซิซิลี ในปี ค.ศ. 1262 ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันหกคน เมื่อทรงสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1285 ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 3 ผู้เป็นพระโอรสคนโต พระโอรสคนที่สองของพระองค์กลายเป็นกษัตริย์แห่งซิซิลี

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 3 ถูกจับหมั้นหมายกับเอเลนอร์แห่งอังกฤษ แต่พระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1291 ก่อนการแต่งงานจะเกิดขึ้น ไฆเม พระอนุชาของพระองค์กลายเป็นกษัตริย์ทั้งในอารากอนและซิซิลี พระองค์ยอมยกซิซิลีให้พระอนุชาในปี ค.ศ. 1295 พระองค์ยังเป็นกษัตริย์แห่งซาร์ดิเนียและคอร์ซิกาหลังอ้างสิทธิ์ในอาณาเขตในปี ค.ศ. 1297

พระเจ้าไฆเมที่ 2 อภิเษกสมรสสี่ครั้งแต่การแต่งงานครั้งแรกกับอิซาเบลแห่งกัสติยาถูกประกาศให้เป็นโมฆะ พระมเหสีคนที่สอง บล็องช์แห่งอ็องฌู คือพระราชินีแห่งซาร์ดิเนียคนแรก ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันเจ็ดคน พระองค์อาจสิ้นพระชนม์จากความยากลำบากในการคลอดบุตรคนที่สิบเอ็ด พระเจ้าไฆเมอภิเษกสมรสใหม่ในปี ค.ศ. 1314 กับมารีแห่งลูซินญ็อง ทายาทแห่งไซปรัส มารีสิ้นพระชนม์ในอีกห้าปีต่อมาโดยไม่มีพระโอรสธิดา กษัตริย์อภิเษกสมรสใหม่ในปี ค.ศ. 1322 กับเอลิเซนดาแห่งมอนต์กาดา แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีพระโอรสธิดาด้วยกันเช่นกัน เมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1317 ผู้สืบทอดต่ออาณาเขตทั้งหมดของพระองค์คือพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 4 ผู้เป็นพระโอรส

พระเจ้าอัลฟอนโซได้แต่งงานกับเทเรซา ด็องท็องซาในปี ค.ศ. 1314 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันเจ็ดคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีชีวิตรอดจนถึงวัยผู้ใหญ่ เทเรซาเสียชีวิตในการคลอดบุตรก่อนอัลฟอนโซจะสืบทอดต่อตำแหน่งกษัตริย์เพียงไม่กี่วัน ในปี ค.ศ. 1329 พระองค์อภิเษกสมรสใหม่กับเลโอนอร์แห่งกัสติยา ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันสองคน พระเจ้าอัลฟอนโซสิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุ 36 พรรษา และผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าเปโดรที่ 4 พระโอรสที่ยังมีชีวิตอยู่คนโต

ในปี ค.ศ. 1338 พระเจ้าเปโดรอภิเษกสมรสกับมารีแห่งนาวาร์ ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันสองคน มารีสิ้นพระชนม์ในการคลอดบุตรและพระเจ้าเปโดรอภิเษกสมรสใหม่ในปี ค.ศ. 1347 กับเลโอนอร์แห่งโปรตุเกส แต่เลโอนอร์สิ้นพระชนม์ในอีกหนึ่งปีต่อมาด้วยโรคระบาด ในปี ค.ศ. 1349 พระองค์อภิเษกสมรสใหม่กับเอเลนอร์แห่งซิซิลีและมีพระโอรสธิดาด้วยกันสามคน เมื่อเอเลนอร์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1375 พระองค์อภิเษกสมรสใหม่ครั้งที่สี่กับซีบีลาแห่งฟอร์เตียในปี ค.ศ. 1377 ทั้งคู่มีพระธิดาที่มีชีวิตรอดหนึ่งคน เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1387 ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าฆวนที่ 1 พระโอรสจากการแต่งงานครั้งที่สอง

พระเจ้าฆวนได้แต่งงานกับมาร์ธแห่งอาร์มันญัคเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1373 ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันห้าคน แต่มีเพียงพระธิดาคนเดียวที่มีชีวิตอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่ มาร์ธสิ้นพระชนม์ในการคลอดบุตรในปี ค.ศ. 1378 วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1380 กษัตริย์อภิเษกสมรสใหม่กับยูล็องด์แห่งบาร์ ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันหกคน แต่มีเพียงพระธิดาคนเดียวที่มีชีวิตอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่ เมื่อพระเจ้าฆวนสิ้นพระชนม์โดยไร้ซึ่งพระโอรส บัลลังก์ก็ตกเป็นของพระเจ้ามาร์ติงที่ 1 ผู้เป็นพระอนุชา พระธิดาทั้งสองของพระองค์พยายามอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์แต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งคู่

พระเจ้ามาร์ติงได้แต่งงานกับมาริอา เด ลูนาเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1373 ทั้งคู่มีพระโอรสที่รอดชีวิตหนึ่งคน ในปี ค.ศ. 1409 พระองค์อภิเษกสมรสใหม่กับมาร์การิตา เด เปรเดส แต่ทั้งคู่ไม่มีพระโอรสธิดาด้วยกัน พระโอรสที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวของพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1409 เมื่อพระเจ้ามาร์ติงสิ้นพระชนม์ การปกครองของราชวงศ์บาร์เซโลนาก็สิ้นสุดลง ในปี ค.ศ. 1412 พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 1 พระภาติไนยของพระองค์ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์

ราชวงศ์ตรัสตามารา แก้

พระเจ้าเฟร์นันโดได้แต่งงานกับเลโอนอร์แห่งอัลบูร์เกร์เกในปี ค.ศ. 1393 ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันเจ็ดคน พระเจ้าเฟร์นันโดครองราชย์ได้เพียงสี่ปี เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1416 ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 5 ผู้เป็นพระโอรส

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 5 ได้แต่งงานกับมาริอาแห่งกัสติยาในปี ค.ศ. 1415 แต่ทั้งคู่ไม่มีพระโอรสธิดาด้วยกัน พระองค์มีบุตรนอกสมรสสามคนกับภรรยาลับ ในปี ค.ศ. 1421 พระราชินีโจแอนนาที่ 2 แห่งเนเปิลส์ผู้ไร้ซึ่งทายาทรับพระองค์เป็นพระโอรสบุญธรรมและประกาศชื่อพระองค์เป็นทายาทในราชอาณาจักรเนเปิลส์ พระองค์ยังได้ประกาศชื่อทายาทอีกคน แต่สุดท้ายพระเจ้าอัลฟอนโซก็ได้สืบทอดต่อเป็นกษัตริย์แห่งเนเปิลส์ในปี ค.ศ. 1442 พระองค์หาทางจนสมเด็จพระสันตะปาปายินยอมให้พระองค์ยกราชอาณาจักรเนเปิลส์ให้บุตรชายนอกสมรสที่ต่อมาคือพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 1 แห่งเนเปิลส์ อาณาจักรอื่นๆ รวมถึงอารากอนตกเป็นของพระโอรสคนเล็ก พระเจ้าฆวนที่ 2 ในปี ค.ศ. 1458

พระเจ้าฆวนได้แต่งงานกับอนาคตพระราชินีบล็องช์ที่ 1 แห่งนาวาร์เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1419 ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันสาม บล็องช์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1441 ส่วนพระเจ้าฆวนอภิเษกสมรสใหม่กับฆัวนา เอนรีเกในปี ค.ศ. 1458 ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันสองคน พระองค์เก็บอำนาจควบคุมราชอาณาจักรนาวาร์ไว้ในมือตลอดพระชนม์ชีพ สร้างความปั่นป่วนให้กับชาร์ลส์ พระโอรสคนโตและทายาทของพระราชินีบล็องช์ สุดท้ายเมื่อชาร์ลส์สิ้นพระชนม์ นาวาร์ก็ตกเป็นของพระธิดาคนโตของทั้งคู่ ตามด้วยพระธิดาคนเล็ก ผู้สืบทอดต่ออาณาเขตที่เป็นของพระเจ้าฆวนคือพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 พระโอรสคนโตจากการแต่งงานครั้งที่สอง

 
ภาพวาดพิธีอภิเษกสมรสของพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอนกับพระราชินีอิซาเบลแห่งกัสติยา

พระเจ้าเฟร์นันโดได้แต่งงานกับอนาคตพระราชินีอิซาเบลที่ 1 แห่งกัสติยา ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคนที่สิ้นพระชนม์ในช่วงวัยรุ่นกับพระธิดาสี่คน หลังการสิ้นพระชนม์ของพระโอรส ไม่มีความชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระเจ้าเฟร์นันโด เนื่องจากการสืบทอดตำแหน่งของผู้หญิงไม่ค่อยได้รับการยอมรับเท่าในกัสติยา พระธิดาคนโตของทั้งคู่สิ้นพระชนม์ในการคลอดบุตรชายที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง แต่บุตรชายคนดังกล่าวก็ตายตั้งแต่อายุยังน้อย ฆัวนา พระธิดาคนที่สองของทั้งคู่แต่งงานกับอาร์ชดยุคฟิลิปแห่งออสเตรียและมีบุตรด้วยกันหกคน พระองค์สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระมารดาเมื่อพระราชินีอิซาเบลสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1504 พระเจ้าเฟร์นันโดตัดสินใจแยกราชอาณาจักรทั้งสองออกจากกันและอภิเษกสมรสใหม่กับแจร์เมนแห่งฟัวซ์ ด้วยความหวังว่าจะมีพระโอรส ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคนแต่สิ้นพระชนม์ไม่นานหลังคลอด เมื่อพระเจ้าเฟร์นันโดสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1516 ฟิลิปที่เสียชีวิตไปนานแล้วได้ประกาศชื่อฆัวนาเป็นผู้สืบทอดโดยมีคาร์ล พระโอรสเป็นผู้ปกครองร่วม ต่อมาฆัวนาถูกจองจำเนื่องจากสันนิษฐานว่าเสียสติ

ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค แก้

คาร์ลไม่เพียงสืบทอดอาณาเขตของพระมารดาแต่ยังสืบทอดอาณาเขตของพระบิดาด้วย พระองค์ยังได้รับเลือกเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในปี ค.ศ. 1519 อารากอนกับกัสติยาที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวต่อมาจะเป็นที่รู้จักในชื่อประเทศสเปน แต่อารากอนก็ได้อำนาจในรัฐสภาและองค์กรบริหารปกครองกลับคืนมาอีกครั้ง พระองค์อภิเษกสมรสกับอิซาเบลแห่งโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1526 ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาที่มีชีวิตรอดสามคน อิซาเบลสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1539 หลังให้กำเนิดพระโอรสที่สิ้นพระชนม์ในครรภ์ จักรพรรดิไม่ได้อภิเษกสมรสใหม่ ทรงสละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1556 ซึ่งผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 ผู้เป็นพระโอรส

พระเจ้าเฟลิเปอภิเษกสมรสสี่ครั้ง ครั้งแรกทรงแต่งงานกับมาเรีย มานูเอลาแห่งโปรตุเกสซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องลำดับที่หนึ่ง ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคน มาเรีย มานูเอลาสิ้นพระชนม์หลังคลอดบุตรไม่นาน ในปี ค.ศ. 1554 พระองค์อภิเษกกับพระราชินีแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องลำดับที่หนึ่งที่อยู่ห่างกันหนึ่งขั้น แต่พระราชินีแมรีสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1558 โดยไร้ซึ่งพระโอรสธิดา ในปี ค.ศ. 1559 พระองค์อภิเษกสมรสกับอลิซาเบธแห่งวาลัวส์ ทั้งคู่มีพระธิดาที่รอดชีวิตสองคน อลิซาเบธแท้งบุตรในปี ค.ศ. 1568 และสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นไม่นาน ในปี ค.ศ. 1570 พระองค์อภิเษกสมรสกับอันนาแห่งออสเตรียซึ่งเป็นพระธิดาของพระขนิษฐา ทั้งคู่มีพระโอรสที่มีชีวิตรอดหนึ่งคน เมื่อพระเจ้าเฟลิเปสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1598 ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์คือพระเจ้าเฟลิเปที่ 3 ผู้เป็นพระโอรส

พระเจ้าเฟลิเปอภิเษกสมรสกับมาร์กาเร็ตแห่งออสเตรียซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องลำดับที่หนึ่งที่อยู่ห่างกันหนึ่งขั้นในปี ค.ศ. 1499 ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันแปดคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีชีวิตอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่ มาร์กาเร็ตสิ้นพระชนม์ไม่นานหลังการคลอดพระโอรสธิดาคนที่แปด ซึ่งเป็นพระโอรสที่สิ้นพระชนม์ก่อนวันครบรอบวันเกิดปีแรก เมื่อพระเจ้าเฟลิเปสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1621 ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าเฟลิเปที่ 4 ผู้เป็นพระโอรสคนโต

พระเจ้าเฟลิเปอภิเษกสมรสกับอลิซาเบธแห่งฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1615 ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาด้วยกันแปดคน ซึ่งมีหกคนที่สิ้นพระชนม์ในวัยเด็ก พระโอรสคนเดียวของทั้งคู่สิ้นพระชนม์ตอนพระชนมายุ 16 พรรษา อลิซาเบธสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1644 ส่วนพระเจ้าเฟลิเปอภิเษกสมรสใหม่กับมาเรีย อันนาแห่งออสเตรียซึ่งเป็นพระธิดาของพระขนิษฐา ทั้งคู่มีพระโอรสธิดาห้าคน ซึ่งมีเพียงสองคนที่มีชีวิตอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1665 ผู้สืบทอดต่อตำแหน่งคือพระเจ้าการ์โลสที่ 2 ผู้เป็นพระโอรส

พระเจ้าการ์โลสมีความบกพร่องทางจิตและทางร่างกายด้วยมีการแต่งงานในสายเลือดเดียวกันหลายครั้ง แม้จะอภิเษกสมรสสองครั้ง กับมารี หลุยส์ เดออร์ลีย็องส์กับมาเรีย อันนาแห่งนอยบวร์ก แต่พระองค์ไม่มีพระโอรสธิดา นำไปสู่วิกฤตการสืบทอดบัลลังก์ ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์คือพระเจ้าเฟลิเปที่ 5 ซึ่งเป็นพระนัดดาคนเล็กของมาริอา เตเรซาแห่งสเปน พระโอรสธิดาคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของพระเจ้าเฟลิเปที่ 4 กับอลิซาเบธแห่งฝรั่งเศส

อ้างอิง แก้

  1. ราชบัณฑิตยสถาน, สารานุกรมประเทศในทวีปยุโรป ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, ราชบัณฑิตยสถาน, 2550, หน้า 669
  2. Reilly, Bernard F. (1992). The contest of Christian and Muslim Spain: 1031-1157 (in English) . Blackwell, p. 105
  3. CAI Tourism of Aragon. Retrieved 2010-03-05
  4. 4.0 4.1 4.2 Reilly, Bernard F. (1992). The contest of Christian and Muslim Spain: 1031-1157 (in English) . Blackwell, p. 106
  5. Antonio Ubieto, Creación y desarrollo de la Corona de Aragón, Anubar, Zaragoza, 1987, pp. 58–59. ISBN 84-7013-227-X
  6. 6.0 6.1 Reilly, Bernard F. (1992). The contest of Christian and Muslim Spain: 1031-1157 (in English) . Blackwell, p. 107
  7. Reilly, Bernard F. (1992). The contest of Christian and Muslim Spain: 1031-1157 (in English) . Blackwell, p. 107, 109.
  8. Reilly, Bernard F. (1992). The contest of Christian and Muslim Spain: 1031-1157 (in English) . Blackwell, p.112.
  9. Reilly, Bernard F. (1992). The contest of Christian and Muslim Spain: 1031-1157 (in English) . Blackwell, p.112-113.
  10. Reilly, Bernard F. (1992). The contest of Christian and Muslim Spain: 1031-1157 (in English) . Blackwell, p.115.
  11. I. Ruiz Rodríguez, Apuntes de historia del derecho y de las instituciones españolas, Dykinson, Madrid, 2005, p. 179. (In Spanish)
  12. 12.0 12.1 Albareda Salvadó, Joaquim (2010). La Guerra de Sucesión de España (1700-1714). Barcelona: Crítica. pp. 228–229. ISBN 978-84-9892-060-4.

ดูเพิ่ม แก้