เกออร์กี จูคอฟ
เกออร์กี คอนสตันตีโนวิช จูคอฟ (รัสเซีย: Гео́ргий Константи́нович Жу́ков, อังกฤษ: Georgy Konstantinovich Zhukov) เป็นนายทหารของกองทัพแดงและเป็นจอมพลแห่งสหภาพโซเวียต เคยดำรงตำแหน่งเสนาธิการใหญ่, รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และเคยเป็นสมาชิกสภาเปรซิเดียมพรรคคอมมิวนิสต์ฯ จูคอฟเคยเป็นแม่ทัพภาคสนามที่นำกองทัพแดงได้รับชัยชนะหลายครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเป็นแม่ทัพโซเวียตที่โด่งดังที่สุดจากยุคสงครามโลก
เกออร์กี จูคอฟ Гео́ргий Жу́ков | |
---|---|
![]() | |
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหภาพโซเวียต | |
ดำรงตำแหน่ง 9 กุมภาพันธ์ 1955 – 26 ตุลาคม 1957 | |
เลขาธิการ | นีกีตา ครุชชอฟ |
ก่อนหน้า | นีโคไล บุลกานิน |
ถัดไป | โรดีออน มาลีนอฟสกี |
เสนาธิการใหญ่กองทัพแดง | |
ดำรงตำแหน่ง กุมภาพันธ์ 1941 – 29 กรกฎาคม 1941 | |
ก่อนหน้า | คีริลล์ เมเรตสคอฟ |
ถัดไป | โบริส ชาปอชนีคอฟ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 1 ธันวาคม ค.ศ. 1896 สเตรลคอฟคา คาลูกา จักรวรรดิรัสเซีย |
เสียชีวิต | 18 มิถุนายน ค.ศ. 1974 กรุงมอสโก สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย สหภาพโซเวียต | (77 ปี)
เชื้อชาติ | โซเวียต |
พรรค | พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต |
คู่สมรส | อะเล็กซันดรา ดีฟนา ซุยโควา (1920-1953) กาลีนา อะเล็กซันดรอฟนา เซมโยโนวา (1965-1973) |
บุตร | อีรา จูโควา (ช. 1928) มาร์การีตา จูโควา (1929-2011) |
วิชาชีพ | ทหาร |
ศาสนา | คริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์รัสเซีย |
ลายมือชื่อ | ![]() |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | ![]() ![]() |
สังกัด | กองทัพบกจักรวรรดิรัสเซีย กองทัพแดง กองทัพบกโซเวียต |
ประจำการ | 1915–1957 |
ยศ | จอมพลแห่งสหภาพโซเวียต |
บังคับบัญชา | มณฑลทหารบกเคียฟ แนวรบตะวันตก แนวรบเบียโลรัสเซียที่ 1 มณฑลทหารบกโอเดสซา |
การยุทธ์ | สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามกลางเมืองรัสเซีย สงครามชายแดนโซเวียต–ญี่ปุ่น (ยุทธการฮาลฮิน กอล) มหาสงครามรักชาติ |
บำเหน็จ | วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต (4) |
จูคอฟเกิดในครอบครัวยากจนในภาคกลางของรัสเซีย เขาเข้ารับราชการทหารในกองทัพบกจักรวรรดิรัสเซียและเคยสู้รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ต่อมาจูคอฟเข้าร่วมกับกองทัพแดงในช่วงสงครามกลางเมืองรัสเซีย และมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานตามลำดับ ในปีค.ศ. 1939 จูคอฟเป็นแม่ทัพกลุ่มและได้รับชัยชนะอย่างขาดลอยเหนือญี่ปุ่นในยุทธการที่ฮาลฮิน กอล ชัยชนะครั้งนี้ทำให้เขาได้รับเหรียญวีรชนแห่งสหภาพโซเวียตเป็นครั้งแรก ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941 จูคอฟได้รับตำแหน่งเสนาธิการใหญ่กองทัพแดง
จูคอฟดำรงตำแหน่งเสนาธิการใหญ่ได้ไม่นาน นาซีเยอรมนีก็บุกสหภาพโซเวียต ทำให้เขาถูกปลดจากตำแหน่งและถูกส่งตัวไปรับผิดชอบการป้องกันสามเมืองใหญ่ เลนินกราด, มอสโก และสตาลินกราด เขายังมีส่วนร่วมวางแผนการรุกตีสำคัญหลายครั้ง อาทิ ยุทธการที่คูสค์ และปฏิบัติการบากราติออน ต่อมาในปีค.ศ. 1945 จูคอฟบังคับบัญชาแนวรบเบียโลรัสเซียที่ 1 และมีส่วนร่วมในการรุกวิสตูลา–โอเดอร์กับยุทธการที่เบอร์ลิน ซึ่งนำไปสู่ความปราชัยของนาซีเยอรมนีและการสิ้นสุดสงครามบนทวีปยุโรป จูคอฟได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนฝ่ายโซเวียตในการรับตราสารยอมจำนนของเยอรมนี
จูคอฟเป็นนายพลที่ขึ้นชื่อที่สุดคนหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่สอง[1] ความสามารถในการบังคับบัญชาทางปฏิบัติการและยุทธศาสตร์ของเขาทำให้เขาเป็นที่ยอมรับนับถืออย่างมาก[2] สัมฤทธิภาพการรบของเขาพัฒนาความรู้ทางทหารของมนุษยชาติอย่างสำคัญ โดยมีอิทธิพลมากทั้งต่อทฤษฎีทางทหารของโซเวียตและทั้งโลก[3]
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองแก้ไข
จูคอฟเกิดในครอบครัวชาวนารัสเซีย พ.ศ. 2458 ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารในกองทัพบกจักรวรรดิรัสเซีย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขารบได้อย่างกล้าหาญ จึงได้รับเหรียญตราและถูกเลื่อนยศ หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม แห่งปี พ.ศ. 2460 ชูคอฟเข้าร่วมกับพรรคบอลเชวิค และต่อสู้ในสงครามกลางเมืองรัสเซีย ช่วงปี พ.ศ. 2461 – พ.ศ. 2464 ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2466 เขาขึ้นเป็นผู้บัญชาการกรม พ.ศ. 2473 เป็นผู้บัญชาการกองพัน ชูคอฟเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญในทฤษฎีใหม่ของสงครามยานเกราะ เขาโดดเด่นเรื่องการวางแผนการรบที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย เขาเน้นระเบียบวินัยและความเข้มงวด เขาเป็นหนึ่งในบรรดานายทหารไม่มากนักที่รอดพ้นจากการกวาดล้างกองทัพครั้งใหญ่ของสตาลิน ช่วงปี พ.ศ. 2481 – พ.ศ. 2482
พ.ศ. 2481 ชูคอฟ เป็นผู้บัญชาการกลุ่มกองทัพโซเวียตมองโกเลียที่ 1 และเป็นผู้บัญชาการรบกับกองทัพกวางตุ้งของญี่ปุ่นที่บริเวณพรมแดนมองโกเลียกับรัฐแมนจูกัวของญี่ปุ่นในสงครามอย่างไม่เป็นทางการช่วงปี พ.ศ. 2481 – พ.ศ. 2482 ที่เริ่มจากการกระทบกระทั่งรายวันตามแนวพรมแดน โดยญี่ปุ่นหวังจะทดสอบกำลังในการป้องกันเขตแดนของฝ่ายโซเวียต จนเรื่องนี้กลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบอย่างรวดเร็ว ที่เรียกว่า ยุทธการที่ฮาลฮินโกล ญี่ปุ่นทุ่มกำลังพล 80,000 นาย รถถัง 180 คัน และอากาศยาน 450 ลำเข้าสู่สงคราม งานนี้ชูคอฟสามารถพิชิตฝ่ายญี่ปุ่นได้โดยง่าย และได้รับตำแหน่งเป็นวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียตแต่ชื่อเสียงของเขาไม่เป็นที่รู้จักในภายนอก เพราะช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี ชาติตะวันตกไม่สนใจการรบแบบยานเกราะเคลื่อนที่ที่เขานำมาลองใช้ที่ ฮาลฮิน โกล สงครามสายฟ้าแลบของเยอรมันต่อฝรั่งเศส จึงสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนมากมาย
ชูคอฟ ได้รับการเลื่อนยศเป็นพลเอกในปี พ.ศ. 2483 ระหว่างเดือนมกราคม – กรกฎาคม พ.ศ. 2484 เขาเป็นประธานเสนาธิการกองทัพแดง แต่เพราะความขัดแย้งกับสตาลิน เขาจึงถูกปลด หลังจากที่นาซีเยอรมนีบุกสหภาพโซเวียตได้ไม่นาน
แม่ทัพใหญ่แก้ไข
มูลเหตุของความขัดแย้งกับสตาลินในครั้งนั้น ก็คือจูคอฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในนายทหารไม่กี่คน ที่กล้าที่จะท้วงติงผู้นำ เขาทักท้วงสตาลินว่า เคียฟคงจะทานการรุกของข้าศึกไม่ไหว ทางที่ดีน่าจะถอยทัพออกมาก่อน แต่สตาลินไม่พอใจอย่างมาก จึงปลดเขาจากตำแหน่งเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 และส่งไปดูแลการรบที่เลนินกราด แต่ในที่สุดแล้วจูคอฟก็พิสูจน์ว่าเขาเป็นฝ่ายถูก เมื่อโซเวียตเสียทหารไปถึงครึ่งล้านที่เคียฟ
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2484 เมื่อข้าศึกรุกเข้าประชิดกรุงมอสโก จูคอฟถูกเรียกตัวมาเป็นผู้บัญชาการแนวรบกลาง แทนนายพล เซมิออน ตีโมเชนโค เพื่อปกป้องกรุงมอสโก ซึ่งเขาก็ทำได้สำเร็จ เมื่อสามารถผลักดันข้าศึกให้ถอยออกไปจนมอสโกพ้นขีดอันตราย ความสำเร็จนี้ทำให้สตาลินยอมรับฟังความคิดเห็นของนายพลของเขามากขึ้น และยอมถูกวิจารณ์มากขึ้น และชูคอฟก็กลับมาเป็นนายทหารคู่ใจของเขาอีกครั้ง ปีต่อมา จูคอฟ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการสูงสุด และส่งไปดูแลสตาลินกราด ซึ่งที่นี่ โซเวียตสามารถพิชิตกองทัพที่ 6 ของเยอรมนีลงได้สำเร็จ แม้จะต้องเสียทหารไปเป็นล้าน
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2486 เขาดูแลการตีฝ่าการล้อมเลนินกราดครั้งแรก ในเดือกรกฎาคมปีเดียวกัน ในบันทึกความทรงจำ ชูคอฟบอกว่าเขามีบทบาทสำคัญในการวางแผนยุทธการที่คูสค์ (Kursk) ที่ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม โดยที่นี่กองทัพเยอรมันประสบความปราชัยในช่วงฤดูร้อนเป็นครั้งแรก จึงถือว่าเป็นชัยชนะที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับที่สตาลินกราด
หลังจากนั้น ชูคอฟ ก็ดูแลเรื่องการปลดปล่อยการปิดล้อมเลนินกราดที่ประสบความสำเร็จ เดือนมกราคม พ.ศ. 2487 ชูคอฟ นำกองทัพโซเวียตในการรุกที่มีชื่อรหัสว่า ปฏิบัติการเบรเกรชั่น ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นปฏิบัติการณ์ทางทหารที่สุดยอดที่สุดของสงครามโลกครั้งที่สอง เดือนเมษายน พ.ศ. 2488 กองทัพโซเวียตยึดกรุงเบอร์ลินได้ และฟาสซิสต์เยอรมนียอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข
หลังสงครามแก้ไข
หลังสงครามจบสิ้น ชูคอฟเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเขตยึดครองโซเวียตในเยอรมนี และเป็นผู้ว่าการทหารที่นั่น ความที่เขาเป็นที่นิยมชมชอบจากคนหลายฝ่ายอย่างมาก จึงมองกันว่าเขามีแนวโน้มเป็นอันตรายอย่างมากกับระบอบเผด็จการสตาลิน ปี พ.ศ. 2489 เขาจึงถูกเก็บเข้ากรุ และโดนย้ายมาเป็นผู้บัญชาการเขตการทหารโอเดสซา ซึ่งห่างไกลจากเมืองหลวง และไม่ค่อยมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ หลังการตายของสตาลิน เขาก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในปี พ.ศ. 2496 และเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้ในปี พ.ศ. 2498
มิถุนายน พ.ศ. 2500 ชูคอฟ ได้ขึ้นเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกลาง สภาเปรสซิเดียม แต่ถูกนิกิต้า ครุสชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตยุคนั้นปลดจากกระทรวงและคณะกรรมาธิการกลางเดือนตุลาคมปีเดียวกัน เพราะความขัดแย้งทางนโยบายด้านการทหารหลายเรื่อง
หลังครุชชอฟถูกโค่นล้มเดือนตุลาคม พ.ศ. 2507 เลโอนิด เบรซเนฟ ผู้นำประเทศคนใหม่ได้ฟื้นฟูความนิยมให้ชูคอฟอีกครั้ง แต่ไม่ฟื้นฟูอำนาจให้ชูคอฟกลับมาเป็นที่นิยมในโซเวียตจวบจนเสียชีวิตไปในปี พ.ศ. 2517 และศพของเขาถูกนำมาประกอบพิธีอย่างสมเกียรติ
ความด่างพร้อยแก้ไข
หลังจากที่สหภาพโซเวียตได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 สตาลินได้พูดคุยกับ เกอร์กี้ ซูคอฟว่าจะให้เป็นผู้นำสวนสนามฉลองชัยชนะ เมื่อถึงเวลาสวนสนาม สตาลินเริ่มเห็นว่าความนิยมของเขาตกอยู่ที่ซูคอฟมากขึ้น เขาจึงประกาศเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดตั้งแต่นั้นจนถึงแก่อสัญกรรม
เครื่องอิสริยาภรณ์แก้ไข
จักรวรรดิรัสเซียแก้ไข
กางเขนแห่งนักบุญจอร์จ (ชั้นที่ 3 และ 4) |
สหภาพโซเวียตแก้ไข
ต่างประเทศแก้ไข
- Title of Honorary Italian Partisan (อิตาลี, ค.ศ. 1956)
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Dwight D. Eisenhower. "Crusade in Europe" (1948), p. 285.
- ↑ Harold Shukman (1993) Stalin's Generals, Grove Press, New York City, p. 172, ISBN 1842125133.
- ↑ John Eisenhower (1974). Strictly Personal. New York. 1974. p. 21, ISBN 0385070713.
บทความเกี่ยวกับชีวประวัตินี้ยังเป็นโครง คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูล |