จักรพรรดินีโคจุง

จักรพรรดินีโคจุง (ญี่ปุ่น: 香淳皇后โรมาจิkōjun kōgō; 6 มีนาคม พ.ศ. 2446 – 16 มิถุนายน พ.ศ. 2543) พระนามเดิม เจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิ (ญี่ปุ่น: 良子女王โรมาจิNagako Joō) เป็นพระจักรพรรดินีอัครมเหสีในจักรพรรดิโชวะ และเป็นพระราชมารดาในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ถือเป็นจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่นที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น[1] รวม 63 ปีเต็ม

จักรพรรดินีโคจุง
พระพันปีหลวง
จักรพรรดินีญี่ปุ่น
ดำรงพระยศ25 ธันวาคม พ.ศ. 2469 – 7 มกราคม พ.ศ. 2532
(62 ปี 13 วัน)
พระพันปีหลวง
ดำรงพระยศ7 มกราคม พ.ศ. 2532 – 16 มิถุนายน พ.ศ. 2543 (10 ปี 13 วัน)
พระราชสมภพ6 มีนาคม พ.ศ. 2446
จังหวัดโตเกียว จักรวรรดิญี่ปุ่น
สวรรคต16 มิถุนายน พ.ศ. 2543 (97 พรรษา)
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ฝังพระศพ25 กรกฎาคม พ.ศ. 2543
สุสานหลวงมูซาชิ ฮาจิโอจิ
พระราชสวามีจักรพรรดิโชวะ (พ.ศ. 2467–2532)
พระราชบุตร
ราชวงศ์ญี่ปุ่น
พระราชบิดาเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ
พระราชมารดาชิกาโกะ ชิมาซุ

พระองค์เป็นจักรพรรดินีพระองค์แรกของญี่ปุ่นที่ไม่ได้มาจากตระกูลฟูจิวาระ โดยทั้งจักรพรรดินีโชเก็งและจักรพรรดินีเทเมล้วนมาจากตระกูลฟูจิวาระทั้งสิ้น เมื่อจักรพรรดินีนางาโกะเสด็จสวรรคต พระนางจึงได้รับการสถาปนาเป็น จักรพรรดินีโคจุง ซึ่งมีความหมายว่า ความบริสุทธิ์หอมหวาน[2]

ขณะทรงพระเยาว์

แก้
 
ขณะยังทรงพระเยาว์

เจ้าหญิงนางาโกะ ประสูติ ณ กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีเมจิที่ 36 (ค.ศ.1903,พ.ศ. 2446) เป็นพระธิดาคนที่ 3 จาก 6 พระองค์ ในเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ กับ ท่านหญิงชิกาโกะ ชิมะสึ พระองค์มีพระเชษฐา 2 พระองค์ พระขนิษฐา 2 พระองค์ และพระอนุชา 1 พระองค์ โดยในช่วงที่พระนางประสูติ เป็นช่วงที่วัฒนธรรมจากตะวันตกไหลบ่าเข้ามาในญี่ปุ่น เจ้าคูนิ พระบิดา ยังทรงเลี้ยงดูเจ้าหญิงนางาโกะตามจารีตดั้งเดิมมาโดยตลอด โดยพระบิดาของเจ้าหญิงนางาโกะ สืบเชื้อสายมาจากราชสกุลฟุชิมิ ซึ่งไม่ได้มาจากตระกูลฟูจิวาระ (มีตระกูลย่อย ได้แก่ ตระกูลโคโนะเอะ, อิชิโจ, นิโจ, คะซะสึคะซะ และคุโจ) ส่วนพระมารดาสืบเชื้อสายมาจากไดเมียว ทำให้เจ้าหญิงนางาโกะ เป็นพระจักรพรรดินีพระองค์แรก ที่ไม่ได้มาจากตระกูลฟูจิวาระ[3]

หลังจากที่เจ้าหญิงนางาโกะสำเร็จในระดับประถมศึกษา เจ้าหญิงทรงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนกะคุชูอิน (学習院) ซึ่งเป็นโรงเรียนของสตรีชั้นสูงของญี่ปุ่นในระดับนั้น มีสูงสุดถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยเจ้าหญิงนางาโกะได้เข้ารับการศึกษาร่วมกับเจ้าหญิงมะซะโกะ นะชิโมะโตะ ซึ่งเป็นพระญาติ (ต่อมาเจ้าหญิงมะซะโกะ นะชิโมะโตะ ได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าหญิงบังจา มกุฎราชกุมารีแห่งเกาหลี)

ระหว่างที่เจ้าหญิงนางาโกะทรงศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มกุฎราชมารฮิโระฮิโตะ ได้เสด็จประทับรถม้ามายังโรงเรียนกะคุชูอิน เพื่อหาสตรีชั้นสูงที่มาจากราชสกุลเป็นพระคู่หมั้น ซึ่งในเวลานั้นเจ้าหญิงนางาโกะ ถือเป็นสตรีที่ถือว่ามีพระสิริโฉมพระองค์หนึ่ง แม้พระองค์จะสวมฉลองพระองค์เป็นกิโมโน และกระโปรงฮากามะ ซึ่งเป็นกระโปรงจับจีบแบบญี่ปุ่น รวบพระเกศาด้วยริบบิ้นสีขาว และถุงพระบาทสีดำ เมื่อมกุฎราชกุมารฮิโระฮิโตะทอดพระเนตรเห็น และให้ความสนพระทัยเจ้าหญิงนางาโกะ[1] พระองค์ก็ตัดสินพระทัยที่จะเลือกมาเป็นพระคู่หมั้น[4] ซึ่งก่อนหน้านี้มกุฎราชกุมารฮิโระฮิโตะเคยรู้จักคุ้นเคยกับเจ้าหญิงนางาโกะมาก่อนในสมัยอนุบาล ในสมัยประถมทั้งสองพระองค์ก็เคยเสวยพระกระยาหารกลางวันด้วยกัน แม้ในสมัยมัธยมโรงเรียนกะคุชูอินจะแยกเป็นฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงก็ตาม

ทรงหมั้น

แก้

พิธีหมั้นได้จัดขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1919 เมื่อเจ้าหญิงนางาโกะมีพระชนมายุ 14 พรรษา และศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากนั้นเจ้าหญิงนางาโกะต้องพักการเรียน เพื่อเข้ารับการศึกษา และรับการอบรมในการเตรียมสำหรับการอบรมที่มี ได้แก่ เรื่องกิริยามารยาท การวางพระองค์ในตำแหน่งสมเด็จพระจักรพรรดินี รวมไปถึงการจัดการดูแลภายในพระราชวัง และเรียนรู้ศิลปะต่างๆ เช่น การเล่นโกโตะ ทรงเปียโน การเต้นรำ เล่นเทนนิส และการใช้ดาบญี่ปุ่น หรือนางินาตะ สำหรับด้านวิชาการก็มีในด้านภาษา เช่น ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส คณิตศาสตร์ และวิชาการทหาร

ในระหว่างการอบรม ได้มีการตรวจพบว่า พระเชษฐาของพระองค์เป็นตาบอดสี ทำให้เกิดเสียงคัดค้านในหมู่พระราชวงศ์ และชนชั้นสูง ถึงกับมีการกราบทูลให้จักรพรรดิไทโช พระราชบิดาในมกุฎราชกุมารให้เปลี่ยนตัวพระคู่หมั้นเสียใหม่ ทำให้เจ้าหญิงนางาโกะต้องได้รับการอบรมยาวนานเพิ่มอีกถึง 4 ปี ขณะที่พระองค์อื่นๆ อบรมเพียง 2 ปีเท่านั้น แต่สมเด็จพระจักรพรรดิไทโชหาได้ทรงเชื่อในคำกราบทูลเหล่านั้น รวมไปถึงจักรพรรดินีเทเม พระราชมารดาในมกุฎราชกุมาร ซึ่งมีความโปรดปรานในตัวของเจ้าหญิงนางาโกะมาก ก็แสดงพระองค์ปกป้องพระคู่หมั้นของพระโอรสอย่างแข็งขัน จนเสียงคัดค้านจึงหมดสิ้นไป แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหญิงนางาโกะต้องใช้เวลาถึง 6 ปี สำหรับการเตรียมตัวเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินี[1]

 
จักรพรรดินีนางาโกะ และพระราชสวามี

อภิเษกสมรส

แก้

ในที่สุด สำนักพระราชวังก็ประกาศกฎหมายเรื่องการอภิเษกสมรสระหว่างมกุฎราชกุมารฮิโระฮิโตะ กับเจ้าหญิงนางาโกะ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 นับจากวันที่มีประกาศจากสำนักพระราชวังซึ่งมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 และผ่านมาด้วยความเรียบร้อยมากว่าสองปี โดยเหลือเวลาเพียงสองเดือนก็จะถึงวันอภิเษกสมรส แต่ขณะนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวในแถบคันโต สร้างความเสียหายแก่ประชาชนชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ทำให้ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยหลายล้านคน เพื่อเป็นการไว้อาลัยในเหตุการณ์ครั้งนี้ สำนักพระราชวังจึงได้เลื่อนกำหนดการอภิเษกสมรส เป็นวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1924 หรืออีกประมาณหนึ่งเดือนเศษ ซึงการอภิเษกสมรสเป็นไปได้อย่างราบรื่น และมกุฎราชกุมารฮิโระฮิโตะได้ประกาศยกเลิกระบบนางห้ามที่อนุญาตให้ชนชั้นสูงมีพระสนมได้หลายคน โดยมกุฎราชกุมารได้ปลดปล่อยพระสนม 39 พระองค์ โดยที่จะมีพระมเหสีเพียงพระองค์เดียว และเจ้าหญิงนางาโกะ ได้รับการสถาปนาเป็น มกุฎราชกุมารีนางาโกะ[2]

พระราชโอรส-ธิดา

แก้
 
สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ และเจ้าชายอากิฮิโตะ พระราชโอรสพระองค์แรกของพระองค์

สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ ได้ทรงให้การประสูติกาลเจ้าหญิงหลายพระองค์ตลอดเวลากว่าสิบปี ในการครองคู่กับสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ ทำให้เกิดเสียงซุบซิบนินทาเกี่ยวกับการสืบทอดราชบัลลังก์ จนในปี พ.ศ. 2476 สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะได้ให้พระประสูติกาลพระโอรสพระองค์แรกคือมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ[1]

สมเด็จพระจักรพรรดินี

แก้
 
สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ ขณะเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

สมเด็จพระจักรพรรดินีเป็นพระจักรพรรดินีแห่งประเทศญี่ปุ่นพระองค์แรกที่เสด็จเยือนต่างประเทศ โดยได้เสด็จเยือนทวีปยุโรปเมื่อปี พ.ศ. 2514 เสด็จเยือนสหรัฐเมื่อปี พ.ศ. 2518

หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2532 พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระพันปีหลวง[2] ในงานพระราชพิธีพระบรมศพของพระราชสวามี สมเด็จพระจักรพรรดินีก็มิได้เสด็จไป เนื่องด้วยพระสุขภาพที่ไม่เอื้ออำนวย และหลังจากการปรากฏพระองค์ครั้งสุดของสมเด็จพระจักรพรรดินีเมื่อปี พ.ศ. 2531 พระองค์ก็มิได้เสด็จปรากฏพระองค์ที่ไหนอีกเลย ขณะที่พระองค์ก็ดำรงพระยศพระพันปีหลวงได้ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำลายสถิติของสมเด็จพระจักรรดินีคันชิซึ่งเสด็จสวรรคตเมื่อ 873 ปีที่แล้ว[1]

สวรรคต

แก้

สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวง เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2543 สิริพระชนมายุได้ 97 พรรษา หลังจากพระราชพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะได้ทรงอัญเชิญพระศพไปที่สวนฮะจิโอจิ กรุงโตเกียวเคียงข้างพระราชสวามีของพระองค์

หลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะได้สถาปนาพระนามสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวง ขึ้นเป็น สมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง โดยพระศพถูกเก็บไว้ที่สุสานหลวงมุซะชิโนะ โนะ ฮิงะชิ โนะ มิซะซะงิ ใกล้สุสานหลวงมุซาชิโนะของพระราชสวามี[2]

พระอิสริยยศ

แก้
  • พ.ศ. 2446 - 2469 เจ้าหญิงนางาโกะ คูนิ (นางาโกะ โจ)
  • พ.ศ. 2467 - 2469 เจ้าหญิงนางาโกะ มกุฎราชกุมารีแห่งญี่ปุ่น (โคไตชิ ชินโนฮิ)
  • พ.ศ. 2469 - 2532 สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ (โคโง)
  • พ.ศ. 2532 - 2543 สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวง (โคไตโง)
  • (พระนามหลังการสวรรคต) สมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

แก้

พระราชบุตร

แก้
พระนาม ประสูติ สิ้นพระชนม์ เสกสมรส พระราชนัดดา
ชิเงโกะ ฮิงาชิกูนิ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2468 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 10 ตุลาคม พ.ศ. 2486 โมริฮิโระ ฮิงาชิกูนิ โนบูฮิโกะ ฮิงาชิกูนิ
ฟูมิโกะ โอมูระ
โมโตฮิโระ มิบุ
นาโอฮิโกะ ฮิงาชิกูนิ
ยูโกะ ฮิงาชิกูนิ
เจ้าหญิงซาจิโกะ ฮิซะโนะมิยะ 10 กันยายน พ.ศ. 2470 8 มีนาคม พ.ศ. 2471
คาซูโกะ ทากัตสึกาซะ 30 กันยายน พ.ศ. 2472 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 โทชิมิจิ ทากัตสึกาซะ
อัตสึโกะ อิเกดะ 7 มีนาคม พ.ศ. 2474 10 ตุลาคม พ.ศ. 2496 ทากามาซะ อิเกดะ
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 10 เมษายน พ.ศ. 2502 มิจิโกะ โชดะ สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ
เจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ
ซายาโกะ คูโรดะ
เจ้าชายมาซาฮิโตะ ฮิตาจิโนมิยะ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2478 30 กันยายน พ.ศ. 2507 ฮานาโกะ สึงารุ
ทากาโกะ ชิมาซุ 2 มีนาคม พ.ศ. 2482 3 มีนาคม พ.ศ. 2503 ฮิซานางะ ชิมาซุ โยชิฮิซะ ชิมาซุ

พงศาวลี

แก้

อ้างอิง

แก้

ดูเพิ่ม

แก้

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้
ก่อนหน้า จักรพรรดินีโคจุง ถัดไป
ซะดะโกะ คุโจ   จักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น
(พ.ศ. 2469–2532)
  มิชิโกะ โชดะ
ซะดะโกะ คุโจ   พระพันปีหลวงแห่งญี่ปุ่น
(พ.ศ. 2532–2543)