ประเสริฐ สุดบรรทัด
พันโท ประเสริฐ สุดบรรทัด เป็นอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสระบุรี 4 สมัย
ประเสริฐ สุดบรรทัด | |
---|---|
รองประธานสภาผู้แทนราษฎร | |
ดำรงตำแหน่ง 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 – 25 มีนาคม พ.ศ. 2492 | |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449 อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
เสียชีวิต | 3 สิงหาคม พ.ศ. 2523 (73 ปี) |
คู่สมรส | พูนศรี สุดบรรทัด |
ประวัติ
แก้ประเสริฐ สุดบรรทัด เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449 ที่ตำบลอุทัย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีบิดาชื่อ ผ่อง มารดาชื่อ บ่วง เขาเคยบวชเป็นเณรอยู่ที่วัดขุนทราย จนอายุได้ 16 ปี จึงเข้าไปเรียนที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส จนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 จึงได้บวชเป็นพระอยู่ถึง 3 พรรษา และสอบได้นักธรรมโท จากนั้นจึงออกไปเรียนโรงเรียนนายดาบ “รุ่นปี 2473”
หลังจากจบการศึกษาแล้ว เขาได้เข้ารับราชการทหารไปประจำอยู่ที่จังหวัดลำปาง และได้สมรสกับ น.ส.พูนศรี เนตรงาม ชาวจังหวัดลำพูน ภรรยานายประเสริฐ ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 10
การทำงาน
แก้หลังปลดประจำการจากทหารในปี พ.ศ. 2475 ประเสริฐได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และเปิดโรงเรียนราษฎร์ชื่อ "โรงเรียนประเสริฐวิทยา" ขึ้นในปีเดียวกันที่ป้อมปราบศัตรูพ่าย และได้เข้าเล่นการเมืองระดับท้องถิ่น เคยเป็นทั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครกรุงเทพ และสมาชิกสภาจังหวัดพระนคร ช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้ เขาได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง แต่ยังเรียนไม่ทันจบก็ถูกเรียกตัวกลับเข้าเป็นทหารอีกครั้งเพื่อไปรบในสงครามอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
ประเสริฐ ได้รับการเลื่อนยศทางทหารจากนายร้อยตรีจนได้เป็นนายร้อยเอก ในปี พ.ศ. 2487 ต่อมาในปี พ.ศ. 2488 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3 กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี จนกระทั่งเขาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มกราคม พ.ศ. 2489 เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 และชนะได้เป็นผู้แทนราษฎร และได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และได้รับเลือกตั้งอีกในครั้งต่อมาคือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2491 และในคราวนี้เขาได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร[1] และเป็นที่รู้จักจากการห้ามตำรวจไม่ให้จับสมาชิกกลางสภาซึ่งอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นคือ พลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ โดยเป็นการห้ามตำรวจไม่ให้จับกุม พันโท พโยม จุลานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี ณ ขณะนั้น
ในปี พ.ศ. 2492 จึงได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี[2] และให้สั่งราชการกระทรวงคมนาคม ครั้นถึงวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2493 ท่านก็ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐบาลชุดที่มีจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี[3][4]
ในปี พ.ศ. 2495 มีการเลือกตั้งอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาได้ขัดแย้งกับพันเอก ประมาณ อดิเรกสาร จนถึงขั้นที่ย้ายมาลงสมัคร ส.ส.แข่งกัน และประเสริฐ แพ้ในการเลือกตั้งครั้งนั้น จึงได้ประกาศวางมือทางการเมือง จนถึงปี พ.ศ. 2511 จึงได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา และสนับสนุนภรรยาคือ นางพูนศรี สุดบรรทัด ลงแข่งขันที่จังหวัดสระบุรี และก็สามารถชนะเอาที่นั่งคืนมาได้ ประเสริฐจึงกลับมาลงเลือกตั้งเองอีกครั้งในปี 2518 และก็ชนะได้เข้าสภาฯ
ถึงแก่อนิจกรรม
แก้พันโท ประเสริฐ สุดบรรทัด ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2523 และมีงานพระราชทานเพลิงศพ ณ ฌาปนสถาน วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523
สถานที่
แก้เครื่องราชอิสริยาภรณ์
แก้- พ.ศ. 2518 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)[6]
- พ.ศ. 2484 – เหรียญชัยสมรภูมิ สงครามอินโดจีน (ช.ส.)[7]
- พ.ศ. 2508 – เหรียญชัยสมรภูมิ สงครามมหาเอเชียบูรพา (ช.ส.)[8]
อ้างอิง
แก้- ↑ พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทน (นายเกษม บุญศรี เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอก ประเสริฐ สุดบรรทัด เป็นรองประธานสภาผู้ปทนราษฎร)
- ↑ พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งและแต่งตั้งรัฐมนตรี (จำนวน ๒๖ ราย)
- ↑ พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง (จำนวน ๗ ราย)
- ↑ [1]
- ↑ ยุคพัฒนา : จุดเปลี่ยนของเกวียน
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2022-05-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๙๒ ตอนที่ ๒๖๓ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๕๒, ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๘
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญชัยสมรภูมิ[ลิงก์เสีย], เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๙๘๙, ๒ พฤษภาคม ๒๔๘๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญชัยสมรภูมิ เก็บถาวร 2022-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๘๒ ตอนที่ ๙๗ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๑๓, ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๘