การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2565
การอภิปรายไม่ไว้วางใจการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2565 เป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลอีก 10 คน รวม 11 คน[1] โดยได้เสนอญัตติเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2565 และสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดกรอบการอภิปรายไว้ 4 วัน คือวันที่ 19-22 กรกฎาคม และลงมติในวันที่ 23 กรกฏาคม
เบื้องหลัง
แก้การยื่นญัตติขอเปิดการอภิปราย
แก้ส่วนนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565 พรรคเพื่อไทยได้รายงานว่า ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่านและผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน ร่วมกันแถลงในการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 โดยใช้ชื่อว่า ‘ยุทธการ เด็ดหัว สอยนั่งร้าน’ เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล ต่อมา สุทิน คลังแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดมหาสารคาม ได้กล่าวถึงรัฐมนตรีที่จะถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ประกอบด้วย ‘หัวขบวน’ รัฐบาล 1 ราย ส่วน ‘นั่งร้าน’ จะมาจาก 3 พรรคการเมือง คือ พรรคภูมิใจไทย, พรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ อีก 9 นาย อย่างไรก็ตามจนกว่าจะมีการยื่นญัตติในวันที่ 15 มิถุนายน รายชื่อรัฐมนตรีจะยังไม่มีความแน่นอน[2] โดยประเด็นที่จะนำไปอภิปรายจะอยู่ในกรอบเนื้อหาดังนี้ เนื้อหามุ่งเน้นไปที่ความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฏหมาย ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม, การทุจริตต่อหน้าที่ เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง, ไม่ปฎิบัติตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา, การละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และ การทำลายประชาธิปไตย และระบบรัฐสภา[3] ทางโฆษกรัฐบาล ธนกร วังบุญคงชนะ ได้กล่าวเชิงตอบโต้ว่า "การที่ฝ่ายค้านจะสามารถเด็ดหัวนายกรัฐมนตรี และ ครม. ได้นั้น ไม่แน่ใจว่าฝ่ายค้านไปเอาความมั่นใจมาจากไหน และที่อ้างว่ามีใบเสร็จทางการเมืองที่จะชี้ให้เห็นนั้น ก็เห็นอ้างแบบนี้มาทุกครั้ง แล้วสุดท้ายก็เป็นฝ่ายค้านเองที่ถูกท่านนายกฯ และรัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกฉีกหน้ากลางสภาว่ามั่วข้อมูล ทำการบ้านแบบลวก ๆ เหมือนกลัวว่าจะไม่ได้อภิปราย"[4]
ต่อมาในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านจำนวน 7 พรรค ได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 11 คน รวมนายกรัฐมนตรี โดยมีรายละเอียดเรื่องที่จะอภิปรายตามตารางข้างล่าง[5]
ลำดับที่ | ชื่อ / ตำแหน่ง | ประเด็นการอภิปราย |
---|---|---|
1 | พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา[1] นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม |
|
2 | อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข |
|
3 | ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม |
|
4 | สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน |
|
5 | จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ |
|
6 | ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม |
|
7 | จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ |
|
8 | สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง |
|
9 | นิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย |
|
10 | พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี |
|
11 | พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย |
|
ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเศรษฐกิจไทยได้ถอนตัวจากเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และประกาศเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” โดยทางพรรคมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 16 คน ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ให้คำจำกัดความตัวเองว่าเป็น "ฝ่ายค้านอิสระ" เพราะพรรคร่วมฝ่ายค้านยังไม่ได้ตอบรับให้เข้าร่วมกิจกรรมการเมืองอย่างเป็นทางการ[7]
เนื้อหา
แก้ในวันที่ 19 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันอภิปรายวันแรก อนุทิน ชาญวีรกูล และ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูก สุทิน คลังแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย กล่าวหาว่า "ได้ร่วมกันกำหนดและจัดให้มีนโยบายกัญชาเสรีด้วยความไม่มีความสุจริตใจ นำมาซึ่งการละเมิดกติกาโลก และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ" และ "เป็นการละเมิดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ละเมิดมติของรัฐสภาไทย ซึ่งการละเมิดดังกล่าวยังเป็นการละเลยและละเว้นไม่ควบคุมกัญชาให้เป็นสิ่งที่ควรจะมีและจะเป็น"[8] นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านว่า "คำที่แถลงไว้ต่อสภาเมื่อ 25 กรกฎาคม 2562 ว่า ให้นำกัญชากัญชงไปศึกษาวิจัยให้ก่อประโยชน์เศรษฐกิจ โดยเน้นไปทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ไม่มีคำว่านันทนาการ หรือสันทนาการแม้แต่นิดเดียว" และ "การนำกัญชากัญชงไปใช้ในทางที่ผิด ไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้"[9]
ในวันที่ 20 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันอภิปรายวันที่สอง ศรัณย์ ทิมสุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเลย พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ในเรื่องที่ "ไม่สามารถแก้ไขปัญหาแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จนประชาชนได้รับความเดือดร้อน แต่กลับปกป้องความมั่นคงของรัฐบาลมากกว่า" และได้ตั้งคำถามไปยังการใช้สปายแวร์เพกาซัสนั้น ชัยวุฒิ ได้ยอมรับว่ามีการใช้สปายแวร์ดังกล่าวจริงในคดีด้านความมั่นคง-ยาเสพติด แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม[10]
ในวันที่ 21 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันอภิปรายวันที่สาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลได้ยกประเด็นกล่าวหา ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเรื่องของปมรื้อถอนสัญลักษณ์ทางประชาธิปไตยหลายประการ ซึ่งถือเป็นความพยายามลบประวัติศาสตร์ อาทิ การเปลี่ยนแปลงหน้าบันที่ว่าการอำเภอเวียงป่าเป้าหลังเก่า, หมุดคณะราษฎรที่ลานพระบรมรูปทรงม้า, อนุสาวรีย์ปราบกบฏ, อนุสาวรีย์พระยาพหลพลพยุหเสนาและอนุสาวรีย์จอมพล ป.พิบูลสงคราม และ อนุสาวรีย์จอมพล ป.พิบูลสงคราม หน้าสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ
ต่อมาในวันเดียวกัน พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายเกี่ยวกับการใช้อาวุธไซเบอร์กับประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง โดยใช้ทรัพยากรและภาษีประชาชน โดยยกตัวอย่างการใช้สปายแวร์เพกาซัสล้วงข้อมูลและสอดแนมกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง 30 รายชื่อ แม้ทางรัฐบาลอิสราเอลได้ถอนรายชื่อประเทศไทยจากประเทศที่อนุญาตให้ใช้ตั้งแต่ปี 2564 แล้วก็ตาม ต่อมามีการเปิดเผยรายชื่อนักการเมือง 5 รายที่ถูกสอดแนมด้วย ทางเดอะซิตีเซนแล็บได้รายงานอีกว่า พบหน่วยงานราชการไทย 3 หน่วยงาน ที่มีการใช้สปายแวร์ Circles คือ หน่วยข่าวกรองกองทัพบก (ตั้งแต่ปี 2562), กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ตั้งแต่ปี 2557) และ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ตั้งแต่ปี 2559) โดยทาง ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงต่อสภาว่า "ในส่วนของรัฐบาลขอยืนยันว่าไม่ได้มีนโยบายที่จะใช้สปายแวร์ ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ยืนยันว่าไม่มีนโยบาย ไม่เคยกำหนดที่จะใช้สปายแวร์หรือการข่าวที่จะไปกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป"[11]
ในวันที่ 22 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันอภิปรายวันสุดท้าย พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า "มีการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่สุจริต เที่ยงธรรม ฉ้อฉล กู้เงินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจ จัดงบประมาณโดยไม่เข้าใจปัญหาของประเทศและประชาชน ปรนเปรอกองทัพเพื่อใช้เป็นฐานค้ำจุนอำนาจของตน โดยตั้งงบประมาณกระทรวงกลาโหมสูงก่อนกระทรวงอื่น ปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่และความทุกข์ยากของประชาชน" และยังกล่าวอีกว่า หากพ้นวันที่ 24 สิงหาคม จะไม่สามารถต่ออายุเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 158 และมาตรา 264 โดยให้คำตีความไว้ว่า "การดำรงตำแหน่งของ พล.อ. ประยุทธ์ตั้งแต่ครั้งแรกต้องรวมกับการดำรงตำแหน่งครั้งหลังเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ติดต่อกันมาโดยตลอด" พร้อมระบุว่าตั้งแต่ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา "ได้กู้เงินมาแล้ว 6,000 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่าจำนวนหนี้ของรัฐบาลก่อนหน้ารวมกัน 10 ล้านล้านบาท" และ "เงินที่กู้มานั้นก็เอาไปผลาญ ไปแจกเงินให้กับประชาชนเพื่อหวังสืบทอดอำนาจ โดยนำเงินไปแจกหลายโครงการ ยกตัวอย่าง ชิม ช้อป ใช้ แจกคนละ 1,000 บาท, โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่รัฐช่วยออกส่วนลดค่าที่พัก, โครงการเที่ยวปันสุข รัฐออกค่าเดินทางให้ 40%, โครงการช้อปดีมีคืน สามารถนำใบเสร็จมาลดหย่อนภาษีวงเงินไม่เกิน 30,000 บาท, โครงการคนละครึ่ง รัฐจ่ายให้ครึ่งหนึ่งวันละไม่เกิน 150 บาท ซึ่งมองว่าไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องใช้โครงการของรัฐบาลทั้งที่ยังเป็นหนี้อยู่"[12]
ต่อมาในวันเดียวกัน เบญจา แสงจันทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อ้างอิงถึงรายงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบว่า "ภายใต้รัฐบาล คสช. มีพลเรือนถูกดำเนินคดีในศาลทหารอย่างน้อย 2,408 คน และมีผู้ถูกดำเนินคดีจากประกาศ-คำสั่ง คสช. อย่างน้อย 428 คน 67 คดี, มีผู้ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อย่างน้อย 197 คน 115 คดี, มีผู้ถูกดำเนินคดีจากมาตรา 116 อย่างน้อย 124 คน 50 คดี และมีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 อย่างน้อย 169 คน" และได้กล่วอีกว่า "ปัจจุบันมีผู้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมืองโดยไม่ได้รับการประกันตัวอย่างน้อย 30 คน จากวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ถึง 30 มิถุนายน 2565 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไปแล้วอย่างน้อย 1,832 คน โดยเป็นเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 282 ราย มีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 กว่า 200 คน"[13]
รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจ ในเรื่องของ "ตั๋วช้างภาค 2" ที่ว่า "พล.ต.ต. ‘ก’ ขณะดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองบินตำรวจ (บ.ตร.) ได้ดำเนินโครงการซ่อมบำรุงอากาศยานกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดำเนินการซ่อมและจัดหาอะไหล่ ตามงบประมาณปี 2563 จำนวนกว่า 950 ล้านบาท แต่ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน 2564 การบินไทยได้ยื่นหนังสือทวงหนี้มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จึงทำให้พบว่ากองบินตำรวจ โดย พล.ต.ต. ‘ก’ และพวก ได้สั่งจ้างสั่งซื้อเพิ่มเติมเกินกว่างบประมาณที่วางไว้ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการเป็นจำนวนถึง 2,774 ล้านบาท และกว่า 784 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซ่อมเครื่องบินเลย เช่น ซื้อถังน้ำดับไฟป่า 8 ล้านบาท หรือซื้อตะขอเกี่ยวสินค้า 6.3 ล้านบาท เป็นต้น" และมีอีกกรณีหนึ่งที่ พล.ต.ต. ‘ก’ ได้ดำเนินการทำสัญญาแลกเปลี่ยนอะไหล่อากาศยานด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง โดยรวบรวมเอาอะไหล่เก่าที่เสื่อมสภาพแล้วไปแลกกับชุดใบพัดหางเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 ชุด ซึ่งเมื่อประเมิณราคาดูแล้วสูงถึง 1,157 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าอำนาจอนุมัติวงเงินของผู้การกองบินที่ 5 ล้านบาทไว้มาก เขายังได้กล่าวอีกว่า "ต่อมาในช่วงที่ พล.ต.ต. ‘ก’ จะต้องย้ายเพื่อเปลี่ยนตำแหน่ง ได้มีการทำหนังสือกราบบังคมทูลว่า "ตนกำลังจะถูกย้ายไปอยู่หน่วยอื่น ถ้ามีพระประสงค์จะให้ปฏิบัติงานต่อ จักได้ดำเนินการต่อไป" ต่อมามีหนังสือตอบกลับจากสำนักพระราชวัง ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2563 ซึ่งตอนนั้น พล.ต.ต. ‘ก’ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการอยู่ที่สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" ทำให้รังสิมันต์ตั้งคำถามไปว่า "กรณีนี้จึงเหมือนเป็นการเอาหนังสือจากสำนักพระราชวังมาอ้าง โดยบอกว่าเพื่อวางแผนถวายความปลอดภัย แบบนี้จึงเท่ากับเป็น ‘ตั๋วช้าง’ อีกประเภทหนึ่งใช่หรือไม่"[14]
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้สรุปการอภิปรายว่า "8 ปีนับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจมาถึงวันนี้ ทำคนไทยมืด 8 ด้าน ไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน ไม่มีอนาคต ... ตอนนี้เงินเฟ้อทั้งปีจะสูงที่สุดในรอบ 24 ปี เงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 16 ปี หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ปุ๋ยแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาอาหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์" พิธายังได้ยกในเรื่องของดัชนี Death of Despair หรือความตายจากการสิ้นหวัง พบว่า "ในช่วง 5 ปีของรัฐบาลประยุทธ์ตั้งแต่ก่อนโควิด คนตายจากความสิ้นหวังเพิ่มขึ้น 34% จากปีละ 14,000 คน เป็นปีละเกือบ 20,000 คน และถ้านำมาดูในช่วงโควิด มีคนไทยตายใน 2 ปีกว่าที่ผ่านมาพบว่ามากกว่า 40,000 คน นี่คือโรคระบาดแห่งความสิ้นหวังที่มีคนตายมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเสียอีก"[15]
ผลการลงมติ
แก้ต่อไปนี้เป็นผลการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี[16]
รายนาม | ไว้วางใจ | ไม่ไว้วางใจ | งดออกเสียง | ไม่ลงคะแนน | เข้าร่วมประชุม |
ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 256 | 206 | 9 | 0 | 471 |
อนุทิน ชาญวีรกูล | 264 | 205 | 3 | 0 | 472 |
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ | 262 | 205 | 5 | 0 | 472 |
สุชาติ ชมกลิ่น | 243 | 208 | 20 | 0 | 471 |
จุติ ไกรฤกษ์ | 244 | 209 | 17 | 0 | 470 |
ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ | 249 | 205 | 18 | 0 | 472 |
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ | 241 | 207 | 23 | 0 | 471 |
สันติ พร้อมพัฒน์ | 249 | 204 | 18 | 0 | 471 |
นิพนธ์ บุญญามณี | 246 | 206 | 20 | 0 | 472 |
ประวิตร วงษ์สุวรรณ | 268 | 193 | 11 | 0 | 472 |
อนุพงษ์ เผ่าจินดา | 245 | 212 | 13 | 0 | 470 |
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 THE STANDARD TEAM. เปิด 50 ข้อกล่าวหาและพฤติการณ์ของ พล.อ. ประยุทธ์ ในศึกซักฟอกครั้งที่ 4. THE STANDARD. 18 กรกฎาคม 2022. https://thestandard.co/distrust-discussion-19-22-july-2565-2/. เข้าถึงเมื่อ 20 กรกฎาคม 2022
- ↑ ประชาไท. 'ฝ่ายค้าน' ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล 15 มิ.ย.นี้ กับ 6 ประเด็นข้อกล่าวหา. เข้าถึงเมื่อ 22 กรกฎาคม 2565
- ↑ ประชาไท. ‘ฝ่ายค้าน’ เล็งอภิปรายไม่ไว้วางใจ 'นายกฯ-รมต.' รายคน ยื่นญัตติฯ หลัง กม.ลูก 2 ฉบับผ่านวาระ 3. เข้าถึงเมื่อ 22 กรกฎาคม 2565
- ↑ ประชาไท. ‘ธรรมนัส’ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย-โฆษกรัฐบาลไม่สนยุทธการ ‘เด็ดหัว สอยนั่งร้าน’ ของฝ่ายค้าน. เข้าถึงเมื่อ 22 กรกฎาคม 2565
- ↑ ประชาไท. เปิดประเด็นไม่ไว้วางใจ 11 รมต. ตามฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายฯ. เข้าถึงเมื่อ 23 กรกฎาคม 2565
- ↑ สภาผู้แทนราษฎร. ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล. https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/download/article/article_20220719235544.pdf. เข้าถึงเมื่อ 22 กรกฎาคม 2565
- ↑ บีบีซี. (2565). อภิปรายไม่ไว้วางใจ : เศรษฐกิจไทยประกาศเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ก่อนศึกซักฟอกครั้งสุดท้ายของรัฐบาลประยุทธ์. สืบค้นเมื่อ 24-07-2022
- ↑ THE STANDARD TEAM. (2565). สุทิน ดาบแรกซักฟอกอนุทิน ล็อกเป้านโยบายกัญชาเสรี บอกขัดกติกาโลก หวั่น UN ขึ้นบัญชีไทย เสียสิทธิทางยา. สืบค้นเมื่อ 24-07-2022
- ↑ บีบีซี. (2565). อภิปรายไม่ไว้วางใจ : อนุทินชี้นโยบายกัญชาไทย “เป็นตัวของเราเอง ไม่ผิดข้อตกลง” กฎหมายโลก. สืบค้นเมื่อ 24-07-2022
- ↑ มติชน (20 July 2022). "ไม่ปลอดภัยแล้ว! "ชัยวุฒิ" รับกลางสภา ไทยใช้สปายแวร์ "เพกาซัส" แต่เป็นส่วนของฝ่ายความมั่นคง". สืบค้นเมื่อ 24 July 2022.
- ↑ บีบีซี. (2565). อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2565 : ก้าวไกล เปิดข้อมูลทุจริตก่อสร้างในกองทัพ, ชื่อนักการเมืองถูกสปายแวร์รัฐ. สืบค้นเมื่อ 24-07-2022
- ↑ THE STANDARD (22 July 2022). "เสรีพิศุทธ์ อัดประยุทธ์นักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ประชาชนคนใช้หนี้ ขยันอนุมัติงบให้กองทัพ มีสโมสรกว่า 300 แห่ง ตำรวจที่เดียวหาเงินสร้างเอง". สืบค้นเมื่อ 25 July 2022.
- ↑ THE STANDARD (22 July 2022). "พิธาชี้ 8 ปี รัฐบาลประยุทธ์ทำคนไทยมืด 8 ด้าน อัด 'เศรษฐกิจ 3 แกน' คือความกลวง-ปลอม-เปลือก". สืบค้นเมื่อ 25 July 2022.
- ↑ THE STANDARD (22 July 2022). "โรม ซักฟอกประยุทธ์ ถามเกิดตั๋วช้าง ภาค 2 หรือไม่ ชี้อนุมัติงบกลาง 937 ล้าน อุ้ม พล.ต.ต. 'ก' กลบหนี้เน่า ทุจริตกองบินตำรวจ". สืบค้นเมื่อ 25 July 2022.
- ↑ THE STANDARD (22 July 2022). "พิธาชี้ 8 ปี รัฐบาลประยุทธ์ทำคนไทยมืด 8 ด้าน อัด 'เศรษฐกิจ 3 แกน' คือความกลวง-ปลอม-เปลือก". สืบค้นเมื่อ 25 July 2022.
- ↑ "ผลอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ 13 รอดหมด 'อนุพงษ์' ได้คะแนน 'ไม่ไว้วางใจ' เยอะสุด". ประชาไท. 2022-07-23. สืบค้นเมื่อ 2022-07-23.
ก่อนหน้า | การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2565 | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีไทย สิงหาคม-กันยายน พ.ศ. 2564 | การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2565 (19-23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565) |
ยังไม่มี |