สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (ภาษาซองคา : འཇིགས་མེད་གེ་སར་རྣམ་རྒྱལ་དབང་ཕྱུག་[4]) เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก[5] ทรงได้รับการยกย่องจากชาวภูฏานรวมถึงชาวไทยส่วนใหญ่ว่ามีพระจริยวัตรที่งดงาม และเป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวภูฏาน

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก
พระมหากษัตริย์แห่งภูฏาน
ดรุก กยาลโป (ราชามังกร)
พระบรมฉายาลักษณ์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562
พระมหากษัตริย์แห่งภูฏาน
ครองราชย์16 ธันวาคม พ.ศ. 2549 – ปัจจุบัน (16 ปี 290 วัน)
ราชาภิเษก1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ก่อนหน้าสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก
มกุฎราชกุมารเจ้าชายจิกมี นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมารแห่งภูฏาน[1]
นายกรัฐมนตรี
คู่อภิเษกสมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก
พระราชบุตรเจ้าชายจิกมี นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมารแห่งภูฏาน
เจ้าชายจิกมี อุกเยน วังชุก
ภาษาทิเบตའཇིགས་མེད་གེ་སར་རྣམ་རྒྱལ་དབང་ཕྱུག
ราชวงศ์ราชวงศ์วังชุก
พระราชบิดาสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก
พระราชมารดาสมเด็จพระราชินีเชอริง ยางดน วังชุก
พระราชสมภพ21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 (43 ปี)
กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล[2][3]
ศาสนาพุทธวัชรยาน
ลายพระอภิไธย

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า จากการที่ทรงวางพระองค์อย่างเป็นกันเองในหมู่ประชาชน จึงสร้างความประทับใจแก่พสกนิกรอย่างสูง ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ต้องทรงรับพระราชภารกิจการบริหารประเทศ เนื่องจากสมเด็จพระราชบิดาได้ทรงวางระบอบปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นมาอยู่ก่อนแล้ว แต่พระองค์เองก็ยังทรงเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ในการสร้างเอกภาพและเสถียรภาพ ในประเทศที่มีประชากรเพียง 753,947 คน โดยมุ่งเน้นด้านความสุขมวลรวมของประชากรภายในประเทศเป็นสำคัญ

พระราชประวัติ แก้ไข

เสด็จพระราชสมภพเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 พระองค์เป็นพระราชโอรสใน สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก และ สมเด็จพระราชินีเชอริง ยางดน วังชุก พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งเป็นพระมเหสีองค์ที่สามในบรรดาพระมเหสีทั้งสี่พระองค์ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก มีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา ซึ่งมีพระนามว่า เจ้าหญิงอาชิ เดเชน ยังซัม และพระอนุชามีพระนามว่า เจ้าชาย ดาโช จิกมี ดอร์จิ วังชุก[6]

การศึกษา แก้ไข

เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษา พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ในระดับมัธยมศึกษาที่ คัชชิง อคาเดมี (Cushing Academy) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำสหศึกษาที่มีชื่อเสียงของรัฐแมสซาชูเซตส์ มีอายุกว่า 100 ปี และทรงศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่วิทยาลัยวีตัน (Wheaton College) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านศิลปศาสตร์ในรัฐเดียวกัน ก่อนที่จะเสด็จพระราชดำเนินมาศึกษาต่อปริญญาโท ในสาขาการทูต (Foreign Service Programme) และสาขาวิชาการเมืองที่ Magdalen College School สหราชอาณาจักร[7]

นอกจากนี้ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินแทนพระราชบิดาไปยังต่างแดนในหลายโอกาส และทรงเรียนรู้ถึงวัฒนธรรมต่างๆ รวมไปจนถึงการศึกษา และองค์กรเศรษฐกิจหลายแห่ง

การทูลเกล้าถวายปริญญา แก้ไข

  • มหาวิทยาลัยรังสิตได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แด่สมเด็จพระราชาธิบดี (เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นเจ้าชายมกุฎราชกุมาร) ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2549[8][9]
  • มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาส่งเสริมการเกษตร แด่สมเด็จพระราชาธิบดี นอกจากนี้พระองค์ยังส่งนักศึกษาและบุคคลสำคัญเข้ามาศึกษา ดูงาน และสัมมนาที่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นประจำ

เสด็จขึ้นครองราชย์ แก้ไข

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย นัมชุก พระบรมชนกนาถ ทรงสละราชสมบัติพระราชทานให้แก่เจ้าชายจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก รัชทายาท พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2549 โดยมีพระราชดำริในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย[10] และได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอย่างแรกด้วยการพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันชาติของภูฎาน หลังจากนั้นประมาณสองปี ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 พระองค์ได้ประกอบพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์อย่างเป็นทางการ ณ พระราชวังในกรุงทิมพู

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก แก้ไข

ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเข้าพระราชพิธีราชาภิเษกภายในพระราชวังทาชิโชซอง ในเมืองทิมพู โดยสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ทรงเป็นผู้ประกอบพระราชพิธี โดย พระราชทานมงกุฎไหมสีแดงดำแด่พระองค์ นอกจากนี้ยังมีนางซอนยา คานธี ประธานรัฐสภาของอินเดียเข้าร่วมในพิธีด้วย ทั้งนี้พระองค์ได้สืบบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุกด้วยพระชนมพรรษาเพียง 28 พรรษา และทรงปกครองประเทศด้วยระบอบประชาธิปไตย

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงฉลองพระองค์สีแดงทองที่เป็นชุดคลุมยาวปิดเข่าอันเรียกกันว่า "โฆ" ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติของชายชาวภูฏาน ประทับบนบัลลังก์ทองคำ พระพักตร์เคร่งขรึม แต่ก็ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยขณะทรงรับเครื่องถวายแด่สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ใหม่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยังมีพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่พสกนิกรหลายพันคนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในตอนบ่ายของวันเดียวกันว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใด" "สิ่งที่สำคัญสำหรับข้าพเจ้าคือความหวังและความมุ่งมาดปรารถนาของ ประชาชน และพระชนมายุอันยืนยาวและพระพลานามัยอันแข็งแรงสำหรับสมเด็จพระราชบิดา จิกมี ซิงเย วังชุก ของข้าพเจ้า" "ในโอกาสอันพิเศษยิ่งนี้ ขอให้ร่วมกันสวดมนต์และขออธิษฐานขอให้แสงตะวันเฉิดฉันแห่งความสุขจะสาดส่อง ลงมาที่ประเทศชาติของเราเสมอไป"

นอกจากประชาชนหลายพันคนที่มารวมตัวกันถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งประกอบพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ยังมีแขกสำคัญที่ร่วมในพิธีดังกล่าวคือ ประธานาธิบดีประติภา ปาติลแห่งอินเดีย และนางโซเนีย คานธี นักการเมืองคนสำคัญของอินเดียพร้อมด้วยบุตรธิดา เนื่องจากครอบครัวคานธีนั้นมีความสนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ภูฏาน[11][12]

ซีเอ็นเอ็น ได้รายงานข่าวการเฉลิมฉลองพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนี้ โดยระบุว่า มีการร่วมเฉลิมฉลองตามถนนหนทาง เล่นดนตรี มีการประดับประดาดอกไม้ตามศูนย์ต่างๆเพื่อแสดงการเฉลิมฉลองในโอกาสที่มีกษัตริย์พระองค์ใหม่ ตลอดจนมีการรายงานถึงความรู้สึกของพสกนิกรชาวภูฏานที่ทั้งต่างแสดงความดีใจ และสะเทือนใจในการสละราชสมบัติอย่างกะทันหันของพระราชบิดาไปพร้อมๆกัน[13]

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ได้ทรงประกาศหมั้นกับ เจตซุน เพมา ซึ่งเป็นหญิงสาวสามัญชน โดยทั้งสองอภิเษกสมรสในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตส่วนพระองค์ แก้ไข

พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสระหว่างสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งภูฏาน จัดขึ้น ณ มณฑลพูนาคา ประเทศภูฏาน[14] ทรงมีพระราชโอรส 2 พระองค์คือ เจ้าชายจิกมี นัมเกล วังชุก และ เจ้าชายจิกมี อุกเยน วังชุก

ถวายความอาลัยในหลวงรัชกาลที่ 9 แก้ไข

15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรไทย พร้อมด้วย สมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก และเจ้าชายจิกมี นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมาร เพื่อทรงร่วมพระราชพิพีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล และเสด็จพระราชดำเนินมาถวายความอาลัยในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ทรงวางพวงมาลาถวายราชสักการะ หน้าพระบรมโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงมีพระราชสาส์นถวายความอาลัยมีใจความตอนหนึ่งว่า

ทรงเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม ทรงเป็นต้นแบบ และทรงยํ้าถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ราชวงศ์ไทยและราชวงศ์ภูฏาน การเสด็จสวรรคต จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนชาวภูฏานทั่วประเทศ เสียใจอย่างยิ่ง

— สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก

นับตั้งแต่วันแรกของการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ได้ทรงนำพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ข้าราชการระดับสูง ร่วมสวดมนต์และจุดเทียนหนึ่งพันเล่ม ณ พระมหาวิหารเกนราแห่งทาชิโชซอง ในกรุงทิมพู เมืองหลวงของประเทศภูฏาน และ 7 วันต่อเนื่อง ที่วัดทั่วประเทศในภูฏาน จัดพิธีสวดมนต์ บำเพ็ญพระราชกุศล และจุดเทียน ตามขนบธรรมเนียมเพื่อร่วมถวายความอาลัย บรรยากาศในพิธีสะท้อนถึงความตั้งใจของชาวภูฏาน ทั้งเด็กนักเรียน ข้าราชการ พ่อค้าประชาชน Jitzen นักเรียนชาวภูฏาน กล่าวว่า

เธอรับรู้ตลอดมาว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ พระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักเพื่อคนไทยด้วยความรัก เธอจึกรักพระองค์ เช่นเดียวกับการรักพระมหากษัตริย์ของภูฏาน

— Jitzen

พีธีนี้ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ชาวภูฏานได้ร่วมแสดงความอาลัย ยังกลายเป็นพิธีที่มีความหมายอย่างยิ่ง สำหรับชาวไทยในภูฏาน บรรยากาศและผู้คนในพิธี เต็มไปด้วยความอบอุ่น เสมือนการปลอบประโลม โอบกอดหัวใจของชาวไทยในภูฏาน ในห่วงเวลาแห่งความสูญเสีย คนไทยในภูฏานบางคนได้มีโอกาสเข้าเฝ้า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนิน ไปร่วมสวดมนต์และบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระมหาวิหารเกนราแห่งทาชิโชซอง นอกจากภาพคุ้นตาของชาวไทยที่ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระองค์ยังเคยเสด็จพระราชดำเนินเยือน ณ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อศึกษาแนวทางพระราชดำริ การพัฒนาบนยอดดอยอินทนนท์และยอดดอยอางขาง ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำกลับไปปรับใช้บนพื้นที่ภูเขาสูง และทำการเกษตรของชาวภูฏาน นี้จึงเป็นคำตอบที่พระมหากษัตริย์แห่งภูฏาน ตลอดพสกนิกรของพระองค์ มีความรักความผูกพัน และอยู่เคียงข้างปวงชนชาวไทย ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ตลอดมา[15] [16]

พระราชกรณียกิจ แก้ไข

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เป็นหนึ่งในพระราชอาคันตุกะ ที่เสด็จทรงร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 12-13 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่กรุงเทพมหานคร ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร และเป็นพระราชอาคันตุกะที่มีพระชนมายุน้อยที่สุด ในหมู่ราชวงศ์ที่มาร่วมงาน[17]

  • เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 พระองค์เสด็จเยือนประเทศไทยอีกครั้งเพื่อเสด็จเยี่ยมชมสวนดอกไม้ของภูฏาน ในงานพืชสวนโลกที่จัดขึ้นในเชียงใหม่ และทางมหาวิทยาลัยรังสิตได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ในช่วงเวลาต่อมา[18][19]
  • ทรงร่วมลงพระนามในสนธิสัญญามิตรภาพกับประเทศอินเดียในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 แทนฉบับเดิม ซึ่งคือฉบับ พ.ศ. 2492 [20]

พระราชอิสริยยศ แก้ไข

ธรรมเนียมพระยศของ
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก
 
ตราแผ่นดิน
การทูลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
การแทนตนข้าพระพุทธเจ้า
การขานรับพระพุทธเจ้าข้า/เพคะ
  • เจ้าชาย ดาโช จิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก (พ.ศ. 25232547)
  • เจ้าชาย โชเซ เพนลป จิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมารแห่งภูฏาน (พ.ศ. 25472549)
  • สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (พ.ศ. 2549 — ปัจจุบัน)

พงศาวลี แก้ไข

อ้างอิง แก้ไข

  1. "Rspnbhutan". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2016. สืบค้นเมื่อ 23 February 2016.
  2. "I was born in Nepal: HM the King of Bhutan". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 June 2016. สืบค้นเมื่อ 8 May 2016.
  3. "Bhutanese king keen to visit Nepal". My Republica (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). Nepal Republic Media Pvt. Ltd. 16 June 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2017. สืบค้นเมื่อ 4 June 2017.
  4. "A Legacy of Two Kings". Bhutan Department of Information Technology. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-27. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  5. Das, Biswajyoti (2006-12-18). "Bhutan's new king committed to democracy". Boston Globe. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-03-12. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  6. Lawson, Alistair (2008-11-04). "Profile: Jigme Khesar Namgyel Wangchung". BBC News.
  7. "His Royal Highness Crown Prince Dasho Jigme Khesar Namgyel Wangchuck". RAOnline. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  8. Chang, Mai (2006-11-25). "Bhutan prince charms fans at floral expo". The Nation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-08. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  9. Pungkanon, Kupluthai (2006-11-27). "Prince, Thailand have mutual adoration". The Nation. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  10. "Last National Assembly session begins". Bhutan Observer. 2008-01-19. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  11. "Lavish coronation for Bhutan king". BBC. 2008-11-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  12. "Coronation fever in Bhutan as people's king bonds with subjects". 208-11-10. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  13. "Himalayan nation of Bhutan crowns new king". CNN. 2008-11-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.[ลิงก์เสีย]
  14. ภูฎานชื่นมื่นกษัตริย์จิกมีอภิเษกวันนี้[ลิงก์เสีย]
  15. [1] "กษัตริย์ภูฏาน - ในหลวง ร.9" ความผูกพันที่มากกว่ามิตรประเทศ แสงจากพ่อ น้อมศิระกราน เสด็จสู่สวรรคาลัย ออกอากาศ 15 ส.ค 2560 จากthai pbs
  16. [2] “กษัตริย์ภูฏาน – ในหลวง ร.9” ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ความผูกพันที่มากกว่ามิตรประเทศ จากsiammanussati
  17. Denyer, Simon (2008-11-05). "Bhutan's charming king emerges from father's shadow". Reuters. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  18. Chang, Mai (2006-11-25). "Bhutan prince charms fans at floral expo". The Nation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-08. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  19. Pungkanon, Kupluthai (2006-11-27). "Prince, Thailand have mutual adoration". The Nation. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  20. "Bhutan and India sign new treaty". BBC. 2007-02-08. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06.
  21. [3] เก็บถาวร 2016-11-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน “กษัตริย์จิกมี” ประกอบพิธีจุดเทียนอุทิศแด่ “ในหลวง” พร้อมรับสั่งไว้ทุกข์ทั่วภูฏาน เหล่าผู้นำโลกร่วมอาลัย จากMGR Online
  • หนังสือเจ้าชายในดวงใจ (Precious Prince of Hearts). มหาวิทยาลัยรังสิต.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้ไข

ก่อนหน้า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ถัดไป
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก    
พระมหากษัตริย์ภูฏาน
(16 ธันวาคม พ.ศ. 2549 - ปัจจุบัน)
  ยังอยู่ในราชสมบัติ