สงครามอิรัก-สหรัฐเมริกา เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศอิรักตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2546[8][9] ด้วยการรุกรานอิรักโดยสหรัฐอเมริกาซึ่งมีประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุชเป็นผู้นำ และสหราชอาณาจักรซึ่งมีนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์เป็นผู้นำ[10] สงครามคราวนี้อาจเรียกชื่ออื่นว่า การยึดครองอิรัก, สงครามอ่าวครั้งที่สอง หรือ ปฏิบัติการเสรีภาพอิรัก โดยทหารสหรัฐ สงครามครั้งนี้สหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554 แม้ความรุนแรงประปรายยังมีต่อไปทั่วประเทศ[11]

สงครามอิรัก
ส่วนหนึ่งของ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย

สงครามอิรัก
วันที่20 มีนาคม พ.ศ. 2546 – 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554 (8 ปี 270 วัน)[4]
สถานที่
ผล
  • การรุกรานและการยึดครองอิรัก
  • การล้มรัฐบาลพรรคบาธและการประหารชีวิตซัดดัม ฮุสเซน
  • การก่อความไม่สงบในอิรัก, ปฏิบัติการก่อการร้ายต่างชาติ และความรุนแรงระหว่างนิกายต่าง ๆ[5]
  • การก่อความไม่สงบลดลงกะทันหัน[6] พัฒนาการในความมั่นคงสาธารณะ[7]
  • การสถาปนาการเลือกตั้งประชาธิปไตยอีกครั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
  • การถอนทหารสหรัฐออกจากอิรัก
  • การก่อความไม่สงบขนาดเล็กดำเนินต่อไป
คู่สงคราม

อิรัก (after 2003)
 สหรัฐ
 สหราชอาณาจักร
 ออสเตรเลีย
 โปแลนด์

Supported by:
อิหร่าน Iran[2][3]
 เคอร์ดิสถานอิรัก

 อิรัก (2003)
Ba'ath loyalists(2003-2011)
Supported by:
ธงของประเทศซีเรีย ซีเรีย
 ลิเบีย
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
Ayad Allawi
Ricardo Sanchez
George W. Casey, Jr.
David Petraeus
Raymond T. Odierno
Lloyd Austin
George W. Bush
Barack Obama
Tommy Franks
Donald Rumsfeld
Robert Gates
Tony Blair
Gordon Brown
David Cameron
John Howard
Kevin Rudd
Silvio Berlusconi
Romano Prodi
Sheikh Jaber
Sheikh Sabah
José María Aznar
Anders Fogh Rasmussen
Aleksander Kwaśniewski
Lech Kaczyński
ซัดดัม ฮุสเซน (เชลย)
Izzat Ibrahim ad-Douri 
อิรัก Qusay Hussein 
อิรัก Uday Hussein 
อิรัก Abid Hamid Mahmud (เชลย)
อิรัก Ali Hassan al-Majid (เชลย)
อิรัก Barzan Ibrahim (เชลย)
อิรัก Taha Yasin Ramadan (เชลย)
อิรัก Tariq Aziz (เชลย)
อิรัก Mohammed Younis al-Ahmed

ก่อนหน้าการรุกราน รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรประเมินว่า ความเป็นไปได้ที่อิรักจะครอบครองอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงคุกคามความมั่นคงของตนและพันธมิตรของตนในภูมิภาค[12][13][14] พ.ศ. 2545 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเปรมปรีงามปั่งผ่านข้อมติที่ 1441 ซึ่งกำหนดให้อิรักร่วมมืออย่างเต็มที่กับผู้ตรวจการอาวุธสหประชาชาติเพื่อตรวจสอบว่า อิรักมิได้มีอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงและขีปนาวุธร่อนอยู่ในครอบครอง คณะตรวจสอบอาวุธทั้งในส่วนของคณะผู้ตรวจสอบอาวุธเคมี ชีวภาพและพาหะนำส่งของสหประชาชาติ (United Nations Monitoring, Verification and Inspection Commission - UNMOVIC) ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในอิรักภายใต้ข้อกำหนดของมติสหประชาชาติ แต่ไม่พบหลักฐานอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง หากมิได้ดำเนินการตรวจสอบอีกหลายเดือนเพื่อพิสูจน์เป็นการสรุปถึงความร่วมมือของอิรักกับข้อกำหนดการปลดอาวุธสหประชาชาติ[15][16][17][18] หัวหน้าผู้ตรวจสอบอาวุธ ฮันส์ บลิกซ์ เสนอคณะมนตรีความมั่นคงฯ ว่า แม้ความร่วมมือของอิรักนั้น "มีอยู่" แต่มิได้ "ปราศจากเงื่อนไข" และมิได้ "ทันทีทันใด" แถลงการณ์ของอิรักเกี่ยวข้องกับอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ในขณะนั้น แต่งานที่เกี่ยวขอ้งกับการปลดอาวุธอิรักสามารถเสร็จสิ้น "ไม่ใช่ปี ไม่ใช่สัปดาห์ แต่เป็นเดือน"[15][19]

หลังการรุกราน กลุ่มศึกษาอิรัก (Iraq Survey Group) นำโดยสหรัฐสรุปว่าอิรักได้ยุติโครงการนิวเคลียร์ เคมีและชีวภาพใน พ.ศ. 2534 และไม่มีโครงการใดดำเนินอยู่ในขณะการรุกราน แต่อิรักเจตนาจะเริ่มการผลิตอีกเมื่อมาตรการคว่ำบาตรถูกยกเลิก[20] แม้จะพบเศษอาวุธเคมีที่ถูกปลดอยู่ผิดที่หรือถูกทิ้งจากสมัยก่อน พ.ศ. 2534 แต่ก็มิใช่อาวุธซึ่งเป็นเหตุผลหลักในการอ้างความชอบธรรมในการรุกราน[21] เจ้าหน้าที่สหรัฐบางคนยังกล่าวหาประธานาธิบดีอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน ว่าปิดบังและให้การสนับสนุนอัลกออิดะฮ์[22] แต่ไม่เคยพบหลักฐานเชื่อมโยงที่มีความหมายเลย[23][24] เหตุผลอื่นในการรุกรานที่ให้โดยรัฐบาลของประเทศผู้โจมตีนั้นรวมไปถึง การให้การสนับสนุนทางการเงินของอิรักแก่ครอบครัวมือระเบิดพลีชีพปาเลสไตน์[25], การละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลอิรัก[26] และความพยายามเผยแพร่ประชาธิปไตยสู่อิรัก[27][28]

การรุกรานอิรักนำไปสู่การยึดครองและการจับกุมตัวประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนในท้ายที่สุด ซึ่งภายหลังถูกพิจารณาโดยศาลอิรักและประหารชีวิตโดยรัฐบาลใหม่ของอิรัก ความรุนแรงต่อกองกำลังผสมและระหว่างกลุ่มนิกายต่าง ๆ ได้นำไปสู่การก่อความไม่สงบในอิรักในเวลาไม่นาน การต่อสู้ระหว่างกลุ่มอิรักนิกายซุนนีย์และชีอะฮ์หลายกลุ่ม และการเกิดกลุ่มแยกใหม่ของอัลกออิดะฮ์ขึ้นในอิรัก[29][30] ใน พ.ศ. 2551 ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติรายงานว่า มีประเมินผู้ลี้ภัย 4.7 ล้านคน (ประมาณ 16% ของประชากร) โดยมี 2 ล้านคนหนีออกนอกประเทศ (สถิติใกล้เคียงกับการคาดคะเนของซีไอเอ[31]) และประชาชนพลัดถิ่นในประเทศ 2.7 ล้านคน[32] ใน พ.ศ. 2550 คณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันของอิรักรายงานว่า เด็กอิรัก 35% หรือเกือบห้าล้านคน กำพร้า[33] กาชาดแถลงในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 ว่า สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในอิรักยังอยู่ในระดับวิกฤตที่สุดในโลก โดยมีชาวอิรักหลายล้านคนถูกบีบให้พึ่งพาแหล่งน้ำที่ไม่เพียงพอและคุณภาพต่ำ[34]

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551 เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐอ้างว่า ตัวบ่งชี้ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจเริ่มแสดงให้เห็นสัญญาณของการพัฒนาซึ่งพวกเขาเรียกว่าเป็นการมีชัยสำคัญและละเอียดอ่อน[35] ใน พ.ศ. 2550 อิรักอยู่ในอันดับสองของดัชนีรัฐที่ล้มเหลว แม้อันดับค่อยพัฒนาขึ้นนับแต่นั้น โดยเป็นอันดับที่ห้าในรายการ พ.ศ. 2551, ที่หกใน พ.ศ. 2552 และที่เจ็ดใน พ.ศ. 2553[36] เมื่อความเห็นสาธารณชนที่สนับสนุนให้ถอนกำลังเพิ่มขึ้นและเมื่อกองทัพอิรักเริ่มรับผิดชอบต่อความมั่นคง ชาติสมาชิกกำลังผสมก็ได้ถอนกำลังออก[37][38] ปลาย พ.ศ. 2551 รัฐบาลสหรัฐและอิรักอนุมัติความตกลงว่าด้วยสถานภาพกองกำลังซึ่งจะมีผลหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555[39] รัฐสภาอิรักยังให้สัตยาบันความตกลงกรอบยุทธศาสตร์กับสหรัฐ[40] โดยมุ่งประกันความร่วมมือในสิทธิตามรัฐธรรมนูญ การขจัดภัยคุกคาม การศึกษา[41] การพัฒนาพลังงาน และด้านอื่น ๆ[42]

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ประธานาธิบดีสหรัฐที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งใหม่ บารัก โอบามา ประกาศหน้าต่างถอนกำลังรบ 18 เดือน โดยคงทหารอย่างน้อย 50,000 นายในประเทศ "เพื่อให้การแนะนำและฝึกกำลังความมั่นคงอิรักและเพื่อจัดหาข่าวกรองและการตรวจตรา"[43][44] พลเอกเรย์ โอเดียร์โน ผู้บัญชาการระดับสูงสหรัฐในอิรัก กล่าวว่า เขาเชื่อว่าทหารสหรัฐทั้งหมดจะออกจากประเทศภายในสิ้นปี พ.ศ. 2554[45] ขณะที่กำลังสหราชอาณาจักรยุติปฏิบัติการรบเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552[46] นายกรัฐมนตรีอิรัก นูรี อัล มาลีกี ได้กล่าวว่า เขาสนับสนุนการเร่งถอนกำลังสหรัฐ[47] ในการปราศรัยที่ห้องประชุมรูปไข่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553 โอบามาประกาศ "ภารกิจการรบของอเมริกาในอิรักได้ยุติลงแล้ว ปฏิบัติการเสรีภาพอิรักสิ้นสุดแล้ว และชาวอิรักจะเป็นผู้นำความรับผิดชอบต่อความมั่นคงในประเทศของตน"[48] เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553 ชื่อปฏิบัติการการมีส่วนพัวพันในอิรักของอเมริกาเปลี่ยนจาก "ปฏิบัติการเสรีภาพอิรัก" เป็น "ปฏิบัติการอรุณใหม่" ทหารสหรัฐอีก 50,000 นายที่ยังคงอยู่ ปัจจุบันถูกกำหนดให้เป็น "กองพลน้อยแนะนำและสนับสนุน" ซึ่งมอบหมายไปยังปฏิบัติการไม่เกี่ยวข้องกับการรบ แต่ยังสามารถเปลี่ยนกลับไปปฏิบัติการรบได้หากจำเป็น กองพลน้อยการบินรบสองกองพลน้อยยังคงอยู่ในอิรักเช่นกัน[49] เดือนกันยายน พ.ศ. 2553 แอสโซซิเอตเพรสออกบันทึกภายในซึ่งเตือนผู้สื่อข่าวของตนว่า "การสู้รบในอิรักยังไม่สิ้นสุด" และ "กำลังสหรัฐยังมีส่วนในปฏิบัติการรบใกล้ชิดกับกองทัพอิรัก แม้ทางการสหรัฐจะว่า ภารกิจสู้รบของอเมริกาได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างเป็นทางการ"[50][51]

วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ประธานาธิบดีโอบามาประกาศว่า กองทัพและครูฝึกสหรัฐจะออกจากอิรักภายในสิ้นปี ทำให้ภารกิจของสหรัฐในอิรักถึงคราวสิ้นสุด[52]

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เลออน พาเนตตา ประกาศให้สงครามอิรักยุติลงอย่างเป็นทางการ ที่พิธีลดธงชาติในกรุงแบกแดด[53]

การต่อต้านสงครามอิรัก

แก้

ในเดือนกันยายน 2545 ประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ บุช และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี่ แบลร์ พยายามขอความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส จาร์ค ชีรัค และนายกรัฐมนตรีเยอรมัน เกอร์ฮาร์ด ชโรเดอร์ เป็นแกนนำคัดค้าน ซึ่งสหรัฐมีความจำเป็นในการขอมติเพราะทำให้สงครามครั้งนี้มีความชอบธรรม เหมือนกับสงครามอ่าวครั้งแรก และสงครามอัฟกานิสถานในปีก่อน นอกจากนี้ ท่าทีของสมาชิกมนตรีความมั่นคงหลายประเทศมีแนวโน้มคัดค้าน อาทิ รัสเซีย เม็กซิโก จีน และแคนนาดา เป็นต้น

ขณะเดียวกัน การต่อต้านของประชาชน เป็นไปอย่างกว้างขวาง เช่น 28 กันยายน 2545 ประชาชนในลอนดอน 400,000 คน นำโดย Stop the War Coalition ชุมนุมต่อต้านความเป็นไปได้สงครามครั้งนี้ [54] ซึ่งกระแสการต่อต้านยังเป็นไปอย่างกว้างขวาง ท่ามกลางการเคลื่อนไหวพยายามทำสงครามของสหรัฐและอังกฤษ

วันที่ 18 มกราคม 2546 ประชาชนสหรัฐได้จัดการชุมนุม นำโดย International ANSWER และ United for Peace ที่วอชิงตัน ดีซี มีผู้เข้าร่วม 300,000 – 500,000 คน และที่ซานฟรานซิสโกมีผู้เข้าร่วม 150,000 – 200,000 คน [55]

วันที่ 15 – 16 กุมภาพันธ์ 2546 ทั่วโลกได้จัดการชุมนุมต่อต้านสงครามพร้อมกัน มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 10 ล้านคน

อ้างอิง

แก้
  1. "Den 1. Golfkrig". Forsvaret.dk. 24 September 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-01-12. สืบค้นเมื่อ 1 February 2011.
  2. Elaheh Rostami-Povey, Iran's Influence: A Religious-Political State and Society in Its Region, pp. 130–154, Zed Books Ltd, 2010.
  3. "Archived copy" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 5 March 2016. สืบค้นเมื่อ 12 January 2016.{{cite web}}: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์)
  4. ดู:
  5. "Sectarian divisions change Baghdad's image". MSNBC. 2006-07-03. สืบค้นเมื่อ 2007-02-18.
  6. "U.S. says Iraq pullout won't cause dramatic violence". MSNBC. 2010-11-18. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-01. สืบค้นเมื่อ 26 November 2010.
  7. "UK 'to continue deporting failed Iraqi asylum seekers'". BBC. 2010-11-22. สืบค้นเมื่อ 26 November 2010.
  8. "A chronology of the six-week invasion of Iraq". PBS. February 26, 2004. สืบค้นเมื่อ 2008-03-19.
  9. Kevin Baker เก็บถาวร 2008-08-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน "The Quietest War: We've Kept Fallujah, but Have We Lost Our Souls?" American Heritage, Oct. 2006.
  10. Schifferes, Steve (March 18, 2003). "U.S. Names Coalition of the Willing". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2007-11-03.
  11. http://www.stripes.com/news/panetta-declares-iraq-war-end-of-mission-for-u-s-troops-1.163568
  12. Center for American Progress (January 29, 2004) "In Their Own Words: Iraq's 'Imminent' Threat" เก็บถาวร 2012-06-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน americanprogress.org
  13. Senator Bill Nelson (January 28, 2004) "New Information on Iraq's Possession of Weapons of Mass Destruction", Congressional Record
  14. Blair, Tony. (March 5, 2002) "PM statement on Iraq following UN Security Council resolution" เก็บถาวร 2010-01-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Number 10 Downing Street
  15. 15.0 15.1 Blix, H. (March 7, 2003) "Transcript of Blix's UN presentation" CNN.com
  16. Hersh, Seymour M. (May 5, 2003). Selective Intelligence, New Yorker.
  17. Pincus, Walter (2007-02-08). "Official's Key Report On Iraq Is Faulted". Washington Post. สืบค้นเมื่อ 2008-11-04.
  18. U.S. Senate Intelligence Community (June 2008): "Two Bipartisan Reports Detail Administration Misstatements on Prewar Iraq Intelligence, and Inappropriate Intelligence Activities by Pentagon Policy Office". "There is a fundamental difference between relying on incorrect intelligence and deliberately painting a picture to the American people that you know is not fully accurate." – Senator John D. (Jay) Rockefeller IV
  19. In his remarks to the UN Security Council on 14.2.2003 Hans Blix said on cooperation that "In my 27 January update to the Council, I said that it seemed from our experience that Iraq had decided in principle to provide cooperation on process, most importantly prompt access to all sites and assistance to UNMOVIC in the establishment of the necessary infrastructure. This impression remains and we note that access to sites has so far been without problems." On time remaining until the confirmation of disarmament he said "the period of disarmament through inspection could still be short if immediate, active and unconditional cooperation with UNMOVIC and IAEA were to be forthcoming." United Nations Security Council: 4707th meeting. Friday, 14 February 2003, 10 a.m., New York, New York, U.S.
  20. "Iraq Survey Group Final Report: Weapons of Mass Destruction (WMD)".
  21. Shrader, K. (June 22, 2006) "New Intel Report Reignites Iraq Arms Fight" Associated Press
  22. "Saddam's al Qaeda Connection". Weeklystandard.com. 2003-08-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-12-23. สืบค้นเมื่อ 2010-10-23.
  23. Woods, K.M. and Lacey, J. (2008) "Saddam and Terrorism: Emerging Insights from Captured Iraqi Documents," vol. 1 Institute for Defense Analyses IDA Paper P-4287, pp. ES-1
  24. Kerr, R.J., et al. (29 July 2004) "Intelligence and Analysis on Iraq: Issues for the Intelligence Community," MORI Doc. ID 1245667 (Langley, VA: Central Intelligence Agency)
  25. CNN (September 12, 2002) "White House spells out case against Iraq" เก็บถาวร 2009-06-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, "the White House released a report early Thursday, listing some of the principal accusations against Iraq and its leader ... Iraq is also accused of sheltering two Palestinian terrorist organizations, and it lists Saddam's decision in 2002 to increase from $10,000 to $25,000 the bounty paid to the families of Palestinian suicide bombers."
  26. Wolfowitz, P. (May 30, 2003)
  27. "President Discusses the Future of Iraq" The White House, February 26, 2003
  28. "Bush Sought 'Way' To Invade Iraq?" เก็บถาวร 2013-10-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 60 Minutes
  29. U.S. Defense Secretary Robert Gates, 2 Feb 2007, see "four wars" remark
  30. "CBS on civil war". CBS News. September 26, 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-05. สืบค้นเมื่อ 2011-12-17.
  31. "CIA World Factbook: Iraq". Cia.gov. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-12-24. สืบค้นเมื่อ 2011-01-15.
  32. UNHCR – Iraq: Latest return survey shows few intending to go home soon. Published April 29, 2008. Retrieved May 20, 2008.
  33. 5 million Iraqi orphans, anti-corruption board reveals English translation of Aswat Al Iraq newspaper December 15, 2007
  34. "Iraq: no let-up in the humanitarian crisis" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-09-07. สืบค้นเมื่อ 2010-10-23.
  35. "U.S. Department of Defense (June 2008): Measuring Security and Stability in Iraq" (PDF). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-25. สืบค้นเมื่อ 2010-10-23.
  36. "2010 Failed States Index - Interactive Map and Rankings". Foreign Policy. สืบค้นเมื่อ 2011-01-15.
  37. Britain's Brown visits officials, troops in Iraq. เก็บถาวร 2008-09-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน International Herald Tribune, October 2, 2007.
  38. Italy plans Iraq troop pull-out BBC March 15, 2005
  39. "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-03-25. สืบค้นเมื่อ 2011-12-17.
  40. Strategic Framework Agreement (pdf bitmap)
  41. English Language Teaching and Learning Program (U.S. State Dept.)
  42. Karadsheh, J. (November 27, 2008) "Iraq parliament OKs pact on U.S. troops' future" CNN
  43. Thomma, Steven (February 27, 2009). "Obama to extend Iraq withdrawal timetable; 50,000 troops to remain". McClatchy Newspapers. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-28. สืบค้นเมื่อ 2011-12-17.
  44. Feller, Ben (February 27, 2009). "Obama sets firm withdrawal timetable for Iraq". Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-27. สืบค้นเมื่อ 2011-12-17.
  45. Martina Stewart (2009-04-12). "General: U.S. should be out of Iraq by late 2011". Cnn.com. สืบค้นเมื่อ 2010-10-23.
  46. "UK Iraq combat operations to end". BBC News. April 30, 2009. สืบค้นเมื่อ 2009-04-30.
  47. "Iraq Welcomes Faster U.S. Withdrawal Reports". Foxnews.com. 2009-02-25. สืบค้นเมื่อ 2010-10-23.
  48. "Obama's full speech: 'Operation Iraqi Freedom is over'". MSNBC. 2010-08-31. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-01. สืบค้นเมื่อ 2010-10-23.
  49. "Combat brigades in Iraq under different name - Army News | News from Afghanistan & Iraq". Army Times. 2010-08-19. สืบค้นเมื่อ 2011-01-15.[ลิงก์เสีย]
  50. AP Issues Standards Memo: 'Combat In Iraq Is Not Over'
  51. AP Tells Its Reporters to Avoid Saying the Iraq War Is Over
  52. "Barack Obama: All US troops to leave Iraq in 2011". BBC News. 2011-10-21. สืบค้นเมื่อ 21 October 2011.
  53. Brook, Tom (15 December 2011). "U.S. war in Iraq officially ends". USA Today. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-28. สืบค้นเมื่อ 15 December 2011.
  54. thaiindy.org, ประชาชนอังกฤษหลายแสนคน เดินขบวนต่อต้านสงคราม เก็บถาวร 2012-01-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 28 กันยายน 2545
  55. thaiindy.org, ชุมนุมต่อต้านสงครามในสหรัฐ 18 มกราคม 2546 เก็บถาวร 2012-01-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 25 มกราคม 2546

ดูเพิ่ม

แก้

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้