กัมพูชาประชาธิปไตย

อดีตรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จในอดีต

กัมพูชาประชาธิปไตย (เขมร: កម្ពុជាប្រជាធិបតេយ្យ กมฺพุชาบฺรชาธิบเตยฺย; อังกฤษ: Democratic Kampuchea) คือชื่อของประเทศกัมพูชาระหว่าง พ.ศ. 2519–2525 ซึ่งเกิดจากการโค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรของนายพลลอน นอล และได้จัดปกครองในรูปแบบรัฐคอมมิวนิสต์โดยพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาหรือเป็นที่เรียกกันทั่วไปว่า เขมรแดง (ในสมัยนี้องค์กรของรัฐบาลมักเรียก "องค์การเหนือ" (เขมร: អង្គការលើ องฺคการเลี)[6] ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชานั้น แกนนำของพรรคให้เรียกชื่อว่า "องค์การปฏิวัติ" (เขมร: អង្គការបដិវត្ត; องฺคการบฎิวตฺต)[7] โดยผู้นำสูงสุดของประเทศที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดคือพล พต ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเขมรแดงในขณะนั้น และเป็นต้นตอของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมรกว่า 1.5–2 ล้านคนอีกด้วย

กัมพูชา
កម្ពុជា (เขมร)
(2518–2519)
กัมพูชาประชาธิปไตย
កម្ពុជាប្រជាធិបតេយ្យ (เขมร)
(2519–2522)
1975–1979
ธงชาติกัมพูชา
ตราแผ่นดิน (2519–2522)ของกัมพูชา
ตราแผ่นดิน
(2519–2522)
เพลงชาติ"สิบเจ็ดเมษามหาโชคชัย"
ដប់ប្រាំពីរមេសាមហាជោគជ័យ
(2519–2522)
ที่ตั้งของกัมพูชาประชาธิปไตย
ที่ตั้งของกัมพูชาประชาธิปไตย
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
พนมเปญ
ภาษาทั่วไปเขมร
ศาสนา
รัฐอเทวนิยม[1]
การปกครองรัฐเดี่ยว ลัทธิมากซ์–เลนิน–เหมา[2] พรรคการเมืองเดียว สาธารณรัฐสังคมนิยมภายใต้เผด็จการเบ็ดเสร็จ[3][4][5]
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา 
• 2518–2522
พล พต
ประมุขแห่งรัฐ 
• 2518–2519
นโรดม สีหนุ
• 2519–2522
เขียว สัมพัน
นายกรัฐมนตรี 
• 2518–2519
แปน นุต
• 2519
เขียว สัมพัน (รักษาการ)
• 2519
พล พต
• 2519
นวน เจีย (รักษาการ)
• 2519–2522
พล พต
สภานิติบัญญัติสภาผู้แทนประชาชน
ยุคประวัติศาสตร์สงครามเย็น
17 เมษายน 2518
• จัดตั้งรัฐธรรมนูญ
5 มกราคม 2519
21 ธันวาคม 2521
7 มกราคม 2522
22 มิถุนายน 2525
สกุลเงินไม่มี (ระบบการเงินถูกยกเลิก)
เขตเวลาUTC+07:00 (เวลาอินโดจีน)
รูปแบบวันที่วว/ดด/ปปปป
ขับรถด้านขวามือ
รหัส ISO 3166KH
ก่อนหน้า
ถัดไป
2518:
สาธารณรัฐเขมร
2519:
ราชรัฏฐาภิบาลรวบรวมชาติกัมพูชา
2522:
สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา
2525:
รัฏฐาภิบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตย
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศกัมพูชา

ใน พ.ศ. 2522 กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาภายใต้การนำของเฮง สัมริน และกองทัพเวียดนามได้รุกเข้ามาทางชายแดนตอนใต้ของกัมพูชาและสามารถโค่นล้มรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยได้สำเร็จ พร้อมทั้งได้จัดการปกครองประเทศใหม่ในชื่อ สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา กองทัพเขมรแดงจึงได้ถอยร่นไปตั้งมั่นในทางภาคเหนือของประเทศและยังคงจัดรูปแบบการปกครองตามระบบของกัมพูชาประชาธิปไตยเดิมต่อไป

ประวัติศาสตร์

แก้

ด้วยการสนับสนุนของชาวกัมพูชาในชนบท เขมรแดงจึงสามารถเข้าสู่กรุงพนมเปญได้เมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 พวกเขายังให้กษัตริย์นโรดม สีหนุเป็นผู้นำประเทศแต่ในนามจนถึงวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2519 หลังจากนั้นพระนโรดม สีหนุ ถูกกักบริเวณในพนมเปญ จนกระทั่งเกิดสงครามกับเวียดนาม พระองค์จึงลี้ภัยไปที่ประเทศจีน

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2519 พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้ประกาศรัฐธรรมนูญของกัมพูชาประชาธิปไตยโดยกำหนดให้มีสภาตัวแทนประชาชนกัมพูชา การเลือกตั้งและการแต่งตั้งประธานาธิบดี ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี สภานี้มีการประชุมเพียงครั้งเดียวในเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 สมาชิกของสภานี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการแต่งตั้งของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ อำนาจของรัฐที่แท้จริงแล้วยังเป็นของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาซึ่งนำโดยเลขาธิการพรรคและนายกรัฐมนตรี คือ พล พต รองเลขาธิการพรรคคือนวน เจีย และคนอื่น ๆ อีก 7 คน สำนักงานตั้งอยู่ที่สำนักงาน 870 ในกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในขณะนั้นว่า ศูนย์กลาง, องค์กร, หรืออังการ์

เขมรแดงได้ทำลายระบบกฎหมายและระบบศาลของสาธารณรัฐเขมร ไม่มีศาลผู้พิพากษา​หรือกฎหมายใด ๆ ในกัมพูชาประชาธิปไตย ศาลประชาชนที่มีระบุในหมวดที่ 9 ของรัฐธรรมนูญไม่เคยถูกตั้งขึ้น เจ้าหน้าที่ในระบบศาลเดิมถูกส่งตัวเข้าค่ายสัมมนาและสอบสวน ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐและผู้สนับสนุนรัฐบาลเดิมถูกกักขังและประหารชีวิต[8]

ทันทีที่พนมเปญแตก เขมรแดงสั่งให้อพยพประชาชนจำนวนมากออกจากเมืองโดยกล่าวอ้างว่าสหรัฐอเมริกาจะมาทิ้งระเบิด การอพยพประชาชนครั้งใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองอื่นด้วยเช่น พระตะบอง กำปงจาม เสียมราฐ กำปงธม เขมรแดงจัดให้ประชาชนเหล่านี้ออกมาอยู่ในนิคมในชนบท ให้อาหารแต่เพียงพอรับประทาน ไม่มีระบบการขนส่ง บังคับให้ประชาชนทำการเกษตรเพื่อผลิตอาหารให้เพียงพอ เขมรแดงต้องการเปลี่ยนประเทศไปสู่ความบริสุทธิ์ที่ไม่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงและปรสิตในสังคมเมืองอย่างที่พวกเขาเชื่อ นิคมที่สร้างขึ้นบังคับให้ทั้งชายหญิงและเด็กออกไปทำงานในทุ่งนา ทำลายชีวิตครอบครัวดั้งเดิมซึ่งเขมรแดงกล่าวอ้างว่าเพื่อปลดแอกผู้หญิง

หลังจากได้ชัยชนะในสงครามกลางเมืองไม่นาน เกิดการปะทะระหว่างทหารเวียดนามกับทหารเขมรแดงเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2518 อีกไม่กี่เดือนต่อมา พล พตและเอียง ซารี เดินทางไปฮานอยทำให้ความขัดแย้งสงบลง ในขณะที่เขมรแดงครองอำนาจในกัมพูชา ผู้นำเวียดนามในยุคนั้นตัดสินใจสนับสนุนกลุ่มต่อต้านพล พตในกัมพูชาเมื่อต้นปี พ.ศ. 2521 ทำให้กัมพูชาตะวันออกเป็นเขตที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 เกิดการลุกฮือในกัมพูชาตะวันออกนำโดยโส พิม ทำให้มีการฆ่าชาวเวียดนามในกัมพูชาตะวันออกเป็นจำนวนมาก สถานีวิทยุพนมเปญประกาศว่าถ้าทหารกัมพูชา 1 คน ฆ่าทหารเวียดนามได้ 30 คน กำลังทหารเพียง 2 ล้านคนจะเพียงพอในการฆ่าชาวเวียดนาม 50 ล้านคน และยังแสดงความต้องการจะยึดดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมาเป็นของกัมพูชา ในเดือนพฤศจิกายน วอน เว็ต พยายามก่อรัฐประหารแต่ล้มเหลว ทำให้มีชาวเวียดนามและชาวกัมพูชานับหมื่นคนอพยพเข้าสู่เวียดนาม ในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ทางสถานีวิทยุฮานอยของเวียดนามประกาศจัดตั้งแนวร่วมสามัคคีประชาชาติกู้ชาติกัมพูชา ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของกลุ่มต่อต้านพล พตทั้งที่นิยมและไม่นิยมคอมมิวนิสต์ โดยมีกองทัพเวียดนามหนุนหลัง เวียดนามเริ่มรุกรานกัมพูชาเพื่อโค่นล้มเขมรแดงตั้งแต่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2521 และสามารถเข้าสู่กรุงพนมเปญ ขับไล่เขมรแดงออกไปได้เมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2522[9] จัดตั้งสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชาขึ้นแทน

แนวร่วมเขมรสามฝ่าย

แก้

สหประชาชาติยังคงให้กัมพูชาประชาธิปไตยมีที่นั่งในสหประชาชาติโดยตัวแทนคือเทือน ประสิทธิ์ และเอียง ซารีโดยใช้ชื่อกัมพูชาประชาธิปไตยจนถึง พ.ศ. 2525 จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตยจนถึง พ.ศ. 2536 จีนและสหรัฐอเมริการวมทั้งชาติตะวันตกอื่น ๆ ต่อต้านการขยายตัวของเวียดนามและโซเวียตเข้าไปในกัมพูชาและการจัดตั้งสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา โดยกล่าวอ้างว่าเป็นรัฐหุ่นเชิดของเวียดนาม จีนสนับสนุนเขมรแดงจนถึง พ.ศ. 2532 ส่วนสหรัฐสนับสนุนกลุ่มที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ในการต่อต้านรัฐบาลที่มีเวียดนามหนุนหลัง โดยให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มของซอน ซานและสีหนุ ในทางปฏิบัติ ความเข้มแข็งของกองทหารของกลุ่มที่ไม่ใช่เขมรแดงมีน้อยแม้จะได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนมากกว่า ในที่สุด ทั้งสามกลุ่มจึงรวมเป็นแนวร่วมเขมรสามฝ่ายหรือรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2525

จากการพยายามเจรจาสันติภาพเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในกัมพูชา ฝ่ายสาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชายินดีเข้าร่วมแต่เขมรแดงปฏิเสธทำให้ถูกตัดออกไป เขมรแดงจึงเป็นกลุ่มเดียวในเขมรสามฝ่ายที่ยังคงสู้รบอยู่ กลุ่มของซอน ซานและสีหนุเข้าร่วมในแผนการสันติภาพและการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2536[10] ต่อมาใน พ.ศ. 2540 พลพตสั่งฆ่าซอนเซน ซึ่งนายทหารคนสนิทในข้อหาพยายามเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลกัมพูชา ใน พ.ศ. 2541 พล พตได้เสียชีวิต เขียว สัมพันและเอียง สารียอมมอบตัวกับทางรัฐบาล ตา มกยังคงหลบหนีจนถูกจับได้ใน พ.ศ. 2542 กลุ่มเขมรแดงจึงสิ้นสุดลง

 
แผนที่กัมพูชาจัดเรียงด้วยกะโหลกศีรษะของผู้เสียชีวิตจัดแสดงในต็วลแซลงซึ่งเคยเป็นคุก S-21 ในสมัยกัมพูชาประชาธิปไตย

องค์กร

แก้
 
ธงพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ตราทางการเมืองของเขมรแดง[11]

การแบ่งเขตบริหาร

แก้
 
เขตบริหารของกัมพูชาประชาธิปไตย

ใน พ.ศ. 2518 รัฐบาลเขมรแดงได้เปลี่ยนแปลงเขตการปกครองภายในประเทศโดยได้แบ่งตามเขตภูมิศาสตร์​แทนการแบ่งเป็นจังหวัด ซึ่งได้มาจากการแบ่งหน่วยของเขมรแดงในการต่อสู้กับสาธารณรัฐเขมร[12] โดยแบ่งเป็น 7 เขต ได้แก่ เขตเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตก ตะวันตกเฉียงใต้ และเขตกลาง และมีเขตพิเศษอีกสองเขตคือเขตพิเศษกระแจะหมายเลข 505 และเขตพิเศษเสียมราฐ​หมายเลข 106 (ก่อนกลางปี พ.ศ. 2520)[13]

แต่ละเขตแบ่งย่อยลงไปอีกเป็นตำบล ซึ่งกำหนดเป็นตัวเลข ภายในหมู่บ้านแบ่งย่อยเป็นกลุ่มหรือกรม ประกอบด้วย 15 – 20 หลังคาเรือน โดยมีผู้นำเรียกแม่กรม รูปแบบการปกครองแบบนี้ ยังใช้อยู่หลังการรุกรานกัมพูชาของเวียดนามแต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว

กองทัพ

แก้
 
กองทัพกัมพูชาประชาธิปไตย พ.ศ. 2518–2522

ทหารประมาณ 68,000 คนของกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนกัมพูชาได้กลายมาเป็นกองทัพของกัมพูชาประชาธิปไตยในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518[14] และเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพปฏิวัติกัมพูชา รัฐมนตรีว่าการ​กระทรวงกลาโหมคือ ซอน เซน

การเมือง

แก้

หลังจากได้ชัยชนะในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 พล พตและผู้ใกล้ชิดได้ขึ้นสู่ตำแหน่งที่สำคัญของประเทศ เขียว ธีริทได้เป็นผู้ควบคุมกองกำลังเยาวชนของพรรค อย่างไรก็ตาม การเป็นผู้นำยังไม่สมบูรณ์เพราะยังมีส่วนย่อยของพรรคในภาคตะวันออก กลุ่มผู้นิยมเวียดนามและกลุ่มอดีตผู้นำเขมรอิสระยังเป็นเอกเทศภายในพรรค ตลอดที่ครองอำนาจ ได้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคจนเกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่ใน พ.ศ. 2520 และ 2521 ทำให้มีประชาชนและผู้นำพรรคถูกสังหารเป็นจำนวนมาก

 
การแต่งกายยุคเขมรแดง (ชุดดำและผ้าขาวม้า) เพื่อแสดงถึงการไม่แบ่งชนชั้นและทุกคนเท่าเทียมกัน

สังคม

แก้

การศึกษาและสุขภาพ

แก้

ครูจำนวนมากที่สอนในกัมพูชาก่อน พ.ศ. 2518 ถูกจับและประหารชีวิต ไม่มีการสอนทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์และการอ่านออกเขียนได้ แต่จะสอนเกี่ยวกับทฤษฎีปฏิวัติให้กับเยาวชน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนวัยหนุ่มสาวกับวัยผู้ใหญ่ มีการจัดตั้งพันธมิตรเยาวชนคอมมิวนิสต์กัมพูชา ซึ่งพล พตเชื่อมั่นว่าเป็นกลุ่มที่จงรักภักดีต่อเขา เขียว ธีริต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจกรรมสังคมเป็นผู้ควบคุมขบวนการเยาวชน

การดูแลสุขภาพของประชาชนในช่วง พ.ศ. 2518–2521 อยู่ในสภาพแย่ แพทย์ส่วนใหญ่ถูกประหารชีวิตมิเช่นนั้นก็ไม่แสดงตน เฉพาะคนในพรรคและทหารที่ได้รับการรักษาแบบตะวันตก ประชาชนส่วนใหญ่ต้องใช้หมอพื้นบ้านและสมุนไพร

ศาสนา

แก้

แม้ว่าในมาตรา 20 ของรัฐธรรมนูญกัมพูชาประชาธิปไตยรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่ก็มีการประกาศห้ามการนับถือศาสนาทุกศาสนา ประชากรประมาณร้อยละ 85 นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีพระภิกษุ 40,000–60,000 รูป พระภิกษุถูกกล่าวหาว่าเป็นปรสิตของสังคมถูกบังคับให้สึกและออกไปใช้แรงงาน[15]

พระภิกษุที่ไม่ยอมสึกถูกประหารชีวิต วัดและเจดีย์ถูกทำลาย[16]หรือเปลี่ยนเป็นยุ้งฉาง พระพุทธรูปถูกทำลายและนำไปทิ้งน้ำและทะเลสาบ ประชาชนที่สวดมนต์หรือปฏิบัติศาสนกิจมักถูกฆ่า

ผู้นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนิยมตะวันตก โดยถูกข่มเหงรังแกอย่างรุนแรงเพราะกีดกันวัฒนธรรมและสังคมกัมพูชา โบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกในพนมเปญถูกรื้อทำลายไม่เหลือซาก[16] เขมรแดงบังคับให้มุสลิมรับประทานหมูที่เป็นฮะรอม) ผู้ไม่ทำตามถูกฆ่า บาทหลวงและอิหม่ามถูกนำไปตัวไปประหารชีวิต มัสยิดของชาวจาม 130 แห่งถูกทำลาย[16]

แม้ว่าจะมีการทำลายล้างทางศาสนา แต่อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์หลายแห่งไม่ได้รับความเสียหายจากเขมรแดง[17] เช่นเดียวกันกับรัฐบาลก่อนหน้า รัฐบาลพล พตมองว่าเมืองพระนคร รัฐในอดีต ถือเป็นจุดอ้างอิงที่สำคัญ[18]

ชนกลุ่มน้อย

แก้

เขมรแดงต้องการลดจำนวนชาวจีน ชาวเวียดนามและชาวจามในกัมพูชา รวมทั้งชนกลุ่มน้อย ๆ อื่น ๆ อีกกว่าสิบเผ่าซึ่งคิดเป็นประชากรร้อยละ 15 ของกัมพูชา[19] ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ถูกฆ่า ที่เหลือรอดมาได้คือผู้ที่อพยพเข้าสู่เวียดนาม ชาวจามซึ่งเป็นมุสลิมที่เหลือรอดหลังการล่มสลายของอาณาจักรจามปาถูกบังคับให้พูดภาษาเขมร ให้แต่งกายตามแบบของชาวเขมร หมู่บ้านของพวกเขาที่อยู่ต่างหากจากชาวเขมรถูกทำลาย เฉพาะชาวจามในจังหวัดกำปงจามถูกฆ่าไปราวสี่หมื่นคน ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยตามแนวชายแดนไทยได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทย

สถานะของชาวจีนในกัมพูชาได้รับการอธิบายเป็น "ภัยพิบัติครั้งเลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับชุมชนชาวจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"[19] กัมพูชาเชื้อสายจีนถูกเขมรแดงสังหารหมู่โดยอ้างว่าพวกเขา "เคยเอาเปรียบชาวกัมพูชา"[20] ชาวจีนถูกเหมารวมว่าเป็นพ่อค้าและผู้ให้กู้เงิน จึงถูกโยงเข้ากับระบบทุนนิยม ในบรรดาชาวเขมร ชาวจีนก็ถูกเคียดแค้นจากการมีสีผิวอ่อนกว่าและความแตกต่างทางวัฒนธรรม[21] ครอบครัวชาวจีนหลายร้อยกลุ่มถูกรวมตัวใน พ.ศ. 2521 และได้รับการบอกกล่าวว่าพวกเขาจะย้ายที่ไป แต่ที่จริงกลับถูกสังหาร[20] ชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนเมื่อสิ้นสุดสมัยสาธารณรัฐเขมร พ.ศ. 2518 มีประมาณ 425,000 คน แต่เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2522 เหลืออยู่เพียงประมาณ 200,000 คน

สำหรับนโยบายของเขมรแดงต่อชนเผ่าต่าง ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชาที่เรียกว่า ชาวเขมรบน หรือ ขะแมร์เลอ นั้นมีน้อยมาก เพราะพล พตเคยอาศัยพื้นที่ของชนเผ่าต่าง ๆ ในจังหวัดรัตนคีรีเป็นที่ตั้งมาก่อน และมีสมาชิกพรรคหลายคนแต่งงานกับหญิงชาวเขมรบนเหล่านี้

ความหวาดกลัว

แก้

เศรษฐกิจ

แก้
 
ประชาชนถูกบังคับใช้แรงงาน ทำนารวม ในยุคเขมรแดง

นโยบายเศรษฐกิจของกัมพูชาประชาธิปไตยคล้ายหรือได้แรงบันดาลใจจาก นโยบายการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าของจีนเมื่อ พ.ศ. 2501[22] ในช่วงแรก เขมรแดงได้จัดระบบเศรษฐกิจแบบนารวมในพื้นที่ยึดครองของตน หลัง พ.ศ. 2516 ได้มีการจัดตั้งความร่วมมือในระดับต่ำ คือ เอกชนยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ และความร่วมมือระดับสูงที่เอกชนเป็นเจ้าของที่ดินไม่ได้ที่เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2517 และได้แพร่หลายไปทั่วประเทศเมื่อ พ.ศ. 2519

เขมรแดงพยายามสร้างเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง ยกเลิกระบบเงินตราและการค้าขาย ข้าวกลายเป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนที่สำคัญ การค้าขายกับต่างประเทศถูกระงับไปโดยสมบูรณ์ แต่ก็รื้อฟื้นขึ้นใหม่ในช่วงปลาย พ.ศ. 2519 ถึงต้น พ.ศ. 2520 โดยเป็นการค้าขายกับจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ก็มีการค้าขายกับฝรั่งเศส อังกฤษ และสหรัฐบ้างโดยผ่านทางฮ่องกง ภายในประเทศไม่ได้รับอิทธิพลทางเศรษฐกิจจากประเทศอื่น ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ของเขมรแดงล้มเหลว เหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศจีน

ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

แก้

กัมพูชาประชาธิปไตยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศจีนและเกาหลีเหนือ นอกจากสองประเทศนี้แล้ว ประเทศอื่นที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาประชาธิปไตยคือ สหภาพโซเวียต พม่า แอลเบเนีย คิวบา ลาว เวียดนาม (จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2520)[23] โรมาเนีย และยูโกสลาเวีย

หมายเหตุ

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. "Cambodia – Religion". Britannica. สืบค้นเมื่อ 29 June 2020.
  2. Zúquete, José Pedro (2023). The Palgrave Handbook of Left-Wing Extremism. Vol. 2. Lisboa, Portugal: Palgrave Macmillan. p. 186. doi:10.1007/978-3-031-36268-2. ISBN 978-3-031-36268-2. The focus here is on Communist Parties that fought for independence and political power, but as these cases show, only one such party—the Communist Party of Kampuchea (CPK)—fits the description of left-wing extremism. Others certainly envisioned, devised, and even implemented radical programs and oversaw often violent political purges of enemies, whether real or imagined. But nowhere in the region do we witness as clear-cut a case of left-wing extremism as we do in Democratic Kampuchea, where the CPK implemented its Maoist vision to the tune of mass displacement, surreptitious detention, perpetual surveillance, torture, and genocide from 1975 to 1979 (Kiernan 2008; Galway 2022: 159– 199; Chandler 1991: 236–272).
  3. Jackson, Karl D. (1989). Cambodia, 1975–1978: Rendezvous with Death. Princeton University Press. p. 219. ISBN 0-691-02541-X.
  4. "Khmer Rouge's Slaughter in Cambodia Is Ruled a Genocide". The New York Times. 15 พฤศจิกายน 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 เมษายน 2019. สืบค้นเมื่อ 13 เมษายน 2019.
  5. Kiernan, B. (2004) How Pol Pot came to Power. New Haven: Yale University Press, p. xix
  6. "Cambodia Since April 1975". Center for Southeast Asian Studies, Northern Illinois University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-10. สืบค้นเมื่อ 2007-11-26.
  7. "A History of Democratic Kampuchea (1975-1979)". monument-books.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-18. สืบค้นเมื่อ 2007-11-26.
  8. "Judgement of the Trial Chamber of the Extraordinary Chambers in the Courts of Cambodia". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-09-28. สืบค้นเมื่อ 2012-03-12.
  9. “”. "A video on Vietnamese invasion". Youtube.com. สืบค้นเมื่อ 2010-07-27.{{cite web}}: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์)
  10. "United Nations Advance Mission In Cambodia (Unamic) – Background". United Nations. สืบค้นเมื่อ February 27, 2009.
  11. Elizabeth J. Harris (2017-12-31), "8. Cambodian Buddhism after the Khmer Rouge", Cambodian Buddhism, University of Hawaii Press, pp. 190–224, doi:10.1515/9780824861766-009, ISBN 978-0-8248-6176-6
  12. Tyner, James A. (2008). The killing of Cambodia: geography, genocide and the unmaking of space. Aldershot, England: Ashgate. ISBN 978-0-7546-7096-4. OCLC 183179515.
  13. Vickery, Michael (1984). Cambodia, 1975–1982. Boston: South End Press. ISBN 0-89608-189-3. OCLC 10560044.
  14. วิดีโอของขบวนสวนสนามของเขมรแดงใน พ.ศ. 2518 ดูได้ที่ [1]
  15. Short 2004, p. 326.
  16. 16.0 16.1 16.2 "The Pol Pot Regime: Race, Power, and Genocide under the Khmer Rouge, 1975–79". The SHAFR Guide Online. doi:10.1163/2468-1733_shafr_sim240100033. สืบค้นเมื่อ 2020-10-04.
  17. Short 2004, p. 313.
  18. Short 2004, p. 293.
  19. 19.0 19.1 Gellately, Robert; Kiernan, Ben, บ.ก. (2003-07-07). The Specter of Genocide. doi:10.1017/cbo9780511819674. ISBN 978-0-521-52750-7.
  20. 20.0 20.1 Pike, Douglas; Kiernan, Ben (1997). "Reviewed Work: The Pol Pot Regime: Race, Power, and Genocide in Cambodia under the Khmer Rouge, 1975–79 by Ben Kiernan". Political Science Quarterly (Review). 112 (2): 349. doi:10.2307/2657976. ISSN 0032-3195. JSTOR 2657976.
  21. Hinton, Alexander Laban (2004-12-06). Why Did They Kill? Cambodia in the Shadow of Genocide. University of California Press. doi:10.1525/9780520937949. ISBN 978-0-520-93794-9. S2CID 227214146.
  22. Frieson, Kate (1988). "The Political Nature of Democratic Kampuchea". Pacific Affairs. 61 (3): 419–421. doi:10.2307/2760458. ISSN 0030-851X. JSTOR 2760458. สืบค้นเมื่อ 7 May 2023.
  23. Martin, M.A. Cambodia: A Shattered Society. University of California, 1994. p 204.

เชิงอรรถ

แก้

ดูเพิ่ม

แก้
  • Seng Ty: The Years of Zero: Coming of Age Under the Khmer Rouge
  • Ben Kiernan: The Pol Pot Regime: Race, Power, and Genocide in Cambodia under the Khmer Rouge, 1975–79 Yale University Press; 2nd ed. ISBN 0-300-09649-6
  • Jackson, Karl D. Cambodia: 1975–1978 Rendezvous with Death. Princeton: Princeton University Press, 1989
  • Ponchaud, François. Cambodia: Year Zero. New York: Holt, Rinehart and Winston, 1978
  • Michael Vickery: Cambodia 1975–1982 University of Washington Press; June 2000 ISBN 974-7100-81-9
  • From Sideshow to Genocide: Stories from the Cambodian Holocaust – virtual history of the Khmer Rouge plus a collection of survivor stories.
  • First They Killed My Father: A Daughter of Cambodia Remembers (HarperCollins Publishers, Inc., 2000) ISBN 0-06-019332-8
  • Denise Affonço: To The End Of Hell: One Woman's Struggle to Survive Cambodia's Khmer Rouge. (With Introduction by Jon Swain) ; ISBN 978-0-9555729-5-1
  • Ho, M. (1991). The Clay Marble. Farrar Straus Giroux. ISBN 978-0-374-41229-6
  • Daniel Bultmann: Irrigating a Socialist Utopia: Disciplinary Space and Population Control under the Khmer Rouge, 1975–1979, Transcience, Volume 3, Issue 1 (2012), pp. 40–52
  • Piergiorgio Pescali: "S-21 Nella prigione di Pol Pot". La Ponga Edizioni, Milan, 2015. ISBN 978-88-97823-30-8
  • Beang, Pivoine, and Wynne Cougill. Vanished Stories from Cambodia's New People Under Democratic Kampuchea. Phnom Penh: Documentation Center of Cambodia, 2006. ISBN 99950-60-07-8.
  • Chandler, David P. "A History of Cambodia." Boulder: Westview Press, 1992.
  • Dy, Khamboly. A History of Democratic Kampuchea (1975–1979) . Phnom Penh, Cambodia: Documentation Center of Cambodia, 2007. ISBN 99950-60-04-3.
  • Etcheson, Craig. The Rise and Demise of Democratic Kampuchea. Westview special studies on South and Southeast Asia. Boulder, Colo: Westview, 1984. ISBN 0-86531-650-3.
  • Hinton, Alexander Laban. "Why did they Kill? : Cambodia in the Shadow of Genocide." Berkeley: University of California Press, 2005.

12°15′N 105°36′E / 12.250°N 105.600°E / 12.250; 105.600