จักรพรรดินีโคจุง
สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ หรือพระนามเมื่อเสด็จสวรรคตคือจักรพรรดินีโคจุง (ญี่ปุ่น: 香淳皇后; โรมาจิ: kōjun kōgō; 6 มีนาคม ค.ศ. 1903 – 16 มิถุนายน ค.ศ. 2000) พระนามเดิม เจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิ (ญี่ปุ่น: 良子女王; โรมาจิ: Nagako Joō) เป็นพระจักรพรรดินีอัครมเหสีในจักรพรรดิโชวะ และเป็นพระราชมารดาในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ถือเป็นจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่นที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น[1] รวม 63 ปีเต็ม
จักรพรรดินีโคจุง | |
---|---|
จักรพรรดินีญี่ปุ่น พระพันปีหลวง | |
![]() จักรพรรดินีนางาโกะทรงฉลองพระองค์ราชสำนักเต็มยศพร้อมเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นที่ 1 และเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงคลรัตน์ ชั้นที่ 1 ราวค.ศ. 1928 | |
จักรพรรดินีญี่ปุ่น | |
ดำรงพระยศ | 25 ธันวาคม ค.ศ. 1926 – 7 มกราคม ค.ศ. 1989 (62 ปี 13 วัน) |
พระพันปีหลวง | |
ดำรงพระยศ | 7 มกราคม ค.ศ. 1989 – 16 มิถุนายน ค.ศ. 2000 (10 ปี 13 วัน) |
พระราชสมภพ | 6 มีนาคม ค.ศ. 1903 จังหวัดโตเกียว จักรวรรดิญี่ปุ่น |
สวรรคต | 16 มิถุนายน ค.ศ. 2000 (97 พรรษา) โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น |
ฝังพระศพ | 25 กรกฎาคม ค.ศ. 2000 สุสานหลวงมูซาชิ ฮาจิโอจิ |
พระราชสวามี | จักรพรรดิโชวะ (ค.ศ. 1924–1989) |
พระราชบุตร | |
ราชวงศ์ | ญี่ปุ่น |
พระราชบิดา | เจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ |
พระราชมารดา | ชิกาโกะ ชิมาซุ |
พระองค์เป็นจักรพรรดินีพระองค์แรกของญี่ปุ่นที่ไม่ได้มาจากตระกูลฟูจิวาระ โดยทั้งจักรพรรดินีโชเก็งและจักรพรรดินีเทเมล้วนมาจากตระกูลฟูจิวาระทั้งสิ้น เมื่อจักรพรรดินีนางาโกะเสด็จสวรรคต พระนางจึงได้รับการสถาปนาเป็น จักรพรรดินีโคจุง ซึ่งมีความหมายว่า ความบริสุทธิ์หอมหวาน[2]
เชื้อสายและพระอิสริยยศ
แก้พระนางเป็นสมาชิกพระราชวงศ์ญี่ปุ่นซึ่งสืบเชื้อสายจากเจ้าคูนิ โนะ มิยะ และตั้งแต่ประสูติจนกระทั่งจักรพรรดิโชวะขึ้นสืบราชสมบัติ พระอิสริยยศและสถานะของพระองค์คือ เจ้าหญิงนางาโกะ และตามกฎราชวงศ์ญี่ปุ่นจะทูลพระนางว่า "ไฮเนส" (เดนกะ)
ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1924 (ปีไทโชที่ 13) พระนางอภิเษกสมรสกับเจ้าชายผู้สำเร็จราชการฮิโรฮิโตะ ซึ่งต่อมาคือจักรพรรดิโชวะ[3] ทั้งสองพระองค์มีพระราชโอรส 2 พระองค์และพระราชธิดา 5 พระองค์ ในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1926 จักรพรรดิไทโชเสด็จสวรรคต จักรพรรดิโชวะได้สืบราชบัลลังก์ พระนางจึงได้รับการสถาปนาเป็นจักรพรรดินี
ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1989 (ปีโชวะที่ 64) จักรพรรดิโชวะเสด็จสวรรคต มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ พระราชโอรสองค์ใหญ่ ได้สืบราชบัลลังก์เป็น จักรพรรดิอากิฮิโตะ จักรพรรดิญี่ปุ่นพระองค์ที่ 125 และพระชายาของพระองค์ได้รับการสถาปนาเป็น จักรพรรดินีมิจิโกะ จักรพรรดินีนางาโกะจึงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระพันปีหลวง ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1996 (ปีเฮเซที่ 8) พระนางทรงมีพระชนมายุ 93 พรรษา ทรงมีพระชนมพรรษายืนยาวกว่าจักรพรรดินีฟุจิวะระ โนะ ฮิโระโกะ พระมเหสีในจักรพรรดิโกะ-เรเซ ผู้ทรงเป็นสมเด็จพระอัยยิกาเจ้าซึ่งมีพระชนมายุ 92 พรรษาตามการนับอายุแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น จักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวงจึงกลายเป็นสมาชิกราชวงศ์ที่ทรงพระชนมายุยาวนานที่สุด ถ้าไม่นับยุคสมัยเทพเจ้า
พระนางเสด็จสวรรคตในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2000 (ปีเฮเซที่ 12) และทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศหลังสวรรคตว่า "จักรพรรดินีโคจุง"
ด้วยจักรพรรดิโชวะ พระราชสวามีของพระนาง เป็นจักรพรรดิผู้ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ พระนางก็ทรงเป็นจักรพรรดินีญี่ปุ่นที่เคียงข้างราชบัลลังก์มาอย่างยาวนานที่สุดเช่นกัน (62 ปี 14 วัน) และทรงเป็นจักรพรรดินีที่ทรงมีพระชนมายุมากที่สุด (สวรรคตขณะ 97 พรรษา) หากไม่นับสมัยเทพเจ้า พระนางทรงเป็นจักรพรรดินีและมกุฎราชกุมารีพระองค์สุดท้ายที่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อพระวงศ์[i]
เมื่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน พระองค์ที่ 126 ขึ้นสืบราชบัลลังก์ในปีค.ศ. 2019 (ปีเรวะที่ 1) จักรพรรดิโชวะและจักรพรรดินีโคจุงทรงกลายเป็นบรรพบุรุษร่วมกันใกล้สุดของเจ้าชายที่มีสิทธิสืบราชบัลลังก์ญี่ปุ่น 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ, เจ้าชายฮิซาฮิโตะแห่งอากิชิโนะและเจ้าชายมาซาฮิโตะ ฮิตาจิโนะมิยะ
พระราชประวัติ
แก้ขณะทรงพระเยาว์
แก้เจ้าหญิงนางาโกะ ประสูติ ณ กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีเมจิที่ 36 (ค.ศ.1903) เวลา 06.25 น. เป็นพระธิดาคนที่ 3 จาก 6 พระองค์ ในเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ กับ ท่านหญิงชิกาโกะ ชิมาซุ ท่านหญิงชิกาโกะเป็นธิดาในชิมาซุ ทาดาโยชิ (รุ่นที่ 2)[4][5] พระองค์มีพระเชษฐา 2 พระองค์ พระขนิษฐา 2 พระองค์ และพระอนุชา 1 พระองค์ โดยในช่วงที่พระนางประสูติ เป็นช่วงที่วัฒนธรรมจากตะวันตกไหลบ่าเข้ามาในญี่ปุ่น เจ้าคูนิ พระบิดา ยังทรงเลี้ยงดูเจ้าหญิงนางาโกะตามจารีตดั้งเดิมมาโดยตลอด โดยพระบิดาของเจ้าหญิงนางาโกะ สืบเชื้อสายมาจากราชสกุลฟุชิมิ ซึ่งไม่ได้มาจากตระกูลฟูจิวาระ (มีตระกูลย่อย ได้แก่ ตระกูลโคโนะเอะ, อิชิโจ, นิโจ, คะซะสึคะซะ และคุโจ) ส่วนพระมารดาสืบเชื้อสายมาจากไดเมียว ทำให้เจ้าหญิงนางาโกะ เป็นพระจักรพรรดินีพระองค์แรก ที่ไม่ได้มาจากตระกูลฟูจิวาระ[6]
เมื่อเจ้าหญิงนางาโกะประสูติ ตระกูลคูนิได้แสวงหาแม่นมจากกระทรวงพระราชสำนัก และผู้ว่าราชการของแต่ละจังหวัดได้แนะนำสตรีทั้งหมด 6 คน[7] ในที่สุดก็ได้เลือก มง เซกิเนะ (ขณะนั้นเธออายุได้ 20 ปี) ซึ่งเพิ่งสูญเสียบุตรในครรภ์ไป เธอจึงได้รับการคัดเลือกจากตระกูลเก่าแก่ของจังหวัดไซตามะ[7] มงได้ระลึกความทรงจำว่า เจ้าหญิงนางาโกะทรงโปรดการเสวยมากและมีพระพลานามัยแข็งแรงมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ซึ่งนั่นทำให้เจ้าหญิงชิกาโกะ พระชนนีของเจ้าหญิงประหลาดใจมาก[8] ตระกูลคูนิใช้ชีวิตเรียบง่าย และฉลองพระองค์ของเจ้าหญิงนางาโกะก็มาจากฝีมือการตัดเย็บของมง ซึ่งเธอก็ได้เย็บเสื้อผ้าตัวอื่นๆ ขึ้นมาใหม่ด้วย[9] เจ้าหญิงนางาโกะทรงมีจิตใจดีแต่ก็แข็งแกร่ง เนื่องจากทรงเป็นพระเชษฐภคินีของพระขนิษฐาทั้งสองพระองค์ พระนางจึงดูแลพระขนิษฐาเป็นอย่างดี มีบันทึกว่า บางครั้งพระขนิษฐาสองพระองค์ (เจ้าหญิงโนบูโกะและเจ้าหญิงโทโมโกะ) มักจะเลียนแบบการกระทำของพระเชษฐภคินีเสมอ[10]
เข้ากากุชูอิน
แก้ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1907 (ปีเมจิที่ 40) เจ้าหญิงนางาโกะทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนอนุบาลกากุชูอิน ซึ่งเป็นโรงเรียนของสตรีชั้นสูงของญี่ปุ่นในระดับนั้น ตามบันทึกความทรงจำของทากะ อาดาจิ[ii] บันทึกว่า ในโรงเรียนอนุบาล พระบรมวงศานุวงศ์จะเสวยพระกระยาหารเที่ยงแยกจากเด็กคนอื่นๆ รวมถึงมีการแยกเด็กชายและเด็กหญิง แต่ในตอนนั้น เจ้าหญิงนางาโกะและเจ้าหญิงโนบูโกะ พระขนิษฐา ได้ร่วมห้องเสวยกับเจ้าชายฮิโรฮิโตะ (ซึ่งต่อมาคือจักรพรรดิโชวะ) และเจ้าชายยาซูฮิโตะ (ซึ่งต่อมาคือ เจ้าชิชิบุ)[11] ยูกะ โนกูชิ ซึ่งเป็นอาจารย์โรงเรียน เห็นเหตุการณ์นี้ก็มีลางสังหรณ์ว่าเจ้าชายฮิโรฮิโตะและเจ้าหญิงนางาโกะอาจจะได้อภิเษกสมรสกันในอนาคต[12]
ใน ค.ศ. 1909 (ปีเมจิที่ 42) เจ้าหญิงได้เข้าศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนสตรีกากุชูอิน ในช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทรงอยู่ในชั้นเรียนและไม่เข้าใจความหมายของคำว่า กะละมัง สิ่งนี้ช่วยสอนให้พระนางเริ่มเรียนรู้วิธีการซักผ้าด้วยพระองค์เอง และเจ้าหญิงทรงร่วมซักผ้ากับเหล่าแม่บ้านด้วยกันเป็นระยะเวลาหลายปี[13]
ในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1912 (ปีเมจิที่ 45/ปีไทโชที่ 1) หลังการเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิเมจิ พระราชอัยกาในพระราชสวามีในอนาคตของพระนาง เจ้าหญิงนางาโกะได้เสด็จเข้าพระราชวังหลวงพร้อมกับเจ้าหญิงชิกาโกะ พระชนนี และเจ้าชายคูนิโนะมิยะ พระชนก เพื่อแสดงความเคารพแก่จักรพรรดินีโชเก็ง พระพันปีหลวง ซึ่งตัวเจ้าหญิงทรงเป็นที่ดึงดูดความสนพระทัยของพระพันปีหลวง[14]
ในค.ศ. 1915 (ปีไทโชที่ 4) เจ้าหญิงทรงเข้าศึกษาต่อมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนสตรีกากุชูอินตามคำแนะนำของจักรพรรดินีโชเก็ง พระพันปีหลวง ซึ่งพระนางเสด็จสวรรคตไปแล้วเมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1914 (ปีไทโชที่ 3) และในฤดูร้อนของปี 1915 เจ้าชายฮิโรฮิโตะทรงปีนภูเขาคามิในเมืองฮาโกเนะพร้อมด้วยพระสหายร่วมชั้นของพระองค์ เจ้าหญิงนางาโกะก็เป็นหนึ่งในกลุ่มสหายหลายคนที่ไปส่งเจ้าชายที่เรียวกังมิยาอูชิซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน[15]
ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 (ปีไทโชที่ 5) มีการจัดพระราชพิธีสถาปนามกุฎราชกุมารของเจ้าชายฮิโรฮิโตะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจักรพรรดินีเทเม หรือ จักรพรรดินีซาดาโกะเสด็จเยือนโรงเรียนสตรีกากุชูอินอย่างไม่เป็นทางการเพื่อทรงทอดพระเนตรพฤติกรรมและเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมสำหรับมกุฎราชกุมาร[16] พระสหายร่วมชั้นของเจ้าหญิงจำได้ว่าแม้ว่าในหมู่เด็กหญิงวิ่งเล่นกันอย่างบ้าคลั่ง แต่เจ้าหญิงนางาโกะก็ยังทรงประพฤติดี สงบ และคล่องแคล่ว[17] ในบรรดารุ่นพี่ของเจ้าหญิงนางาโกะได้แก่ เจ้าหญิงมาซาโกะ นาชิโมโตะ ซึ่งเป็นพระญาติ (ต่อมาเจ้าหญิงมาซาโกะ นาชิโมโตะ ได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าหญิงบังจา มกุฎราชกุมารีแห่งเกาหลีจากการสมรสกับเจ้าชายอี อึน มกุฎราชกุมารเกาหลี ซึ่งทำให้ได้สัญชาติเกาหลี) และพระสหายร่วมชั้นของพระนาง คือ โทกิโกะ อิชิโจ (ซึ่งต่อมาคือ เจ้าหญิงฟูชิมิจากการเสกสมรสกับเจ้าชายฟูชิมิ ฮิโรโยชิจากตระกูลฟูชิมิ โนะ มิยะ) ตัวเลือกทั้งสามเป็นว่าที่พระคู่หมั้นของมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ[18]
จักรพรรดินีเอโช พระพันปีหลวงมาจากตระกูลคูโจ จักรพรรดินีโชเก็งมาจากตระกูลอิชิโจ และจักรพรรดินีซาดาโกะ มาจากตระกูลคูโจ ดังนั้นโทกิโกะ อิชิโจจึงเป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้ที่สุด[19] อย่างไรก็ตามมีความกังวลว่า เจ้าหญิงมาซาโกะ นาชิโมโตะมีพระชนมายุเท่ากันกับมกุฎราชกุมาร แต่มีปัญหาของตระกูลนาชิโมโตะที่มีบุตรยาก และพระบิดาของเจ้าหญิงมีอิทธิพลทางการเมืองไม่มากนัก ส่วนโทกิโกะ อิชิโจเป็นพระญาติฝ่ายจักรพรรดินีที่มีสายเลือดใกล้ชิดกันเกินไป ดังนั้นจึงมีการเลือกเจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิเป็นว่าที่พระชายาในมกุฎราชกุมาร[19] ว่ากันว่ามกุฎราชมารฮิโระฮิโตะได้เสด็จประทับรถม้ามายังโรงเรียน ซึ่งในเวลานั้นเจ้าหญิงนางาโกะ ถือเป็นสตรีที่ถือว่ามีพระสิริโฉมพระองค์หนึ่ง แม้พระองค์จะสวมฉลองพระองค์เป็นกิโมโน และกระโปรงฮากามะ ซึ่งเป็นกระโปรงจับจีบแบบญี่ปุ่น รวบพระเกศาด้วยริบบิ้นสีขาว และถุงพระบาทสีดำ เมื่อมกุฎราชกุมารฮิโระฮิโตะทอดพระเนตรเห็น และให้ความสนพระทัยเจ้าหญิงนางาโกะ[1] พระองค์ก็ตัดสินพระทัยที่จะเลือกมาเป็นพระคู่หมั้น[20]
การศึกษาของเจ้าหญิงและการเลื่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรส
แก้ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1918 (ปีไทโชที่ 7) ไวเคานต์ทากานาโอะ ฮาตาโนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนัก ได้แจ้งต่อเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ พระราชบิดาของเจ้าหญิง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ที่ประจำอยู่ที่เมืองโทโยฮาชิ จังหวัดไอจิ ว่า เจ้าหญิงนางาโกะทรงได้รับเลือกให้เป็นพระชายาในมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ[21] เจ้าชายคูนิโยชิจึงรีบเสด็จกลับโตเกียว และไปยังพระราชวังในทันที จากนั้นทรงตอบรับการหมั้นระหว่างพระธิดาของพระองค์กับมกุฎราชกุมารต่อจักรพรรดิโยชิฮิโตะ (ไทโช) และจักรพรรดินีซาดาโกะ[21]
หลังจากข่าวนี้ถูกเปิดเผยในวันที่ 19 มกราคม มีการประกาศในช่วงเข้าแถวตอนเช้าของกากุชูอินว่าในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เจ้าหญิงต้องถอนออกจากการศึกษาเพราะต้องทรงหมั้น จากนั้นตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน เจ้าหญิงนางาโกะต้องได้รับการศึกษาอบรมในฐานะโคไตชิฮิ (มกุฎราชกุมารี) ในสถาบันการศึกษาที่จัดตั้งขึ้นภายในตำหนักของตระกูลคูนิ สถาบันการศึกษานี้ถูกเรียกว่า "โอฮานะโกเต็น" (วังดอกไม้) นอกเหนือจากพระขนิษฐาที่เข้าศึกษาด้วยแล้ว ยังมีพระสหายร่วมชั้นเรียนที่สนิท เช่น ซาดาโกะ ซาโต (บุตรสาวคนโตของทัตสึจิโร ซาโต ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของชิเงยูกิ คาโต) และโนบูโกะ ฮิรายามะ (บุตรสาวคนที่ห้าของชิเงโนบุ ฮิรายามะ) ทั้งหมดได้ร่วมศึกษาพร้อมกัน หลังจากจบหลักสูตรที่กากุชูอิน[22] ได้มีการวางแผนการศึกษาของเจ้าหญิงไว้ว่าจะใช้เวลาสองหรือสามปี ในสถาบันดังกล่าว เจ้าหหญิงประทับอยู่กับหัวหน้าฝ่ายการศึกษา คิคุโนะ โกคัง และศึกษาในหลากหลายวิชาเช่น ด้านวิชาการ วัฒนธรรม เทนนิส และศิลปะการใช้ดาบนากินาตะ[23] นอกจากนี้เจ้าหญิงยังทรงเรียนเปียโนกับอายาโกะ โกเบ[24]
อาคารวังดอกไม้นั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเตรียมการศึกษาแก่มกุฎราชกุมารีโดยเฉพาะ ซึ่งต่อมามีการบริจาคอาคารให้แก่โรงเรียนมัธยมปลายสตรีเขตสามแห่งจังหวัดโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ในแขวงอาซาบุ โตเกียว (ปัจจุบันคือ ย่านอาซาบุ-จูบัง เขตมินาโตะ (โตเกียว))[25] เนื่องด้วยการปฏิรูปการศึกษาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนมัธยมปลายสตรีเขตสาม จังหวัดโตเกียว จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมศึกษาโคมาบะมหานครโตเกียว และย้ายไปตั้งในย่านโอฉาชิ, เขตเมงูโระ, โตเกียว วังดอกไม้ หรือ อาคารโอฮานะ จึงถูกย้ายมาที่ตั้งปัจจุบันและกำหนดไว้เป็น "หอพักเกียวโกะ"[25]
ในค.ศ. 1919 (ปีไทโชที่ 8) มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะทรงเพิ่งทราบข่าวการหมั้นหมายของพระองค์[26] ในเดือนมิถุนายนของปีเดียวกัน จักรพรรดินีซาดาโกะ หรือ จักรพรรดินีเทเม พระราชทานทองข้อพระกรเพชรแก่เจ้าหญิงนางาโกะ ว่าที่พระชายาในอนาคตของพระราชโอรส ซึ่งเป็นทองข้อพระกรเดียวกันกับที่พระนางได้รับพระราชทานมาจากจักรพรรดินีโชเก็ง[27] ในวันที่ 4 พฤศจิกายน เจ้าชายและเจ้าหญิงคูนิ กราบทูลเชิญมกุฎราชกุมารเสด็จมายังตำหนักที่ประทับในย่านชิบูย่า เพื่อให้เจ้าหญิงนางาโกะเข้าเฝ้าฯ[28] อย่างไรก็ตามการดูตัวพระองค์ในครั้งนี้เป็นเพียงพิธีการเท่านั้นและทั้งสองพระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรกันเลย[26]
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 (ปีไทโชที่ 10) มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จักรพรรดิโยชิฮิโตะที่ทรงพระประชวร ในปีเดียวกันนั้นเองได้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "เหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก" ขึ้น เมื่อเก็นโร ยามางาตะ อาริโตโมะ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและนายกรัฐมนตรีสองสมัยในรัชกาลก่อน ออกมาบีบบังคับให้ตระกูลคูนิ โนะ มิยะถอนตัวออกจากการหมั้นหมายครั้งนี้ จอมพลชราอ้างถึงความเสี่ยงทางพันธุกรรมของเจ้าหญิงนางาโกะที่มีเชื้อสายเป็นโรคตาบอดสี ซึ่งสืบมาจากตระกูลชิมาซุ ซึ่งทำให้พระนางไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารี รายละเอียดของเหตุการณ์ดังกล่าวมีการดำเนินการเป็นความลับขั้นสูงสุด แต่ก็มีความคาดเดาแพร่สะพัดออกมามากมาย และมีความเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นแผนการสมคบคิดของยามางาตะเพื่อรักษาอิทธิพลในราชสำนักของเขาให้ดำรงอยู่ต่อไป การดำเนินแผนการของยามางาตะครั้งนี้ กลับทำให้หลายคนแสดงความเห็นอกเห็นใจตระกูลคูนิมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ฝ่ายต่อต้านยามางาตะก่อตัวขึ้นออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ยามางาตะพยายามที่จะควบคุมราชสำนัก[29] รวมถึงนายกรัฐมนตรี ฮาระ ทากาชิ ตลอดจนคณะรัฐมนตรีฮาระ ได้ใช้เหตุการณ์นี้เพื่อกำจัดยามางาตะออกจากอำนาจ และในที่สุดวันที่ 10 กุมภาพันธ์ กระทรวงพระราชสำนักได้ออกประกาศว่า "ประเด็นการสถาปนาเจ้าหญิงนางาโกะเป็นมกุฎราชกุมารี กระทรวงเราได้ยินข่าวลือต่างๆ มากมายหลากหลายทั่วโลก แต่การตัดสินใจดังกล่าวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง" และเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการแก้ไขวิกฤต (การห้ามเผยแพร่บทความต่างๆ ในหนังสือพิมพ์ก็ถูกยกเลิกในวันต่อมาด้วย)
เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เจ้าชายคูนิโยชิทรงทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อจักรพรรดินีซาดาโกะ ว่า เจ้าหญิงไม่ทรงสามารถปฏิเสธการหมั้นหมายได้อาศัยตามประกาศของกระทรวงพระราชสำนัก ซึ่งเจ้าชายกดดันให้จักรพรรดินีต้องทรงตัดสินพระทัยดำเนินการโดยทันที[30] ตั้งแต่วันหมั้นจนถึงวันเกิดเหตุการณ์ มีบทความพร้อมพระฉายาลักษณ์ของเจ้าหญิงนางาโกะเพียง 5 บทความเท่านั้น[31] แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว บทความหลายบทความได้ถูกตีพิมพ์ขึ้น เริ่มต้นด้วยนิตยสารภาษาอังกฤษ เดอะฟาร์อีสต์ ที่ให้ความสำคัญแก่เจ้าหญิงนางาโกะในฐานะหญิงสาวผู้ทรงธรรมจริยา (คุณสมบัติ) เพียบพร้อมที่จะสามารถเป็นมกุฎราชกุมารีและจักรพรรดินีในอนาคต[32] แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนใหญ่มาจากพระอาจารย์ส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงคือ คิคุโนะ โกคัง และผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพระราชวัง นาโอฮาชิโร คูริตะ และนอกเหนือจากบทความแล้วยังมีความเรียงและรูปถ่ายของเจ้าหญิงนางาโกะด้วย จึงเชื่อได้ว่า ตระกูลคูนิ โนะ มิยะพยายามเข้าครอบงำสื่อสิ่งพิมพ์[33]
นอกจากนี้จักรพรรดินีซาดาโกะ หรือ จักรพรรดินีเทเม ซึ่งควรที่จะทรงมีความประทับพระทัยที่ดีต่อเจ้าหญิงนางาโกะ พระนางกลับทรงลังเลที่จะเดินหน้าการหมั้นหมายครั้งนี้ เนื่องจากพระนางทรงพิโรธต่อเจ้าชายคูนิโยชิที่ไม่ทรงขออภัยพระนาง และทรงพิโรธพระสัสสุระในอนาคตของมกุฎราชกุมารที่สร้างความทะเยอทะยานทางการเมืองในเหตุการณ์นี้[34] หลังจากเจ้าชายได้รัฐบาลหนุนหลังไปพร้อมๆ กับการกำจัดยามางาตะออกจากอำนาจ
หลังจากเหตุการณ์คลี่คลาย มกุฎราชกุมารได้เสด็จเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก (การเสด็จประพาสยุโรปของมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ) พระองค์ได้รับการต้อนรับจากราชวงศ์อังกฤษ และทรงได้รับอิทธิพลการสมรสแบบสามีภรรยาคนเดียว พระองค์ได้ทรงซื้อกระจกพระหัตถ์ทำจากเงินให้แก่สตรีพี่น้องคูนิ โนะ มิยะทั้งสามพระองค์ ระหว่างทรงเยี่ยมชมสินค้าที่ฝรั่งเศสอย่างลับๆ[35] ในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1922 (ปีไทโชที่ 11) มกุฎราชกุมารทรงเรียกรัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนัก มากิโนะ โนบุอากิ ให้เข้าเฝ้าฯ เพื่อแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเดินทางไปกลับของเหล่านางสนองพระโอษฐ์ เพื่อควบคุมและรักษาความลับของราชวงศ์ในอนาคต[36]
|
เจ้าหญิงนางาโกะกับการเปิดพระองค์ต่อสื่อ
แก้หลังจากการแทรกแซงของราชสำนักผ่านรัฐมนตรีมากิโนะ โนบุอากิ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1922 เนื่องจากเหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก ตระกูลคูนิได้อนุญาตให้มีการฉายพระรูปเจ้าหญิงนางาโกะขณะเสด็จเยือนศาลเจ้าและสถานที่สักการบูชาอื่นๆ[37] โดยเฉพาะพระรูปในขณะที่ทรงเพลิดเพลินกับการขุดหาหอยแครงที่ชายหากมาคุฮาริ ซึ่งทรงฉลองพระองค์พับชายกิโมโนขึ้น เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ทำให้เกิดความฮือฮาในหมู่สาธารณชน[38] คูราโตมิ ยูซาบูโร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของราชสำนัก และโทกูงาวะ โยริโนริ ประธานราชสำนัก แสดงความรู้สึกสับสนวุ่นวาย และไซอนจิ ฮาชิโร รองหัวหน้าฝ่ายพิธีการได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ภาพดังกล่าวนั้นอย่างรุนแรง[38]
ในวันที่ 20 มิถุนายน รัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนัก มากิโนะ โนบุอากิ ได้ขอให้มกุฎราชกุมารทรงลงพระอภิไธยอนุญาตให้มีการอภิเษกสมรส และเป็นการลงพระปรมาภิไธยแทนสมเด็จพระจักรพรรดิไทโช พระราชชนก จึงเป็นผลให้ได้มีการพระบรมราชานุญาตอย่างเป็นทางการ[39][40] พระราชพิธีหมั้นถูกกำหนดขึ้นในวันที่ 28 กันยายน ปีเดียวกัน และพระราชพิธีอภิเษกสมรสมีกำหนดขึ้นในวันที่ 27 พฤศจิกายนของปีถัดไป คือ ค.ศ. 1923 (ปีไทโชที่ 12)[40]
เมื่อมีพระบรมราชานุมัติพระราชทานมา รัฐมนตรีมากิโนะได้กราบทูลขอให้เจ้าชายคูนิโยชิทรงละลดการฉายพระรูปเจ้าหญิงนางาโกะ หรือ การให้ลงพิมพ์ในบทความ[38] การเสด็จเยือนภูมิภาคโทโฮกุของเจ้าหญิงนางาโกะและตระกูลคูนิ โนะ มิยะถูกยกเลิกโดยเจ้าชายคูนิโยชิตามคำขอของมากิโนะ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกถ่ายภาพ[38] นอกจากนี้ระหว่างเดือนกันยายนของปีเดียวกัน และราวเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดไป หัวหน้ากิจการตระกูลโทกูงาวะ โยชิโอะ ซาคามากิและโยชิโนริ ฟูตาระได้สนับสนุนแผนการให้เจ้าหญิงนางาโกะเสด็จเยือนประเทศตะวันตก[38] แต่ในที่สุดแผนการดังกล่าวถูกยกเลิก เนื่องจากรัฐมนตรีมากิโนะคัดค้านอย่างหนัก และแม้แต่คูราโตมิก็มีความเห็นในเชิงลบเกี่ยวกับการที่เจ้าหญิงนางาโกะจะเสด็จประพาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ[41]
ในวันที่ 28 กันยายน พระราชพิธีหมั้นหมาย มีพิธีอุทิศตนต่อศาลเจ้าบรรพบุรุษจักรพรรดิคะชิโกโดโกโร ถวายเครื่องบูชาแก่ศาลเจ้าใหญ่ ศาลเจ้าอิเซะ สุสานจักรพรรดิจิมมุ และสุสานจักรพรรดิเมจิและจักรพรรดินีโชเก็ง มีการจัดพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และพิธีประทานดาบ[42] เวลา 8 นาฬิกา เคานท์โทกูงาวะ ซาโตทากะ สมุหพระราชวัง ได้เดินทางไปยังตำหนักคูนิ โนะ มิยะในฐานะผู้แทนพระราชพิธีหมั้นหมาย และในเวลา 13.30 นาฬิกา บารอน โคบายาคาวะ ชิโร รองสมุหพระราชวังได้ไปยังพระตำหนักเพื่อเป็นตัวแทนพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ[42] พิธีดังกล่าวถือเป็นการกำหนดหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ เจ้าหญิงนางาโกะทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นที่ 1 ตามมาตรา 10 ของข้อบังคับว่าด้วยสถานะราชวงศ์ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการชุดนี้แล้ว การหมั้นหมายก็ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ[43]
หลังจากพระราชพิธีหมั้น ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1923 (ปีไทโชที่ 12) ตระกูลคูนิ โนะ มิยะได้เดินทางไปท่องเที่ยวรอบเกาะคีวชู เกาะชิโกกุและคันไซ เป็นเวลา 40 วัน ในภายหลังในคราวที่จักรพรรดินีนางาโกะทรงฉลองวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษา พระนางทรงมีพระราชดำรัสกล่าวถึงการเสด็จประพาสครั้งนี้ เป็นความทรงจำอันน่ายินดีเรื่องแรกในพระชนม์ชีพของพระนางตลอดช่วง 60 ปีที่ผ่านมา[44] ระหว่างการเสด็จญี่ปุ่นภาคตะวันตกนี้ เรื่องราวการเดินทาง พฤติกรรม และฉลองพระองค์ของเจ้าหญิงนางาโกะได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง[45] นอกจากนี้ตระกูลคูนิยังอนุญาตให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพได้อย่างอิสระ เป็นพระฉายาลักษณ์ที่มีชีวิตชีวาของเจ้าหญิงนางาโกะในแต่ละสถานที่ ซึ่งมีการเผยแพร่อย่างแพร่หลายในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร รวมถึงโปสการ์ด และใน "รายงานภาพการเดินทางของเจ้าหญิงนางาโกะ"[46] เจ้าหญิงนางาโกะทรงได้รับการต้อนรับจากผู้แทนของแต่ละสถานที่ โดยมีประชาชนมารวมตัวตลอดเส้นทางเมืองฟูกูโอกะจำนวนกว่า 100,000 คน และเมืองคูรูเมะจำนวนกว่า 150,000 คน โดยมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด[47] ในช่วงเวลาดังกล่าวตรงกับช่วงที่ชนชั้นกลางใหม่เกิดขึ้น เจ้าหญิงนางาโกะจึงทรงได้รับความนิยมและทรงได้รับการพรรณนาจากสื่อว่าเป็น "หญิงสาวผู้โปรดกีฬาและดนตรี"[48] ทำให้ราชวงศ์ได้รับความนิยมในเรื่องที่เป็นทางโลกมากขึ้น[49] (แต่เดิมราชวงศ์ถูกมองว่าสูงส่งเทียบเคียงเทพเจ้ามาเสมอ) เมื่อได้รับความนิยมจากสังคมมากขึ้น ภาพลักษณ์ของราชวงศ์ก็เปลี่ยนไป โดยเน้นที่รูปลักษณ์และแฟชั่นฉลองพระองค์ ส่งผลให้เชื้อพระวงศ์ได้ "กลายสภาพเหมือนเป็นดารา" และเจ้าหญิงนางาโกะทรงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเรื่องนี้[50]
ในฤดูร้อน เจ้าหญิงนางาโกะประทับอยู่ที่อาคาคูระ จังหวัดนีงาตะ เป็นวิลลาที่สร้างขึ้นโดยมาร์ควิส โมริทากะ โฮโซกาวะ เมื่อปีที่แล้ว[51] เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต ค.ศ. 1923 ในวันที่ 1 กันยายน พระนางทรงรู้สึกโล่งพระทัยเมื่อมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ พระคู่หมั้นทรงปลอดภัย และเจ้าหญิงทรงปฏิบัติพระกรณียกิจเย็บกิโมโนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้อีกด้วย[52] มกุฎราชกุมารได้เสด็จตรวจเยี่ยมภายในเมืองหลวง 2 ครั้งในเดือนนั้น ทรงตัดสินพระทัยที่จะเลื่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสออกไป[53][54]
นอกจากนี้ เกิดเหตุการณ์โทราโนมง วันที่ 27 ธันวาคม ของปีเดียวกัน ส่งผลให้ราชวงศ์ตกอยู่สถานการณ์ล่อแหลม เมื่อมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทรงถูกลอบปลงพระชนม์โดยไดสุเกะ นัมบะ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น[55] โดยได้ยิงปืนเข้าใส่รถม้าพระที่นั่งของพระองค์ที่กำลังผ่านประตูโทราโนมง แต่โชคดีที่กระสุนไม่โดนองค์มกุฎราชกุมาร แต่ไปถูกสมุหราชวังได้รับบาดเจ็บ[56] นัมบะต้องการแก้แค้นให้สมาชิกฝ่ายซ้ายที่ถูกรัฐบาลสังหารหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว เขาถูกตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1924 นายกรัฐมนตรี ยามาโมโตะ กนโนเฮียวเอะ แสดงความรับผิดชอบต่อการขาดการถวายความปลอดภัยให้พระราชวงศ์ทีดีพอ เขาจึงประกาศลาออกพร้อมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะพร้อมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน[56]
มกุฎราชกุมารี
แก้ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1924 (ปีไทโชที่ 13) ก่อนการอภิเษกสมรส ได้มีการจัดตั้งระบบข้าราชการสตรีสำหรับสำนักงานมกุฎราชกุมารขึ้น โดยอนุญาตให้สตรีที่สมรสแล้วสามารถเดินทางมาทำงานเองได้ และมีการยกเลิกตำแหน่งที่เป็นทางการต่างๆ เช่น "เนียวโจ" (นางในพระราชวัง) และตำแหน่งสนมอื่นๆ ทั้งนี้เป็นแนวคิดของมกุฎราชกุมารซึ่งทรงยึดมั่นการมีคู่สมรสคนเดียว[57][58]
ในวันที่ 12 มกราคม มีการประกาศว่าพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม[59] และพิธีการยอมรับก็ถูกจัดขึ้นในวันเดียวกันด้วย[60]
ในวันที่ 25 มกราคม คืนก่อนพระราชพิธี ได้มีการจัดงานเลี้ยงอำลาที่พระตำหนักคูนิ โนะ มิยะ เจ้าหญิงนางาโกะทรงเล่นเปียโน ครอบครัวของพระนางและผู้ใกล้ชิด ได้ร่วมกันขับร้องเพลงโฮโตรุ โนะ ฮิคาริอย่างอบอุ่นเพื่อแสดงความยินดีกับพระนาง[61] ในวันอภิเษกสมรส เจ้าหญิงทรงตื่นบรรทมเวลา 03.00 น. และเสด็จเยือนศาลบรรพบุรุษในสวนตำหนักเวลา 04.00 น.[62] หลังจากทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นกิโมโน 12 ชั้น พระนางทรงได้รับการต้อนรับโดยไวเคานต์ อิริเอะ ทาเมโมริ สมุหราชวังสำนักมกุฎราชกุมาร [iii] และนำเจ้าหญิงเสด็จออกจากตำหนักคูนิ ผ่านเขตทาคากิโช, เขตมินามิ-อาโอยามะ, โอโมเตมาจิ-โดริ, อากาซากะ-มิตสึเกะ, นากาตะมาจิ-โดริ, ย่านคาซูมิงาเซกิ, ประตูซากูราดะ และอิวาอิดามาจิ-โดริ (ทั้งหมดเป็นชื่อสถานที่ในยุคสมัยนั้น) จากนั้นมาถึงประตูหลักของพระราชวังอิมพีเรียล[63]
พระราชพิธีนี้เกือบจะเหมือนกันกับคราวพระราชพิธีอภิเษกสมรสของจักรพรรดิไทโชและจักรพรรดินีเทเม ซึ่งถือเป็นพระราชพิธีแบบชินโตครั้งแรกในประวัติศาสตร์[57] ท่ามกลางการประดับไฟเฉลิมฉลองและเสียงโห่ร้องยินดี มีรายงานว่าเจ้าชายคูนิและพระชายาทรงทอดพระเนตรแสงไฟจากบริเวณอาคารหน้าพระราชวังโทงู (ตำหนักมกุฎราชกุมาร) ในย่านอากาซากะ โดยไม่ทรงได้เสด็จเข้าไปด้วย จากนั้นทั้งสองจึงเสด็จกลับ (ปัจจุบันคือพระตำหนักอากาซากะ)[64]
มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะทรงเริ่มไว้พระมัสสุ (หนวด) หลังการอภิเษกสมรส[65] พระองค์ทรงเรียกเจ้าหญิงนางาโกะ พระชายาว่า "นากามิยะ" ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์เป็นไปได้ด้วยดีนับแต่นั้นมา และจากคำบอกเล่าของไอสึเกะ โอคาโมโตะ ซึ่งเป็นกรมวังสำนักมกูฎราชกุมารเวลานั้น ระบุว่า ทั้งสองพระองค์มักจะทรงเดินจับพระหัตถ์กันตลอด[66] ตั้งแต่เดือนสิงหาคมของปีนั้น ทั้งสองพระองค์เสด็จไปฮันนีมูนตามแบบตะวันตกที่วิลล่าโอกิชิมะของเจ้าชายทากามัตสึ (ปัจจุบันคือ เทนเคียวคาคุ) ในเมืองอินาวาชิโระ จังหวัดฟูกูชิมะ[67] การปรากฏพระองค์ของมกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารีได้ดึงดูดความสนใจของผู้คน โดยถูกใช้เป็นภาพฉากหลังของกระทรวงศึกษาธิการในนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน[48]
ในเวลา 20.10 น. ของวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1925 (ปีไทโชที่ 14) มกุฎราชกุมารีนางาโกะทรงมีพระประสูติกาล เจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ พระราชธิดาพระองค์แรก[68] และการประสูติเจ้าหญิงได้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเหตุการณ์ที่น่ายินดีท่ามกลางการฟื้นฟูประเทศหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต มีการเลือกแม่นม 3 คน เพื่ออภิบาลเจ้าหญิง[69] แต่มีการใช้แม่นมช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น และมกุฎราชกุมารีทรงให้นมแก่พระราชธิดาด้วยพระองค์เองเท่าที่จะทรงทำได้ จากบันทึกความทรงจำของแม่นม ระบุว่า พวกเธิถวายพระอภิบาลนมแก่เจ้าหญิงเทรุในเวลากลางคืน โดยมีพระพี่เลี้ยงตามมาด้วยในห้องของพระจักรพรรดิ มกุฎราชกุมารีนางาโกะทรงประทับรออยู่หลังฉากกั้นสีทอง[70] ในช่วงระยะเวลา 9 เดือนที่แม่นมถวายงานแก่มกุฎราชกุมารีนางาโกะ พวกเธอได้เข้าเฝ้าฯ พระนางเป็นการส่วนพระองค์เพียงสามครั้งเท่านั้น[71] ในช่วงเวลาที่เจ้าหญิงเทรุประสูติ มีการรายงานเรื่องการตั้งครรภ์และการประสูติในพระราชวงศ์มากขึ้น และนับแต่นั้น มกุฎราชกุมารีนางาโกะทรงได้รับการพรรณนาภาพว่าทรงเป็น "มารดา" จากสื่อต่างๆ[72]
ปีต่อมา ค.ศ. 1926 (ปีไทโชที่ 15) พระอาการประชวรของจักรพรรดิโยชิฮิโตะ หรือ จักรพรรดิไทโช ในขณะที่ทรงพักฟื้นที่อิมพีเรียลวิลลาฮายามะนั้นแย่ลง แม้ว่ามกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารีจะเสด็จไปเข้าเฝ้าฯ ที่ฮายามะในวันที่ 13 ธันวาคม แต่พระอาการของจักรพรรดิยังคงรุนแรงมากจนไม่สามารถเสด็จกลับโตเกียวได้[73] ต่อมาในเวลา 01.25 น. ของวันที่ 25 ธันวาคม จักรพรรดิไทโชเสด็จสวรรคต ขณะมีพระชนมายุ 47 พรรษา
|
จักรพรรดินี
แก้วันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1926 (ปีไทโชที่ 15) จักรพรรดิไทโช พระสัสสุระของมกุฎราชกุมารีนางาโกะ เสด็จสวรรคต และจักรพรรดินีซาดาโกะ พระสัสสุ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระพันปีหลวง และมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะทรงสืบราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ พระองค์ที่ 124 แห่งญี่ปุ่น ในเวลา 03.15 น. มิชิซาเนะ คุโจ เจ้ากรมพิธีทางศาสนาได้ประกอบพิธีที่พระราชวังหลวงโตเกียว และพิธีไตรราชกกุธภัณฑ์ที่อิมพีเรียลวิลลาฮายามะ[74] มกุฎราชกุมารีนางาโกะ พระมเหสีในจักรพรรดิฮิโรฮิโตะทรงกลายเป็น "จักรพรรดินีพระองค์แรกที่มาจากเชื้อพระวงศ์" นับตั้งแต่สมัยเจ้าหญิงโยชิโกะ (ค.ศ. 1794-1820) ทรงเป็นจักรพรรดินีในจักรพรรดิโคกากุ จักรพรรดิพระองค์ที่ 119
จักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งสมัยโชวะ ยังคงประทับอยู่ในพระราชวังอากาซากะ เนื่องจากทั้งสองพระองค์ทรงคุ้นชินการดำรงพระชนม์แบบตะวันตก และจักรพรรดินีนางาโกะทรงพระครรภ์พระบุตรองค์ที่สอง[75]
ในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1927 (ปีโชวะที่ 2) พระนางทรงมีพระประสูติกาลพระราชธิดาองค์ที่สอง คือ เจ้าหญิงซาจิโกะ ฮิซะโนะมิยะ แต่เจ้าหญิงกลับสิ้นพระชนม์ด้วยภาวะพิษเหตุติดเชื้อในปีถัดมา ค.ศ. 1928 (ปีโชวะที่ 3) จักรพรรดินีทรงแต่งพระพักตร์พระศพเจ้าหญิงด้วยพระองค์เอง[76] และจักรพรรดิโชวะทรงฝ่าฝืนธรรมเนียมห้าม โดยทรงร่วมพระราชพิธีพระศพของพระราชธิดาด้วย[77] ด้วยความโศกเศร้ายิ่งนี้ จักรพรรดินีทรงมีรับสั่งให้จัดทำตุ๊กตาที่มีขนาดพอๆ กับพระสรีระของเจ้าหญิงฮิซะเพื่อระลึกถึง[78]
ในวันที่ 28 กันยายน ปีเดียวกัน จักรพรรดิฮิโรฮิโตะและจักรพรรดินีนางาโกะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับยังพระราชวังหลวง หลังจากทรงเสด็จฯ ไปพักฟื้นที่เมืองนาสุ[79] ทั้งสองพระองค์ทรงฝ่าฝืนธรรมเนียมโดยทรงประทับในห้องบรรทมเดียวกัน[80]
ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน พิธีขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิญี่ปุ่นถูกจัดขึ้นที่พระราชวังหลวงเกียวโต หลังจากได้ทรงเสด็จประพาสจังหวัดเกียวโต, จังหวัดมิเอะและจังหวัดนาระในวโรกาสนี้ พระนางก็ไม่ได้เสด็จประพาสต่างจังหวัดอีกเลยเป็นเวลาหลายปี ยกเว้นในช่วงที่เสด็จไปประทับพักฟื้นที่อิมพีเรียลวิลลา[81]
ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1929 (ปีโชวะที่ 4) พระอาการของเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ พระบิดาของจักรพรรดินี ซึ่งทรงพักรักษาพระองค์อยู่ที่เมืองอาตามิ จังหวัดชิซูโอกะนั้น ย่ำแย่ลง จักรพรรดินีนางาโกะเสด็จพระราชดำเนินขึ้นรถไฟธรรมดา แทนที่จะทรงประทับรถไฟหลวง เพื่อไปยังคฤหาสน์ของเจ้าชายคูนิที่อาตามิ และทรงอยู่เคียงข้างพระบิดาจนพระองค์สิ้นพระชนม์ (เจ้าชายคูนิสิ้นพระชนม์ขณะพระชนมายุ 55 พรรษา)[82]
|
ปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์
แก้ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1929 (ปีโชวะที่ 4) จักรพรรดินีทรงมีพระประสูติกาลพระราชธิดาองค์ที่สาม คือ เจ้าหญิงคาซูโกะ ทากะโนะมิยะ ในขณะนั้นมีการประกาศผ่านทางวิทยุผิดพลาดว่า "เจ้าชายประสูติแล้ว" เมื่อมีการแก้ไขก็ได้สร้างความผิดหวังต่อสาธารณชนเป็นจำนวนมาก[83][84] ในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1931 (ปีโชวะที่ 6) ทรงมีพระประสูติกาลพระราชธิดาองค์ที่สี่ คือ เจ้าหญิงอัตสึโกะ โยริโนะมิยะ
ในทางกลับกันเมื่อเจ้าชายยาซูฮิโตะ ชิจิบุโนะมิยะ พระราชอนุชาในจักรพรรดิ ทรงเสกสมรสกับเซ็ตสึโกะ มัตสึไดระ ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1928 (ปีโชวะที่ 3) จักรพรรดินีเทเม พระพันปีหลวง ทรงโปรดปรานพระราชโอรสองค์ที่สอง พระองค์นี้มากและทรงโปรดรวมถึงพระชายาของพระองค์ด้วย ก่อนที่เจ้าหญิงทากะจะทรงประสูติในปีถัดไป สมเด็จพระพันปีหลวงทรงพระราชทานของขวัญและทรงแต่งกลอนวากะเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบหนึ่งปีวันเสกสมรสของทั้งสองพระองค์ และทรงหวังว่าจะมีประสูติกาลพระโอรส[85]
ดังนั้นในช่วงต้นโชวะ จึงมีพระราชธิดาสี่พระองค์ประสูติในสายสันตติวงศ์ แต่ยังคงไม่มีพระราชโอรสที่มีสิทธิ์สืบราชบัลลังก์[iv] ทานากะ มิตสึอากิ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพระราชวัง พยายามเสนอรื้อฟื้นระบบพระสนม (การมีภรรยาหลายคน)[86] แต่จักรพรรดิโชวะทรงปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยทรงตรัสว่า พระองค์ไม่สามารถ "ทำสิ่งที่ขัดต่อจริยธรรมของมนุษย์ได้" จึงมีขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อให้เจ้าชายชิจิบุ ผู้ทรงมีความเฉลียวฉลาดและเป็นที่นิยมของประชาชน ขึ้นสืบราชบัลลังก์[87]
ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1930 (ปีโชวะที่ 5) สมาคมสตรีแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ถูกก่อตั้งขึ้น ฮารูโกะ ชิมาซุ[v] ซึ่งได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้านางสนองพระโอษฐ์ในจักรพรรดินี ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานสมาคม ฮารูโกะ ชิมาซุได้กำหนดให้วันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดินีโคจุงเป็นวันแม่แห่งชาติ[88]
เมื่อเจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ พระราชธิดาองค์ใหญ่ทรงเจริญพระชันษาถึงวัยศึกษาเล่าเรียนในค.ศ. 1932 (ปีโชวะที่ 7) จักรพรรดินีนางาโกะทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเจ้าชายโนบูฮิโตะ ทากามัตสึโนะมิยะ พระราชอนุชาในจักรพรรดิ และสมาชิกราชวงศ์องค์อื่นๆ ว่า เจ้าหญิงทรงมีพระอุปนิสัยเอาแต่ใจ[89] เพื่อเป็นการรอมชอมกันระหว่างจักรพรรดิและจักรพรรดินีกับพระญาติวงศ์ เจ้าหญิงเทรุจึงทรงถูกย้ายไปประทับที่หอพักคูเรทาเกะ และทรงได้รับการศึกษาโดยห่างไกลจากพระราชชนกและพระราชชนนี[90] หลังจากนั้นพระขนิษฐาทั้งสองของเจ้าหญิงก็ถูกย้ายเข้าหอพักทีละพระองค์ โดยถูกบังคับให้ย้ายออกจากวังของพระราชชนก หอพักคูเรทาเกะส่วนหนึ่งถูกย้ายไปยังสวนหลวงฟูคิอาเกะหลังสงคราม และปัจจุบันคือร้านน้ำชา "รินโช-เทอิ"
ในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1933 (ปีโชวะที่ 8) มีการประกาศว่าจักรพรรดินีทรงพระครรภ์พระบุตรองค์ที่ห้า ในเวลา 11.00 น. ของวันเดียวกัน จักรพรรดิเสด็จเยือนพระราชวังโอมิยะและเสด็จเยือนสุสานจักรพรรดิไทโช ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ผิดปกติ โดยแม้แต่พระพันปีหลวงไม่ทรงได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังสุสานนั้น[91] จากนั้นเวลา 6.39 น. ของวันที่ 23 ธันวาคม จักรพรรดินีนางาโกะทรงมีพระประสูติกาลพระบุตรองค์ที่ห้า และเป็นพระราชโอรสพระองค์แรก คือ เจ้าชายอากิฮิโตะ[92] ด้วยสาธารณชนเฝ้ารอมานานต่อการประสูติของ "มกุฎราชกุมาร"[vi] กระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่นประกาศออกเพลง "เพลงเฉลิมฉลองวันประสูติของมกุฎราชกุมาร" ในเดือนถัดมา[93] ภาคเอกชนยังได้สร้างสรรค์เพลงเฉลิมพระเกียรติชื่อว่า "โคไตชิซามะโออุมาเระนัตตะ" (มกุฎราชกุมารประสูติแล้ว) (คำร้องโดยฮาคุชู คิตาฮาระ ทำนองโดยชินเป นากายามะ) และทั่วทั้งญี่ปุ่นเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง มีการตะโกนโห่ร้องสามครั้งหน้าพระราชวัง มีขบวนแห่ธง ขบวนโคมไฟ ขบวนดอกไม้และจักงานเฉลิมฉลอง[94]
ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935 (ปีโชวะที่ 10) จักรพรรดินีนางาโกะทรงมีพระประสูติกาลเจ้าชายมาซาฮิโตะ โยชิโนะมิยะ เป็นพระราชโอรสองค์ที่สอง (พระบุตรองค์ที่หก) นอกเหนือจากนี้ด้วยพระราชวงศ์ญี่ปุ่นทรงได้รับการเทิดทูนดุจสถานะเทพเจ้า เจ้าชายอากิฮิโตะทรงได้รับการอภิบาลในพระราชวังโทงุตั้งแต่ค.ศ. 1937 (ปีโชวะที่ 12) แม้ว่าจักรพรรดิจะทรงเป็นพระราชชนกของเจ้าชาย แต่ทั้งสองพระองค์ไม่สามารถพบกันได้เลย เว้นแต่วันหยุดสุดสัปดาห์จึงได้รับการอนุญาตจากฝ่ายราชพิธีให้ทรงพบกันได้ แม้แต่จักรพรรดินางาโกะทรงเตรียมเครื่องเสวยจากเต้าหู้ที่เจ้าชายทรงโปรดปราน แต่เจ้าชายกลับไม่เคยได้เสวยพระกระยาหารที่จักรพรรดินีทรงเตรียมไว้เลย ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1939 (ปีโชวะที่ 14) จักรพรรดินีทรงมีพระประสูติกาล เจ้าหญิงทากาโกะ ซูงาโนมิยะ พระราชธิดาองค์ที่ห้าและเป็นพระบุตรองค์เล็ก
|
จักรพรรดินีในช่วงสงคราม
แก้จักรพรรดินีนางาโกะเสด็จเยือนศาลเจ้ายาซูกูนิในเดือนเมษายน ค.ศ. 1932, 1933 และ 1937 แต่หลังจากการปะทุของสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง พระนางก็ทรงเริ่มเสด็จเยือนศาลเจ้านี้ปีละสองครั้ง (หรือทรงสงบนิ่งที่พระราชวังหลวงโดยในขณะที่จักรพรรดิได้เสด็จพระราชดำเนินไปสักการะที่ศาลเจ้า)[95] พระนางยังเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เองในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1933 และมีนาคม ค.ศ. 1941[96]
นอกจากนี้ในฤดูใบไม้ผลิจนถึงต้นฤดูร้อน ค.ศ. 1938 จักรพรรดินีทรงส่งพระบรมวงศานุวงศ์และพระชายาไปเยี่ยมเยียนโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในญี่ปุ่น เกาหลีและไต้หวัน[97] การส่งเหล่าพระชายาในฐานะผู้แทนพระองค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ทำให้ภาพลักษณ์ "แม่แห่งชาติ" และ "แม่ผู้ทรงเมตตา" ของพระนางเผยแพร่ออกไป นอกจากนี้พระนางยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เองทั้งช่วงก่อนและช่วงระหว่างสงคราม และการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่นก็ได้มีการรายงานข่าวทางภาพยนต์ข่าวในขณะนั้น[98] ในเวลานี้ สื่อต่างๆ ทั้งในหนังสือพิมพ์ วิทยุ และภาพยนต์ข่าว เริ่มขนานนามพระนางว่า "สมเด็จพระนางเจ้าพระมารดาแห่งแผ่นดิน"[99] เมื่อกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ชัยชนะและสามารถยึดครองอู่ฮั่นในวันที่ 27 ตุลาคม ปีเดียวกัน จักรพรรดิโชวะและจักรพรรดินีโคจุงได้ปรากฏพระองค์ที่สะพานนิจูบาชิในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองพระองค์ไม่ทรงเคยทำมาก่อน[96]
ในค.ศ. 1940 (ปีโชวะที่ 15) ช่วงระหว่างสงคราม เจ้าฟูมิมาโระ โคโนเอะ นายกรัฐมนตรี ประกาศจัดพระราชพิธีระลึกเนื่องในโอกาสครบรอบ 2,600 ปี การสถาปนาประเทศ พระราชพิธีระลึกจัดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน และการเฉลิมฉลองจัดในวันที่ 11 พฤศจิกายน หน้าพระราชวังหลวง โดยจักรพรรดิฮิโรฮิโตะและจักรพรรดินีนางาโกะเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธี แต่ในตอนกลางคืนของวันที่ 11 พฤศจิกายน จักรพรรดินีเสด็จฯ มายังหน้าสะพานนิจูบาชิ พร้อมพระราชบุตรทั้งสี่พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ, เจ้าหญิงคาซูโกะ ทากะโนะมิยะ, เจ้าหญิงอัตสึโกะ โยริโนะมิยะ และเจ้าชายมาซาฮิโตะ โยชิโนะมิยะ ทรงพยายามตอบสนองต่อเสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนในฐานะที่ทรงแยกออกมาจากการโห่ร้องต่อองค์จักรพรรดิและมกุฎราชกุมาร นอกจากนี้เพื่อแสดงภาพลักษณ์การโฆษณาชวนเชื่อของพระนางในฐานะ "พระมารดา" ของประชาชน (ในความเป็นจริง บริเวณนั้นมืดมาก และมีเพียงโคมไฟที่จักรพรรดินีและคนอื่นๆ ถือไว้เท่านั้น จึงมองเห็นพระองค์)[100] ในค.ศ. 1941 (ปีโชวะที่ 16) ตั้งแต่ 15-20 พฤษภาคม จักรพรรดินีเสด็จพระราชดำเนินเยือนด้วยพระองค์เอง โดยเสด็จฯยังจังหวัดมิเอะ, จังหวัดนาระ และจังหวัดเกียวโต โดยนอกเหนือจากเสด็จฯ เยือนศาลเจ้าและสุสานจักรพรรดิแล้ว พระนางยังทรงเสด็จเยือนโรงพยาบาลกองทัพเกียวโต (ปัจจุบัน คือ ศูนย์การแพทย์เกียวโตแห่งองค์การโรงพยาบาลแห่งชาติ) และพระตำหนักชูกาคุอิน[101] เหตุการณ์หนึ่งที่โดดเด่นคือ พิธีถวายการต้อนรับพระนางในวันที่ 18 มีผู้คนมาเข้าเฝ้าฯ กว่า 30,000 คน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างองค์จักรพรรดิและประชาชน และภาพลักษณ์ที่แท้จริงของจักรพรรดินีได้ซ้อนภาพ "พระมารดาผู้เป็นที่รักยิ่ง" ในตัวพระนาง[102]
วันที่ 8 ธันวาคม ปีเดียวกัน ญี่ปุ่นประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกา ด้วยการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์และการทัพมาลายา (จุดเริ่มต้นของสงครามแปซิฟิก หรือ สงครามมหาเอเชียบูรพา) และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 (ปีโชวะที่ 17) อังกฤษสูญเสียสิงคโปร์ในยุทธการที่สิงคโปร์ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ได้มีการเฉลิมฉลองชัยชนะโดยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พลเอกฮิเดกิ โทโจ จักรพรรดิทรงม้าหน้าสะพานนิจูบาชิ หลังจากนั้น จักรพรรดินีทรงปรากฏพระองค์บนสะพานพร้อมด้วยเจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ, เจ้าหญิงคาซูโกะ ทากะโนะมิยะ, เจ้าหญิงอัตสึโกะ โยริโนะมิยะ และเจ้าชายอากิฮิโตะ สึงุโนะมิยะ (มกุฎราชกุมาร) ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีจากประชาชนนับหมื่นคน[103]
ทุกปีในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดินี พระนางจะทรงเชิญยูกะ โนกูจิ ที่ปรึกษาของพระนางมายังพระราชวัง เพื่อทรงสนทนาอย่างเป็นกันเอง แต่ในค.ศ. 1942 จักรพรรดินีทรงขอให้โนกูจิ ซึ่งเป็นคริสเตียน มาบรรยายเรื่องศาสนาคริสต์ (เรื่อง พระคัมภีร์) เป็นครั้งแรก[104] การกระทำนี้ได้รับการสนับสนุนจากทาเคโกะ โฮชินะ นางสนองพระโอษฐ์ของพระนาง[vii] และมิกิโกะ อิจิชิ นางสนองพระโอษฐ์และเป็นต้นห้องของจักรพรรดินี ทาดาทากะ ฮิโรฮาตะ สมุหราชวังของจักรพรรดินีก็พยายามสนับสนุนเช่นกัน[105] ตั้งแต่เมษายน ค.ศ. 1942 จนถึงพฤษภาคม ค.ศ. 1947 โนกูจิได้บรรยายให้พระนางฟังทั้งหมด 15 ครั้ง[106]
ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วงปี 1943 พระนางยังทรงส่งเหล่าพระชายาไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อตรวจงานและรับรอง พระนางยังทรงเสด็จฯ ตรวจงานในกรุงโตเกียวด้วยพระนางเองในวันที่ 19 พฤษภาคม โดยทรงฉลองพระองค์เรียบง่าย และทรงมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนอย่างกระตือรือร้น[107] วันที่ 13 พฤษภาคม พระนางเพิ่งทรงได้รับการบรรยายครั้งที่สี่จากโนกูจิในรอบ 11 เดือน[108] มีการชี้ให้เห็นว่าแนวคิดของจักรพรรดินีทรงเปลี่ยนไปเนื่องจากอิทธิพลทางความคิดแบบคริสเตียน[109] ในทำนองเดียวกันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พระนางทรงได้รับการบรรยายครั้งที่ห้า[108] ในวันที่ 21 มิถุนายน หลังจากพระนางเสด็จพระราชดำเนินเยือนสุสานหลวงมูซาชิ พระนางยังทรงตรวจเยี่ยมหมู่บ้านเกษตรกรรม หมู่บ้านนานาโอะ เขตมินามิทามะ, โตเกียว (ปัจจุบันคือ นครฮิโนะ) ด้วยทรงกระตือรือร้นอย่างมาก ซึ่งทรงได้รับการรายงานถึงอย่างกว้างขวางในสื่อ[110] ในขณะที่จักรพรรดิไม่ทรงเสด็จเยือนจังหวัดต่างๆ อีก แต่จักรพรรดินีและเหล่าพระชายาของเจ้าองค์อื่นๆ ทรงได้รับการพบเห็นจากประชาชนมากขึ้น และทรงเป็นแบบอย่างของความประหยัดมัธยัสถ์[111]
วันที่ 13 ตุลาคม ปีเดียวกัน เจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ หรือ เจ้าหญิงเทรุ พระราชธิดาองค์แรกของจักรพรรดิและจักรพรรดินี เข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายโมริฮิโระแห่งฮิงาชิกูนิ (โอรสองค์ใหญ่ในเจ้าชายนารูฮิโกะ ฮิงาชิกูนิโนะมิยะ) ในปีต่อมา ค.ศ. 1944 (ปีโชวะที่ 19) เจ้าชายและเจ้าหญิงอีก 5 พระองค์ได้อพยพออกจากโตเกียว (เด็กนักเรียนทั้งหมดอพยพออกไปด้วย) แต่จักรพรรดินีก็ยังทรงประทับร่วมกับจักรพรรดิฮิโรฮิโตะในโตเกียว[viii] ในวันที่ 30 กันยายน ปีเดียวกัน มีการกำหนดฉลองพระองค์แบบราชสำนักขึ้นและจักรพรรดินีทรงฉลองพระองค์นี้เป็นเวลานานจนถึงหลังสงคราม วันที่ 23 ธันวาคม จักรพรรดินีทรงประทานบิสกิตแก่เด็กที่อพยพทั่วประเทศ เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายเฉลิมพระชนมพรรษา 11 พรรษาของมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ และยังทรงส่งบทกวีหลวงเพื่อเป็นกำลังใจแก่มกุฎราชกุมารด้วย[112]
ยังมีการกล่าวกันว่าในช่วงเวลานี้ จักรพรรดินีไม่ทรงได้รับอนุญาตให้โดยสารรถพระที่นั่งของจักรพรรดิอีกต่อไป เพราะพระนางถือเป็น "ข้ารับใช้ของจักรพรรดิ" ในช่วงเกิดทุพภิกขภัยระหว่างสงคราม การปันส่วนอาหารของราชวงศ์ก็เข้มงวดพอๆ กับประชาชนทั่วไป และเมื่อพระนางกับจักรพรรดิทรงร่วมเสวยพระกระยาหารร่วมกัน ทั้งสองพระองค์จะทรงเก็บอาหารไว้หนึ่งหรือสองจานเพื่อประทานแก่มหาดเล็ก หรือ นางสนองพระโอษฐ์เสมอ เมื่อใกล้สิ้นสุดสงคราม จักรพรรดินีทรงปลูกผักและเลี้ยงไก่ในสวนพระราชวังฟุกิอาเกะด้วยพระองค์เอง และหลังจากการยอมจำนนของญี่ปุ่น พระนางทรงทำฟูกและกิโมโนให้แก่เหล่าผู้ถูกส่งตัวกลับมายังประเทศ[113]
10 มีนาคม ค.ศ. 1945 (ปีโชวะที่ 20) ระหว่างการทิ้งระเบิดโตเกียว เจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ ซึ่งเสกสมรสเข้าราชสกุลฮิงาชิกูนิ ทรงมีพระประสูติกาล พระโอรสองค์แรก คือ เจ้าชายโนบูฮิโกะ ในหลุมหลบภัย ซึ่งเป็นพระราชนัดดาพระองค์แรกในจักรพรรดิโชวะและจักรพรรดินีโคจุง วันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน จักรพรรดิทรงออกประกาศเกียวกูองโฮโซ หรือ การออกอากาศ "พระราชดำรัสว่าด้วยการสิ้นสุดสงครามมหาเอเชียบูรพา" โดยทางวิทยุกระจายเสียง ส่งผลให้สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง
การเปลี่ยนแปลงหลังสงครามและการปรากฏของกิโมโนในจักรพรรดินี
แก้พระราชโอรส-ธิดา
แก้สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ ได้ทรงให้การประสูติกาลเจ้าหญิงหลายพระองค์ตลอดเวลากว่าสิบปี ในการครองคู่กับสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ ทำให้เกิดเสียงซุบซิบนินทาเกี่ยวกับการสืบทอดราชบัลลังก์ จนในปี พ.ศ. 2476 สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะได้ให้พระประสูติกาลพระโอรสพระองค์แรกคือมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ[1]
- เจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ (ญี่ปุ่น: 照宮成子) ประสูติเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2468 เสกสมรสกับเจ้าชายโมะริฮิโระแห่งฮิงาชิกูนิ ต่อมาพระสวามีของเจ้าหญิงชิเงโกะได้ถูกสหรัฐอเมริกาถอดพระยศเป็นสามัญชน มีโอรส-ธิดา 5 คน และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2504
- เจ้าหญิงซาจิโกะ ฮิซะโนะมิยะ (ญี่ปุ่น: 久宮祐子) ประสูติ 10 กันยายน พ.ศ. 2470 พระราชธิดาองค์ที่สอง โดยต่อมาอีก 4 เดือนหลังจากพระประสูติกาล พระธิดาองค์น้อยนี้ก็มีพระอาการพระโลหิตเป็นพิษ โดยต่อมา 2 เดือน เจ้าหญิงซาชิโกะจึงสิ้นพระชนม์อย่างสงบ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2471
- เจ้าหญิงคาซูโกะ ทากะโนะมิยะ (ญี่ปุ่น: 孝宮和子) ประสูติเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2472 เสกสมรสกับโทชิมิจิ ทากัตสึกาซะ จึงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2532
- เจ้าหญิงอัตสึโกะ โยริโนะมิยะ (ญี่ปุ่น: 順宮厚子) ประสูติเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2474 เสกสมรสกับทากามาซะ อิเกดะ จึงลาออกจากฐานันดรศักดิ์
- เจ้าชายอากิฮิโตะ สึงุโนะมิยะ (ญี่ปุ่น: 継宮明仁) พระราชสมภพเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ต่อมาพระองค์ได้เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น อภิเษกสมรสกับมิจิโกะ โชดะ มีพระราชโอรส-ธิดา 3 พระองค์
- เจ้าชายมาซาฮิโตะ โยชิโนะมิยะ (ญี่ปุ่น: 義宮正仁; โรมาจิ: โยะชิโนะมิยะ มาซาฮิโตะ) ประสูติเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2478 ปัจจุบันมีราชทินนามว่า ฮิตาจิโนะมิยะ (ญี่ปุ่น: 常陸宮) เสกสมรสกับฮานาโกะ สึงารุ แต่ไม่มีโอรส-ธิดาด้วยกัน
- เจ้าหญิงทากาโกะ ซูงะโนะมิยะ (ญี่ปุ่น: 清宮貴子) ประสูติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2482 เสกสมรสกับฮิซานางะ ชิมาซุ จึงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ มีโอรส 1 คน
สมเด็จพระจักรพรรดินี
แก้สมเด็จพระจักรพรรดินีเป็นพระจักรพรรดินีแห่งประเทศญี่ปุ่นพระองค์แรกที่เสด็จเยือนต่างประเทศ โดยได้เสด็จเยือนทวีปยุโรปเมื่อปี พ.ศ. 2514 เสด็จเยือนสหรัฐเมื่อปี พ.ศ. 2518
หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2532 พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระพันปีหลวง[2] ในงานพระราชพิธีพระบรมศพของพระราชสวามี สมเด็จพระจักรพรรดินีก็มิได้เสด็จไป เนื่องด้วยพระสุขภาพที่ไม่เอื้ออำนวย และหลังจากการปรากฏพระองค์ครั้งสุดของสมเด็จพระจักรพรรดินีเมื่อปี พ.ศ. 2531 พระองค์ก็มิได้เสด็จปรากฏพระองค์ที่ไหนอีกเลย ขณะที่พระองค์ก็ดำรงพระยศพระพันปีหลวงได้ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำลายสถิติของสมเด็จพระจักรรดินีคันชิซึ่งเสด็จสวรรคตเมื่อ 873 ปีที่แล้ว[1]
สวรรคต
แก้สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวง เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2543 สิริพระชนมายุได้ 97 พรรษา หลังจากพระราชพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะได้ทรงอัญเชิญพระศพไปที่สวนฮะจิโอจิ กรุงโตเกียวเคียงข้างพระราชสวามีของพระองค์
หลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะได้สถาปนาพระนามสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวง ขึ้นเป็น สมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง โดยพระศพถูกเก็บไว้ที่สุสานหลวงมุซะชิโนะ โนะ ฮิงะชิ โนะ มิซะซะงิ ใกล้สุสานหลวงมุซาชิโนะของพระราชสวามี[2]
พระอิสริยยศ
แก้- พ.ศ. 2446 - 2469 เจ้าหญิงนางาโกะ คูนิ (นางาโกะ โจ)
- พ.ศ. 2467 - 2469 เจ้าหญิงนางาโกะ มกุฎราชกุมารีแห่งญี่ปุ่น (โคไตชิ ชินโนฮิ)
- พ.ศ. 2469 - 2532 สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ (โคโง)
- พ.ศ. 2532 - 2543 สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวง (โคไตโง)
- (พระนามหลังการสวรรคต) สมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
แก้- พ.ศ. ไม่ปรากฏ – เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) (ฝ่ายใน)
- พ.ศ. ไม่ปรากฎ – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) (ฝ่ายใน)
พระราชบุตร
แก้รูป | พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | เสกสมรส | พระราชนัดดา | |
---|---|---|---|---|---|---|
ชิเงโกะ ฮิงาชิกูนิ | 6 ธันวาคม พ.ศ. 2468 | 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 | 10 ตุลาคม พ.ศ. 2486 | โมริฮิโระ ฮิงาชิกูนิ | โนบูฮิโกะ ฮิงาชิกูนิ ฟูมิโกะ โอมูระ โมโตฮิโระ มิบุ นาโอฮิโกะ ฮิงาชิกูนิ ยูโกะ ฮิงาชิกูนิ | |
เจ้าหญิงซาจิโกะ ฮิซะโนะมิยะ | 10 กันยายน พ.ศ. 2470 | 8 มีนาคม พ.ศ. 2471 | ||||
คาซูโกะ ทากัตสึกาซะ | 30 กันยายน พ.ศ. 2472 | 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 | 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 | โทชิมิจิ ทากัตสึกาซะ | ||
อัตสึโกะ อิเกดะ | 7 มีนาคม พ.ศ. 2474 | 10 ตุลาคม พ.ศ. 2496 | ทากามาซะ อิเกดะ | |||
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ | 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 | 10 เมษายน พ.ศ. 2502 | มิจิโกะ โชดะ | สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ เจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ ซายาโกะ คูโรดะ | ||
เจ้าชายมาซาฮิโตะ ฮิตาจิโนมิยะ | 28 ธันวาคม พ.ศ. 2478 | 30 กันยายน พ.ศ. 2507 | ฮานาโกะ สึงารุ | |||
ทากาโกะ ชิมาซุ | 2 มีนาคม พ.ศ. 2482 | 3 มีนาคม พ.ศ. 2503 | ฮิซานางะ ชิมาซุ | โยชิฮิซะ ชิมาซุ |
พงศาวลี
แก้พงศาวลีของจักรพรรดินีโคจุง | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
แก้หมายเหตุ
แก้- ↑ พระนางทรงเป็นสมาชิกราชวงศ์พระองค์เดียวที่มีความเกี่ยวโยงกับสาขาฟูชิมิ โนะ มิยะ (ตระกูลโอเกะ [พวกราชตระกูลเก่า]) นอกเหนือจากจักรพรรดินีโคจุง (เจ้าหญิงนางาโกะ) ยังมีสมาชิกสายฟูชิมิโนะมิยะอีก 2 พระองค์ที่กลายมาเป็นพระชายาของสมาชิกราชวงศ์ ได้แก่ เจ้าหญิงคายะ ซากิโกะพระชายาในเจ้าชายยามาชินะ ทาเคฮิโกะ (มาจากสาขาคายะ โนะ มิยะ) และเจ้าหญิงโทโมโกะ ฟูชิมิ พระชายาในเจ้าชายคูนิ อาซาอากิระ (มาจากสาขาฟูชิมิ โนะ มิยะ)
- ↑ เธอเป็นเจ้าพนักงานรับใช้พระราชนัดดาทั้งสามของจักรพรรดิ ได้แก่ เจ้าชายฮิโรฮิโตะ, เจ้าชายยาซูฮิโตะ และเจ้าชายโนบูฮิโตะ หลังจากเธอเกษียณอายุเธอได้เป็นภรรยาคนที่สองของคันตาโร ซูซูกิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คนที่ 29
- ↑ บิดาของอิริเอะ ซูเอมาสะ ผู้ถวายการรับใช้จักรพรรดิโชวะเป็นเวลาหลายปี
- ↑ ตอนนั้นยังไม่มีทายาทชาย (ราชนัดดา) ที่สืบสายต่อลงมาจากจักรพรรดิไทโช รวมถึงจักรพรรดิโชวะเองก็ยังไม่ทรงมีทายาทชาย แต่ในขณะนั้นมีทายาทชายจากตระกูลฟูชิมิ โนะ มิยะจำนวนมากในหมู่เชื้อพระวงศ์ (ราชตระกูลเก่า)
- ↑ ธิดาของคาซูฮิโกะ ชิมาซุ และเธอมีศักดิ์เป็นบุตรสาวของน้องชายของสมเด็จตาในจักรพรรดินี
- ↑ ในความเป็นจริงพระราชพิธีสถาปนามกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1952 (ปีโชวะที่ 27) หลังเจ้าชายทรงมีพระชนมายุครบ 18 พรรษา
- ↑ เธอเป็นพระธิดาองค์ที่สามในเจ้าชายโยชิฮิสะ คิตาชิราคาวะ และเป็นภริยาของไวส์เคานท์มาซาอากิ โฮชินะ
- ↑ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 (ปีโชวะที่ 18) จังหวัดโตเกียวและนครโตเกียวถูกรวมเข้าด้วยกัน
เชิงอรรถ
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 Downer, Lesely. Obituary: "Nagako, Dowager Empress of Japan," The Guardian (London). 17 June 2000.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Imperial Household Agency: Empress Kojun
- ↑ 維新史料編纂会, 1929, p. 1
- ↑ 明治36年宮内省告示第8号(『官報』第5900号 明治36年3月7日)(NDLJP:2949205)
- ↑ 維新史料編纂会 1929, p. 1.
- ↑ Large, Stephen S. Emperor Hirohito and Shōwa Japan: Political Biography, pp. 25-26.
- ↑ 7.0 7.1 昭和の母皇太后さま 2000 p.57
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.57-58
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.58
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.63-65
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.80-81
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.80
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.71
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.81-82
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.84
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.73
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.73-74
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.75
- ↑ 19.0 19.1 昭和の母皇太后さま 2000 p.76
- ↑ Connors, Leslie. (1987). The Emperor's Adviser: Saionji Kinmochi and Pre-war Japanese Politics, pp. 79-80.
- ↑ 21.0 21.1 昭和の母皇太后さま 2000 p.85
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.87-88
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.89
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.107
- ↑ 25.0 25.1 施設の概要 東京都立駒場高等学校公式サイト
- ↑ 26.0 26.1 陛下、お尋ね申し上げます 1988 p.194
- ↑ 原 2017 p.256
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.90
- ↑ 浅見雅男 2013, p. 37.
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.97-98
- ↑ 森 2016 p.49
- ↑ 森 2016 p.49-50
- ↑ 森 2016 p.50
- ↑ 原 2017 p.264
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.99
- ↑ 小田部 2001 p.15-16
- ↑ 森 2016 p.46
- ↑ 38.0 38.1 38.2 38.3 38.4 森 2016 p.45
- ↑ 『官報』第2965号「宮廷録事」、大正11年6月21日(NDLJP:2955082/5)
- ↑ 40.0 40.1 原 2017 p.320
- ↑ 森 2016 p.45-46
- ↑ 42.0 42.1 『官報』第3050号「宮廷録事」、大正11年9月29日(NDLJP:2955168/4)※原文はカナ表記
- ↑ ประกาศกระทรวงพระราชสำนัก ฉบับที่ 31 ค.ศ. 1922(ราชกิจจานุเบกษาตอนพิเศษ 28 กันยายน 1922)(NDLJP:2955167/14)
- ↑ 陛下、お尋ね申し上げます 1988 p.123
- ↑ 森 2016 p.43
- ↑ 森 2016 p.38-40
- ↑ 森 2016 p.35
- ↑ 48.0 48.1 森 2016 p.32
- ↑ 森 2016 p.59
- ↑ 森 2016 p.60-59
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.100
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.102
- ↑ 原 2017 p.345
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.103
- ↑ "Kozo Okamoto's long life after Israel suicide mission". France 24 (ภาษาอังกฤษ). 2022-05-31. สืบค้นเมื่อ 2022-11-24.
- ↑ 56.0 56.1 Bix, Hirohito and the Making of Modern Japan, pp. 140–141
- ↑ 57.0 57.1 原 2017 p.359
- ↑ 小田部 2001 p.145-147
- ↑ ประกาศกระทรวงพระราชสำนัก ฉบับที่ 2 ค.ศ. 1924(ราชกิจจานุเบกษา ตอนพิเศษ 12 มกราคม 1924)(NDLJP:2955561/21)
- ↑ 『官報』第3415号「宮廷録事」、大正13年1月14日(NDLJP:2955562/5)
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.105-106
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.106
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา ตอนพิเศษ บันทึกข้อความพระราชสำนัก 26 มกราคม 1924(NDLJP:2955573/3)
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.109
- ↑ 陛下、お尋ね申し上げます 1988 p.149
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.113-114
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.114-118
- ↑ ประกาศกระทรวงพระราชสำนัก ฉบับที่ 30 วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1925 (ราชกิจจานุเบกษา ตอนพิเศษ 6 ธันวาคม 1925)(NDLJP:2956136)
- ↑ 皇女照宮 1973 p.21
- ↑ 皇女照宮 1973 p.22-24
- ↑ 皇女照宮 1973 p.23
- ↑ 原 2017 p.379
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.122
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา ตอนพิเศษ บันทึกข้อความพระราชสำนัก 25 ธันวาคม 1926(NDLJP:2956454/20
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.123
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.126
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.127
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.128
- ↑ 原 2017 p.390
- ↑ 原 2017 p.391
- ↑ 原 2017 p.457
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.131
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.133
- ↑ 原 2017 p.394
- ↑ 原 2017 p.393-394
- ↑ 小田部 2001 p.148
- ↑ 原 2017 p.401-402
- ↑ 原 2017 p.424
- ↑ 原 2017 p.422-423
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.137
- ↑ 原 2017 p.419
- ↑ ประกาศกระทรวงพระราชสำนัก ฉบับที่ 30 ค.ศ. 1933(ราชกิจจานุเบกษา ตอนพิเศษ 23 ธันวาคม 1933)(NDLJP:2958568/18)
- ↑ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 28 ค.ศ. 1934(ราชกิจจานุเบกษา ฉบับที่ 2122 31 มกราคม 1934)
- ↑ 歴代皇后125代総覧420頁
- ↑ 原 2017 p.452
- ↑ 96.0 96.1 原 2017 p.454
- ↑ 原 2017 p.452-453
- ↑
- 日本ニュース 第27号「皇后陛下 女子高等師範行啓」- NHK戦争証言アーカイブス(1940年12月3日、東京女子高等師範学校への行啓)
- 日本ニュース 第44号「畏くも皇后陛下 白衣の勇士を御慰問」- NHK戦争証言アーカイブス(1941年4月1日、神奈川県高座郡大野村の臨時東京第三陸軍病院への行啓)
- 日本ニュース 第50号「皇后陛下伊勢神宮 橿原神宮御直拝」- NHK戦争証言アーカイブス(1941年5月16・17日、伊勢神宮と橿原神宮への参拝)
- 日本ニュース 第131号「畏し皇后陛下 陸海軍病院行啓」- NHK戦争証言アーカイブス(1942年12月3・4日、横須賀海軍病院と臨時陸軍第一病院への行啓)
- 日本ニュース 第155号「皇后陛下 陸軍造兵廠行啓」- NHK戦争証言アーカイブス(1943年5月19日、東京市第一陸軍造兵廠その他数カ所への行啓)
- 日本ニュース 第159号「皇后陛下行啓 光栄の銃後農村」- NHK戦争証言アーカイブス(1943年6月21日、多摩御陵への参拝と東京府南多摩郡七生村への行啓)
- ↑ 日本ニュース 第95号「朝香宮殿下 靖国の遺児を御激励」公開:1942年(昭和17年)3月30日 - NHK戦争証言アーカイブス
- ↑ 原 2017 p.460
- ↑ 原 2017 p.466-467
- ↑ 原 2017 p.467-468
- ↑ 原 2017 p.470
- ↑ 原 2017 p.476
- ↑ 貝出 1970, p.2
- ↑ 貝出 1970, p.3-4
- ↑ 原 2017 p.489
- ↑ 108.0 108.1 貝出 1970, p.3
- ↑ 原 2017 p.488-89
- ↑ 原 2017 p.491-92
- ↑ 原 2017 p.492
- ↑ 原 2017 p.503
- ↑ 昭和の母皇太后さま 2000 p.180
บรรณานุกรม
แก้- มานพ ถนอมศรี. ราชา-ราชินีที่โลกไม่ลืม. กรุงเทพฯ:ฐานบุ๊คส์, 2552. หน้า 351-365
- Bix, Herbert P. (2001). Hirohito and the Making of Modern Japan. Harper Perennial. ISBN 0-06-093130-2.
- Connors, Leslie. (1987). The Emperor's Adviser: Saionji Kinmochi and Pre-war Japanese Politics. London: Routledge. 10-ISBN 0-709-93449-1; 13-ISBN 978-0-7099-3449-3
- Koyama, Itoko. (1958). Nagako, Empress of Japan (translation of Kogo sama). New York: J. Day Co. OCLC 1251689
- Large, Stephen S. (1992). Emperor Hirohito and Shōwa Japan: Political Biography. London: Routledge. 10-ISBN 0-415-03203-2; 13-ISBN 978-0-415-03203-2
- Nish, Ian (2002). Japanese Foreign Policy in the Interwar Period. Praeger Publishers. ISBN 0-275-94791-2.
- 山田, 米吉 (1941). 大御光. 日本図書刊行会. 全国書誌番号:1101006.
- 貝出, 寿美子 (1970). "野口幽香の生涯(続". 東京女子大学附属比較文化研究所紀要. 28: 1–26. ISSN 0563-8186.
- 北條, 誠; 酒井, 美意子; 霜山, 操子 編集委員 (1973). 皇女照宮. 秋元書房. ASIN B000J9GT2U.
- 高橋, 紘 (1988). 陛下、お尋ね申し上げます 記者会見全記録と人間天皇の軌跡. 文藝春秋. ISBN 978-4167472016.
- 高松宮, 妃喜久子 (1998). 菊と葵のものがたり. 中央公論社. ISBN 978-4120028397.
- 高松宮, 妃喜久子 (2002). 菊と葵のものがたり. 中公文庫. ISBN 978-4122039599.
- 高松宮, 妃喜久子 (1998). 菊と葵のものがたり. 中央公論社. ISBN 978-4120028397.
- 女性自身編, 集部, บ.ก. (2000–2007). 昭和の母皇太后さま : 昭和天皇と歩まれた愛と激動の生涯 : 保存版. 光文社. ISBN 4334900925.
{{cite book}}
: CS1 maint: date format (ลิงก์)- 1986年に刊行された「御素顔の皇后さま」を改題し、増訂したもの。
- 小田部, 雄次 (2001–2006). ミカドと女官 菊のカーテンの向こう側. 恒文社. ISBN 978-4770410467.
{{cite book}}
: CS1 maint: date format (ลิงก์) - 石田, あゆう (2006). ミッチー・ブーム. 文春新書. 文藝春秋. ISBN 4-16-660513-5.
- 北原, 恵 (2014). "戦後天皇「ご一家」像の創出と公私の再編". 大阪大学大学院文学研究科紀要. 大阪大学大学院文学研究科. 54: 25–83. doi:10.18910/54053. ISSN 1345-3548.
- 原, 武史 (2015). 皇后考. 講談社. ISBN 978-4062193948.
- 原, 武史 (2017). 皇后考. 講談社学術文庫. ISBN 978-4062924733.
- ไวนิง, เอลิซาเบธ เกรย์ (2015). เดอะปรินส์วินโดว์. ห้องสมุดบุนชุน กะคุเกอิ. อิชิโร โคอิซุมิแปล. บุงเกชุนจู. ISBN 978-4168130441.※ตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1951
- 森, 暢平 (2016). "大正期における女性皇族像の転換 : 良子女王をめぐる検討". 成城文藝. 成城大学. 236: 26–60. ISSN 0286-5718.
- 女王, 彬子 (2018). "明治宮廷の華 ―女性皇族の意匠の変遷と三笠宮妃殿下の昔語り―". 華ひらく皇室文化 ―明治宮廷を彩る技と美―. 青幻舎: 8–21.
- 水間, 政憲 (2017). ひと目でわかる「戦前の昭和天皇と皇室」の真実. PHP研究所. ISBN 978-4569832982.
- 櫻井, 秀勲 (2019). 昭和から平成、そして令和へ 皇后三代~その努力と献身の軌跡. きずな出版. ISBN 978-4866630861.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- คุไนโจ สำนักพระราชวังญี่ปุ่น (อังกฤษ)
- BBC News: Japan mourns Empress Nagako
- BBC News: In pictures: Japan's imperial funeral
- Chicago Tribune: photo of Empress Nagako at White House during State Visit in 1975
ก่อนหน้า | จักรพรรดินีโคจุง | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ซะดะโกะ คุโจ | จักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น (พ.ศ. 2469–2532) |
มิชิโกะ โชดะ | ||
ซะดะโกะ คุโจ | พระพันปีหลวงแห่งญี่ปุ่น (พ.ศ. 2532–2543) |