มหาวิทยาลัยรามคำแหง

มหาวิทยาลัยรัฐแบบตลาดวิชาในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยรามคำแหง (อังกฤษ: Ramkhamhaeng University; อักษรย่อ: มร. – RU)[1] เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาล[8] ดำเนินการเรียนการสอนแบบตลาดวิชา[9] อันเป็นระบบเดียวกับ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในอดีต) ซึ่งรับบุคคลเข้าศึกษาโดยไม่มีการสอบคัดเลือกและไม่จำกัดจำนวน[10]

มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ตราพระรูปพ่อขุนรามคำแหง
สัญลักษณ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ชื่อย่อมร. / RU[1]
คติพจน์"รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ"
"สร้างความรู้สู่สากล สร้างคนคู่คุณธรรม"
"เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง"[1]
ประเภทสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ[2]
สถาปนาพ.ศ. 2514 (52 ปี 114 วัน)[1]
นายกสภาฯนายวีระพล ตั้งสุวรรณ[3]
อธิการบดีผู้ช่วยศาสตราจารย์ วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ (รักษาราชการแทนอธิการบดี)[4]
อาจารย์1,113 คน (มิถุนายน 2565)[5]
บุคลากรทั้งหมด3,748 คน (มิถุนายน 2565)[6]
ผู้ศึกษา137,452 คน (มิถุนายน 2565)[7]
ที่ตั้ง
มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ส่วนกลาง) เลขที่ 2086 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10240
วิทยาเขตมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตปัจฉิมสวัสดิ์ - สุวรรณภาศรี ซอยรามคําแหง 2 แขวงดอกไม้ เขต ประเวศ กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10250
หนังสือพิมพ์ข่าวรามคำแหง
เพลง
ต้นไม้
มาร์ชรามคำแหง
สุพรรณิการ์
สี  น้ำเงิน
  ทอง
ฉายา"ลูกพ่อขุน"
เครือข่ายASAIHL
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยรามคำแหง

หลักการและเหตุผล แก้

พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2514 เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากประเทศไทยมีพลเมืองเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้นักเรียน นักศึกษา ไม่มีที่เล่าเรียน ดังปรากฏปัญหาเป็นประจำมาทุก ๆ ปี เพราะมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีนักศึกษาเป็นจำนวนมาก แต่ที่เล่าเรียนคับแคบ ไม่อาจรับนักศึกษาเพิ่มจำนวนขึ้นได้ และเพื่อให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นตลาดวิชา รับนักศึกษาได้ทั่วไป โดยมาฟังคำสอนที่มหาวิทยาลัยก็ได้ หรือ จะรับซื้อคำสอนจากมหาวิทยาลัยไปเรียนด้วยตนเองแล้วมาสมัครสอบ ก็ได้ เป็นการให้การศึกษาแก่ชนทุกชั้น เพื่อสร้างคุณภาพความรู้ความสามารถของประชาชนคนไทยให้สูงขึ้นทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ และเป็นการสกัดกั้นมิให้นักศึกษาไปหาที่เล่าเรียนในต่างประเทศ อันเป็นการสูญเสียเงินตราต่างประเทศปีหนึ่ง ๆ มิใช่น้อย และเป็นการแก้ปัญหาข้อกล่าวว่า นักศึกษาไม่มีที่เล่าเรียนจะได้หมดสิ้นไป[11]

ประวัติ แก้

มหาวิทยาลัยรามคำแหงก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2514 บนบริเวณที่ดินประมาณ 300 ไร่เศษ บนถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร[12]

เดิมมหาวิทยาลัยในประเทศไทยช่วงก่อน พ.ศ. 2490 เป็นมหาวิทยาลัยในรูปแบบปิด ต้องสอบคัดเลือก มีเพียงมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ที่เป็นมหาวิทยาลัยในรูปแบบตลาดวิชา ไม่มีการสอบคัดเลือกและเปิดรับทุกคนที่ต้องการศึกษาเล่าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ภายหลังจากเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2490 มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองถูกบีบบังคับให้เปลี่ยนชื่อเป็น "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" และภายหลังจึงถูกแปรสภาพเป็นมหาวิทยาลัยปิด เมื่อ พ.ศ. 2495[10] ทำให้มหาวิทยาลัยในประเทศไทยทั้งหมดต้องสอบคัดเลือก และเกิดการตกค้างของผู้ที่ต้องการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาแต่ไม่สามารถสอบติดมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก จนเกิดการขาดแคลนสถาบันอุดมศึกษา แม้จะมีการเปิดมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอื่น ๆ เพิ่มเติม ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนสถาบันอุดมศึกษาได้ ภายหลังจึงมีผู้เสนอให้มีการนำรูปแบบของอดีตมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง กลับมาเปิดเป็นมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ และเป็นที่มาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง

พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2514 กำหนดให้มหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยแบบตลาดวิชา[13] กล่าวคือ ให้เปิดรับสมัครบุคคลเข้าเป็นนักศึกษา โดยไม่จำกัดจำนวน และไม่มีการสอบคัดเลือกนับตั้งแต่ได้รับการสถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. 2514 ทั้งนี้เพื่อแก้ไขการขาดแคลนสถานที่เรียนในระดับอุดมศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในขณะนั้น ต่อมาได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2541 ขึ้นใช้บังคับแทนกฎหมายฉบับเดิม

การตรากฎหมายเพื่อจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มีผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2512 คือ ประมวล กุลมาตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชุมพร สังกัดพรรคสหประชาไทย โดยในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวยังไม่ได้ระบุชื่อมหาวิทยาลัย และสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2512 โดยตั้งคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งมี พลเอก ประภาส จารุเสถียร เป็นประธานกรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยละเอียด คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งกำหนดชื่อมหาวิทยาลัยในร่างพระราชบัญญัตินั้นว่า "ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ..." โดย แคล้ว นรปติ ส.ส. จังหวัดขอนแก่น เป็นผู้เสนอให้ใช้ชื่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514

ระยะแรก คณะรัฐมนตรีได้อนุญาตให้ใช้อาคารสถานที่แสดงสินค้านานาชาติ ที่ ตำบลหัวหมาก อำเภอบางกะปิ จังหวัดพระนคร เป็นที่ตั้งชั่วคราว จนกระทั่งเดือนตุลาคม พ.ศ. 2515 จึงได้อนุญาตให้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งถาวร และได้มีการประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ สถานที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2515 โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นแรก ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518 ซึ่งถือว่าเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยได้กำหนดให้วันที่ 26 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยรามคำแหง

ด้วยความเป็นมหาวิทยาลัยตลาดวิชา ระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเลือกวิธีเรียนที่เหมาะสมกับความต้องการและความจำเป็นของแต่ละบุคคล จึงจัดให้มีการบรรยายในชั้นเรียน สำหรับผู้ที่จะเข้าฟังบรรยายในชั้นเรียน และจัดให้มีสื่อการสอนทางไกลเพื่อการศึกษาด้วยตนเอง เช่น ตำราเรียน การบรรยายผ่านวิทยุและโทรทัศน์ ตลอดจนอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักศึกษาที่มีภาระการงาน หรืออยู่ในท้องถิ่นห่างไกลไม่สามารถเดินทางมาเรียนอย่างสม่ำเสมอได้ อย่างไรก็ตาม ในบางสาขาวิชาที่ต้องมีการฝึกปฏิบัติหรือจำเป็นต้องศึกษาจากผู้สอนอย่างใกล้ชิด มหาวิทยาลัยหรือภาควิชาอาจกำหนดให้นักศึกษาต้องเข้าชั้นเรียน โดยเฉพาะคณะวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ รวมถึงคณะอื่น ๆ ในบางรายวิชา

ที่ตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหงและวิทยาเขต แก้

มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ส่วนกลาง) แก้

แรกเริ่มที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2514 ได้รับอนุญาตให้ใช้สถานที่แสดงสินค้านานาชาติที่ ตำบลหัวหมาก อำเภอบางกะปิ (ขณะนั้น) จำนวน 300 ไร่เศษ เป็นสถานที่ตั้งมหาวิทยาลัย ระยะแรกที่ทำการเปิดสอนได้ใช้อาคารแสดงสินค้าที่มีอยู่เดิมเป็นที่ทำการและห้องเรียนของมหาวิทยาลัย ต่อมาได้มีการก่อสร้างอาคารที่ทำการคณะ/สำนัก/สถาบัน รวมทั้งอาคารเรียน ฯลฯ เพิ่มขึ้นแทนอาคารแสดงสินค้าเดิมเหล่านั้น จะเห็นว่า ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงไปมาก บริเวณของมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยอาคารหลากหลายที่ทันสมัย บรรยากาศเป็นมหาวิทยาลัยวิชาการ อีกทั้งภูมิทัศน์สวยงาม สะอาด และสะดวกสบาย

มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก เป็นสถานที่ตั้งที่ทำการของทุกคณะ/สำนัก/สถาบันต่าง ๆ เป็นศูนย์กลางการบริหารและการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตปัจฉิมสวัสดิ์ – สุวรรณนภาศรี (รามคำแหง 2 – บางนา) แก้

มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้จัดตั้ง วิทยาเขตปัจฉิมสวัสดิ์ – สุวรรณนภาศรี (วิทยาเขตบางนา) ในปี พ.ศ. 2522 (และเริ่มเปิดทำการสอนปี พ.ศ. 2527) บนที่ดินที่ได้รับการบริจาค จำนวน 150 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 8 ถนนบางนา-ตราด เพื่อรองรับการขยายตัวของจำนวนนักศึกษาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว วิทยาเขตบางนาจึงใช้เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอนกระบวนวิชาชั้นปีที่ 1 ของระดับปริญญาตรีทุกสาขา ต่อมาได้ใช้เป็นสถานที่สอนระดับปริญญาโทบางโครงการ

มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตสุโขทัย แก้

เมื่อปี พ.ศ. 2542 มหาวิทยาลัยได้จัดตั้งสาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสุโขทัย ขึ้น เพื่อการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งได้มีการจัดการเรียนการสอนทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมทั้งหลักสูตรโครงการพิเศษต่าง ๆ จังหวัดสุโขทัยนั้นในอดีตคือกรุงสุโขทัยในยุคสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

ต่อมาในปี พ.ศ. 2549 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ได้มีมติเห็นชอบโครงการยกฐานะ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสุโขทัย เป็นมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตสุโขทัย ในการนี้ มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้รับงบประมาณแผ่นดินเตรียมการก่อสร้างอาคารเรียน ฯลฯ เปิดสอนคณะธุรกิจการบริการ และคณะสาธารณสุขศาสตร์ รวมไปถึงปริญญาตรีส่วนภูมิภาค เปิดที่สาขาวิทยบริการแห่งนี้ด้วย

พื้นที่การศึกษา แก้

 
ภาพถ่ายทางอากาศของมหาวิทยาลัยรามคำแหงและศูนย์กีฬาหัวหมาก

มหาวิทยาลัยรามคำแหง แบ่งพื้นที่การศึกษาออกเป็น 5 ส่วน กับ 1 วิทยาเขต และ 1 ศูนย์การศึกษา (วิทยาเขต)

  • ส่วนที่ 1 คือส่วนของพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานอธิการบดี (กองคลัง กองแผนงาน), อาคารวิทยบริการและบริหาร (กองบริการการศึกษา), อาคารเรียนรวม (เวียงคำ), อาคารเรียนรวม (เวียงผา), ธนาคารทหารไทย สาขามหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก), อาคารคณะรัฐศาสตร์ 1, อาคารศรีศรัทธา (อาคารคณะรัฐศาสตร์ 2), อาคารจอดรถพิเศษ 8 ชั้น, อาคารสำนักพิมพ์, สถาบันการศึกษานานาชาติ, โรงกลาง (โรงอาหารกลาง), อาคารนพมาศ (บัณฑิตศึกษา), หอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช, อาคารบรรยายรวม (กงไกรลาศ), อาคารห้องน้ำชาย-ห้องน้ำหญิง, อาคารบรรยายรวม (ศิลาบาตร), เซเว่นอีเลฟเว่น สาขาที่ 14146, อาคารศิลาบาตร (SBB), ศูนย์ฝึกซ้อมกอล์ฟในร่ม KLB 601, สำนักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผล, ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขามหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก), อาคารงานแพทย์และอนามัย
  • ส่วนที่ 2 คือส่วนพื้นที่การจัดศึกษา ได้แก่ คณะบริหารธุรกิจ, อาคารบรรยายรวมคณะบริหารธุรกิจ, อาคารท่าชัย (บัณฑิตวิทยาลัย), อาคารสุโขทัย เป็นที่ตั้งของ (คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คณะสื่อสารมวลชน คณะทัศนมาตรศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ สถาบันภาษา สถาบันบริการวิชาการทางอิเล็กทรอนิกส์ โครงการพิเศษปริญญาโท), ธนาคารออมสิน สาขามหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก), อาคารคณะเศรษฐศาสตร์ 1 และ 2, อาคารสถาบันคอมพิวเตอร์, สำนักเทคโนโลยีทางการศึกษา, อาคารโรงยิม 4, อาคารห้องน้ำชาย-ห้องน้ำหญิง, ตึกรับส่งข้อสอบ
  • ส่วนที่ 3 ครอบคลุมไปยัง อาคารเบกพล, ที่ทำการคณะนิติศาสตร์ (1), คณะนิติศาสตร์ใหม่ (2), ที่ก่อสร้างอาคาร สำนักหอสมุดกลางแห่งใหม่ สำนักหอสมุดกลาง, อาคารสวรรคโลก, คณะศึกษาศาสตร์ (1), คณะศึกษาศาสตร์ (2), สำนักกีฬา, สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยรามคำแหง, โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฝ่ายประถม, โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง (อนุบาล), สนามเทนนิส, โรงยิม 2, โรงยิม 3, อาคารเบกพล (กองอาคารและสถานที่)
  • ส่วนที่ 4 เป็นที่ตั้งของ คณะมนุษยศาสตร์ 1 และ 2, คณะวิทยาศาสตร์, อาคารเรียนคณะวิทยาศาสตร์, อาคารคีรีมาศ (อาคารปฏิบัติการคณะวิทยาศาสตร์), โรงอาหาร, คณะวิศวกรรมศาสตร์, โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฝ่ายมัธยม, อาคารเรียนศรีจุฬาลักษณ์ (ของคณะมนุษยศาสตร์), อาคารเรียนพิริยราม (คณะศึกษาศาสตร์ และปริญญาโทโครงการพิเศษ), อาคารของภาควิชาสถิติ, โรงยิม 1
  • ส่วนที่ 5 เป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช, สระน้ำ, พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์เป็นพระที่นั่งปราสาทโถงกลางสระน้ำ สร้างในแบบปราสาทจตุรมุข
  • ส่วนที่ 6 เป็นที่ตั้งของ กองงานวิทยาเขตบางนา จัดการเรียนการสอนของ นักศึกษาชั้นปริญญาตรี ปีที่ 1 ตั้งแต่ พ.ศ. 2527 และปริญญาโท ตั้งแต่ พ.ศ. 2541 ธนาคารออมสินสาขามหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 (วิทยาเขตบางนา)
  • ส่วนที่ 7 อยู่ที่จังหวัดสุโขทัย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ได้มีมติเห็นชอบโครงการยกฐานะ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสุโขทัย เป็นมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตสุโขทัย ในการนี้ มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้รับงบประมาณแผ่นดินเตรียมการก่อสร้างอาคารเรียน ฯลฯ คณะธุรกิจการบริการ และคณะสาธารณสุขศาสตร์

นอกจากนี้ยังมีส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นหน่วยจัดการเรียนการสอนและพื้นที่ในความดูแลของมหาวิทยาลัย คือ สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ ต่างจังหวัด 23 แห่ง จัดการเรียนการสอนปริญญาตรี, โท (บางคณะ) และสาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติต่างประเทศ

สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติต่างประเทศ แก้

มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้เริ่มขยายการเรียนการสอนสู่ต่างประเทศ ตั้งแต่ภาคการศึกษาที่ 2/2546 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาแก่ปวงชนชาวไทยในต่างประเทศทั่วโลก เพื่อนำการอุดมศึกษาไทยสู่สากลอย่างเป็นรูปธรรม และพัฒนาการอุดมศึกษาไทยแข่งขันในเวทีการศึกษาโลก พัฒนาศักยภาพการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง รวมทั้งสร้างชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยรามคำแหงและประเทศชาติให้กว้างไกลทั่วสากล หลักสูตรที่เปิดสอนในต่างประเทศ เปิดสอนระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท และกำลังจะเปิดสอนระดับปริญญาเอก ปัจจุบัน ขยายสู่ 29 ประเทศทั่วโลก มีศูนย์สอบ 38 แห่งในประเทศต่าง ๆ และกำลังขยายเพิ่มขึ้น การจัดสอบได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากกระทรวงการต่างประเทศ ในการให้ความอนุเคราะห์สถานที่สอบ และการดำเนินการจัดสอบ ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย และสถานกงสุลใหญ่ในประเทศต่าง ๆ ที่มีผู้สมัครเรียน ประเทศที่มีศูนย์สอบมหาวิทยาลัยรามคำแหง 29 ประเทศ

สถาปัตยกรรมที่สำคัญในมหาวิทยาลัย แก้

  • พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ เป็นจุดเด่นของพระราชวังบางปะอิน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งในมหาวิทยาลัยรามคำแหงก็มีพระที่นั่งจำลององค์นี้ ตั้งอยู่กลางสระน้ำ ด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นสัญลักษณ์ที่ชาวรามคำแหงภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
  • เรือสุพรรณหงส์จำลอง อยู่กลางสระน้ำภายในเรือประดิษฐานพระพุทธรูปจำลอง ซึ่งมีความสวยงามโดดเด่น
  • พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช มหาวิทยาลัยได้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ท่านไว้กลางมหาวิทยาลัยที่เรียกว่า "ลานพ่อขุน" ที่นี่ จึงเป็นจุดรวมใจของชาวรามคำแหงทั้งมวล
  • ศาลาไทยประยุกต์ อยู่หน้าอาคารสุโขทัย เป็นศาลาประยุกต์ กลางน้ำ จัดเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานร่วมสมัย
  • หอนาฬิกา จัดเป็นหอนาฬิกาขนาดใหญ่ มีความสูงเท่ากับตึก 4 ชั้น หน้าปัด เป็นสถาปัตยกรรมศิลาจารึก เป็นกระจกสีฟ้า เดินเวลาแบบดิจิตอล
  • หอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นอาคารแบบประยุกต์ 2 ชั้น โดยด้านหน้ามีหลังคาเป็นศิลาจารึก โดยภายในอาคารมีห้องรับรองไว้สำหรับเป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จมาประกอบพระกรณียกิจที่มหาวิทยาลัย และใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย

วิชาการ แก้

มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้เปิดรับสมัครนักศึกษารุ่นแรกในปี พ.ศ. 2514 ซึ่งในครั้งแรกเปิดสอนใน 4 คณะ คือ คณะนิติศาสตร์, คณะบริหารธุรกิจ, คณะมนุษยศาสตร์ และคณะศึกษาศาสตร์ โดยมีผู้สนใจสมัครเป็นนักศึกษาในครั้งแรกจำนวน 37,198 คน ต่อมาใน พ.ศ. 2517 ได้เปิดเพิ่มอีกสามคณะ คือ คณะวิทยาศาสตร์, คณะรัฐศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์ กระทั่งในปี พ.ศ. 2540 ได้เปิดสอนคณะวิศวกรรมศาสตร์ เนื่องจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงมีผู้สนใจเข้าศึกษาต่อเป็นจำนวนมาก จนสถานที่เรียนที่หัวหมากเริ่มแออัด มหาวิทยาลัยจึงได้ เปิดวิทยาเขตรามคำแหง 2 หรือวิทยาเขตบางนา ขึ้นในปี พ.ศ. 2527 ที่ถนนบางนา-ตราด กม. 8 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพฯ บนเนื้อที่ 150 ไร่เศษ โดยใช้เป็นที่เรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยความเป็นมหาวิทยาลัยตลาดวิชา ระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเลือกวิธีเรียนที่เหมาะสมกับความต้องการและความจำเป็นของแต่ละบุคคล จึงจัดให้มีการบรรยายในชั้นเรียน สำหรับผู้ที่จะเข้าฟังบรรยายในชั้นเรียน และจัดให้มีสื่อการสอนทางไกลเพื่อการศึกษาด้วยตนเอง เช่น ตำราเรียน การบรรยายผ่านวิทยุและโทรทัศน์ ตลอดจนอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ นักศึกษาที่มีภาระการงาน หรืออยู่ในท้องถิ่นห่างไกลไม่สามารถเดินทางมาเรียนอย่างสม่ำเสมอได้ อย่างไรก็ตาม ในบางสาขาวิชาที่ต้องมีการฝึกปฏิบัติหรือจำเป็นต้องศึกษาจากผู้สอนอย่างใกล้ชิด มหาวิทยาลัยหรือภาควิชาอาจกำหนดให้นักศึกษาต้องเข้าชั้นเรียน โดยเฉพาะ คณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ รวมถึงคณะอื่น ๆ ในบางรายวิชา

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมีกระบวนวิชาที่เปิดสอน ในระดับปริญญาตรีประมาณ 2,600 กระบวนวิชา ระดับปริญญาโท 130 กระบวนวิชาจัดการศึกษาครอบคลุมทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทุกระดับจำนวนทั้งสิ้น 256 หลักสูตร เป็นระดับปริญญาตรี 111 หลักสูตร, ประกาศนียบัตรบัณฑิต 8 หลักสูตร, ปริญญา จัดการสอนในหลักสูตรระดับอนุปริญญา 23 สาขาวิชา, ระดับปริญญาตรี 60 สาขาวิชา, ระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต 1 สาขาวิชาระดับ, ปริญญาโท 30 สาขาวิชา โดยมีคณะวิชาที่รับผิดชอบ 8 คณะ และหน่วยงานเทียบเท่าคณะรับผิดชอบการเรียนการสอนในระดับบัณฑิตศึกษาอีก 1 หน่วยงาน รวมทั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรปริญญาเอก, หลักสูตรภาคภาษาอังกฤษ และเปิดคณะศิลปกรรมศาสตร์, คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, คณะธุรกิจการบริการ และคณะสาธารณสุขศาสตร์

กลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ แก้

กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แก้

กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ แก้

นอกจากนี้ ยังมีหลายหน่วยงานที่จัดหลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษา เช่น สถาบันภาษา, กองกิจการนักศึกษา เป็นต้น อีกทั้งมหาวิทยาลัยยังมีหน่วยงานที่จัดการเรียนการสอนเฉพาะระดับสูงกว่าปริญญาตรีอีกด้วย อันได้แก่ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง และสถาบันภาษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง|สถาบันภาษา

กลุ่มบัณฑิตศึกษา แก้

การบริหารงาน แก้

นายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง แก้

อธิการบดี แก้

นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีผู้ดำรงตำแหน่ง อธิการบดี ดังรายนามต่อไปนี้

มหาวิทยาลัยรามคำแหง
รายนามอธิการบดี วาระการดำรงตำแหน่ง อ้างอิง
1. ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์

13 พฤษภาคม พ.ศ. 2514 – 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (วาระที่ 1)
30 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 – 22 มิถุนายน พ.ศ. 2516 (วาระที่ 2)
28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 – 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 (วาระที่ 3)

[3]
[4]
[5]
2. ศาสตราจารย์กำธร พันธุลาภ

2 กันยายน พ.ศ. 2517 – 1 กันยายน พ.ศ. 2519 (วาระที่ 1)
21 กันยายน พ.ศ. 2519 – 20 กันยายน พ.ศ. 2521 (วาระที่ 2)

[6]
[7]

3. รองศาสตราจารย์ ดร.อภิรมย์ ณ นคร

3 ตุลาคม พ.ศ. 2523 – 2 ตุลาคม พ.ศ. 2525

[8]

4. รองศาสตราจารย์สุขุม นวลสกุล

15 มกราคม พ.ศ. 2526 – 14 มกราคม พ.ศ. 2528 (วาระที่ 1)
15 เมษายน พ.ศ. 2528 – 14 เมษายน พ.ศ. 2530 (วาระที่ 2)

[9]
[10]
5. ศาสตราจารย์ ดร.ธรรมนูญ โสภารัตน์

13 พฤษภาคม พ.ศ. 2530 – 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2532

[11]

6. รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล

6 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 – 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 (วาระที่ 1)
20 กันยายน พ.ศ. 2534 – พ.ศ. 2537 (วาระที่ 2)

[12]
[13]

7. รองศาสตราจารย์รังสรรค์ แสงสุข

13 มกราคม พ.ศ. 2537 – 12 มกราคม พ.ศ. 2539 (วาระที่ 1)
15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 – 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 (วาระที่ 2)
20 สิงหาคม พ.ศ. 2541 – 19 สิงหาคม พ.ศ. 2545 (วาระที่ 3)
16 มกราคม พ.ศ. 2546 – 16 มกราคม พ.ศ. 2550 (วาระที่ 4)

[14]
[15]
[16]
[17] เก็บถาวร 2015-06-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน

8. รองศาสตราจารย์คิม ไชยแสนสุข

18 มิถุนายน พ.ศ. 2550 – 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

[18]

9. ผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์

21 ตุลาคม พ.ศ. 2554 – 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558 (วาระที่ 1)
3 มีนาคม พ.ศ. 2559 – 2 มีนาคม พ.ศ. 2563 (วาระที่ 2)

[19]
[20]

10. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่

12 กันยายน พ.ศ. 2564 - ปัจจุบัน

[21]

การจัดอันดับมหาวิทยาลัย แก้

การจัดอันดับโดยเว็บโอเมตริกซ์ (Webometrics) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บไซต์ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก โดยบ่งบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ของสถาบัน เพื่อใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ ในการประเมินผลงานวิจัยของสถาบัน ซึ่งทางเว็บโอเมตริกซ์ได้จัดอันดับปีละ 2 ครั้งในเดือนมกราคม และกรกฎาคม และในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 มหาวิทยาลัยรามคำแหง อยู่ในอันดับที่ 2847 ของโลก และอันดับที่ 26 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย[14]

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 "เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยฯ". www.oasc.ru.ac.th.
  2. [https://web.archive.org/web/20211023002716/http://www.mua.go.th/university-2.html เก็บถาวร 2021-10-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  3. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี (2023) เรื่อง แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง [นายวีระพล ตั้งสุวรรณ] สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566.จาก https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/17228932.pdf
  4. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี (2023) เรื่อง แต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง [นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่] สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566.จาก https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/17178624.pdf
  5. มหาวิทยาลัยรามคำแหง (2023) ข้อมูลจำนวนบุคลากรสายวิชาการ สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566.จาก http://www.oasc.ru.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=264&Itemid=165
  6. มหาวิทยาลัยรามคำแหง (2023) ข้อมูลจำนวนบุคลากรทั้งหมด สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566.จาก http://www.oasc.ru.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=264&Itemid=165
  7. มหาวิทยาลัยรามคำแหง (2023) ข้อมูลจำนวนนักศึกษาที่มีสถานภาพปัจจุบัน สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566.จาก http://www.oasc.ru.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=264&Itemid=165
  8. "สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา". www.mua.go.th. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-23. สืบค้นเมื่อ 2021-10-27.
  9. พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2514 หมวดที่ 1 มาตรา 5 [1]
  10. 10.0 10.1 "ประวัติมหาวิทยาลัย". www4.tu.ac.th. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-03-11. สืบค้นเมื่อ 2021-10-27.
  11. พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2514 หน้าที่ 24 หมายเหตุ [2]
  12. มหาวิทยาลัยรามคำแหง. "มหาวิทยาลัยรามคำแหง". มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
  13. พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2514
  14. Ranking Web of World Universities เก็บถาวร 2009-07-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีนTop South East Asia

ดูเพิ่ม แก้

แหล่งข้อมูลอื่น แก้

พิกัดภูมิศาสตร์: 13°45′19″N 100°37′13″E / 13.755236°N 100.620142°E / 13.755236; 100.620142