ความสัมพันธ์กัมพูชา–ไทย

ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย

ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและไทย มีขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ในสมัยยุคอาณาจักรพระนคร ราชอาณาจักรไทยอยุธยาค่อย ๆ เข้ามาแทนที่จักรวรรดิเขมรที่เสื่อมถอยลงตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 ด้วยปัจจัยหลัก ๆ หลายแคว้นในสมัยพระนครเริ่มเสื่อมอำนาจลงอาณาจักรที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองอย่างสุโขทัย ล้านนา ล้านช้าง ละโว้ ไม่ขึ้นตรงต่ออาณาจักรพระนครอีกต่อไปทำให้มีแคว้นเกิดใหม่มากขึ้นรวมไปถึงอาณาจักรอยุธยาซึ่งเป็นอาณาจักรเกิดใหม่ อำนาจในอารักขาของฝรั่งเศสแยกกัมพูชาออกจากไทยสมัยใหม่ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 19–20 และความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างรัฐสมัยใหม่ได้สถาปนาขึ้นในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2493

ความสัมพันธ์กัมพูชา–ไทย
Map indicating location of กัมพูชา and ไทย

กัมพูชา

ไทย

ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศยังคงซับซ้อน การแบ่งเขตที่ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิด ความขัดแย้งชายแดนที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปราสาท พระวิหาร ซึ่งถูกนำขึ้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในปี 2505 แต่ยังคงเกิดการปะทะกันของทหารในปี 2551 และ 2554 ความขัดแย้งภายในของกัมพูชาตลอดช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1980 เข้ามาลุกลามเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยให้การรับผู้ลี้ภัยตามคำสั่งขององค์การสหประชาชาติในขณะนั้น แต่ยังให้การสนับสนุนทางอ้อมแก่ เขมรแดง ด้วยขณะนี้ประเทศไทยมีอำนาจเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุดในเชิงเศรษฐกิจ และเป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับที่หกในกัมพูชา

แม้ว่าความสัมพันธ์ส่วนใหญ่จะสงบสุขลงไปบ้างแล้ว แต่ประชาชนของทั้งสองประเทศ ยังคงมีความเป็นปฏิปักษ์อยู่บ้าง และมรดกทางวัฒนธรรมที่มีร่วมกันของทั้งสองประเทศได้ก่อให้เกิดการแข่งขันชาตินิยมอย่างดุเดือด ซึ่งมักแสดงออกมาผ่านสงครามเปลวไฟออนไลน์เกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของและต้นกำเนิดของมรดกดังกล่าว ความตึงเครียดเหล่านี้ยังปะทุขึ้นเป็นความรุนแรงเมื่อถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกชาตินิยม เหตุการณ์ดังกล่าวรวมถึงเหตุการณ์โจมตีสถานทูตไทยใน กรุงพนมเปญ เมื่อ พ.ศ. 2546 ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของไทยกับกัมพูชาลดระดับลง นอกจากนี้ประเทศไทยยังลดระดับความสัมพันธ์ใน พ.ศ. 2552 เพื่อตอบสนองต่อการสนับสนุนของรัฐบาลกัมพูชาต่ออดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่กัมพูชายุติความสัมพันธ์ (มีสถานทูตกัมพูชาประจำกรุงเทพฯ เป็นตัวแทน) สองครั้งใน พ.ศ. 2501 และ พ.ศ. 2504 ระหว่างความขัดแย้งพระวิหาร[1][2]

สมัยสงครามเย็น

แก้

ในช่วงทศวรรษ 1970 เขมรแดง ปกครองกัมพูชาในฐานะ กัมพูชาประชาธิปไตย ที่ได้ก่อการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชา ส่งผลทำให้ชาวกัมพูชาเสียชีวิตไปกว่าครึ่งประเทศของจำนวนประชากรทั้งหมดในขณะนั้น ทำให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาจำนวนมากหนีไปยังชายแดนไทยเพื่อหลบหนีระบอบการปกครองของ พลพต

เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2522 เวียดนาม ได้ทำการบุกกัมพูชาและถอดถอนรัฐบาลเขมรแดงออกจากอำนาจ และแทนที่ด้วย สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต และทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็น สงครามที่สิบเอ็ดปี ประเทศไทยปฏิเสธที่จะยอมรับรัฐบาล PRK และยังคงสนับสนุนฝ่ายกัมพูชาประชาธิปไตยที่ถูกโค่นล้ม แม้ว่าเขมรแดงและทั้งสองกลุ่มที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์จะรวมตัวกันจัดตั้ง รัฐบาลกัมพูชาพลัดถิ่น ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีเหนือ อาเซียน และ มหาอำนาจตะวันตก อื่น ๆ ในช่วงเวลานั้น ทหารเวียดนาม โจมตีค่ายผู้ลี้ภัย ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดฤดูแล้งประจำปี รัฐบาลไทยจัดตั้งหน่วย ทหารพราน ขึ้นเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยแถวชายแดนไทย-กัมพูชา

เมื่อคอมมินิสต์ฝั่งยุโรปได้ล่มสลายลง รวมไปถึงเหตุการณ์ล่มสลายของสหภาพโซเวียต ส่งผลทำให้กองทัพเวียดนามต้องถอนทหารออกจากกัมพูชาในปลาย พ.ศ. 2532 นำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพปารีส พ.ศ. 2534 ซึ่งปูทางไปสู่การฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์ใน พ.ศ. 2536

การจลาจลใน พ.ศ. 2546

แก้

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 เกิดการจลาจล ในกรุงพนมเปญหลังจากหนังสือพิมพ์กัมพูชาเผยปพร่การรายงานอย่างไม่ถูกต้องว่านักแสดงหญิงสาวชาวไทย สุวนันท์ คงยิ่ง ที่ระบุว่า นครวัด เป็นของประเทศไทยอย่างถูกต้อง และเมื่อวันที่ 29 มกราคม มีการเผาสถานทูตไทย และ ทำให้เกิดผู้อพยพชาวไทยที่อยู่ในกัมพูชาหลายร้อยคนหนีออกนอกประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง[3] ชาวกัมพูชาในกรุงพนมเปญบางส่วน ได้เผารูปพระบรมชายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทำให้ชาวไทยบางส่วนไม่พอใจอย่างมากทำให้มีการประท้วงหน้าสถานทูตกัมพูชา เผาธงชาติกัมพูชา มีการเผารูปพระนโรดม สีหนุ ส่งผลให้รัฐบาลไทยต้องตัดสัมพันธ์ทางการฑูตกับกัมพูชาในที่สุด และได้เริ่มปฎิบัติการณ์โปเชงตง[4] นายกรัฐมนตรี ฮุนเซน สั่งห้ามรายการและภาพยนตร์ไทยทางสถานีโทรทัศน์

ข้อพิพาทชายแดน พ.ศ. 2551

แก้

ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและไทยในเรื่องที่ดินที่อยู่ติดกันทำให้เกิดความรุนแรงเป็นระยะ ๆ

 
วัดพระวิหาร

การปะทะกันทางทหารเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551[5] ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 มีหลักฐานว่าเศษก้อนหินจากเขาพระวิหาร 66 ก้อนในวัดพระวิหารถูกกล่าวหาว่าได้รับความเสียหายจากทหารไทยที่ยิงข้ามชายแดน[6] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการกับ Google Maps เนื่องจากมีการพรรณนาพื้นที่ลุ่มน้ำตามธรรมชาติว่าเป็นเขตแดนระหว่างประเทศ แทนที่จะเป็นเส้นแบ่งเขตที่แสดงบนแผนที่ฝรั่งเศส พ.ศ. 2450 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศใช้ใน พ.ศ. 2505

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ขณะที่เจ้าหน้าที่ไทยอยู่ในกัมพูชาเพื่อเจรจาข้อพิพาท กองทหารไทยและกัมพูชาได้ปะทะกัน ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต[7] การโจมตีด้วยปืนใหญ่ในพื้นที่เกิดขึ้นระหว่างความขัดแย้ง รัฐบาลกัมพูชาอ้างว่าเกิดความเสียหายกับวัด[8] อย่างไรก็ตาม ภารกิจของ ยูเนสโก ไปยังพื้นที่ดังกล่าวเพื่อกำหนดขอบเขตของความเสียหายบ่งชี้ว่าการทำลายล้างเป็นผลมาจากการยิงของทั้งกัมพูชาและไทย[9][10]

ทั้งสองฝ่ายต่างโจมตีอีกฝ่าย และต่างตำหนิอีกฝ่ายที่เป็นต้นเหตุของความรุนแรง[11] เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 กัมพูชาได้ร้องเรียนอย่างเป็นทางการในจดหมายถึงสหประชาชาติว่า "การกระทำของทหารไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ละเมิดข้อตกลงปารีสปี 2534 กฎบัตรสหประชาชาติ และคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505" ตามที่จดหมายดังกล่าวอ้าง[12] เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ รัฐบาลกัมพูชาอ้างว่าวัดได้รับความเสียหายอย่างมาก ผู้บัญชาการทหารกัมพูชากล่าวว่า "ยอดหลังคาของปราสาทพระวิหารของเราพังทลายลงเป็นผลโดยตรงจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ของฝั่งไทย"[13] อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวในไทยพูดถึงความเสียหายเพียงเล็กน้อย โดยอ้างว่าทหารกัมพูชายิงจากภายในวัด[14]

อาเซียน ซึ่งทั้งสองรัฐสังกัดอยู่ได้เสนอที่จะไกล่เกลี่ยประเด็นนี้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยืนกรานว่าการหารือทวิภาคีจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ดีกว่า[11] เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฝ่ายขวา เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออก เนื่องจาก "ล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยของชาติ"[11]

การประชุมมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่จัดขึ้นใน กรุงปารีส เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 มุ่งมั่นที่จะยอมรับข้อเสนอการจัดการวัดของกัมพูชา ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงถอนตัวออกจากงาน โดยตัวแทนชาวไทยอธิบายว่า “เราขอถอนตัวเพื่อบอกว่าเราไม่ยอมรับการตัดสินใจใด ๆ จากการประชุมครั้งนี้”[15]

หลังจากกัมพูชาร้องขอเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ให้สั่งให้กองทัพไทยออกจากพื้นที่ ผู้พิพากษา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ด้วยคะแนนเสียง 11 – 5 เสียง จึงมีคำสั่งให้ ทั้งสอง ประเทศถอนกำลังทหารทันที และกำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติม บนกองกำลังตำรวจของพวกเขา ศาลกล่าวว่าคำสั่งนี้จะไม่กระทบต่อคำตัดสินขั้นสุดท้ายว่าพรมแดนในพื้นที่ระหว่างไทยและกัมพูชาควรตกอยู่ที่ไหน[16] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า ทหารไทยจะไม่ถอนตัวออกจากพื้นที่พิพาทจนกว่ากองทัพของทั้งสองประเทศจะตกลงถอนตัวร่วมกัน “ผมไม่ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่ายที่จะมารวมตัวกันและพูดคุยกัน” เขากล่าว โดยเสนอว่าคณะกรรมการร่วมชายแดนที่มีอยู่จะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการวางแผนการถอยกลับร่วมกัน ICJ ตัดสินเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ว่าพื้นที่รอบ ๆ และด้านล่างปราสาทเป็นของกัมพูชา และกองกำลังความมั่นคงของไทยที่ยังอยู่ในพื้นที่นั้นจะต้องออกไป[17][18]

เช่นเดียวกับข้อพิพาทเรื่องพระวิหาร ความรู้สึกชาตินิยมในทั้งสองประเทศยังได้โต้แย้งองค์ประกอบอื่น ๆ ของกัมพูชาและมรดกทางวัฒนธรรมที่มีร่วมกันของไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ปี 2010 สิ่งนี้กลายเป็นการแข่งขันทางออนไลน์ระหว่าง ชาวเน็ต เกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของและต้นกำเนิดของมรดกที่มีร่วมกัน ซึ่งบางครั้งก็ปะทุขึ้นเมื่อเกิดความโกรธเคืองทางออนไลน์และ สงครามเปลวไฟ เมื่อมรดกดังกล่าวกลายเป็นประเด็นข่าว เหตุการณ์สำคัญในอดีต ได้แก่ การโต้เถียงเกี่ยวกับการเต้นรำสวมหน้ากากแบบดั้งเดิมของ ละคร โขน เมื่อได้รับการพิจารณาให้รวมไว้ใน รายการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของ UNESCO ในปี 2559 และการโต้แย้งเรื่องศิลปะการต่อสู้แบบ เขมร / มวยไทย ในระหว่าง การแข่งขันซีเกมส์ 2566[19][20]

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. Kasetsiri, Charnvit (March 2003). "Thailand and Cambodia: A Love-Hate Relationship". Kyoto Review of Southeast Asia (3). สืบค้นเมื่อ 17 March 2018.
  2. "ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา". East Asia Watch. Thai Ministry of Foreign Affairs. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-03-18. สืบค้นเมื่อ 17 March 2018.
  3. "Cambodia apologises to Thais". BBC News. 30 January 2003. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 December 2012. สืบค้นเมื่อ 1 August 2012.
  4. John Aglionby. "Thais cut links with Cambodia after riots | World news". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2016-10-22.
  5. "Let's deal with this calmly". Bangkok Post. January 27, 2011.
  6. Sambath, Thet (8 April 2009). "Preah Vihear Damage Significant". The Phnom Penh Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 July 2011. สืบค้นเมื่อ 30 January 2014.
  7. Schearf, Daniel (February 4, 2011). "Thailand, Cambodia Border Fighting Breaks Out Amid Tensions". Voice of America.
  8. Petzet, Michael (2010). "Cambodia: Temple of Preah Vihear". In Christoph Machat, Michael Petzet and John Ziesemer (Eds.), "Heritage at Risk: ICOMOS World Report 2008-2010 on Monuments and Sites in Danger" (PDF). Berlin: hendrik Bäßler verlag, 2010
  9. "UNESCO to send mission to Preah Vihear". UNESCO. February 8, 2011. สืบค้นเมื่อ June 6, 2011.
  10. "Director-General expresses alarms over escalation of violence between Thailand and Cambodia". UNESCO. February 6, 2011. สืบค้นเมื่อ June 6, 2011.
  11. 11.0 11.1 11.2 "Shells fly around the temple". The Economist. February 7, 2011. สืบค้นเมื่อ February 7, 2011.
  12. "Thailand, Cambodia trade shots, charges over ancient temple". CNN. February 8, 2011.
  13. "Thai-Cambodia clashes 'damage Preah Vihear temple'", BBC, February 6, 2011
  14. "เขมรเวอร์จริง บันไดนาคโดนสะเก็ดถลอก แต่โวยวายพระวิหารใกล้พัง". Manager. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 February 2011. สืบค้นเมื่อ 2016-10-22.
  15. "Thailand quits heritage body amid temple row". Sin Chew Daily. AFP. 26 June 2011. สืบค้นเมื่อ 26 June 2011. Suwit said that Thailand took the decision because the convention agreed to put Cambodia's proposed management plan for the Preah Vihear temple on its agenda.
  16. "UN orders troops away from temple". The Independent. July 18, 2011. Asia. สืบค้นเมื่อ 18 July 2011.
  17. "Preah Vihear temple: Disputed land Cambodian, court rules". BBC News. November 11, 2013. สืบค้นเมื่อ 11 November 2013.
  18. "Judgment: Request for Interpretation of the Judgment of 15 June 1962 in the Case Concerning the Temple of Preah Vihear (Cambodia v. Thailand)" (PDF). Recorded by L.Tanggahma. The Hague, Netherlands: International Court of Justice. 2013-11-11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-11-11. สืบค้นเมื่อ 2013-11-16.{{cite web}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  19. Rim, Sokvy (12 May 2023). "Cambodia and Thailand's Cultural Rivalry Has Serious Implications". The Diplomat. สืบค้นเมื่อ 7 March 2024.
  20. Herman, Steve (7 June 2016). "Cambodia, Thailand Dancing Out of Sync". Voice of America (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 7 March 2024.