การทุจริตทางการเมือง

การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยมิชอบ

การทุจริตทางการเมือง (อังกฤษ: political corruption ภาษาปากในภาษาไทยเรียกทับศัพท์ว่า การคอร์รัปชัน) คือการใช้อำนาจทางการเมืองโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือเครือข่ายของพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยมิชอบ รูปแบบของ การทุจริต มีความหลากหลาย แต่อาจรวมถึง การติดสินบน, การล็อบบี้ (การวิ่งเต้น), การกรรโชก, การเล่นพรรคเล่นพวก, คติเห็นแก่ญาติ, การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน, การอุปถัมภ์, การใช้อิทธิพลมืด, การฉ้อราษฎร์บังหลวง และ การยักยอก การทุจริตอาจเอื้อต่อองค์กรอาชญากรรม เช่น การค้ายาเสพติด, การฟอกเงิน, การค้ามนุษย์ หรือกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งการทุจริตอาจเกิดขึ้นทั้งแบบลับ ๆ (ผิดกฎหมาย) และแบบโจ่งแจ้ง (กฎหมายไม่ได้ห้าม) ก็ได้ แต่เป็นพฤติกรรมซึ่งสาธารณชนจะไม่พอใจหรือผิดจากจารีตประเพณีนิยม เนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดกับความคาดหวังของสาธารณชน เรื่องมาตรฐานจริยธรรมและพฤติกรรมที่ดีของบุคคลสาธารณะ (ข้าราชการและนักการเมืองหรือองค์กรเอกชน) คำจำกัดความส่วนหลังนี้ เขียนไว้เพื่อเปิดช่องให้มีการตีความพฤติกรรมการทุจริตที่อาจจะแตกต่างกันในแต่ละสังคม หรือแม้แต่ในสังคมเดียวกัน

แผนที่แสดง ดัชนีการรับรู้การทุจริต ในโลกในปี 2023 คะแนนที่สูงขึ้นบ่งชี้ระดับการรับรู้การทุจริตที่ต่ำลง
  100 – 90
  89 – 80
  79 – 70
  69 – 60
  59 – 50
  49 – 40
  39 – 30
  29 – 20
  19 – 10
  9 – 0
  ไม่มีข้อมูล

เมื่อเวลาผ่านไป การทุจริตถูกนิยามแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ในบริบทง่ายๆ ขณะปฏิบัติงานให้กับรัฐบาลหรือในฐานะตัวแทน เป็นการผิดจรรยาบรรณที่จะรับของขวัญ ของขวัญฟรีใด ๆ อาจถูกตีความว่าเป็นแผนการที่จะล่อลวงผู้รับไปสู่ความลำเอียงบางอย่าง ในกรณีส่วนใหญ่ ของขวัญถูกมองว่าเป็นความตั้งใจที่จะแสวงหาผลประโยชน์บางอย่าง เช่น การเลื่อนตำแหน่งงาน การให้ทิปเพื่อให้ชนะสัญญา งาน หรือการได้รับการยกเว้นจากงานบางอย่าง ในกรณีที่พนักงานระดับล่างมอบของขวัญให้กับพนักงานอาวุโสซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการชนะความโปรดปราน[1]

การทุจริตบางรูปแบบ – ปัจจุบันเรียกว่า "การทุจริตเชิงสถาบัน"[2] – มีความแตกต่างจากการติดสินบนและการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวประเภทอื่นๆ ที่เห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น สถาบันของรัฐบางแห่งอาจดำเนินการต่อต้านผลประโยชน์ของสาธารณะอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้เงินของรัฐในทางที่ผิดเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หรือการมีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรมโดยไม่ได้รับโทษ การติดสินบนและการกระทำผิดทางอาญาโดยเปิดเผยโดยบุคคลอาจไม่จำเป็นต้องชัดเจน แต่สถาบันนั้นก็ยังคงกระทำการผิดศีลธรรมโดยรวม ปรากฏการณ์ รัฐมาเฟีย เป็นตัวอย่างของการทุจริตเชิงสถาบัน

การกระทำที่ผิดกฎหมายโดยผู้ดำรงตำแหน่งถือเป็นการทุจริตทางการเมืองก็ต่อเมื่อการกระทำนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับหน้าที่ราชการของพวกเขา กระทำภายใต้ หน้ากากของกฎหมาย หรือเกี่ยวข้องกับ การใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง กิจกรรมที่ถือเป็นการทุจริตที่ผิดกฎหมายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเทศหรือเขตอำนาจศาล ตัวอย่างเช่น แนวทางปฏิบัติทางการเงินทางการเมืองบางอย่างที่ถูกกฎหมายในที่แห่งหนึ่งอาจผิดกฎหมายในอีกที่หนึ่ง ในบางกรณี เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจกว้างขวางหรือกำหนดไว้ไม่ชัดเจน ซึ่งทำให้ยากต่อการแยกแยะระหว่างการกระทำที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย

ทั่วโลก คาดว่าการติดสินบนเพียงอย่างเดียวมีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯสหรัฐต่อปี[3] สภาวะการทุจริตทางการเมืองที่ไม่ถูกยับยั้งเรียกว่า โจราธิปไตย (Kleptocracy) ซึ่งแปลว่า "รัฐที่ปกครองโดยโจร"

การพยายามโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยสัญญาว่าจะให้ของฟรี/สิ่งอำนวยความสะดวก/ความช่วยเหลือ ฯลฯ แก่ภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง (เชื้อชาติ/ศาสนา/ระดับเศรษฐกิจ ฯลฯ) ของสังคมก็เป็นการทุจริตทางการเมืองเช่นกัน บางทีการทุจริตในระดับสูงสุดเกิดขึ้นเมื่อบ้านธุรกิจจ่ายสินบนเพื่อให้นโยบายของรัฐเอียงไปทางพวกเขา

นิยาม

แก้

การทุจริตเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ มาเกียเวลลี (Machiavelli) ผู้มีชื่อเสียงในด้านการเมือง มองว่าการเมืองมุ่งเน้นที่อำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าคุณธรรม ซึ่งเป็นมุมมองดั้งเดิมที่เห็นว่าการทุจริตเป็นการเสื่อมถอยของคุณธรรมในหมู่ผู้นำและประชาชน ในขณะที่ ฮอร์สต์-เอเบอร์ฮาร์ด ริชเตอร์ (Horst-Eberhard Richter) นักจิตวิทยาชื่อดัง มองว่าการทุจริตเป็นการกระทำที่ทำลายหลักการและคุณค่าทางการเมือง นักสังคมวิทยาและนักเศรษฐศาสตร์หลายท่าน เช่น คริสเตียน ฮอฟฟ์ลิง (Christian Höffling) และ เจ.เจ. เซนตุอิรา (J.J. Sentuira) เห็นพ้องกันว่าการทุจริตเป็นเหมือนโรคระบาดทางสังคมที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นและความศรัทธาในสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้อำนาจรัฐเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

นอกจากนี้ การทุจริตยังเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยมักเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงิน สินค้า บริการ หรืออำนาจในการตัดสินใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตัว การรับรู้ของสังคมที่มีต่อการทุจริตก็มีความแตกต่างกัน ไฮเดนไฮเมอร์ (Heidenheimer) นักวิชาการด้านการทุจริตได้แบ่งการทุจริตออกเป็นสามประเภท ได้แก่ การทุจริตสีขาว ซึ่งมักเกิดขึ้นในสังคมที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นสำคัญ และมักถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ การทุจริตสีเทา ซึ่งเป็นการทุจริตที่ผิดกฎหมาย แต่ยังไม่ถูกมองว่าร้ายแรงมากนัก และการทุจริตสีดำ ซึ่งเป็นการทุจริตที่รุนแรงและผิดกฎหมายอย่างชัดเจน นอกจากนี้ การเมืองเงา ซึ่งเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่ดำเนินการนอกเหนือจากกระบวนการทางการเมืองที่เป็นทางการ ก็เป็นอีกหนึ่งมิติของการทุจริตที่สำคัญ[4]

ผลที่ตามมา

แก้

ผลกระทบต่อการเมือง การบริหาร และสถาบัน

แก้
 
ประเทศที่มีนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้ใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของ เอกสารปานามา เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2016

การทุจริตทางการเมืองเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อประชาธิปไตย โดยบ่อนทำลายหลักการพื้นฐานของ ธรรมาภิบาล เช่น ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความเท่าเทียม การทุจริตในการเลือกตั้ง การลดความรับผิดชอบของสภานิติบัญญัติทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในตัวแทนที่ตนเลือกมา และบิดเบือนกระบวนการตัดสินใจทางการเมือง นอกจากนี้ การทุจริตในกระบวนการยุติธรรมยังทำลายหลักนิติธรรม เสียหาย เนื่องจากกฎหมายไม่ได้ถูกบังคับใช้เท่าเทียมกันทุกคน และผู้มีอำนาจสามารถใช้อิทธิพลเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ การทุจริตในการบริหารรัฐกิจ (การบริหารราชการแผ่นดิน) ส่งผลให้ประชาชนไม่ได้รับบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ และขัดต่อหลักการของ สาธารณรัฐนิยม ที่ยึดถือว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน[5]

การทุจริตทางการเมืองเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประเทศกำลังพัฒนา การทุจริตกัดเซาะความเชื่อมั่นในสถาบันของรัฐบาล ทำให้ประชาชนสูญเสียความไว้วางใจและไม่ยอมรับการปกครอง เมื่อทรัพยากรสาธารณะถูกเบี่ยงเบนไปใช้ในทางที่ผิด ประชาชนก็จะได้รับบริการสาธารณะที่คุณภาพต่ำ เช่น ถนนที่ชำรุด โรงพยาบาลที่ขาดแคลนอุปกรณ์ และระบบการศึกษาที่ล้มเหลว นอกจากนี้ การทุจริตยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้การลงทุนลดน้อยลง และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก[5] หลักฐานจากรัฐเปราะบางยังแสดงให้เห็นว่าการทุจริตและการติดสินบนส่งผลเสียต่อความไว้วางใจในสถาบันต่าง ๆ[6][7]

การทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรง การฮั้วประมูล การบิดเบือนคุณสมบัติของสินค้า (ลดเสปค) และการเรียกรับสินบน เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของการทุจริตที่ทำให้โครงการต่าง ๆ มีต้นทุนสูงขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ประชาชนต้องแบกรับภาระจากภาษีที่สูงขึ้น นอกจากนี้ การทุจริตยังทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการสาธารณะ เพราะกลุ่มที่มีอำนาจและเงินสามารถเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้ได้ง่ายกว่า[8]

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

แก้

ในภาคเอกชน การทุจริตเพิ่มต้นทุนทางธุรกิจผ่านค่าใช้จ่ายที่ผิดกฎหมาย เช่น การจ่ายสินบน ต้นทุนในการเจรจาต่อรองกับเจ้าหน้าที่รัฐ และความเสี่ยงที่จะถูกตรวจพบหรือข้อตกลงถูกละเมิด แม้ว่าบางคนอาจอ้างว่าการทุจริตช่วยลดต้นทุนโดยการหลีกเลี่ยงขั้นตอนทางราชการ แต่ความสามารถในการให้สินบนกลับกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่รัฐสร้างกฎระเบียบที่ซับซ้อนและล่าช้ามากขึ้น การยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นอย่างเปิดเผยนั้นดีกว่าการอนุญาตให้มีการทุจริตอย่างลับๆ ในกรณีที่การทุจริตทำให้ต้นทุนทางธุรกิจสูงขึ้น ก็ยังบิดเบือนกระบวนการตรวจสอบและดำเนินคดี ทำให้บริษัทที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่รัฐได้เปรียบในการแข่งขัน และส่งผลให้เกิดการสนับสนุนบริษัทที่ไม่มีประสิทธิภาพ[9]

การทุจริตสามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราภาษีที่บริษัทต้องจ่ายจริง การติดสินบนเจ้าหน้าที่สรรพากรอาจช่วยลดภาระภาษีของบริษัทได้ หากค่าใช้จ่ายในการติดสินบนต่ำกว่าภาษีที่ต้องจ่ายตามกฎหมาย[8] อย่างไรก็ตาม ในประเทศยูกันดา พบว่าการติดสินบนส่งผลเสียต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทมากกว่าการเสียภาษีตามกฎหมาย โดยการเพิ่มขึ้นของการติดสินบน 1% จะทำให้การเติบโตของบริษัทลดลง 3% ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของอัตราภาษี 1% จะทำให้การเติบโตของบริษัทลดลงเพียง 1%[10]

การทุจริตสร้างความบิดเบือนทางเศรษฐกิจในภาครัฐ โดยการเบี่ยงเบนการลงทุนสาธารณะไปสู่โครงการที่มีการให้สินบนและเงินใต้โต๊ะ เจ้าหน้าที่อาจเพิ่มความซับซ้อนทางเทคนิคของโครงการภาครัฐเพื่อเปิดช่องทางให้เกิดการทุจริตดังกล่าว ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐบิดเบือนไปจากวัตถุประสงค์เดิม[11] การทุจริตยังลดการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการก่อสร้าง สิ่งแวดล้อม หรือข้อบังคับอื่น ๆ ลดคุณภาพของบริการและโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และเพิ่มแรงกดดันด้านงบประมาณต่อรัฐบาล

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจในแอฟริกา และ เอเชียแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือรูปแบบการทุจริตที่แตกต่างกัน ในแอฟริกา การทุจริตมักเกิดขึ้นในรูปแบบของ การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากทรัพยากรของประเทศ โดยนำเงินที่ได้ไปซุกซ่อนไว้ต่างประเทศแทนที่จะนำมาลงทุนในประเทศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศไนจีเรีย ผู้นำประเทศได้ขโมยเงินจากคลังไปมากกว่า 400 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงระหว่างปี 2503 ถึง 2542[12]

นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ แอมเฮิสต์ (University of Massachusetts Amherst) ประมาณการว่าตั้งแต่ปี 2513 ถึง 2539 การไหลออกของเงินทุน จาก 30 ประเทศ ในแถบแอฟริกาใต้สะฮารา รวมเป็นเงิน 187 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมากกว่าปริมาณหนี้ต่างประเทศของประเทศเหล่านั้น[13] นักเศรษฐศาสตร์ แมนเคอร์ โอลสัน (Mancur Olson) อธิบายว่าพฤติกรรมดังกล่าวเกิดจากความไม่มั่นคงทางการเมือง เนื่องจากผู้นำคนใหม่มักยึดทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้นำคนก่อน ทำให้ผู้มีอำนาจพยายามซ่อนทรัพย์สินไว้ในต่างประเทศเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะถูกยึดทรัพย์ในอนาคต ต่างจากในเอเชีย เช่น ในยุคระเบียบใหม่ของซูฮาร์โตในอินโดนีเซีย ที่รัฐบาลมักส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาเศรษฐกิจผ่านโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย และระเบียบต่าง ๆ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

แก้
 
รายละเอียดจาก Corrupt Legislation (1896) โดย Elihu Vedder. หอสมุดรัฐสภา Thomas Jefferson Building, วอชิงตัน ดี.ซี.

ปัญหาการทุจริตมักพบเห็นได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุข ในหลายประเทศในแอฟริกาใต้สะฮารา มีการรายงานว่าเงินบริจาคจากต่างประเทศที่จัดสรรมาเพื่อสาธารณสุขจำนวนมากถูกเบี่ยงเบนไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ถึงมือผู้ป่วยตามเป้าหมาย ตามรายงานของธนาคารโลกในปี 2549 พบว่าเงินบริจาคเพื่อสุขภาพประมาณครึ่งหนึ่งไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการพัฒนาระบบสาธารณสุข หรือมอบให้กับผู้ที่ต้องการการรักษาพยาบาล[14]

แต่เงินบริจาคเหล่านั้นกลับถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การซื้อยาปลอม, การลักลอบยาไปขายในตลาดมืด หรือการจ่ายเงินให้กับผู้ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือไม่ได้รับทรัพยากรที่เพียงพอ แม้ว่าประเทศกำลังพัฒนามีเงินทุนสนับสนุนด้านสาธารณสุขเพียงพอแล้วก็ตาม[14]

การทุจริตยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยกฎหมายที่ออกมามีเจตนาเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมมักถูกละเมิดได้ง่าย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบสามารถถูกติดสินบนได้ เช่นเดียวกับกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน การให้ความคุ้มครองสหภาพแรงงาน และต่อต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก การละเมิดกฎหมายสิทธิเหล่านี้ทำให้ประเทศที่ทุจริตได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยมิชอบในตลาดต่างประเทศ

นักเศรษฐศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล อมรรตยะ เสน (Amartya Sen) สังเกตว่า "ไม่มีปัญหาเรื่องอาหารใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง" แม้ว่าภัยแล้งและภัยธรรมชาติอื่น ๆ อาจก่อให้เกิดภาวะความอดอยาก แต่การกระทำหรือความเฉยเมยของรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความรุนแรงของปัญหา และบางครั้งยังเป็นตัวตัดสินว่าจะเกิดภาวะความอดอยากขึ้นหรือไม่[15]

รัฐบาลที่มีการทุจริตสูง มีแนวโน้มสู่การกลายเป็นโจราธิปไตย (รัฐที่ปกครองโดยโจร) ซึ่งสามารถทำลาย ความมั่นคงทางอาหาร ของประเทศได้ แม้ในช่วงที่การเกษตรให้ผลผลิตดี เจ้าหน้าที่รัฐมักจะขโมยทรัพยากรของรัฐ ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย มีหลักฐานชี้ว่า ข้าราชการที่ทุจริตได้ขโมยความช่วยเหลือด้านอาหารที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไปมากกว่า 80% ซึ่งเป็นส่วนที่ควรจะมอบให้กับประชาชนยากจน ในทำนองเดียวกัน ความช่วยเหลือด้านอาหารมักถูกปล้นด้วยอาวุธโดยกลุ่มอาชญากรและผู้มีอำนาจท้องถิ่น เพื่อนำไปขายหาผลกำไร ศตวรรษที่ 20 เต็มไปด้วยตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลบางแห่งได้จงใจทำลายความมั่นคงทางอาหารของประเทศตนเอง[16]

ผลกระทบต่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

แก้

ขนาดของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อคนยากจนและภูมิภาคที่ไม่มั่นคงของโลกเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกทุจริต โดยเฉพาะความช่วยเหลือด้านอาหาร การก่อสร้าง และโครงการที่มีมูลค่าสูง[17] ความช่วยเหลือด้านอาหารอาจถูกเบี่ยงเบนไปจากผู้รับที่ควรได้รับโดยตรง หรือถูกบิดเบือนผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น การประเมิน การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย การลงทะเบียน และการแจกจ่าย เพื่อให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มได้รับประโยชน์ส่วนตัว[17]

ในภาคการก่อสร้างและที่พักอาศัย มีช่องทางมากมายให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การใช้แรงงานที่มีฝีมือต่ำกว่ามาตรฐาน การให้สินบนเพื่อแลกกับสัญญา และการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน[17] ดังนั้น ในขณะที่องค์กรช่วยเหลือมนุษยธรรมมักกังวลเรื่องการที่ความช่วยเหลือถูกเบี่ยงเบนไปยังผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจริง กลุ่มผู้รับความช่วยเหลือกลับกังวลว่าตนเองจะไม่ได้รับความช่วยเหลือเลย[17] การเข้าถึงความช่วยเหลือมักถูกจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีเส้นสาย ต้องจ่ายสินบน หรือต้องแลกด้วยผลประโยชน์ทางเพศ[17] นอกจากนี้ ยังมีการบิดเบือนข้อมูลเพื่อเพิ่มจำนวนผู้รับผลประโยชน์และเบี่ยงเบนความช่วยเหลือไปใช้ในทางที่ผิดอีกด้วย[17]

ความขัดแย้งทางอาวุธมักก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อมนุษย์ เช่น ภาวะทุพโภชนาการ การเจ็บป่วย บาดแผล การทรมาน การเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มเฉพาะ การหายตัวไป การประหารชีวิตนอกกฎหมาย และการพลัดถิ่น นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในชุมชน เช่น การทำลายพืชผลและมรดกทางวัฒนธรรม การทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล ฯลฯ[18]

ผลกระทบต่อสาธารณะสุข

แก้

การทุจริตคอร์รัปชันส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลไปจนถึงนโยบายระดับชาติ ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้ยากขึ้น ประสิทธิภาพของระบบสุขภาพขึ้นอยู่กับความโปร่งใสในการบริหารจัดการ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการดูแลผู้ป่วยอย่างทั่วถึง[19]

รากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ความโลภและช่องโหว่ในระบบ เช่น การกำกับดูแลที่ไม่เข้มงวด การจัดซื้อจัดจ้างที่ขาดความโปร่งใส และการบริหารจัดการที่บกพร่อง ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันในรูปแบบต่างๆ เช่น การยักยอกเงิน การคบคิดกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และการเลือกปฏิบัติ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีฐานะยากจน การทุจริตคอร์รัปชันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เนื่องจากปฏิเสธสิทธิในการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ต้องมีการปฏิรูประบบสุขภาพให้มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม

ผลกระทบต่อการศึกษา

แก้

การศึกษาเป็นพื้นฐานและโครงสร้างที่สังคมเปลี่ยนแปลงไปและมีการกำหนดรูปแบบความเป็นอยู่ที่ดีในแง่มุมต่างๆ การทุจริตในระดับอุดมศึกษามีอยู่ทั่วไปและเรียกร้องให้มีการแทรกแซงทันที การทุจริตที่เพิ่มขึ้นในระดับอุดมศึกษานำไปสู่ความกังวลทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นในหมู่รัฐบาล นักศึกษา และนักการศึกษา และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ผู้ที่ให้บริการในสถาบันอุดมศึกษากำลังเผชิญกับแรงกดดันที่คุกคามคุณค่าสำคัญขององค์กรอุดมศึกษาอย่างมาก การทุจริตในระดับอุดมศึกษามีอิทธิพลเชิงลบที่ใหญ่กว่า ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามส่วนตัวและการคาดการณ์ผลตอบแทน นอกจากนี้ พนักงานและนักศึกษายังพัฒนาความเชื่อที่ว่าความสำเร็จส่วนบุคคลไม่ได้มาจากการทำงานหนักและความดีความชอบ แต่มาจากการหาเสียงกับครูและการลัดขั้นตอนอื่นๆ[20]

การทุจริตคอร์รัปชันส่งผลกระทบต่อระบบการเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันอุดมศึกษาอย่างรุนแรง ทำให้การเลื่อนตำแหน่งขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่าความสามารถและผลงานจริง ส่งผลให้จำนวนอาจารย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ขาดคุณภาพ[21] กกระบวนการที่ขาดความโปร่งใสในสถาบันการศึกษาส่งผลให้บัณฑิตที่จบออกมาขาดทักษะและความรู้ที่จำเป็นต่อการทำงานจริง การทุจริตยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนามาตรฐานการศึกษาให้ทัดเทียมระดับสากล นอกจากนี้ การทุจริตทางวิชาการ เช่น การลอกเลียนผลงาน ยังส่งผลเสียต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเรียนรู้ของนักศึกษา

ยิ่งไปกว่านั้น การที่บุคคลที่มีอำนาจและอิทธิพลสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกได้โดยไม่ต้องผ่านการศึกษาในระดับปริญญาตรี ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมและลดทอนคุณภาพของการศึกษา เนื่องจากนักศึกษาเหล่านี้มักจะได้รับการอำนวยความสะดวกในการทำวิทยานิพนธ์ ทำให้ผลงานวิชาการขาดความเข้มข้นและคุณภาพ[22]

ผลกระทบด้านอื่น: ความปลอดภัยสาธารณะ สหภาพแรงงาน การทุจริตของตำรวจ ฯลฯ

แก้

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศยากจน ประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศที่กำลังเปลี่ยนผ่าน แต่ยังแพร่หลายไปถึงประเทศพัฒนาแล้วอย่างประเทศทางฝั่งตะวันตกด้วย ไม่ว่าจะเป็นในวงการสาธารณสุข ยานยนต์ การศึกษา หรือแม้แต่ในสหภาพแรงงาน ก็พบเห็นการทุจริตในรูปแบบต่างๆ มากมาย ตัวอย่างเช่น

  • การให้สินบนแก่แพทย์เพื่อข้ามคิวผ่าตัด[23]
  • การจ่ายสินบนในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่ออะไหล่รถยนต์คุณภาพต่ำ (เช่น ตัวเชื่อมต่อถุงลมนิรภัย) สินบนที่จ่ายโดยซัพพลายเออร์ให้กับผู้ผลิตเครื่องกระตุกหัวใจ (เพื่อขายตัวเก็บประจุคุณภาพต่ำ)
  • ผู้ปกครองที่ร่ำรวยที่จ่ายสินบนในรูปแบบ เงินบริจาค ผ่าน กองทุนสังคมและวัฒนธรรม ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเพื่อแลกกับที่นั่งเรียนสำหรับบุตรหลาน
  • การให้สินบนในรูปแบบการมอบประกาศนียบัตร เงิน และผลประโยชน์ทางการอื่น ๆ ที่มอบให้กับสหภาพแรงงานเพื่อแลกกับการสนับสนุนนายจ้าง

เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเกิดขึ้นได้ในทุกระดับของสังคม

การทุจริตคอร์รัปชันในรูปแบบต่างๆ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนอีกด้วย การกระทำทุจริตเหล่านี้ทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันสำคัญและความสัมพันธ์ทางสังคม

จากการศึกษาของ โอซิเปียน พบว่าชาวรัสเซียส่วนใหญ่มีความเห็นว่าประเทศของตนมีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันรุนแรง โดย 74% ระบุว่าระดับการทุจริตอยู่ในระดับสูงหรือสูงมาก และกลุ่มอาชีพที่ถูกมองว่ามีการทุจริตมากที่สุดคือ ตำรวจจราจร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และตำรวจ นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่าประชาชนจำนวนมากเคยให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่รัฐ เช่น บุคลากรทางการแพทย์และครูบาอาจารย์ การทุจริตคอร์รัปชันในวงกว้างส่งผลเสียต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของรัสเซีย เนื่องจากระบบที่ไม่โปร่งใสทำให้บุคลากรที่มีความสามารถไม่สามารถก้าวหน้าได้อย่างเท่าเทียม และในที่สุดก็ส่งผลกระทบต่อผลิตภาพโดยรวมของประเทศ[24]

การทุจริตคอร์รัปชันส่งผลกระทบต่อบุคลากรและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับวงการกีฬาทุกระดับ ตั้งแต่กรรมการ ผู้เล่น บุคลากรทางการแพทย์ ไปจนถึงสมาชิกสหพันธ์กีฬาและคณะกรรมการระหว่างประเทศที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการแข่งขัน

นอกจากนี้ การทุจริตยังแผ่ขยายไปถึงองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่องค์กรทางศาสนา

ในความเป็นจริงแล้ว ขอบเขตระหว่างการทุจริตในภาครัฐและภาคเอกชนนั้นค่อนข้างเลือนลาง และการต่อต้านการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีกฎหมายและมาตรการที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน เพื่อป้องกันช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่การทุจริต

ประเภท

แก้

การให้สินบน

แก้
 
นักวิ่งเต้นชาวอเมริกัน และนักธุรกิจ แจ็ก อับรามอฟฟ์ (Jack Abramoff) เป็นศูนย์กลางของการสืบสวนการทุจริตอย่างกว้างขวาง

ในบริบทของการทุจริตทางการเมือง การติดสินบนอาจเกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเพื่อแลกเปลี่ยนกับการใช้อำนาจหน้าที่ของเขา การติดสินบนต้องมีผู้เข้าร่วมสองฝ่าย คือ ผู้ให้สินบน และผู้รับสินบน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจเริ่มต้นข้อเสนอทุจริต ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ศุลกากรอาจเรียกรับสินบนเพื่อปล่อยสินค้าที่ได้รับอนุญาต (หรือไม่ได้รับอนุญาต) หรือผู้ลักลอบขนของเถื่อนอาจเสนอสินบนเพื่อขอผ่านทาง ในบางประเทศ วัฒนธรรมการทุจริตขยายไปถึงทุกแง่มุมของชีวิตสาธารณะ ทำให้บุคคลทั่วไปดำเนินชีวิตได้ยากลำบากอย่างยิ่งโดยไม่ต้องพึ่งพาการติดสินบน นอกจากนี้ อาจมีการเรียกรับสินบนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำในสิ่งที่เขาได้รับค่าจ้างให้ทำอยู่แล้ว หรืออาจถูกเรียกร้องเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงกฎหมายและข้อบังคับ ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากบทบาทในการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเงินส่วนตัวแล้ว การติดสินบนยังใช้เพื่อจงใจและมุ่งร้ายที่จะก่อความเสียหายให้กับผู้อื่น (เช่น ไม่มีแรงจูงใจทางการเงิน) ในประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ ประชากรมากถึงครึ่งหนึ่งจ่ายสินบนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา[25]

คณะมนตรีแห่งยุโรป แยกการติดสินบนเชิงรุกและเชิงรับออกจากกัน และกำหนดให้เป็นความผิดแยกต่างหาก:

  • การติดสินบนเชิงรุก สามารถกำหนดได้ว่าเป็น "การให้สัญญา เสนอ หรือให้โดยตรงหรือโดยอ้อมจากบุคคลใดๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อตนเองหรือเพื่อผู้อื่น เพื่อให้เขาหรือเธอปฏิบัติหรือละเว้นจากการปฏิบัติตามหน้าที่ของตน" (มาตรา 2 ของอนุสัญญากฎหมายอาญาว่าด้วยการทุจริต (ETS 173))[26] ของ คณะมนตรีแห่งยุโรป)
  • การติดสินบนเชิงรับ สามารถกำหนดได้ว่าเป็น "การร้องขอหรือรับโดยตรงหรือโดยอ้อมจากบุคคลใด ๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม เพื่อตนเองหรือเพื่อผู้อื่น หรือการยอมรับข้อเสนอหรือคำมั่นสัญญาของประโยชน์ดังกล่าว เพื่อให้เขาหรือเธอปฏิบัติหรือละเว้นจากการปฏิบัติตามหน้าที่ของตน" (มาตรา 3 ของอนุสัญญากฎหมายอาญาว่าด้วยการทุจริต (ETS 173))[26]

การแยกประเภทความผิดดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การกระทำในขั้นตอนแรกของการติดสินบน เช่น การเสนอ หรือการให้สัญญา ถือเป็นความผิดทางอาญาไปโดยทันที นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังสังคมว่า การกระทำทุจริตในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ การแยกประเภทความผิดดังกล่าวยังช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินคดี เนื่องจากไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่ามีการตกลงกันอย่างเป็นทางการระหว่างผู้ให้และผู้รับสินบนเสมอไป เพราะในหลายกรณี การติดสินบนอาจเกิดขึ้นจากความเข้าใจร่วมกัน เช่น การจ่ายสินบนเพื่อแลกกับการอนุมัติใบอนุญาตก่อสร้าง อนุสัญญากฎหมายแพ่งว่าด้วยการทุจริต (ETS 174) มาตรา 3[27] กำหนดความหมายของ "การทุจริต" ว่า หมายถึง การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการให้หรือรับสินบนหรือประโยชน์อื่นใดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เหมาะสม

การซื้อขายอิทธิพล

แก้
 
นักปฏิรูปเช่น โจเซฟ เคปเลอร์ (Joseph Keppler) ชาวอเมริกัน ได้พรรณนาถึงวุฒิสภาว่าถูกควบคุมโดยถุงเงินยักษ์ ซึ่งเป็นตัวแทนของทรัสต์และการผูกขาดทางการเงินของประเทศ

การซื้อขายอิทธิพล หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งใช้อิทธิพลของตนที่มีต่อกระบวนการตัดสินใจ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์แก่บุคคลอื่น โดยมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ตอบแทน ซึ่งแตกต่างจากการติดสินบนตรงที่มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง การแยกแยะระหว่างการซื้อขายอิทธิพลกับการวิ่งเต้นทั่วไปอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากทั้งสองมีลักษณะคล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม การซื้อขายอิทธิพลมักเกี่ยวข้องกับการใช้ "อิทธิพลที่ไม่เหมาะสม" เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น การที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจใช้ตำแหน่งของตนในการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเงิน หรือการที่กลุ่มธุรกิจจ้างนักวิ่งเต้นเพื่อแทรกแซงกระบวนการตัดสินใจของรัฐบาล อนุสัญญาฯ ETS 173 มาตรา 12 ของคณะมนตรีแห่งยุโรป ได้กำหนดนิยามของ "อิทธิพลที่ไม่เหมาะสม" ไว้ชัดเจน[26]

การอุปถัมภ์

แก้
 
ประธานาธิบดีคนที่หกของ สหรัฐอเมริกา จอห์น ควินซี อดัมส์ "การต่อรองที่ทุจริต" ในปี ค.ศ. 1824 เป็นตัวอย่างของการอุปถัมภ์

การอุปถัมภ์ หมายถึงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สนับสนุน ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งโดยพิจารณาจากความภักดีมากกว่าความสามารถ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการทุจริตหากส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรหรือขัดต่อหลักการของความเป็นธรรม ในหลายประเทศ การอุปถัมภ์เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระบอบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น ในอดีตของอิรักภายใต้การปกครองของซัดดัม ฮุสเซน หรือในสหภาพโซเวียต เจ้าหน้าที่รัฐส่วนใหญ่จะถูกคัดเลือกจากกลุ่มคนที่สนับสนุนระบอบการปกครองเพื่อแลกกับผลประโยชน์ต่าง ๆ ปรากฏการณ์เดียวกันนี้ยังพบเห็นได้ในประเทศยุโรปตะวันออกหลายประเทศ เช่น โรมาเนีย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมักมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงบุคลากรในภาครัฐอย่างกว้างขวาง การปฏิบัติเช่นนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรเท่านั้น แต่ยังเป็นการบ่อนทำลายหลักการของความโปร่งใสและความเป็นธรรมในระบบราชการอีกด้วย[28]

การเล่นพรรคเล่นพวกและคติเห็นแก่ญาติ

แก้

การเล่นพรรคเล่นพวกหรือคติเห็นแก่ญาติ (การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนใกล้ชิด) เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์ของกลุ่มคนบางกลุ่ม โดยอาจเกี่ยวข้องกับการติดสินบนหรือการเลือกปฏิบัติ เช่น การจ้างงานบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอแต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ รูปแบบการเล่นพรรคเล่นพวกมีหลากหลาย ตั้งแต่ระดับที่รุนแรง เช่น การที่รัฐบาลถูกครอบงำโดยกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว อย่างที่เคยเกิดขึ้นในเกาหลีเหนือ หรือซีเรีย ไปจนถึงระดับที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น การสร้างเครือข่ายเฉพาะกลุ่มในองค์กร โดยรับเฉพาะผู้ที่มีความสัมพันธ์หรือภูมิหลังคล้ายคลึงกันเข้ามาทำงาน การใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อทำร้ายศัตรูทางการเมืองก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการเล่นพรรคเล่นพวก เช่น การกลั่นแกล้งนักข่าวหรือผู้ที่วิจารณ์รัฐบาลโดยใช้ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอีกด้วย

Gombeenism และ parochialism

แก้
 
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต

Gombeenism อธิบายถึงพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์และเน้นผลประโยชน์ส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเงิน ส่วน parochialism หรือการเมืองท้องถิ่นนิยม หมายถึงการให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของท้องถิ่นมากเกินไปจนละเลยผลประโยชน์ของชาติ[29][30][31][32] เช่น ในบริบทของการเมืองไอร์แลนด์ พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายนิยม มักใช้คำเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อวิพากษ์วิจารณ์พรรคการเมืองกระแสหลัก และจะอ้างถึงกรณีต่าง ๆ ของ การทุจริตในไอร์แลนด์ เช่น วิกฤตการณ์การธนาคารในปี 2008 ซึ่งพบหลักฐานการติดสินบน การเล่นพรรคเล่นพวก และการสมรู้ร่วมคิดในวงกว้าง นักการเมืองบางคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในบริษัทเอกชนหลังจากพ้นจากตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้อิทธิพลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

การโกงการเลือกตั้ง

แก้

การโกงการเลือกตั้ง การกระทำที่ผิดกฎหมายเพื่อแทรกแซงกระบวนการการเลือกตั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบิดเบือนผลการนับคะแนนเสียงให้เป็นไปตามที่ต้องการ อาจทำได้โดยการเพิ่มคะแนนให้แก่ผู้สมัครที่ต้องการสนับสนุน ลดคะแนนให้แก่คู่แข่ง หรือทั้งสองอย่างพร้อมกัน การกระทำดังกล่าวเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การทุจริตการเลือกตั้ง วิธีการโกงการเลือกตั้งมีหลากหลาย เช่น การปลอมแปลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การข่มขู่คุกคามผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การแทรกแซงระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการนับคะแนน หรือการนับคะแนนเสียงอย่างไม่ถูกต้อง

การยักยอก

แก้
 
อดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย นาจิบ ราซัก (Najib Razak) ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีทุจริตเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาว 1MDB หลายพันล้านดอลลาร์[33][34][35] ปัจจุบันเขากำลังรับโทษอยู่ในเรือนจำคาจัง[36]

การยักยอกคือการกระทำที่ผิดกฎหมายโดยการนำทรัพย์สินของผู้อื่นที่อยู่ในการดูแลของตนไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรัพย์สินนั้นเป็นของรัฐหรือองค์กรสาธารณะ การยักยอกมักเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงและการทุจริต ตัวอย่างของการยักยอก เช่น การที่เจ้าหน้าที่รัฐนำเงินงบประมาณไปใช้ส่วนตัว การที่พนักงานในบริษัทเบิกจ่ายเงินเกินจริง หรือการที่ผู้จัดการบริษัทรายงานผลประกอบการที่ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อซ่อนการขาดทุน การยักยอกในรูปแบบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การสร้างโครงการที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมาเพื่อเบิกจ่ายเงิน หรือการใช้ทรัพยากรขององค์กรเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน การยักยอกส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของรัฐและลดความเชื่อมั่นของประชาชนในสถาบันต่าง ๆ[37]

เงินใต้โต๊ะ

แก้

เงินใต้โต๊ะ คือ เงินสินบนที่บุคคลในตำแหน่งหน้าที่ได้รับจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น การให้สัมปทานงานโครงการรัฐแก่บริษัทเอกชนโดยไม่ผ่านการประมูลอย่างโปร่งใส หรือการออกคำพิพากษาที่เอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง

ตัวอย่างเช่น นักการเมืองอาจรับเงินสินบนจากผู้รับเหมาเพื่อให้ได้งานโครงการก่อสร้าง หรือผู้พิพากษาอาจได้รับเงินสินบนเพื่อตัดสินคดีให้เป็นไปตามที่ต้องการของผู้ให้สินบน เงินสินบนนี้มักจะถูกซ่อนเร้นและไม่ปรากฏในเอกสารทางการใดๆ

การให้และรับเงินใต้โต๊ะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและเป็นการคอร์รัปชัน ซึ่งส่งผลเสียต่อสังคมและเศรษฐกิจ เพราะทำให้การบริหารจัดการภาครัฐขาดความโปร่งใสและเป็นธรรม

พันธมิตรที่ไม่บริสุทธิ์

แก้

พันธมิตรที่ไม่บริสุทธิ์ หมายถึงความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มบุคคลหรือองค์กรที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวในระยะสั้น ซึ่งมักจะซ่อนเร้นและไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ เช่น การที่กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่พรรคการเมือง เพื่อแลกกับนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของตน พันธมิตรที่ไม่บริสุทธิ์นี้แตกต่างจากการอุปถัมภ์ทั่วไปตรงที่มักมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่ขัดต่อประโยชน์สาธารณะมากขึ้น ธีโอดอร์ รูสเวลต์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เคยกล่าวถึงพันธมิตรที่ไม่บริสุทธิ์นี้ว่า:

"เพื่อทำลายรัฐบาลที่มองไม่เห็นนี้ เพื่อยุบ พันธมิตรที่ไม่บริสุทธิ์ ระหว่างธุรกิจที่ทุจริตและการเมืองที่ทุจริต เป็นภารกิจแรกของรัฐบุรุษในยุคนี้" – 1912 แพลตฟอร์ม พรรคก้าวหน้า (สหรัฐอเมริกา, 1912) ซึ่งรูสเวลต์[38] และอ้างอีกครั้งในอัตชีวประวัติของเขา[39] ซึ่งเขาเชื่อมโยง ทรัสต์ และ การผูกขาด (ภาษีน้ำตาล สแตนดาร์ดออยล์ ฯลฯ) กับ วูดโรว์ วิลสัน โฮเวิร์ด แทฟต์ และส่งผลให้ทั้งสองพรรคการเมืองสำคัญ

การมีส่วนร่วมในอาชญากรรม

แก้
 
ประธานาธิบดีของมอนเตเนโกร มิโล ดูคาโนวิช (Milo Đukanović) มักถูกอธิบายว่ามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับ มาเฟียมอนเตเนโกร[40]

ตัวอย่างของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างองค์กรอาชญากรรมกับรัฐบาลสามารถพบได้ในเซี่ยงไฮ้ช่วงทศวรรษ 1920 และ 1930 หวงจินหรง (Huang Jinrong) ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าตำรวจในเขตเช่าของฝรั่งเศสในขณะนั้น ก็เป็นหัวหน้าแก๊งอาชญากรรมที่มีอิทธิพลไปพร้อมกัน เขาได้ร่วมมือกับตู้เยว่เฉิง (Du Yuesheng) หัวหน้าแก๊งเขียว (Green gang) ความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้ธุรกิจผิดกฎหมายอย่างบ่อนการพนัน โสเภณี และการขู่กรรโชกของแก๊งดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

ในอีกตัวอย่างหนึ่ง สหรัฐอเมริกาเคยกล่าวหาว่ารัฐบาลของ มานูเอล โนริเอกา ใน ปานามา ว่าเป็น "โจราธิปไตย" ที่แสวงหาผลประโยชน์จากการค้ายาเสพติดที่ผิดกฎหมาย[41] และสุดท้ายสหรัฐฯ ก็ได้บุกปานามาเพื่อจับกุมโนริเอกา เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างอาชญากรรมและอำนาจทางการเมือง

ปัจจัยที่เอื้อต่อการทุจริต

แก้

การศึกษาหลายชิ้นพบว่าการทุจริตทางการเมืองมักจะก่อให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ เมื่อมีการเปิดโปงการทุจริตในส่วนใดส่วนหนึ่ง มักจะนำไปสู่การค้นพบการทุจริตในส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติม[42]

มีการโต้แย้ง ว่าเงื่อนไขต่อไปนี้เอื้อต่อการทุจริต:

  • การขาดข้อมูล
  • การขาดการควบคุมรัฐบาล
    • การขาดสังคมพลเมืองและ องค์การนอกภาครัฐ ที่ตรวจสอบรัฐบาล
    • ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมักขาดข้อมูลและความรู้ที่เพียงพอเกี่ยวกับนโยบายและผลงานของนักการเมือง ทำให้การตัดสินใจเลือกตั้งขาดประสิทธิภาพ
    • ระบบราชการที่อ่อนแอ และขาดการปฏิรูป ทำให้เกิดช่องว่างให้เกิดการทุจริตและประพฤติมิชอบ
    • หลักนิติธรรมที่อ่อนแอ
    • นักกฎหมายที่อ่อนแอ
    • ความเป็นอิสระของตุลาการที่อ่อนแอ
    • การขาดกลไกคุ้มครองผู้เปิดโปงการทุจริต
    • การขาดระบบการประเมินผลและการเปรียบเทียบที่มีประสิทธิภาพของภาครัฐ นั่นคือการประเมินขั้นตอนอย่างละเอียดอย่างต่อเนื่องและการเปรียบเทียบกับผู้อื่นที่ทำสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ในรัฐบาลเดียวกันหรือรัฐบาลอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบเทียบกับผู้ที่ทำงานได้ดีที่สุด องค์กร Ciudadanos al Dia ของเปรูได้เริ่มวัดผลและเปรียบเทียบความโปร่งใส ต้นทุน และประสิทธิภาพในหน่วยงานราชการต่างๆ ในเปรู เป็นประจำทุกปีจะมอบรางวัลแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดซึ่งได้รับความสนใจจากสื่ออย่างกว้างขวาง สิ่งนี้ได้สร้างการแข่งขันระหว่างหน่วยงานราชการเพื่อปรับปรุง[46]
    • การใช้เงินสดในการทำธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ ทำให้การตรวจสอบและติดตามการใช้จ่ายเป็นไปได้ยากและเปิดช่องให้เกิดการทุจริต
    • การรวมศูนย์อำนาจในการบริหารจัดการงบประมาณ ตัวอย่างเช่น หากเงิน 1,000 ดอลลาร์ถูกยักยอกจากหน่วยงานท้องถิ่นที่มีเงินทุน 2,000 ดอลลาร์ จะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าจากหน่วยงานระดับชาติที่มีเงินทุน 2,000,000 ดอลลาร์ ดู หลักการแห่งการพึ่งพาตนเอง
    • โครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ขาดการตรวจสอบและติดตามผล
    • จ่ายเงินต่ำกว่าสัดส่วนของประชากรโดยเฉลี่ย
    • ระบบการขอใบอนุญาตที่ซับซ้อนและไม่โปร่งใส เช่น ใบอนุญาตนำเข้า ส่งเสริมการติดสินบนและเงินใต้โต๊ะ
    • การหมุนเวียนบุคลากรไม่บ่อยเพียงพอ อาจสร้างความสัมพันธ์ภายในและภายนอกรัฐบาล ซึ่งส่งเสริมและช่วยปกปิดการทุจริตและการเล่นพรรคเล่นพวก การหมุนเวียนเจ้าหน้าที่รัฐบาลไปยังตำแหน่งและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันอาจช่วยป้องกันสิ่งนี้ได้ ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนในหน่วยงานราชการของฝรั่งเศส (เช่น เหรัญญิก-ผู้จ่ายเงินทั่วไป) ต้องหมุนเวียนทุกๆ สองสามปี
    • การใช้เงินจำนวนมากในการรณรงค์ทางการเมือง โดยมีค่าใช้จ่ายเกินกว่าแหล่งเงินทุนทางการเมืองปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับทุนจากเงินของผู้เสียภาษี
    • การผูกขาดอำนาจทางการเมืองในครอบครัวเดียว การขาดกฎหมายที่ห้ามและจำกัดจำนวนสมาชิกในครอบครัวเดียวกันให้อยู่ในตำแหน่ง
    • การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการภาครัฐช่วยลดโอกาสในการเกิดการทุจริต ตัวอย่างเช่น การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อส่งข้อมูลที่จำเป็น เช่น ใบสมัครและแบบฟอร์มภาษี แล้วประมวลผลด้วยระบบคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ ซึ่งอาจช่วยเร่งความเร็วในการประมวลผลและลดข้อผิดพลาดของมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจ ดู รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
    • รายได้จากทรัพยากรธรรมชาติมหาศาลหากไม่ได้ถูกจัดการอย่างโปร่งใส[47] (ดู คำสาปทรัพยากร)
    • สงครามและความขัดแย้งในรูปแบบอื่น ๆ สัมพันธ์กับการพังทลายของ ความมั่นคงของประชาชน
  • สภาพสังคม
    • กลุ่มคนที่เห็นแก่ตัวและ "เครือข่ายเด็กเก่า"
    • โครงสร้างทางสังคมที่เน้นครอบครัวและตระกูล มีประเพณีของ การเล่นพรรคเล่นพวก/การเลือกที่รักมักที่ชังเป็นที่ยอมรับ
    • เศรษฐกิจของขวัญ เช่น ระบบ blat ของสหภาพโซเวียต เกิดขึ้นใน เศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลาง ของคอมมิวนิสต์
    • การขาด การรู้หนังสือ และ การศึกษา ในหมู่ประชากร
    • การเลือกปฏิบัติ และ การกลั่นแกล้ง บ่อยครั้งในหมู่ประชากร
    • ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชนเผ่า ให้ผลประโยชน์แก่กลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่ม ตัวอย่างเช่น ในระบบการเมืองของอินเดีย เป็นเรื่องปกติที่ความเป็นผู้นำของพรรคระดับชาติและระดับภูมิภาคจะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น[48][49] สร้างระบบที่ ครอบครัวทางการเมือง ถือศูนย์กลางอำนาจ ตัวอย่างบางส่วนคือพรรค Dravidian ส่วนใหญ่ของอินเดียตอนใต้ และ ตระกูลเนห์รู-คานธี ของ พรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสองพรรคการเมืองหลักในอินเดีย
    • การขาดกฎหมายที่เข้มงวดซึ่งห้ามสมาชิกในครอบครัวเดียวกันลงสมัครรับเลือกตั้งและดำรงตำแหน่ง เช่นเดียวกับในอินเดีย ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นมักจะแข่งขันกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวที่มีอำนาจเดียวกันโดยยืนอยู่ในพรรคตรงข้าม เพื่อที่ว่าใครก็ตามที่ได้รับเลือกตั้ง ครอบครัวนั้นๆ จะได้รับประโยชน์อย่างมาก

สื่อ

แก้

Thomas Jefferson สังเกตเห็นแนวโน้มของ "เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลทุกคน ... ที่จะสั่งการตามอำเภอใจในเสรีภาพและทรัพย์สินของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่มีที่ฝากที่ปลอดภัย [สำหรับเสรีภาพและทรัพย์สิน] ... หากปราศจากข้อมูล ในกรณีที่สื่อมวลชนมีอิสระ และทุกคนสามารถอ่านได้ ทุกอย่างปลอดภัย"

งานวิจัยล่าสุดสนับสนุนคำกล่าวอ้างของเจฟเฟอร์สัน Brunetti และ Weder พบ "หลักฐานของความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างเสรีภาพสื่อมวลชนที่มากขึ้นและการทุจริตที่น้อยลงในกลุ่มประเทศต่างๆ จำนวนมาก" พวกเขายังนำเสนอ "หลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าทิศทางของสาเหตุมาจากเสรีภาพสื่อมวลชนที่สูงขึ้นไปสู่การทุจริตที่ลดลง"[50] แอดเซรา (Adserà), โบซ์ (Boix) และเพย์น (Payne) พบว่าการเพิ่มขึ้นของผู้อ่านหนังสือพิมพ์นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของ ความรับผิดชอบทางการเมือง และการทุจริตที่ลดลงในข้อมูลจากประมาณ 100 ประเทศและจากรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา[51]

สไนเดอร์ (Snyder) และ สตรอมเบิร์ก (Strömberg) พบว่า "ความไม่ลงรอยกันระหว่างตลาดหนังสือพิมพ์และเขตการเมืองทำให้การรายงานข่าวทางการเมืองลดลง ... สมาชิกสภาคองเกรสที่ได้รับความคุ้มครองจากสื่อท้องถิ่นน้อยกว่า ทำงานเพื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งน้อยลง: พวกเขามีน้อย โอกาสที่จะยืนเป็นพยานต่อหน้าการพิจารณาของรัฐสภา ... . การใช้จ่ายของรัฐบาลกลางต่ำกว่าในพื้นที่ที่มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับสมาชิกสภาคองเกรสในท้องถิ่นน้อยกว่า"[52] ชูลโฮเฟอร์-โวห์ล (Schulhofer-Wohl) และ การ์ริโด้ (Garrido) พบว่าในปีหลังจาก Cincinnati Post ปิดตัวลงในปี 2007 "มีผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งในเทศบาลน้อยลงในเขตชานเมืองของรัฐเคนตักกี้ที่ต้องพึ่งพา Post มากที่สุด ผู้ดำรงตำแหน่งมีแนวโน้มที่จะชนะการเลือกตั้งอีกครั้งมากขึ้น และจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งและการใช้จ่ายในการรณรงค์ลดลง[53]

การวิเคราะห์วิวัฒนาการของสื่อมวลชนใน สหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง พบผลลัพธ์ที่หลากหลายจากการเติบโตของอินเทอร์เน็ต: "การปฏิวัติดิจิทัลเป็นผลดีต่อเสรีภาพในการแสดงออก [และ] ข้อมูล [แต่] มีผลกระทบต่อเสรีภาพของสื่อมวลชน": สิ่งนี้ได้รบกวนแหล่งเงินทุนแบบดั้งเดิม และรูปแบบใหม่ของวารสารศาสตร์ทางอินเทอร์เน็ตได้เข้ามาแทนที่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของสิ่งที่สูญเสียไป[54]

การตอบสนองของสื่อต่อเหตุการณ์หรือรายงานของผู้แจ้งเบาะแส และต่อเรื่องที่ก่อให้เกิดความสงสัยในกฎหมายและรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้น แต่อาจไม่ใช่เหตุการณ์ของผู้แจ้งเบาะแสในทางเทคนิค ถูกจำกัดโดยความแพร่หลายของ ความถูกต้องทางการเมือง และ รหัสการพูด ในหลายประเทศตะวันตก ในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออก รหัสการพูด ที่บังคับใช้โดยรัฐจำกัดหรือในมุมมองของพวกเขา ช่องทางความพยายามของสื่อและภาคประชาสังคมในการลดการทุจริตของภาครัฐ

ขนาดของภาครัฐ

แก้

การใช้จ่ายภาครัฐที่กว้างขวางและหลากหลายนั้น มีความเสี่ยงโดยธรรมชาติต่อการเล่นพรรคเล่นพวก เงินใต้โต๊ะ และการยักยอกทรัพย์ กฎระเบียบที่ซับซ้อนและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่โดยพลการและไม่มีผู้ดูแลทำให้ปัญหาพอกพูนขึ้น นี่เป็นข้อโต้แย้งหนึ่งสำหรับ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และ การยกเลิกกฎระเบียบ ฝ่ายตรงข้ามของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมองว่าข้อโต้แย้งนี้เป็นอุดมการณ์ ข้อโต้แย้งที่ว่าการทุจริตจำเป็นต้องเกิดขึ้นจากโอกาสจะอ่อนแอลงโดยการมีอยู่ของประเทศที่มีการทุจริตต่ำถึงไม่มีเลย แต่มีภาครัฐขนาดใหญ่ เช่น ประเทศนอร์ดิก[55] ประเทศเหล่านี้ได้คะแนนสูงใน ดัชนีความสะดวกในการทำธุรกิจ เนื่องจากกฎระเบียบที่ดีและมักจะเรียบง่าย และมี หลักนิติธรรม ที่มั่นคง ดังนั้น เนื่องจากไม่มีการทุจริตตั้งแต่แรก พวกเขาจึงสามารถดำเนินงานภาครัฐขนาดใหญ่ได้โดยไม่ก่อให้เกิดการทุจริตทางการเมือง หลักฐานล่าสุดที่คำนึงถึงทั้งขนาดของรายจ่ายและความซับซ้อนของกฎระเบียบพบว่าประชาธิปไตยที่มีรายได้สูงที่มีภาครัฐที่กว้างขวางกว่านั้นมีระดับการทุจริตที่สูงขึ้นจริง[5] เช่นเดียวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ของรัฐบาล การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เช่น การขายทรัพย์สินของรัฐบาล ก็มีความเสี่ยงต่อการเล่นพรรคเล่นพวกเป็นพิเศษ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในรัสเซีย ละตินอเมริกา และเยอรมนีตะวันออก มาพร้อมกับการทุจริตขนาดใหญ่ระหว่างการขายบริษัทของรัฐ ผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางการเมืองได้รับความมั่งคั่งอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งทำให้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในภูมิภาคเหล่านี้เสื่อมเสียชื่อเสียง ในขณะที่สื่อรายงานอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการทุจริตครั้งใหญ่ที่มาพร้อมกับการขาย การศึกษาระบุว่านอกเหนือจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นแล้ว การทุจริตเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันนั้นมีมากขึ้นหรือจะเป็นมากขึ้นหากไม่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และการทุจริตแพร่หลายมากขึ้นในภาคส่วนที่ไม่ได้แปรรูป นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมนอกกฎหมายและไม่เป็นทางการแพร่หลายมากขึ้นในประเทศที่แปรรูปน้อยลง[56] ในสหภาพยุโรป มีการใช้หลักการแห่งการช่วยเหลือตนเอง: บริการของรัฐบาลควรจัดหาโดยหน่วยงานท้องถิ่นที่ต่ำที่สุดซึ่งสามารถจัดหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลกระทบอย่างหนึ่งคือการกระจายเงินทุนในหลายๆ กรณีไม่สนับสนุนการยักยอกทรัพย์ เนื่องจากแม้แต่เงินจำนวนเล็กน้อยที่หายไปก็จะถูกสังเกตเห็น ในทางตรงกันข้าม ในหน่วยงานส่วนกลาง แม้แต่สัดส่วนเพียงเล็กน้อยของเงินทุนสาธารณะก็อาจเป็นเงินจำนวนมากได้


ตัวอย่างการทุจริต

แก้

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. Tanzi, Vito (1998-12-01). "Corruption Around the World: Causes, Consequences, Scope, and Cures". Staff Papers (ภาษาอังกฤษ). 45 (4): 559–594. doi:10.2307/3867585. ISSN 0020-8027. JSTOR 3867585. S2CID 154535201.
  2. Thompson, Dennis. Ethics in Congress: From Individual to Institutional Corruption (Washington DC: Brookings Institution Press, 1995). ISBN 0-8157-8423-6
  3. "African corruption 'on the wane'". 10 July 2007 – โดยทาง news.bbc.co.uk.
  4. Alemann, Ulrich Von. 2004. "The Unknown Depths of Political Theory: the case for a multidimensional concept of corruption." Crime, Law & Social Change 42(1): 25-34. DOI: https://doi.org/10.1023/B:CRIS.0000041035.21045.1d
  5. 5.0 5.1 5.2 Hamilton, Alexander (2013). "Small is beautiful, at least in high-income democracies: the distribution of policy-making responsibility, electoral accountability, and incentives for rent extraction" (PDF). World Bank.
  6. Hamilton, A. and Hudson, J. (2014) The Tribes that Bind: Attitudes to the Tribe and Tribal Leader in the Sudan. Bath Economic Research Papers 31/14. [1] เก็บถาวร 2015-02-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  7. Hamilton, A. and Hudson, J. (2014) Bribery and Identity: Evidence from Sudan. Bath Economic Research Papers 30/14.[2] เก็บถาวร 2015-02-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  8. 8.0 8.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ :0
  9. Luis Flores Ballesteros, "Corruption and development. Does the "rule of law" factor weigh more than we think?" เก็บถาวร 2016-01-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 54 Pesos (November 15, 2008). Retrieved April 12, 2011
  10. Fisman, Raymond; Svensson, Jakob (2007). "Are corruption and taxation really harmful to growth? Firm level evidence". Journal of Development Economics. 83 (1): 63–75. CiteSeerX 10.1.1.18.32. doi:10.1016/j.jdeveco.2005.09.009. S2CID 16952584.
  11. "Corruption and growth in African countries: Exploring the investment channel, lead author Mina Baliamoune-Lutz, Department of Economics" (PDF). University of North Florida. p. 1,2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-03-09. สืบค้นเมื่อ 2012-06-07.
  12. "Nigeria's corruption busters". Unodc.org. สืบค้นเมื่อ 2009-12-05.
  13. "When the money goes west". New Statesman. 2005-03-14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 6, 2008. สืบค้นเมื่อ 2009-11-05.
  14. 14.0 14.1 Garrett, Laurie (2007). "The Challenge of Global Health". Foreign Affairs. 86 (1): 14–38. JSTOR 20032209.
  15. "Will Growth Slow Corruption In India?". Forbes. 2007-08-15.
  16. Sheeter, Laura (2007-11-24). "Ukraine remembers famine horror". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2009-12-05.
  17. 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 17.5 Sarah Bailey (2008) Need and greed: corruption risks, perceptions and prevention in humanitarian assistance เก็บถาวร 2012-03-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Overseas Development Institute
  18. Perrin, Pierre (30 June 1998). "The impact of humanitarian aid on conflict development - ICRC". www.icrc.org.
  19. Nazim, Habibov (March 2016). "Effect of corruption on healthcare satisfaction in post-soviet nations". Social Science & Medicine. 152: 119–124. doi:10.1016/j.socscimed.2016.01.044. PMID 26854622.
  20. Borcan, Oana (February 2017). "Fighting corruption in education". American Economic Journal. 9: 180–209.
  21. Altbach, Philiph (2015). "The Question of Corruption". International Higher Education. 34.
  22. Heyneman, Stephen (2015). "The corruption of ethics in higher education". International Higher Education. 62.
  23. Fidelman, Charlie (November 27, 2010). "Cash bribes put patients atop surgery waiting lists". The Vancouver Sun. สืบค้นเมื่อ 2011-01-21.[ลิงก์เสีย]
  24. Osipian, Ararat (2009-09-22). "Education Corruption, Reform, and Growth: Case of Post-Soviet Russia". Munich Personal RePEc Archive. Munich University Library. สืบค้นเมื่อ 2016-05-21.
  25. "การจ่ายสินบนเป็นเรื่องปกติแค่ไหน?". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 5, 2012. ...สัดส่วนของครอบครัวที่ค่อนข้างสูงในกลุ่มประเทศยุโรปกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกา จ่ายสินบนในช่วงสิบสองเดือนก่อนหน้า
  26. 26.0 26.1 26.2 "อนุสัญญากฎหมายอาญาว่าด้วยการทุจริต: CETS เลขที่ 173". Conventions.coe.int. สืบค้นเมื่อ 2016-02-28.
  27. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ conventions
  28. Gallagher, Tom (2012-08-09). "The EU Can't Ignore Its Romania Problem". The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 2012-08-10.
  29. Carty, R. K. (1944). Party and Parish Pump: Electoral Politics in Ireland. Wilfrid Laurier University Press. ISBN 9780889201057.
  30. O´Conaire, L. (2010). Thinking Aloud; A Spark Can Destroy a Forest. Paragon Publishing. ISBN 9781907611162.
  31. Shanklin, E. (1994). "Life Underneath the Market". ใน Chang, C.; Koster, H. A. (บ.ก.). Pastoralists at the Periphery: Herders in a Capitalist World. University of Arizona. ISBN 9780816514304.
  32. Bresnihan, V. (1997). "Aspects of Irish Political Culture; A Hermeneutical Perspective". ใน Carver, T.; Hyvarinen, M. (บ.ก.). Interpreting the Political: New Methodologies. Routledge. ISBN 9781134788446.
  33. "The bizarre story of 1MDB, the Goldman Sachs-backed Malaysian fund that turned into one of the biggest scandals in financial history". Business Insider. 9 August 2019.
  34. "Najib Razak: Malaysian ex-PM gets 12-year jail term in 1MDB corruption trial". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2020-07-28.
  35. "Malaysia's ex–PM Najib sent to prison as final 1MDB appeal lost". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2022-08-23.
  36. "Najib arrives at Kajang Prison after court upholds jail term". The Star (ภาษาอังกฤษ). 2022-08-23.
  37. "embezzlement". LII / Legal Information Institute (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-12-13.
  38. Patricia O'Toole (2006-06-25). "สงครามปี 1912". Time.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 3, 2006. สืบค้นเมื่อ 2009-12-05.
  39. "Roosevelt, Theodore. An Autobiography: XV. The Peace of Righteousness, Appendix B, New York: Macmillan, 1913". Bartleby.com. สืบค้นเมื่อ 2009-12-05.
  40. "OCCRP announces 2015 Organized Crime and Corruption ‘Person of the Year' Award". Organized Crime and Corruption Reporting Project.
  41. Subcommittee on Terrorism, Narcotics and International Operations, Committee on Foreign Relations, United States Senate (December 1988). "Panama" (PDF). Drugs, Law Enforcement and Foreign Policy: A Report. S. Prt. Vol. 100–165. Washington, D.C.: United States Government Printing Office (published 1989). p. 83. OCLC 19806126. Archived from the original (PDF) on October 7, 2016.
  42. Ajzenman, Nicolás (2021). "The Power of Example: Corruption Spurs Corruption". American Economic Journal: Applied Economics (ภาษาอังกฤษ). 13 (2): 230–257. doi:10.1257/app.20180612. ISSN 1945-7782. S2CID 233528998.
  43. "AsiaMedia :: พระราชบัญญัติสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ไม้กายสิทธิ์ของอินเดียต่อต้านการทุจริต". Asiamedia.ucla.edu. 2006-08-31. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-26. สืบค้นเมื่อ 2009-11-05.
  44. "Investigative journalists as anti-corruption activists: An interview with Gerardo Reyes". Transparency.org. 2013-06-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-03. สืบค้นเมื่อ 2016-03-30.
  45. Mathiason, Nick (2007-01-21). "นายธนาคารและทนายความตะวันตก 'ปล้นแอฟริกา 150 พันล้านดอลลาร์ทุกปี". London: Observer.guardian.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2009-12-05.
  46. "เหตุใดการเปรียบเทียบจึงได้ผล – บล็อก PSD – กลุ่มธนาคารโลก". Psdblog.worldbank.org. 2006-08-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-20. สืบค้นเมื่อ 2009-11-05.
  47. Damania, Richard; Bulte, Erwin (July 2003). "Resources for Sale: Corruption, Democracy and the Natural Resource Curse" (PDF). Centre for International Economic Studies, University of Adelaide. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-09-06. สืบค้นเมื่อ 2010-12-11.
  48. Soutik Biswas (2011-01-18). "อินเดียกำลังกลายเป็นระบอบกษัตริย์โดยสืบทอดหรือไม่?". BBC. BBC News. สืบค้นเมื่อ 3 September 2011.
  49. Deo, Manjeet; Kripalani (2011-08-05). "ราชวงศ์คานธี: การเมืองตามปกติ". Rediff. Rediff News. สืบค้นเมื่อ 3 September 2011.
  50. Brunetti, Aymo; Weder, Beatrice (2003). "สื่อมวลชนเสรีเป็นข่าวร้ายสำหรับการทุจริต". Journal of Public Economics. 87 (7–8): 1801–1824. doi:10.1016/s0047-2727(01)00186-4.
  51. Adserà, Alícia; Boix, Carles; Payne, Mark (2000). "Are You Being Served?: Political Accountability and Quality of Government" (PDF). Working Paper (438). สืบค้นเมื่อ 2014-08-17. and Adserà, Alícia; Boix, Carles; Payne, Mark (2003). "Are You Being Served? Political Accountability and Quality of Government" (PDF). Journal of Law, Economics, & Organization. 19 (2): 445–490. doi:10.1093/jleo/19.2.445. hdl:10419/87999. สืบค้นเมื่อ 2014-08-31.
  52. Snyder, James M.; Strömberg, David (2010). "Press Coverage and Political Accountability". Journal of Political Economy. 118 (2): 355–408. CiteSeerX 10.1.1.210.8371. doi:10.1086/652903. S2CID 154635874.
  53. Schulhofer-Wohl, Sam; Garrido, Miguel (2013). "หนังสือพิมพ์สำคัญหรือไม่? หลักฐานระยะสั้นและระยะยาวจากการปิดตัวของ The Cincinnati Post" (PDF). Journal of Media Economics. 26 (2): 60–81. CiteSeerX 10.1.1.193.9046. doi:10.1080/08997764.2013.785553. S2CID 155050592.
  54. Starr, Paul (2012). "วิกฤตที่ไม่คาดคิด: สื่อข่าวในระบอบประชาธิปไตยหลังอุตสาหกรรม" (PDF). International Journal of Press/Politics. 17 (2): 234–242. doi:10.1177/1940161211434422. S2CID 146729965. สืบค้นเมื่อ 2014-08-31. ตั้งแต่ปี 2000 อุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์เพียงอย่างเดียวสูญเสีย "ความสามารถในการรายงานและการแก้ไขรายปีประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์ ... หรือประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์" แต่เงินที่ไม่แสวงหาผลกำไรใหม่ที่เข้ามาในวงการวารสารศาสตร์มีมูลค่าน้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนนั้น
  55. "บทเรียนจากทางเหนือ". Project Syndicate. 2006-04-21. สืบค้นเมื่อ 2009-11-05.
  56. การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในภาคส่วนที่มีการแข่งขัน: บันทึกจนถึงปัจจุบัน สุนิตา กิเครี (Sunita Kikeri) และ จอห์น เนลลิส (John Nellis) เอกสารการทำงานวิจัยนโยบายของธนาคารโลก 2860 มิถุนายน 2545 Econ.Chula.ac.th artimort.pdf IDEI.fr เก็บถาวร มีนาคม 25, 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน

อ่านเพิ่ม

แก้
  • Kim Hyoung-Kook (2012) : The Pre-conditions for entrenching transparency in local governance, a policy report of master's course in Public Administration from the University of York

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้

แม่แบบ:Corruption