สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ
สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ[2] หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 หรือ พระเจ้าท้ายสระ[3] หรือ พระเจ้าภูมินทราชา[4] หรือ พระเจ้าบรรยงก์รัตนาสน์ เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 30 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่สามแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์สุดท้ายของอาณาจักรอยุธยา ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2251 - พ.ศ. 2275[5]:xix,277
สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ | |||||
---|---|---|---|---|---|
พระเจ้าท้ายสระ | |||||
![]() พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ | |||||
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา | |||||
ครองราชย์ | พ.ศ. 2251 - พ.ศ. 2275 (24 ปี) | ||||
รัชสมัย | 23 ปี | ||||
ก่อนหน้า | สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี | ||||
ถัดไป | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ | ||||
พระมหาอุปราช | เจ้าฟ้าพร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล | ||||
สมุหนายก | ดูรายชื่อ | ||||
มเหสี | กรมหลวงราชานุรักษ์[1] พระองค์เจ้าทับทิม | ||||
พระราชบุตร | กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ เจ้าฟ้าหญิงเทพ เจ้าฟ้าหญิงประทุม เจ้าฟ้าอภัย เจ้าฟ้าชายปรเมศร์ เจ้าฟ้าชายทับ พระองค์เจ้าชายเสฏฐา พระองค์เจ้าชายปริก พระองค์เจ้าหญิงสมบุญคง | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์บ้านพลูหลวง | ||||
พระราชบิดา | สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี | ||||
พระราชมารดา | สมเด็จพระพันวษา | ||||
ประสูติ | พ.ศ. 2221 | ||||
สวรรคต | พ.ศ. 2275 (54 พรรษา) |
พระราชประวัติ แก้ไข
สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ มีพระนามเดิมว่าเจ้าฟ้าเพชร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี กับพระอัครมเหสีพระนามว่าสมเด็จพระพันวษา[6] มีพระอนุชาและพระกนิษฐาร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าพรและเจ้าฟ้าหญิงไม่ทราบพระนาม
เมื่อพระราชบิดาสวรรคตในปี พ.ศ. 2251 จึงขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระนามว่าพระเจ้าภูมินทราชา แต่จารึกชะลอพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกข์ออกพระนามว่า พระบาทพระศรีสรรเพชญสมเด็จเอกาทศรุทอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว[7] แต่ประชาชนมักออกพระนามว่าพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ต่อมาทรงสถาปนาพระบัณฑูรน้อย เจ้าฟ้าพร พระราชอนุชาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
สวรรคต แก้ไข
เมื่อคราวสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระทรงพระประชวรยังไม่ได้เสด็จสวรรคต จึงมีพระบรมราชโองการตรัสมอบเวนราชสมบัติแก่เจ้าฟ้าอภัย (พระราชโอรสองค์รอง) เป็นเหตุให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าพร) ทรงไม่พอพระทัย แต่เจ้าฟ้าอภัยทรงทราบดีว่าพระราชปิตุลานั้นทรงไม่พอพระพระทัยเป็นแน่ ทรงปรารถนาจะทำสงครามสู้รบทำสงครามแย่งชิงราชบัลลังก์ โปรดให้ข้าราชการวังหลวงตั้งค่ายตั้งแต่คลองประตูข้าวเปลือกไปถึงคลองประตูจีน ให้ขุนศรีคงยศไปตั้งค่ายริมสะพานช้าง คลองประตูข้าวเปลือกฟาดตะวันตก แล้วรักษาค่ายอยู่ที่นั้น[8]:314
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าพร) ทราบเหตุการณ์นั้นจึงโปรดให้ข้าราชการวังหน้าเตรียมไพร่พลตั้งค่ายฟากคลองข้างตะวันออกเตรียมพร้อมที่จะทำสงคราม เมื่อพระราชบุตรของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าพร) เสด็จตรวจค่ายจนถึงค่ายขุนศรีคงยศฝ่ายเจ้าฟ้าอภัย จึงมีรับสั่งให้ขุนเกนหัดยิงขุนศรีคงยศถึงแก่ความตายแล้วทูลพระราชบิดาว่าเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย[8]:315
ทั้งเจ้าฟ้าอภัยและกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าพร) ต่างก็รอเวลาสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระเสด็จสวรรคตลงเท่านั้น ไม่นานนักอาการพระประชวรแย่ลงจนแพทย์หลวงไม่สามารถวายการรักษาได้ สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระจึงเสด็จสวรรคตลงในปีจุลศักราช 1094 (พ.ศ. 2275)
พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม กล่าวว่า :-
ลุศักราชได้ ๑๐๙๔ ปีชวด จัตวาศก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงพระประชวรหนักลง ก็ถึงแก่ทิวงคตในเดือนยี่ข้างแรมไปโดยยถากรรมแห่งพระองค์นั้น พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาบังเกิดในปีมะแม อายุได้ ๒๘ ปี ได้เสวยราชสมบัติอยู่ ๒๖ ปีเศษ พระชนมายุได้ ๕๔ ปีเศษ กระทำกาลกิริยา ผู้ใดมีเมตตาไม่ฆ่าสัตว์ อายุยืน ไม่มีเมตตาฆ่าสัตว์ อายุสั้น[8]:315
จดหมายเหตุของคณะบาทหลวงฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งบาทหลวงเอเดรียง โลเน ได้รวบรวมพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2463 และอรุณ อมาตยกุล เป็นผู้แปล ระบุว่า สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระประชวรมีฝีในพระโอษฐ์หรือพระศอ ขณะที่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) บันทึกไว้ว่าพระองค์ประชวรที่พระชิวหา (ลิ้น) จึงสันนิษฐานว่าพระองค์อาจเป็นมะเร็งช่องปาก พระองค์ประชวรด้วยพระโรคนี้เป็นเวลานานจนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2275 ณ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์[9] หลังจากนั้นเจ้าฟ้าอภัยพระราชโอรสซึ่งอ้างสิทธิในราชสมบัติและเจ้าฟ้าปรเมศร์ได้สู้รบกับเจ้าฟ้าพรพระอนุชาของพระเจ้าท้ายสระและวังหน้าและพระเจ้าอาของเจ้าฟ้าอภัยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์กลายเป็นสงครามกลางเมือง
พระนาม แก้ไข
- สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ มาจากนามพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ซึ่งพระองค์ใช้เป็นประทับอันอยู่ข้างสระน้ำท้ายพระราชวัง
- สมเด็จพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์
- สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9
- สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
- สมเด็จพระภูมินทราธิราช
- ขุนหลวงทรงปลา
เหตุการณ์ในรัชสมัย แก้ไข
ไข้ทรพิษระบาด พ.ศ. 2255 แก้ไข
เมื่อ พ.ศ. 2255 เกิดไข้ทรพิษระบาดในรัชกาลพระองค์[10] กินระยะเวลายาวนานไม่ต่ำกว่า 5-6 เดือน มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ล้มตายจำนวนมาก และระหว่างเกิดไข้ทรพิษระบาดก็ยังเกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง โดยเฉพาะข้าวมีราคาแพงที่สุดจนแทบหาซื้อไม่ได้ แม้ว่าราคาข้าวในรัชกาลพระองค์เคยเป็นยุครุ่งเรืองในการค้าข้าวและยังมีราคาถูกที่สุดเพียงเกวียนละ 7 บาทกว่า[11] ก็ตาม ปรากฏหลักฐานชั้นต้นในจดหมายมองซอเออร์เดอซีเซ ถึงผู้อำนวยการ คณะต่างประเทศ วันที่ ๑๔ เดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๗๑๒ (พ.ศ. ๒๒๕๕) และจดหมายของมองซิเออร์เดอบูร์ ถึง มองซิเออร์เตเชีย วันที่ ๑๐ เดือนกันยายน ค.ศ. ๑๗๑๓ (พ.ศ. ๒๒๕๖) ความว่า[12]
เมื่อต้นปีนี้ได้เกิดไข้ทรพิษขึ้น ซึ่งกระทำให้พลเมืองล้มตายไปครึ่งหนึ่ง ทั้งการที่ข้าวยากหมากแพงก็ทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก ตามปกติในปีก่อนๆ ข้าวที่เคยซื้อกันได้ราคา ๑ เหรียญนั้น บัดนี้ ๑๐ เหรียญ ก็ยังหาซื้อเกือบไม่ได้
พระราชกรณียกิจ แก้ไข
ในรัชสมัยของพระองค์ มีการขุดคลองสำคัญอันเป็นเส้นทางคมนาคม คือ "คลองมหาไชย" และ "คลองเกร็ดน้อย" มีการแข่งกันสร้างวัด ระหว่างพระองค์กับพระอนุชา คือ วัดมเหยงคณ์และวัดกุฎีดาว มีการเคลื่อนย้ายพระนอนองค์ใหญ่ของวัดป่าโมกเพื่อให้พ้นจากการถูกน้ำเซาะตลิ่ง เป็นต้น
ในด้านการต่างประเทศ มีการส่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศจีนถึงสี่ครั้ง ทำให้การค้าขายระหว่างสยามกับจีน ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2244 เกิดความวุ่นวายในประเทศกัมพูชา อันเนื่องจากการแย่งราชสมบัติกันระหว่างนักเสด็จกับนักแก้วฟ้าสะจอง นักเสด็จขอเข้ามาอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ส่วนพระแก้วฟ้านักสะจองผู้เป็นอนุชาฝักใฝ่อยู่กับฝ่ายญวน ซึ่งพยายามแผ่อำนาจเข้าไปในเขมร พระองค์ได้ส่งกองทัพกรุงศรีอยุธยาเข้าไปถึงเมืองอุดงมีชัย ราชธานีของเขมร และได้เกลี้ยกล่อมให้นักแก้วฟ้าสะจองกลับมาอ่อนน้อมต่ออยุธยา เขมรจึงมีฐานะเป็นประเทศราชของอาณาจักรเช่นแต่ก่อน
ในช่วงรัชสมัยนี้ มิชชันนารีคาทอลิกคือมุขนายกหลุยส์ ลาโน ได้พิมพ์เผยแพร่หนังสือชื่อ “ปุจฉาวิสัชนา” มีเนื้อหาเปรียบเทียบศาสนาคริสต์ – ศาสนาพุทธ ชี้ให้เห็นความเหนือกว่าของศาสนาคริสต์ ดูหมิ่นพุทธศาสนา ทันทีหนังสือเล่มนี้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกก็สร้างความไม่พอใจให้กับราชการไทย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงเรียกบาทหลวง 3 คนขึ้นศาลไต่สวน ที่สุดมีพระราชโองการห้ามไม่ให้ใช้ภาษาไทยในการเผยแพร่ศาสนา ห้ามคนไทย มอญ และลาวเข้ารีตศาสนาคริสต์ และห้ามมิให้มิชชันนารีติเตียนศาสนาของคนไทย มิชชันนารีที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกเฆี่ยนแล้วเนรเทศ[13]
พระราชโอรส-ธิดา แก้ไข
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระมีพระราชโอรสธิดารวมกัน 9 พระองค์ เป็นพระราชโอรส 6 พระองค์ เป็นพระราชธิดา 3 พระองค์ ดังนี้[6]
มีพระโอรสธิดา 6 พระองค์ คือ
- เจ้าฟ้าหญิงเทพ
- เจ้าฟ้าหญิงประทุม
- เจ้าฟ้านเรนทร กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์
- เจ้าฟ้าอภัย
- เจ้าฟ้าปรเมศร์
- เจ้าฟ้าชายทับ
- พระสนม
มีพระโอรสธิดา 3 พระองค์ คือ
- พระองค์เจ้าชายเสฏฐา
- พระองค์เจ้าชายปริก
- พระองค์เจ้าหญิงสมบุญคง
เกร็ดที่น่าสนใจ แก้ไข
- พระองค์โปรดเสวยปลาตะเพียนมาก โดยออกพระราชกำหนดห้ามราษฎรจับหรือรับประทานปลาตะเพียน หากผู้ใดฝ่าฝืน มีบทลงโทษคือปรับเป็นเงิน 5 ตำลึง หรือ 20 บาท
- พระราชทานท้องพระโรงแก่สมเด็จพระสังฆราชแตงโม (ทอง) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระองค์โดยล่องเรือจากอยุธยาไปเพชรบุรีแล้วไปสร้างที่วัดใหญ่สุวรรณาราม (วัดสุวรรณาราม บ้างก็เรียกวัดใหญ่) จึงทำให้คงเหลือพระราชวัง ท้องพระโรงที่แสดงถึงศิลปกรรมของอยุธยาที่เหลือรอดจากการเผาของพม่าเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี
พงศาวลี แก้ไข
พงศาวลีของสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง แก้ไข
- เชิงอรรถ
- ↑ เล็ก พงษ์สมัครไทย. เฉลิมพระยศ เจ้านายฝ่ายในในรัชกาลที่ 1-9. กรุงเทพฯ:ฐานบุ๊คส์, 2552. หน้า 16
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า 347
- ↑ นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, หน้า 165
- ↑ คำให้การชาวกรุงเก่า, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น, หน้า 547-548
- ↑ Rajanubhab, D., 2001, Our Wars With the Burmese, Bangkok: White Lotus Co. Ltd., ISBN 9747534584
- ↑ 6.0 6.1 คำให้การชาวกรุงเก่า, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น, หน้า 622-623
- ↑ "จารึกชะลอพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกข์". ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. 2271. สืบค้นเมื่อ 14 กันยายน 2560.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)[ลิงก์เสีย] - ↑ 8.0 8.1 8.2 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘๒ เรื่อง พระราชพงศาวดารกรุงสยามจากต้นฉบับของ บริติชมิวเซียมกรุงลอนดอน. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2537. 423 หน้า. ISBN 978-974-4-19025-3
- ↑ Terwiel, B. J. (2011). Thailand's political history : from the 13th century to recent times (ภาษาอังกฤษ) (Rev. ed.). Bangkok: River Books. ISBN 978-974-9863-96-1.
- ↑ รวมปาฐกถางานอนุสรณ์อยุธยา ๒๐๐ ปี เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2510. หน้า 24.
- ↑ ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, พรนิภา พฤฒินารากร และสุจิตต์ วงษ์เทศ (บก.). "ข้าว:ในสมัยปลายอยุธยา พ.ศ. 2199-2130," ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ. กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม, 2531. 148 หน้า. หน้า 142. ISBN 978-974-8350-82-0
- ↑ ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๒๒ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๖(ต่อ) ๓๗ และ ๓๘). กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2511. 312 หน้า. หน้า 1.
- ↑ แก่นแท้ศาสนาคริสต์ที่หายไป, หน้า 120
- บรรณานุกรม
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2553. 800 หน้า. ISBN 978-616-7146-08-9
- มาโนช พุ่มไพจิตร. แก่นแท้ศาสนาคริสต์ที่หายไป. เชียงใหม่ : หน่วยงานเผยแพร่ข่าวประเสริฐ, 2548.
- มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, 2554. 264 หน้า. หน้า 165-166. ISBN 978-616-7308-25-8
ดูเพิ่ม แก้ไข
หนังสือและบทความ แก้ไข
- Dhiravat na Pombejra. (2537). The Last Year of King Thaisa's Reign: Data Concerning Politics and Society from the Dutch East India Company's Siam Factory Dagregister for 1732. ใน ความยอกย้อนของอดีต: พิพิธนิพนธ์เชิดชูเกียรติหม่อมราชวงศ์ศุภวัฒน์ เกษมศรี. บรรณาธิการโดย วินัย พงศ์ศรีเพียร. หน้า 125-145. กรุงเทพฯ: ม.ป.พ.
เว็บไซต์ แก้ไข
ก่อนหน้า | สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พ.ศ. 2246-2252) |
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (ราชวงศ์บ้านพลูหลวง) (พ.ศ. 2251-พ.ศ. 2275) |
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. 2275–2301) | ||
หลวงสรศักดิ์ | กรมพระราชวังบวรสถานมงคลแห่งกรุงศรีอยุธยา (ราชวงศ์บ้านพลูหลวง) (พ.ศ. 2246-พ.ศ. 2251) |
เจ้าฟ้าพร |