กัมพูชาประชาธิปไตย

กัมพูชาประชาธิปไตย (เขมร: កម្ពុជាប្រជាធិបតេយ្យ กมฺพุชาบฺรชาธิบเตยฺย; อังกฤษ: Democratic Kampuchea) คือ ชื่อของประเทศกัมพูชาระหว่างปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2525 ซึ่งเกิดจากการโค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรของนายพลลอลนอล และได้จัดปกครองในรูปแบบรัฐคอมมิวนิสต์โดยพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาหรือเป็นที่เรียกกันทั่วไปว่า เขมรแดง (ในสมัยนี้องค์กรของรัฐบาลมักเรียก "องค์การเหนือ" (เขมร: អង្គការលើ องฺคการเลี)[4] ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชานั้น แกนนำของพรรคให้เรียกชื่อว่า "องค์การปฏิวัติ" (เขมร: អង្គការបដិវត្ត; องฺคการบฎิวตฺต)[5] โดยผู้นำสูงสุดของประเทศที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดคือนายพล พต ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเขมรแดงด้วย

กัมพูชา
(2518-2519)
កម្ពុជា
Kâmpŭchéa

กัมพูชาประชาธิปไตย
(2519-2525)
កម្ពុជាប្រជាធិបតេយ្យ
Kâmpŭchéa Prâcheathippadey
พ.ศ. 2518–พ.ศ. 2525
ธงชาติกัมพูชา
ธงชาติ (พ.ศ. 2519–2522)
ตราแผ่นดินของกัมพูชา
ตราแผ่นดิน
เพลงชาติ(พ.ศ. 2519–2522)
สิบเจ็ดเมษามหาโชคชัย
ដប់ប្រាំពីរមេសាមហាជោគជ័យ

ที่ตั้งกัมพูชาประชาธิปไตย
ที่ตั้งกัมพูชาประชาธิปไตย
สถานะสาธารณรัฐสังคมนิยม
เมืองหลวงพนมเปญ
ภาษาทั่วไปภาษาเขมร
การปกครองราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญแบบเดี่ยวภายใต้เผด็จการเบ็ดเสร็จแบบลัทธิมากซ์-เลนิน (2518-2519)
สาธารณรัฐสังคมนิยมโดยมีพรรคการเมืองเดียวแบบลัทธิมากซ์-เลนินแบบเดี่ยวภายใต้เผด็จการเบ็ดเสร็จ[1][2][3] (2519-2524)
สาธารณรัฐสังคมนิยมโดยมีพรรคการเมืองเดียวเดี่ยวภายใต้รัฐบาลชั่วคราว (2524-2525)
เลขาธิการพรรค 
• 2519–2522
พล พต
ประมุขแห่งรัฐ 
• 2518–2519
พระนโรดม สีหนุ
• 2519–2522
เขียว สัมพัน
นายกรัฐมนตรี 
• 2518–2519
แปน นุต
• 2519–2522
พล พต
สภานิติบัญญัติสภาผู้แทนประชาชน
ยุคประวัติศาสตร์สงครามเย็น
2510-2518
• สถาปนา
17 เมษายน พ.ศ. 2518
• พนมเปญแตก
7 มกราคม
22 มิถุนายน พ.ศ. 2525
• ฟื้นฟูระบอบกษัตริย์
24 กันยายน พ.ศ. 2536
สกุลเงินไม่มี เนื่องจากระบบเงินตราถูกยกเลิก
ก่อนหน้า
ถัดไป
2518:
สาธารณรัฐเขมร
2519:
ราชรัฏฐาภิบาลรวบรวมชาติกัมพูชา
2522:
สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา
2525:
รัฏฐาภิบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตย

ในปี พ.ศ. 2522 กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาภายใต้การนำของเฮง สัมริน และกองทัพเวียดนามได้รุกเข้ามาทางชายแดนตอนใต้ของกัมพูชาและสามารถโค่นล้มรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยได้สำเร็จ พร้อมทั้งได้จัดการปกครองประเทศใหม่ในชื่อ สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา กองทัพเขมรแดงจึงได้ถอยร่นไปตั้งมั่นในทางภาคเหนือของประเทศและยังคงจัดรูปแบบการปกครองตามระบบของกัมพูชาประชาธิปไตยเดิมต่อไป

ประวัติศาสตร์แก้ไข

ด้วยการสนับสนุนของชาวกัมพูชาในชนบท เขมรแดงจึงสามารถเข้าสู่กรุงพนมเปญได้เมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 พวกเขายังให้พระนโรดม สีหนุเป็นผู้นำประเทศแต่ในนามจนถึง 2 เมษายน พ.ศ. 2519 หลังจากนั้น พระนโรดม สีหนุ ถูกกักบริเวณในพนมเปญ จนกระทั่งเกิดสงครามกับเวียดนาม พระองค์จึงลี้ภัยไปที่ประเทศจีน

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2519 พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้ประกาศรัฐธรรมนูญของกัมพูชาประชาธิปไตยโดยกำหนดให้มีสภาตัวแทนประชาชนกัมพูชา การเลือกตั้งและการแต่งตั้งประธานาธิบดี ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี สภานี้มีการประชุมเพียงครั้งเดียวในเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 สมาชิกของสภานี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการแต่งตั้งของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ อำนาจของรัฐที่แท้จริงแล้วยังเป็นของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาซึ่งนำโดยเลขาธิการพรรคและนายกรัฐมนตรี คือ พล พต รองเลขาธิการพรรคคือนวน เจีย และคนอื่นๆอีก 7 คน สำนักงานตั้งอยู่ที่ สำนักงาน 870 ในกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในขณะนั้นว่า ศูนย์กลาง, องค์กร, หรืออังการ์

เขมรแดงได้ทำลายระบบกฎหมายและระบบศาลของสาธารณรัฐเขมร ไม่มีศาลผู้พิพากษา​หรือกฎหมายใดๆ ในกัมพูชาประชาธิปไตย ศาลประชาชนที่มีระบุในหมวดที่ 9 ของรัฐธรรมนูญไม่เคยถูกตั้งขึ้น เจ้าหน้าที่ในระบบศาลเดิมถูกส่งตัวเข้าค่ายสัมมนาและสอบสวน ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐและผู้สนับสนุนรัฐบาลเดิมถูกกักขังและประหารชีวิต[6]

ทันทีที่พนมเปญแตก เขมรแดงสั่งให้อพยพประชาชนจำนวนมากออกจากเมืองโดยกล่าวอ้างว่าสหรัฐอเมริกาจะมาทิ้งระเบิด การอพยพประชาชนเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองอื่นด้วยเช่น พระตะบอง กำปงจาม เสียมราฐ กำปงธม เขมรแดงจัดให้ประชาชนเหล่านี้ออกมาอยู่ในนิคมในชนบท ให้อาหารแต่เพียงพอรับประทาน ไม่มีการขนส่ง บังคับให้ประชาชนทำการเกษตรเพื่อผลิตอาหารให้เพียงพอ เขมรแดงต้องการเปลี่ยนประเทศไปสู่ความบริสุทธิ์ที่ไม่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงและปรสิตในสังคมเมือง นิคมที่สร้างขึ้นบังคับให้ทั้งชายหญิงและเด็กออกไปทำงานในทุ่งนา ทำลายชีวิตครอบครัวดั้งเดิมซึ่งเขมรแดงกล่าวว่าเป็นการปลดแอกผู้หญิง

หลังจากได้ชัยชนะในสงครามกลางเมืองไม่นาน เกิดการปะทะระหว่างทหารเวียดนามกับทหารเขมรแดงเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2518 อีกไม่กี่เดือนต่อมา พล พตและเอียง ซารี เดินทางไปฮานอยทำให้ความขัดแย้งสงบลง ในขณะที่เขมรแดงครองอำนาจในกัมพูชา ผู้นำเวียดนามตัดสินใจสนับสนุนกลุ่มต่อต้านพล พตในกัมพูชาเมื่อต้นปี พ.ศ. 2521 ทำให้กัมพูชาตะวันออกเป็นเขตที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 เกิดการลุกฮือในกัมพูชาตะวันออกนำโดยโส พิม ทำให้มีการฆ่าชาวเวียดนามในกัมพูชาตะวันออกเป็นจำนวนมาก สถานีวิทยุพนมเปญประกาศว่าถ้าทหารกัมพูชา 1 คน ฆ่าทหารเวียดนามได้ 30 คน กำลังทหารเพียง 2 ล้านคนจะเพียงพอในการฆ่าชาวเวียดนาม 50 ล้านคน และยังแสดงความต้องการจะยึดดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมาเป็นของกัมพูชา ในเดือนพฤศจิกายน วอน เว็ต ก่อรัฐประหารแต่ล้มเหลว ทำให้มีชาวเวียดนามและชาวกัมพูชานับหมื่นคนอพยพเข้าสู่เวียดนาม ในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2521 วิทยุฮานอยประกาศจัดตั้งแนวร่วมสามัคคีประชาชาติกู้ชาติกัมพูชา ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของกลุ่มต่อต้านพล พตทั้งที่นิยมและไม่นิยมคอมมิวนิสต์ โดยมีกองทัพเวียดนามหนุนหลัง เวียดนามเริ่มรุกรานกัมพูชาเพื่อโค่นล้มเขมรแดงตั้งแต่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2521 และสามารถเข้าสู่กรุงพนมเปญ ขับไล่เขมรแดงออกไปได้เมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2522[7] จัดตั้งสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาขึ้นแทน

แนวร่วมเขมรสามฝ่ายแก้ไข

สหประชาชาติยังคงให้กัมพูชาประชาธิปไตยมีที่นั่งในสหประชาชาติโดยตัวแทนคือเทือน ประสิทธิ์ และเอียง ซารีโดยใช้ชื่อกัมพูชาประชาธิปไตยจนถึง พ.ศ. 2525 จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตยจนถึง พ.ศ. 2536 จีนและสหรัฐอเมริการวมทั้งชาติตะวันตกอื่นๆ ต่อต้านการขยายตัวของเวียดนามและโซเวียตเข้าไปในกัมพูชาและการจัดตั้งสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา โดยกล่าวอ้างว่าเป็นรัฐหุ่นเชิดของเวียดนาม จีนสนับสนุนเขมรแดงจนถึง พ.ศ. 2532 ส่วนสหรัฐสนับสนุนกลุ่มที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ในการต่อต้านรัฐบาลที่มีเวียดนามหนุนหลัง โดยให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มของซอน ซานและสีหนุ ในทางปฏิบัติ ความเข้มแข็งของกองทหารของกลุ่มที่ไม่ใช่เขมรแดงมีน้อยแม้จะได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนมากกว่า ในที่สุด ทั้งสามกลุ่มจึงรวมเป็นแนวร่วมเขมรสามฝ่ายหรือรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2525

จากการพยายามเจรจาสันติภาพเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในกัมพูชา ฝ่ายสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชายินดีเข้าร่วมแต่เขมรแดงปฏิเสธทำให้ถูกตัดออกไป เขมรแดงจึงเป็นกลุ่มเดียวในเขมรสามฝ่ายที่ยังคงสู้รบอยู่ กลุ่มของซอน ซานและสีหนุเข้าร่วมในแผนการสันติภาพและการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2536[8] ต่อมาใน พ.ศ. 2540 พล พต สั่งฆ่าซอน เซน นายทหารคนสนิทในข้อหาพยายามเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลกัมพูชา ใน พ.ศ. 2541 พล พต เสียชีวิต เขียว สัมพัน เอียง ซารียอมมอบตัวกับทางรัฐบาล ตา มกยังคงหลบหนีจนถูกจับได้ใน พ.ศ. 2542 กลุ่มเขมรแดงจึงสิ้นสุดลง

 
แผนที่กัมพูชาจัดเรียงด้วยกะโหลกศีรษะของผู้เสียชีวิตจัดแสดงในตวล แสลงซึ่งเคยเป็นคุก S-21 ในสมัยกัมพูชาประชาธิปไตย

ความสัมพันธ์กับต่างประเทศแก้ไข

กัมพูชาประชาธิปไตยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศจีนและเกาหลีเหนือ นอกจากสองประเทศนี้แล้ว ประเทศอื่นที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาประชาธิปไตยคือ อียิปต์ แอลเบเนีย คิวบา ลาว เวียดนาม (จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2520)[9] โรมาเนีย และยูโกสลาเวีย

กองทัพแก้ไข

 
กองทัพกัมพูชาประชาธิปไตย พ.ศ. 2518 - 2522

ทหารประมาณ 68,000 คนของกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนกัมพูชาได้กลายมาเป็นกองทัพของกัมพูชาประชาธิปไตยในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518[10] และเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพปฏิวัติกัมพูชา รัฐมนตรีว่าการ​กระทรวงกลาโหมคือ ซอน เซน

การแบ่งเขตบริหารแก้ไข

ใน พ.ศ. 2518 รัฐบาลเขมรแดงได้เปลี่ยนแปลงเขตการปกครองภายในประเทศโดยได้แบ่งตามเขตภูมิศาสตร์​แทนการแบ่งเป็นจังหวัด ซึ่งได้มาจากการแบ่งหน่วยของเขมรแดงในการต่อสู้กับสาธารณรัฐเขมร[11]โดยแบ่งเป็น 7 เขต ได้แก่ เขตเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตก ตะวันตกเฉียงใต้ และเขตกลาง และมีเขตพิเศษอีกสองเขตคือเขตพิเศษกระแจะหมายเลข 505 และเขตพิเศษเสียมราฐ​หมายเลข 106 (ก่อนกลางปี พ.ศ. 2520) แต่ละเขตแบ่งย่อยลงไปอีกเป็นตำบล ซึ่งกำหนดเป็นตัวเลข ภายในหมู่บ้านแบ่งย่อยเป็นกลุ่มหรือกรม ประกอบด้วย 15 – 20 หลังคาเรือน โดยมีผู้นำเรียกแม่กรม รูปแบบการปกครองแบบนี้ ยังใช้อยู่หลังการรุกรานกัมพูชาของเวียดนามแต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว

การเมืองแก้ไข

หลังจากได้ชัยชนะในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 พล พตและผู้ใกล้ชิดได้ขึ้นสู่ตำแหน่งที่สำคัญของประเทศ เขียว ธีริทได้เป็นผู้ควบคุมกองกำลังเยาวชนของพรรค อย่างไรก็ตาม การเป็นผู้นำยังไม่สมบูรณ์เพราะยังมีส่วนย่อยของพรรคในภาคตะวันออก กลุ่มผู้นิยมเวียดนามและกลุ่มอดีตผู้นำเขมรอิสระยังเป็นเอกเทศภายในพรรค ตลอดที่ครองอำนาจ ได้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคจนเกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่ใน พ.ศ. 2520 และ 2521 ทำให้มีประชาชนและผู้นำพรรคถูกสังหารเป็นจำนวนมาก

 
การแต่งกายยุคเขมรแดง (ชุดดำและผ้าขาวม้า) เพื่อแสดงถึงการไม่แบ่งชนชั้นและทุกคนเท่าเทียมกัน

ศาสนาแก้ไข

แม้ว่าในมาตรา 20 ของรัฐธรรมนูญกัมพูชาประชาธิปไตยรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่ก็มีการประกาศห้ามการนับถือศาสนาทุกศาสนา ประชากรประมาณร้อยละ 85 นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีพระภิกษุ 40,000 - 60,000 รูป พระภิกษุถูกกล่าวหาว่าเป็นปรสิตของสังคมถูกบังคับให้สึกและออกไปใช้แรงงาน พระภิกษุที่ไม่ยอมสึกถูกประหารชีวิต วัดถูกเปลี่ยนเป็นยุ้งฉาง พระพุทธรูปถูกทำลายและนำไปทิ้งน้ำ ประชาชนที่สวดมนต์หรือปฏิบัติศาสนกิจถูกฆ่า

ผู้นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนิยมตะวันตก โบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกในพนมเปญถูกสั่งปิด ชาวมุสลิมถูกบังคับให้รับประทานหมูที่เป็นหะรอม ผู้ไม่ทำตามถูกฆ่า บาทหลวงและอิหม่ามถูกนำไปตัวไปประหารชีวิต

ชนกลุ่มน้อยแก้ไข

เขมรแดงต้องการลดจำนวนชาวจีน ชาวเวียดนามและชาวจามในกัมพูชา รวมทั้งชนกลุ่มน้อย ๆ อื่น ๆ อีกกว่าสิบเผ่าซึ่งคิดเป็นประชากรร้อยละ 15 ของกัมพูชา[12] ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ถูกฆ่า ที่เหลือรอดมาได้คือผู้ที่อพยพเข้าสู่เวียดนาม ชาวจามซึ่งเป็นมุสลิมที่เหลือรอดหลังการล่มสลายของอาณาจักรจามปาถูกบังคับให้พูดภาษาเขมร ให้แต่งกายตามแบบของชาวเขมร หมู่บ้านของพวกเขาที่อยู่ต่างหากจากชาวเขมรถูกทำลาย เฉพาะชาวจามในจังหวัดกำปงจามถูกฆ่าไปราวสี่หมื่นคน ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยตามแนวชายแดนไทยได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทย

ชาวจีนในกัมพูชาเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกเขมรแดงสังหาร และ ชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนที่เป็นพ่อค้าถูกเขมรแดงสังหารไปเป็นจำนวนมาก[13] ชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนเมื่อสิ้นสุดสมัยสาธารณรัฐเขมร พ.ศ. 2518 มีประมาณ 425,000 คน แต่เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2522 เหลืออยู่เพียงประมาณ 200,000 คน

สำหรับนโยบายของเขมรแดงต่อชนเผ่าต่าง ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชาที่เรียกว่า ชาวเขมรบน หรือ ขะแมร์เลอ นั้นมีน้อยมาก เพราะ พล พต เคยอาศัยพื้นที่ของชนเผ่าต่าง ๆ ในจังหวัดรัตนคีรีเป็นที่ตั้งมาก่อน และมีสมาชิกพรรคหลายคน แต่งงานกับหญิงชาวเขมรบนเหล่านี้

เศรษฐกิจแก้ไข

 
ประชาชนถูกบังคับใช้แรงงาน ทำนารวม ในยุคเขมรแดง

นโยบายเศรษฐกิจของกัมพูชาประชาธิปไตยเป็นเช่นเดียวกับ นโยบายการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของจีนเมื่อ พ.ศ. 2501 ในช่วงแรก เขมรแดงได้จัดระบบเศรษฐกิจแบบนารวมในพื้นที่ยึดครองของตน หลัง พ.ศ. 2516 ได้มีการจัดตั้งความร่วมมือในระดับต่ำ คือ เอกชนยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ และความร่วมมือระดับสูงที่เอกชนเป็นเจ้าของที่ดินไม่ได้ที่เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2517 และได้แพร่หลายไปทั่วประเทศเมื่อ พ.ศ. 2519

เขมรแดงพยายามสร้างเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง ยกเลิกระบบเงินตราและการค้าขาย ข้าวกลายเป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนที่สำคัญ การค้าขายกับต่างประเทศถูกระงับไปโดยสมบูรณ์ แต่ก็รื้อฟื้นขึ้นใหม่ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2519 ถึงต้นปี พ.ศ. 2520โดยเป็นการค้าขายกับจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ก็มีการค้าขายกับฝรั่งเศส อังกฤษ และสหรัฐบ้างโดยผ่านทางฮ่องกง ภายในประเทศไม่ได้รับอิทธิพลทางเศรษฐกิจจากประเทศอื่น ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ของเขมรแดงล้มเหลว เหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศจีน

การศึกษาและสุขภาพแก้ไข

ครูจำนวนมากที่สอนในกัมพูชาก่อน พ.ศ. 2518 ถูกจับและประหารชีวิต ไม่มีการสอนทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์และการอ่านออกเขียนได้ แต่จะสอนเกี่ยวกับทฤษฎีปฏิวัติให้กับเยาวชน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนวัยหนุ่มสาวกับวัยผู้ใหญ่ มีการจัดตั้งพันธมิตรเยาวชนคอมมิวนิสต์กัมพูชา ซึ่งพล พตเชื่อมั่นว่าเป็นกลุ่มที่จงรักภักดีต่อเขา เขียว ธีริต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจกรรมสังคมเป็นผู้ควบคุมขบวนการเยาวชน

การดูแลสุขภาพของประชาชนในช่วง พ.ศ. 2518 – 2521 อยู่ในสภาพแย่ แพทย์ส่วนใหญ่ถูกประหารชีวิตมิเช่นนั้นก็ไม่แสดงตน เฉพาะคนในพรรคและทหารที่ได้รับการรักษาแบบตะวันตก ประชาชนส่วนใหญ่ต้องใช้หมอพื้นบ้านและสมุนไพร

อ้างอิงแก้ไข

  1. {{cite book|last=Jackson|first=Karl D.|title=Cambodia, 1975–1978: Rendezvous with Death|year=1989|publisher=Princeton University Press|isbn=0-691-02541-X |page=219}}
  2. "Khmer Rouge's Slaughter in Cambodia Is Ruled a Genocide". The New York Times. 15 พฤศจิกายน 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 เมษายน 2019. สืบค้นเมื่อ 13 เมษายน 2019.
  3. Kiernan, B. (2004) How Pol Pot came to Power. New Haven: Yale University Press, p. xix
  4. "Cambodia Since April 1975". Center for Southeast Asian Studies, Northern Illinois University. สืบค้นเมื่อ 2007-11-26.
  5. "A History of Democratic Kampuchea (1975-1979)". monument-books.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-18. สืบค้นเมื่อ 2007-11-26.
  6. "Judgement of the Trial Chamber of the Extraordinary Chambers in the Courts of Cambodia". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-09-28. สืบค้นเมื่อ 2012-03-12.
  7. “”. "A video on Vietnamese invasion". Youtube.com. สืบค้นเมื่อ 2010-07-27.{{cite web}}: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์)
  8. "United Nations Advance Mission In Cambodia (Unamic) – Background". United Nations. สืบค้นเมื่อ February 27, 2009.
  9. Martin, M.A. Cambodia: A Shattered Society. University of California, 1994. p 204.
  10. วิดีโอของขบวนสวนสนามของเขมรแดงใน พ.ศ. 2518 ดูได้ที่ [1]
  11. Tyner, James A. (2008). The Killing of Cambodia: Geopolitics, Genocide, and the Unmaking of Space. Burlington, VT: Ashgate. ISBN 978-0-7546-7096-4.
  12. Gellately, Robert; Kiernan, Ben (2003). The Specter of Genocide: Mass Murder in Historical Perspective. Cambridge University Press. pp. 313–314.
  13. Kiernan, Ben (2008). The Pol Pot regime: Race, Power, and Genocide in Cambodia under the Khmer Rouge. Yale University Press. p. 431.

เชิงอรรถแก้ไข

แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข

  วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Democratic Kampuchea