สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก
สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (พ.ศ. 2254 – 2311) พระนามเดิม ทองดี เป็นสมเด็จพระบรมอรรคราชบรรพบุรุษแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เนื่องด้วยทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก | |
---|---|
![]() พระราชานุสาวรีย์ ณ เขาสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี | |
สมุหนายกเมืองพิษณุโลก | |
ดำรงตำแหน่ง | พ.ศ. 2310 - 2311 |
รัชสมัย | พระเจ้าพิศณุโลก (เรือง) พระเจ้าพิศณุโลก (จัน) |
พระชายา | พระอัครชายา เจ้าจอมมารดากู่ เจ้าจอมมารดามา |
พระราชบุตร | |
ราชวงศ์ | จักรี |
พระราชบิดา | พระยาราชนิกูล |
พระราชมารดา | ลูกจันทน์ |
พระราชสมภพ | พ.ศ. 2254 บ้านสะแกกรัง เมืองอุทัยธานี อาณาจักรอยุธยา |
สวรรคต | พ.ศ. 2311[1] เมืองพิษณุโลก ชุมนุมพิษณุโลก |
ถวายพระเพลิง | พ.ศ. 2339 พระเมรุมาศ ทุ่งพระเมรุ |
ศาสนา | เถรวาท |
บรรจุพระบรมอัฐิ | หอพระธาตุมณเฑียร |
สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก เสด็จพระราชสมภพที่บ้านสะแกกรัง เมืองอุทัยธานี เป็นบุตรพระองค์ใหญ่ของพระยาราชนิกูล (ทองคำ) ปลัดทูลฉลองกรมมหาดไทย (บ้างก็ว่า กรมนา) ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เสนาบดีพระคลังในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นออกพระวิสุทธสุนทร และได้เดินทางไปถวายพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2228
สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ทรงรับราชการในกรมมหาดไทย รับบรรดาศักดิ์เป็นที่ หลวงพินิจอักษร และ พระอักษรสุนทรศาสตร์ ในตำแหน่งเสมียนตรากรมมหาดไทย มีหน้าที่ร่างพระราชสาส์นโต้ตอบกับหัวเมืองฝ่ายเหนือ และเก็บรักษาพระราชลัญจกร
สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก เสกสมรสกับสองพี่น้องบุตรีของคหบดีชาวจีน คนพี่ชื่อว่า ดาวเรือง[2] (หรือ หยก) ส่วนคนน้อง ไม่ทราบนาม ตั้งบ้านเรือนอยู่ภายในกำแพงพระนคร ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณป้อมเพชร ซึ่งเป็นย่านอาศัยของชาวจีน
พระโอรส-ธิดาแก้ไข
สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก มีพระโอรส-ธิดา กับพระอัครชายา (หยก) 5 พระองค์ คือ[3]
- สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี (พ.ศ. 2272 — 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2342)
- สมเด็จพระเจ้าขุนรามณรงค์
- สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (สิ้นพระชนม์ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2342)
- พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (20 มีนาคม พ.ศ. 2279 — 7 กันยายน พ.ศ. 2352)
- สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (19 กันยายน พ.ศ. 2286 — 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2346)
มีพระธิดาอีก 1 พระองค์ ที่ประสูติแต่พระน้องนางของพระอัครชายา (หยก) มีชื่อว่า กู่ ตามเอกสารเดิมที่อยู่ในจังหวัดอุทัยธานี คือ
- พระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (สิ้นพระชนม์ราว พ.ศ. 2370)
และมีพระโอรสอีก 1 พระองค์ เกิดแต่บาทบริจาริกาชื่อว่า มา คือ
- สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา (พ.ศ. 2303 — 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2350)
สวรรคตแก้ไข
ช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2310 ก่อนที่จะเสียกรุง[4] พระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) พร้อมด้วยภรรยา และนายลา บุตรคนสุดท้องลี้ภัยออกจากกรุงศรีอยุธยาไปรับราชการกับเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง)[5] ซึ่งตั้งตนเป็นกษัตริย์อยู่ทางเหนือ ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ สมุหนายกเสนาบดี[6] ที่เมืองพิษณุโลก รับราชการกระทั่งชุมนุมพิษณุโลก (เรือง) ตกไปเป็นของชุมนุมเจ้าพระฝาง (เรือน) ไม่นานนักเจ้าพระยาจักรี (ทองดี) จึงได้ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ พ.ศ. 2311[1] นายลาและมารดา จึงได้ทำการฌาปนกิจศพตามสมควรในเวลานั้น ต่อมาจึงเชิญอัฐิบรรจุในมหาสังข์ มามอบแด่พระยาอไภยรณฤทธิ์ (รัชกาลที่ 1) ที่กรุงธนบุรี
พระมหาสังข์องค์นี้เป็นสังข์เวียนซ้าย ความยาว 20 เซนติเมตร ริ้วเวียนรอบหัวสังข์และปากสังข์เลี่ยมทองคำสลักลายฝังพลอย ข้างในท้องสังข์มีดอกมะเขือฝังนพเก้า ร่องปลายปากสังข์จารึกอักขระ อุมีมังสีทองคำลงยารองรับ ถือเป็นพระมหาสังข์คู่บ้านคู่เมือง ใช้หลั่งน้ำพระราชทานแก่ราชสกุล ในงานสมรสพระราชทาน กราบถวายบังคมลาไปปฏิบัติราชการต่างประเทศ ในรัชกาลต่อมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิแก้ไข
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิของพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2338 เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ 60 พรรษา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่ และมีเครื่องมหรสพสมโภช เหมือนอย่างงานพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยา
พระเมรุมาศก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2339 ได้มีพิธีแห่พระบรมอัฐิออกสู่พระเมรุมาศ มีมหรสพสมโภชเป็นเวลา 7 วัน เมื่อถวายพระเพลิง ไม่ได้ถวายพระเพลิงมากจะถวายพระเพลิงแต่พอควรเพราะแต่เดิมแล้วเป็นพระบรมอัฐิ เมื่อเสร็จพระราชพิธีถวายพระเพลิงแล้วได้อญเชิญพระบรมอัฐิกลับมาประดิษฐาน ณ หอพระสุราลัยพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธปฏิมากรปางห้ามสมุทร หุ้มทองคำประดับเนาวรัตน์ขึ้นองค์หนึ่ง ถวายพระนามว่าพระพุทธจักรพรรดิ ทรงอุทิศส่วนพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระพุทธรูปพระองค์นี้ประดิษฐานไว้ ณ หอพระสุราลัยพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง
พระราชานุสาวรีย์แก้ไข
จังหวัดอุทัยธานี ได้จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ประดิษฐานอยู่ ณ เขาแก้ว (เขาสะแกกรัง-ปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ทอดขนานกับแม่น้ำสะแกกรัง เมื่อ พ.ศ. 2514 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2522
พระอิสริยยศแก้ไข
ธรรมเนียมพระยศของ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก | |
---|---|
การทูล | ใต้ฝ่าละอองพระบาท |
การแทนตน | ข้าพระพุทธเจ้า |
การขานรับ | พระพุทธเจ้าข้า/เพคะ |
- ทองดี
- หลวงพินิจอักษร
- พระอักษรสุนทรศาสตร์
- สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก
พงศาวลีแก้ไข
พงศาวลีของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิงแก้ไข
- เชิงอรรถ
- ↑ 1.0 1.1 พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ. สมเด็จพระชนกาธิบดี พระปฐมราชวงศ์จักรี. กรุงเทพฯ : บันทึกสยาม, 2564. 360 หน้า. หน้า 110. ISBN 978-616-4418-16-5
- ↑ มีหลักฐานว่า ท่านทั้งสองได้บริจาคเงินสร้างวัดชื่อวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร จึงสันนิษฐานว่า คนพี่ชื่อดาวเรือง
- ↑ กรมศิลปากร สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ 14, กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2554. 296 หน้า. หน้า 1-4. ISBN 978-974-417-594-6
- ↑ เชาวน์ รูปเทวินทร์. ย่ำอดีต ชุด ๓ : พระราชวีรกรรมอันหาญกล้า ท่านบุญมาพระยาเสือ เล่ม ๑ ภาคกรุงธนบุรี. กรุงเทพฯ : ทิพย์อักษร, 2523. 380 หน้า. หน้า 164.
- ↑ วิลาวัณย์ หอประสาทสุข, เพ็ญพรรษ์ ดำรงศิริ และคณะ, สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. สมเด็จพระนารายณ์ และพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔: บทวิเคราะห์ทางวิชาการเกี่ยวกับสัมพันธภาพไทย-ฝรั่งเศส รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2530. 133 หน้า. หน้า 54. ISBN 978-974-8356-67-9
- ↑ พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ. มรดกใหม่จากลุ่มน้ำสะแกกรัง. กรุงเทพฯ : ต้นอ้อ, 2534. 160 หน้า. หน้า 105-108. ISBN 978-974-5164-83-3
- บรรณานุกรม
- พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ปฐมวงศ์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทย, 2470. 75 หน้า.
- สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ 14, กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2554. 296 หน้า. ISBN 978-974-417-594-6