จักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิล
จักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิล (โปรตุเกส: Pedro I, อังกฤษ: Peter I; 12 ตุลาคม พ.ศ. 2341 – 24 กันยายน พ.ศ. 2377) มีพระราชสมัญญาว่า "ผู้ปลดปล่อย" (the Liberator) [1] ทรงเป็นผู้สถาปนาและผู้ปกครองจักรวรรดิบราซิลพระองค์แรก ทรงดำรงเป็น พระเจ้าเปดรูที่ 4 แห่งโปรตุเกส (Dom Pedro IV) จากการครองราชบัลลังก์เหนือราชอาณาจักรโปรตุเกสเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ซึ่งทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า "ผู้ปลดปล่อย" และ "กษัตริย์นักรบ" (the Soldier King) [2] ประสูติในกรุงลิสบอน พระองค์เป็นพระราชบุตรพระองค์ที่ 4 ในบรรดาพระราชบุตรทั้งหมดของพระเจ้าฌูเอาที่ 6 แห่งโปรตุเกสกับเจ้าหญิงคาร์ลอตา โจวควินาแห่งสเปน สมเด็จพระราชินีแห่งโปรตุเกส ดังนั้นพระองค์ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชวงศ์บราแกนซา เมื่อประเทศโปรตุเกสถูกกองทัพฝรั่งเศสโจมตีในปีพ.ศ. 2350 พระองค์และพระราชวงศ์ได้เสด็จลี้ภัยไปยังอาณานิคมที่ใหญ่และมั่งคั่งที่สุดของโปรตุเกส คือ บราซิล
เปดรูที่ 1 แห่งบราซิล เปดรูที่ 4 แห่งโปรตุเกส | |||||
---|---|---|---|---|---|
![]() เมื่อพระชนม์มายุ 35 | |||||
จักรพรรดิแห่งบราซิล | |||||
ครองราชย์ | 12 ตุลาคม 1822 – 7 เมษายน 1831 | ||||
ราชาภิเษก | 1 ธันวาคม 1822 | ||||
ถัดไป | จักรพรรดิเปดรูที่ 2 | ||||
พระมหากษัตริย์แห่งโปรตุเกสและแอลการ์ฟ | |||||
ครองราชย์ | 10 มีนาคม 1826 – 2 พฤษภาคม 1826 | ||||
ก่อนหน้า | พระเจ้าฌูเอาที่ 6 | ||||
ถัดไป | พระนางเจ้ามารีอาที่ 2 | ||||
คู่อภิเษก | |||||
พระราชบุตร | สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 แห่งโปรตุเกส เจ้าชายมิเกลแห่งเบย์รา เจ้าชายฌูเอา คาร์ลอสแห่งเบย์รา เจ้าหญิงยาโนเรียแห่งบราซิล เจ้าหญิงเปาลาแห่งบราซิล เจ้าหญิงฟรานซิสกาแห่งบราซิล จักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล เจ้าหญิงมาเรีย อเมเลียแห่งบราซิล อิซาเบล มาเรีย เดอ อัลคันทารา ดัสเชสแห่งกอยอัส เปดรู เดอ อัลคันทารา บราซิเลโร มาเรีย อิซาเบล เดอ อัลคันทารา บราซิเลรา มาเรีย อิซาเบล เดอ อัลคันทารา เคานท์เตสแห่งอิกัวคู โรดริโก เดลฟิม เปเรย์รา เปดรู เดอ อัลคันทารา บราซิเลโร | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | บรากังซา | ||||
พระราชบิดา | พระเจ้าฌูเอาที่ 6 | ||||
พระราชมารดา | การ์โลตา โคอากีนาแห่งสเปน | ||||
ประสูติ | 12 ตุลาคม ค.ศ. 1798 ลิสบอน, โปรตุเกส | ||||
สวรรคต | 24 กันยายน ค.ศ. 1834 (35 ปี) ลิสบอน, โปรตุเกส | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก | ||||
ลายพระอภิไธย | ![]() |
การเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและทันทีทันใดของการปฏิวัติเสรีนิยม พ.ศ. 2363 ในกรุงลิสบอนบังคับให้พระราชบิดาของเจ้าชายเปดรูต้องเสด็จนิวัติโปรตุเกสในเดือนเมษายน พ.ศ. 2364 ทรงปล่อยพระราชกิจในบราซิลแก่พระราชโอรสโดยให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระองค์ทรงต้องปราบปรามภัยคุกคามจากนักปฏิวัติและการบั่นทอนพระราชอำนาจโดยกองทัพโปรตุเกสซึ่งพระองค์กำราบได้หมดสิ้น การที่รัฐบาลโปรตุเกสขู่ประกาศยกเลิกอัตตาณัติทางการเมืองที่บราซิลมีมาแต่ พ.ศ. 2351 สร้างความไม่พอใจอย่างแพร่หลายในบราซิล เจ้าชายเปดรูทรงเลือกข้างชาวบราซิลและทรงประกาศเอกราชของบราซิลออกจากโปรตุเกสในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2365 ในวันที่ 12 ตุลาคม ทรงสถาปนาพระองค์เองเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งบราซิลและในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2367 พระองค์สามารถกำจัดกองทัพทั้งหมดซึ่งภักดีต่อโปรตุเกส ไม่กี่เดือนให้หลัง สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูทรงปราบสมาพันธรัฐศูนย์สูตร (Confederation of the Equator) อายุสั้น ซึ่งเป็นความพยายามแยกตัวออกที่ล้มเหลวของกบฏหัวเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล
กบฏแยกตัวออกทางภาคใต้ในแคว้นคิสพลาตินาเมื่อต้น พ.ศ. 2368 และความพยายามของสหรัฐรีโอเดลาพลาตาที่จะผนวกแคว้นนี้ถัดมา ทำให้จักรวรรดิบราซิลเข้าสู่สงครามคิสพลาทีน ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2369 สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงได้เป็นพระมหากษัตริย์แห่งโปรตุเกสในระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนทรงสละราชบัลลังก์แก่พระราชธิดาองค์โตให้สืบราชบัลลังก์ สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 แห่งโปรตุเกส สถานการณ์กลับเลวร้ายลงในปี พ.ศ. 2371 เมื่อสงครามทางภาคใต้ผลปรากฏว่าบราซิลต้องสูญเสียคิสพลาตินา ในปีเดียวกัน ราชบัลลังก์ของสมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 แห่งโปรตุเกสถูกช่วงชิงโดยเจ้าชายมิเกล พระอนุชาของพระองค์ และได้ครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้ามิเกลแห่งโปรตุเกส เรื่องชู้สาวพ้องกันและน่าอับอายกับข้าราชบริพารหญิงคนหนึ่งทำให้พระองค์เสื่อมเสียชื่อ เกิดความยุ่งยากอื่นในรัฐสภาบราซิลซึ่งการต่อสู้ว่าพระมหากษัตริย์หรือสภานิติบัญญัติควรเป็นผู้เลือกรัฐบาลครอบงำการอภิปรายทางการเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2369 ถึง พ.ศ. 2374 ด้วยพระองค์ไม่สามารถจัดการกับปัญหาทั้งในบราซิลและโปรตุเกสได้พร้อมกัน ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2374 จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงสละราชบัลลังก์แก่พระราชโอรส พระนามว่า จักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล
จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงบุกครองโปรตุเกสในฐานะผู้บัญชาการกองทัพในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2375 สิ่งที่พระองค์เผชิญนั้นทีแรกเหมือนกับสงครามกลางเมืองระดับชาติ แต่ไม่นานได้เข้าไปมีส่วนในความขัดแย้งกว้างกว่าซึ่งเกิดขึ้นทั่วคาบสมุทรไอบีเรียในการต่อสู้ระหว่างผู้สนับสนุนเสรีนิยมกับผู้ซึ่งแสวงการกลับคืนสู่สมบูรณาญาสิทธิ์ จักรพรรดิเปดรูที่ 1 เสด็จสวรรคตด้วยวัณโรคในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2377 เพียงไม่กี่เดือนหลังจากพระองค์และฝ่ายเสรีนิยมมีชัย พระอค์ทรงได้รับการยอมรับโดยคนร่วมสมัยและคนรุ่นหลังในฐานะบุคคลสำคัญผู้ซึ่งทรงเผยแพร่แนวคิดเสรีนิยมที่ซึ่งนำพาบราซิลและโปรตุเกสเคลื่อนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิสู่ระบอบการปกครองแบบมีผู้แทน
ช่วงต้นพระชนม์ชีพแก้ไข
ประสูติแก้ไข
เจ้าชายเปดรูประสูติในเวลา 8 โมงเช้า[3]ของวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2341 ณ พระราชวังหลวงเกวลูซ กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส [4] พระองค์ทรงได้รับการตั้งพระนามตาม นักบุญปีเตอร์แห่งอัลคันทารา [5] และพระนามเต็มของพระองค์คือ เปดรู เดอ อัลคันทารา ฟรานซิสโก อันโตนิโอ ฌูเอา คาร์ลอส ซาเวียร์ เดอ เปาลา มิเกล ราฟาเอล โจอาควิม โจเซ กอนซากา ปาสโคอัล ซิปิอาโน เซราฟิม[6] พระองค์ทรงได้รับพระอิสริยยศ "ท่านชาย" (Don) เพื่อเป็นพระเกียรติยศเมื่อประสูติ[7]
พระองค์เป็นสมาชิกสมาชิกในราชวงศ์บราแกนซา (ภาษาโปรตุเกส:Bragança) ผ่านทางพระราชบิดาของพระองค์คือ เจ้าชายฌูเอา (ต่อมาคือ พระเจ้าฌูเอาที่ 6 แห่งโปรตุเกส) [8][9] และพระองค์เป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าเปดรูที่ 3 แห่งโปรตุเกสกับ สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 1 แห่งโปรตุเกส ซึ่งทั้งสองพระองค์มีศักดิ์เป็นทั้งปิตุลาและนัดดาและยังเป็นสวามีและมเหสีกันด้วย[10][11] พระราชมารดาของเจ้าชายเปดรูคือ เจ้าหญิงคาร์ลอตา โจวควินาแห่งสเปน ซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 แห่งสเปน[12] พระราชบิดาและพระราชมารดาของเจ้าชายเปดรูถือว่าเป็นคู่อภิเษกสมรสที่ไม่มีความสุข พระนางคาร์ลอตา โจวควินาทรงเป็นสตรีผู้มีความทะเยอทะยาน ทรงพยายามทุกวิถีทางในการแสวงหาผลประโยชน์แก่สเปนโดยก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของโปรตุเกส พระนางไม่ทรงจงรักภักดีต่อพระสวามีอย่างที่เลื่องลือ พระนางทรงวางแผนล้มราชบัลลังก์ของพระสวามีตราบเท่าที่ทำได้ ทำให้ขุนนางโปรตุเกสไม่พอใจในพระนาง[13][14]
ในฐานะที่เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สอง เจ้าชายเปดรูทรงกลายเป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์ในรัชสมัยของพระราชบิดาและทรงได้รับพระอิสริยยศ เจ้าชายแห่งเบย์รา หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายฟรานซิสโก อันโตนิโอแห่งเบย์รา พระเชษฐาในปีพ.ศ. 2344[15] เจ้าชายฌูเอาทรงดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระนามของสมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 1 พระราชมารดา หลังจากพระราชินีมาเรียทรงถูกประกาศว่าทรงวิปลาสและไม่สามารถประกอบพระราชกิจได้ในปีพ.ศ. 2335[16][17] โดยในปีพ.ศ. 2345 พระราชบิดาและพระราชมารดาของเจ้าชายเปดรูทรงบาดหมางกัน เจ้าชายฌูเอาประทับที่พระราชวังหลวงมาฟราส่วนเจ้าหญิงคาร์ลอตาประทับที่พระราชวังรามัลเฮา[18][19] เจ้าชายเปดรู พระอนุชาและพระภคินีประทับที่พระราชวังเกวลูซด้วยกันกับสมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 1 พระอัยยิกา ห่างจากพระราชบิดาและพระราชมารดา[18][19] ทั้งสองพระองค์มีโอกาสได้พบกับพระโอรสธิดาในช่วงระหว่างแปลพระราชฐานอย่างเป็นทางการมาที่เกวลูซเพียงเท่านั้น[18]
การศึกษาแก้ไข
ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2350 ขณะที่เจ้าชายเปดรูมีพระชนมายุ 9 พรรษา พระราชวงศ์ต้องเสด็จลี้ภัยออกจากโปรตุเกสจากการรุกรานของกองทัพฝรั่งเศสที่ถูกส่งมาโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 กำลังเข้าใกล้กรุงลิสบอน เจ้าชายเปดรูและพระราชวงศ์ได้เสด็จถึงรีโอเดจาเนโร เมืองหลวงของบราซิล ซึ่งเป็นอาณานิคมที่ใหญ่ที่สุดและมั่งคั่งที่สุดของโปรตุเกส ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2351[20] ในระหว่างการเดินทางเจ้าชายทรงอ่านบทประพันธ์แอเนียดของเวอร์จิลและทรงสนทนากับลูกเรือเพื่อเรียนรู้ทักษะการเดินเรือ[21][22] ในบราซิล หลังจากประทับที่พระราชวังปาโคเพียงระยะสั้นๆ เจ้าชายเปดรูและพระอนุชาคือ เจ้าชายมิเกลได้ย้ายมาประทับร่วมกับพระราชบิดาที่พระราชวังปาโค เดอ เซา กริสโตเบา (พระราชวังแห่งนักบุญคริสโตเฟอร์) [23] ถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงเคยใกล้ชิดสนิทสนมกับพระราชบิดา แต่เจ้าชายเปดรูทรงรักพระองค์และทรงโกรธเคืองผู้ที่ทำให้พระราชบิดาเสือมเสียพระเกียรติซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาโดยผู้อยู่เบื้องหลังคือพระนางคาร์ลอตา โจวควินา พระราชมารดา[18][24] เมื่อทรงเจริญพระชันษา เจ้าชายเปดรูทรงขนานพระนามพระราชมารดาอย่างเปิดเผยและทรงแสดงความรู้สึกเหยียดหยามพระราชมารดาว่า "สุนัขตัวเมีย" (Bitch) [25]
ประสบการณ์ช่วงแรกที่ทรงพบเป็นช่วงของการทรยศ, ความเย็นชาและการเพิกเฉย สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบมากมายต่อการบ่มเพาะพระอุปนิสัยของเจ้าชายเปดรู[18] ความเด็ดเดี่ยวที่ทรงมีอยู่พอสมควรในช่วงที่ทรงพระเยาว์ทำให้ทรงถูกเลี้ยงดูโดย ไออา (aia;พระอภิบาล) ดอนญา มาเรีย เจโนเววา โด เรโก อี มาโตส ผู้ซึ่งเจ้าชายทรงรักเปรียบเสมือนพระมารดา[26][27] และการเลี้ยงดูจาก ไอโอ (aio; พระอาจารย์และผู้ควบคุมดูแล) บาทหลวงอันโตนิโอ เดอ อาร์ราบิดา ผู้ซึ่งกลายเป็นที่ปรึกษาของเจ้าชาย[22] ทั้งสองคนมีภาระหน้าที่ที่จะต้องอภิบาลเจ้าชายเปดรูให้เจริญพระชันษาและจัดหาการศึกษาที่เหมาะสมแก่พระองค์ การศึกษาของพระองค์นั้นได้ถูกจัดให้ศึกษาโดยรวมที่ซึ่งเรียงตามลำดับวิชาประกอบด้วย คณิตศาสตร์, เศรษฐศาสตร์การเมือง, ตรรกศาสตร์, ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์[28] พระองค์ทรงเรียนรู้ที่จะอ่านและเขียนไม่เพียงภาษาโปรตุเกสแต่ทรงเรียนรู้ได้ทั้งภาษาละตินและภาษาฝรั่งเศส[29] พระองค์สามารถแปลภาษาอังกฤษและเข้าพระทัยในภาษาเยอรมัน[30] ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมาทรงครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแล้ว พระองค์ทรงทุ่มเทให้กับเวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงของแต่ละวันในการศึกษาและการอ่าน[30][31]
ถึงอย่างไรก็ตามการให้ศึกษาของเจ้าชายเปดรูจะกว้างขวาง แต่การศึกษาของเจ้าชายเปดรูกลับขาดแคลน นักประวัติศาสตร์ โอตาวิโอ ทาร์ควินิโอ เดอ เซาซา ได้กล่าวถึงเจ้าชายเปดรูว่า "ทรงปราศจากความสงสัย, ไหวพริบ, [และ]ปัญญาที่เฉียบแหลม"[32] อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์ โรเดอริค เจ. บาร์แมน ได้เล่าถึงพระองค์โดยตามธรรมชาติที่ว่า "ทรงกระตือรือร้นมาก, ทรงเอาแน่เอานอนไม่ได้, และทรงถืออารมณ์เป็นใหญ่" พระองค์ยังมีพระอุปนิสัยหุนหันพลันแล่นและไม่ทรงเคยที่จะเรียนรู้การควบคุมพระองค์เองหรือการประเมินผลของการตัดสินพระทัยของพระองค์และทัศนคติที่เหมาะสมเปลี่ยนไปตามสถานการณ์[33] พระราชบิดาไม่ทรงยอมให้ผู้ใดอบรมลงโทษเจ้าชาย[28] ในขณะที่กำหนดการของเจ้าชายเปดรูควบคุมให้พระองค์มีเวลาศึกษาสองชั่วโมงในแต่ละวัน บางครั้งพระองค์ทรงหลีกเลี่ยงการดำเนินพระชนม์ชีพตามกำหนดการโดยการไล่พระอาจารย์ออกไปเพื่อทำกิจกรรมอื่นที่ทรงเห็นว่าน่าสนพระทัยกว่า[28]
อภิเษกสมรสครั้งแรกแก้ไข
เจ้าชายเปดรูทรงสามารถบรรลุเป้าหมายในการทำกิจกรรมต่างๆที่ซึ่งทรงได้รับทักษะทางกาย มากกว่าในห้องเรียน ขณะประทับที่ซานตาครูซฟาร์มของพระราชบิดา เจ้าชายได้ฝึกทรงม้า และกลายเป็นผู้ทรงม้าได้อย่างดีเยี่ยมและทรงเป็นช่างตีเหล็กใส่เกือกม้าที่เยี่ยมยอดด้วย[34][35] ขณะประทับบนหลังม้า พระองค์และเจ้าชายมิเกล พระอนุชาทรงสามารถแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความกล้าหาญ ทั้งสองพระองค์พอพระทัยกับการทรงม้าไปยังในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ผ่านป่าและแม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืนหรือในสภาพอากาศที่แปรปรวน[34] พระองค์ทรงแสดงพระอัจฉริยภาพทางศิลปะและงานฝีพระหัตถ์ พระองค์ทรงจัดสร้างที่ทำงานส่วนพระองค์ที่ซึ่งพระองค์จะใช้เวลาในการแกะสลักไม้และสร้างเครื่องเรือน[36] นอกจากนี้พระองค์ทรงมีรสนิยมด้านดนตรีและภายใต้คำแนะนำจากมาร์คอส ปอร์ตูเกล ทำให้เจ้าชายทรงมีทักษะด้านการประพันธ์เพลง พระองค์มีพระสุรเสียงในการขับร้องที่ไพเราะและชำนาญในการทรงฟลูต, ทรอมโบน, ฮาร์ปซิคอร์ด, บาสซูน, ไวโอลินและกีตาร์ ต่อมาทรงใช้เล่นเพลงและเต้นรำกับเพลงที่เป็นที่นิยมเช่น ลุนดู, โมดินฮา และฟาโด [37]
พระบุคลิกลักษณะของเจ้าชายเปดรูทรงเป็นผู้ที่มีความกระฉับกระเฉงโดยทรงเป็นผู้ที่ไม่อยู่นิ่ง พระองค์มีพระบุคลิกที่หุนหันพลันแล่นด้วยมีแนวโน้มที่จะถูกครอบงำโดยอารมณ์และทรงพิโรธได้ง่าย ทรงเบื่อหน่ายและเสียสมาธิได้ง่าย ในชีวิตส่วนพระองค์ทรงทำให้พระองค์เองเพลิดเพลินด้วยการตรัสแทะโลมสตรี นอกจากนั้นทรงทำกิจกรรมล่าสัตว์และทรงม้า[38] ด้วยพระอารมณ์ที่กระสับกระส่ายได้กระตุ้นให้พระองค์ทรงแสวงหาการผจญภัย[39] และบางครั้งทรงปลอมพระองค์เป็นนักเดินทาง พระองค์ทรงเดินทางไปยังเขตอโคจรในรีโอเดจาเนโรเป็นประจำ[40] พระองค์เสวยน้ำจัณฑ์ไม่บ่อย[41] แต่โปรดการมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตาเพียงชั่วคราวอย่างแก้ไขไม่ได้[42] เรื่องอื้อฉาวของพระองค์ในช่วงแรกๆทรงมีความสัมพันธ์กับนักเต้นรำชาวฝรั่งเศส นัวอ์มี ทีร์เอร์รี ซึ่งมีบุตรร่วมกันแต่ได้เสียชีวิตในวันคลอด พระราชบิดาของเจ้าชายเปดรูซึ่งได้ครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าฌูเอาที่ 6 แห่งโปรตุเกส ทรงทำการส่งทีร์เอร์รีออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการเสี่ยงกับแผนการหมั้นหมายของเจ้าชายกับอาร์ชดัชเชสมาเรีย ลีโอโพลดีนาแห่งออสเตรีย พระราชธิดาในสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย (อดีตสมเด็จพระจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) [43][44]กับเจ้าหญิงมาเรีย เทเรซา แห่งเนเปิลส์และซิซิลีส์
ในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2360 เจ้าชายเปดรูทรงอภิเษกสมรสโดยฉันทะกับอาร์ชดัชเชสมาเรีย ลีโอโพลดีนา[45][46] เมื่อพระนางเสด็จถึงรีโอเดจาเนโรในวันที่ 5 พฤศจิกายน พระนางทรงตกหลุมรักเจ้าชายเปดรูในทันที ซึ่งทรงมีเสน่ห์และดึงดูดพระทัยมากกว่าที่พระนางทรงดำริไว้ หลังจาก"ปีภายใต้พระอาทิตย์เขตร้อนชื้น ลักษณะสีผิวของพระองค์ยังคงสว่าง พระปรางเป็นสีชมพูผ่องใส" เจ้าชายซึ่งมีพระชนมายุ 19 พรรษาทรงพระสิริโฉมและทรงสูงกว่ามาตรฐานในขณะนั้นเพียงเล็กน้อย ด้วยพระเนตรดำสว่างและพระเกศาสีน้ำตาลเข้ม[34] "รูปลักษณะที่ดีของพระองค์" ในคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ นีล ดับเบิลยู. มาเคาเลย์ จูเนียร์. "ทรงมีความรับผิดชอบ, ทะนงตน และทรงซื่อตรงแม้กระทั่งในวัยที่เข้าสู่ความเป็นหนุ่ม และการดูแลเรื่องฉลองพระองค์และรูปลักษณะของพระองค์ ที่ซึ่งไม่มีข้อบกพร่อง ทรงมีระเบียบและสะอาดอย่างเป็นประจำ พระองค์ทรงสรงน้ำเป็นประจำตามวัฒนธรรมแบบบราซิล"[34] พิธีรับศีลในวันอภิเษกสมรส ด้วยการให้คำปฏิญาณตามคำสาบานที่ให้ไว้ในการอภิเษกสมรสโดยฉันทะครั้งก่อน พิธีรับศีลได้เกิดขึ้นในวันถัดมา[47] การอภิเษกสมรสครั้งนี้ทำให้ทรงให้กำเนิดพระโอรสธิดาร่วมกัน 7 พระองค์ได้แก่ เจ้าหญิงมาเรีย (ต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 แห่งโปรตุเกส), เจ้าชายมิเกล, เจ้าชายฌูเอา, เจ้าหญิงยาโนเรีย, เจ้าหญิงเปาลา, เจ้าหญิงฟรานซิสกา และเจ้าชายเปดรู (ต่อมาคือ สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล) [48]
อิสรภาพแห่งบราซิลแก้ไข
การปฏิวัติเสรีนิยมใน พ.ศ. 2363แก้ไข
ในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2363 ข่าวได้มาถึงที่ว่าทหารรักษาการณ์ในโปรตุเกสได้ก่อจลาจล และจะนำไปสู่เหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จักในชื่อ การปฏิวัติเสรีนิยมในพ.ศ. 2363 กองทัพทำการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล เข้ามาแทนที่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่พระเจ้าฌูเอาที่ 6 ทรงแต่งตั้งขึ้น และทำการเรียกประชุม "คอร์เตส" ซึ่งคือ รัฐสภาโปรตุเกสซึ่งมีอายุมากว่าร้อยปีแล้ว ในเวลานี้ได้มีการเลือกตั้งตามประชาธิปไตยโดยมีจุดประสงค์เพื่อทำการสร้างชาติรัฐธรรมนูญขึ้น[49] เจ้าชายเปดรูทรงรู้สึกแปลกพระทัยเมื่อพระราชบิดาของพระองค์ไม่ทรงเพียงขอความคิดเห็นจากพระองค์ แต่ก็ตัดสินพระทัยส่งพระองค์ไปโปรตุเกสเพื่อให้ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระราชบิดาและเพื่อทำให้การปฏิวัติสงบลง[50] เจ้าชายไม่ทรงเคยได้รับการศึกษาเพื่อการปกครองประเทศและไม่ทรงเคยเข้าร่วมกิจการของรัฐมาก่อน บทบาทที่ซึ่งเป็นของพระองค์โดยกำเนิดถูกเติมเต็มโดยพระเชษฐภคินีพระองค์โตของพระองค์คือ เจ้าหญิงมาเรีย เทเรซาแห่งเบย์รา พระเจ้าฌูเอาที่ 6 ทรงต้องพึ่งพาพระราชธิดาพระองค์นี้ในเรื่องคำแนะนำ และเป็นพระนางผู้ทรงได้เป็นสมาชิกในสภาองคมนตรี[51]
เจ้าชายเปดรูทรงถูกเพ่งเล็งจากพระราชบิดาของพระองค์และเหล่าที่ปรึกษาคนสนิทของพระมหากษัตริย์ทุกคนซึ่งยังคงยึดติดกับหลักการแห่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในทางกลับกันเจ้าชายทรงเป็นที่รู้จักกันดีจากการสนับสนุนอย่างแข่งขันจากกลุ่มเสรีนิยมและตัวแทนจากระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เจ้าชายทรงอ่านงานเขียนของวอลแตร์, เบนจามิน คอนสแตนต์, กาอีตาโน ฟีแลงกีย์รี และเอ็ดมันด์ บรูค[52] แม้กระทั่งพระชายาของเจ้าชายคือ พระนางมาเรีย ลีโอโพลดิน่า ทรงตั้งข้อสังเกตว่า "พระสวามีของฉัน พระเจ้าทรงช่วยให้เรารักในแนวคิดใหม่ๆ"[53][54] พระเจ้าฌูเอาที่ 6 ทรงพยายามเลื่อนวันเสด็จออกเดินทางของเจ้าชายเปดรูให้นานเท่าที่จะทำได้ ด้วยพระองค์ทรงเกรงว่าเมื่อเจ้าชายประทับอยู่ในโปรตุเกส เจ้าชายจะได้รับการประกาศเป็นพระมหากษัตริย์โดยกลุ่มปฏิวัติ[50]
ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2364 ทหารโปรตุเกสที่ประจำการในกรุงรีโอเดจาเนโรได้ก่อการจลาจลขึ้น แม้ว่าจะประทับอย่างปลอดภัยในระยะทางไม่กี่ไมล์จากเมืองเซา กริสโตเบา แต่ทั้งพระเจ้าฌูเอาที่ 6 และรัฐบาลของพระองค์ได้ทำการปราบปรามทหารที่ก่อจลาจล เจ้าชายเปดรูทรงตัดสินพระทัยที่จะทำด้วยพระองค์เองและพระองค์ทรงม้าไปพบปะกับกลุ่มกบฏ พระองค์ทรงเจรจากับพวกเขาและทรงเชื่อว่าพระราชบิดาจะยอมรับข้อเรียกร้องของพวกเขาด้วย ซึ่งรวมถึงการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่และทรงกล่าวสาบานที่จะทรงเชื่อฟังในรัฐธรรมนูญโปรตุเกสซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น[55] ในวันที่ 21 เมษายน ผู้เลือกตั้งแห่งเขตรีโอเดจาเนโรได้ทำการประชุมกันที่ตลาดหลักทรัพย์พ่อค้าเพื่อทำการเลือกผู้แทนของตยเข้าไปในคอร์เตสผู้ก่อการจลาจลกลุ่มเล็กๆได้ยึดที่ประชุมและจัดตั้งรัฐบาลปฏิวัติ อีกครั้งที่พระเจ้าฌูเอาที่ 6 และรัฐมนตรีของพระองค์ยังทรงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และพระมหากษัตริย์ต้องทรงยอมรับข้อเรียกร้องของนักปฏิวัติ เมื่อเจ้าชายเปดรูทรงเริ่มต้นและส่งกองทัพไปจัดตั้งใหม่อีกครั้งที่ตลาดหลักทรัพย์พ่อค้า[56] ภายใต้แรงกดดันจากคอร์เตส พระเจ้าฌูเอาที่ 6 และพระราชวงศ์จะต้องเดินทางออกไปยังโปรตุเกสในวันที่ 26 เมษายนและทรงให้เจ้าชายเปดรูและเจ้าหญิงมาเรีย ลีโอโพลดิน่าทรงอยู่เบื้องหลังที่บราซิล[57] สองวันก่อนที่พระองค์จะเสด็จลงเรือพระที่นั่ง พระมหากษัตริย์ทรงเตือนพระราชโอรสว่า "เปดรู ถ้าบราซิลแยกออกไป มันค่อนข้างจะทำให้เพื่อเจ้า เจ้าเป็นผู้เคารพพ่อมากกว่าหนึ่งในนักผจญภัยพวกนั้นเสียอีก"[58]
อิสรภาพหรือความตายแก้ไข
เจ้าชายเปดรูทรงเป็นคนง่ายๆทั้งด้านพระอุปนิสัยและการติดต่อกับบุคคลอื่น ยกเว้นในคราวที่เป็นพระราชพิธี พระองค์จะทรงฉลองพระองค์ราชสำนัก ฉลองพระองค์ประจำวันของพระองค์ประกอบด้วยพระสนับเพลาผ้าฝ้ายสีขาว, ฉลองพระองค์ผ้าฝ้ายลายและทรงพระมาลาฟางปีกกว้าง,[59][60]หรือฉลองพระองค์คลุมยาวและพระมาลาทรงสูงในสถานการณ์ที่เป็นทางการมาก[61][62] พระองค์มักจะทรงใช้เวลาในการมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนบนถนนสอบถามความทุกข์ของพวกเขา[63] ระยะแรกของการสำเร็จราชการแทนพระองค์เจ้าชายเปดรูทรงแถลงประกาศที่จะรับรองสิทธิส่วนบุคคลและทรัพย์สิน นอกจากนี้พระองค์ยังลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลและภาษี[54][64]เจ้าของที่ดินได้รับการคุ้มครองจากการมีที่ดินที่จะถูกยึดและไม่มีประชาชนคนใดตั้งแต่นั้นมาถูกจับกุมโดยปราศจากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร เว้นแต่จะถูกจับในกระบวนการการก่ออาชญากรรม ผู้ต้องสงสัยไม่สามารถถูกจับมากกว่า 48 ชั่วโมงโดยไม่ถูกตั้งข้อหาและมีสิทธิที่จะเป็นตัวแทน การทรมาน, การทดลองลับและไร้มนุษยธรรมยังถูกยกเลิก[65][66] แม้กระทั่งนักปฏิวัติที่ถูกจับที่ตลาดหลักทรัพย์พ่อค้าได้รับการปลดปล่อยอย่างอิสระ[65]
ในวันที่ 5 มิถุนายน กองทหารภายใต้นายพลโปรตุเกส จอร์เก อาวิเลซ (ต่อมาเป็นเคานท์แห่งอาวิเลซ) ได้ก่อการจลาจลขึ้น เรียกร้องให้เจ้าชายเปดรูควรให้สัตย์ปฏิญาณที่จะส่งเสริมรัฐธรรมนูญหลังจากที่มันได้ถูกตราขึ้น ขณะที่พระองค์ทรงทำตามในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เจ้าชายทรงม้าส่วนพระองค์มาเพียงพระองค์เดียวเข้าแทรกกับผู้ก่อการกบฏ พระองค์ทรงเจรจาอย่างสงบและอย่างมีความคิดริเริ่มและสามารถแก้ปัญหาได้ดี ทรงชนะความเคารพจากทหารและประสบความสำเร็จในการลดผลกระทบจากความต้องการที่มากขึ้นของพวกเขาที่ทรงยอมรับไม่ได้[67][68] กลุ่มผู้ก่อการจลาจลเป็นทหารที่สวมหน้ากากบางๆในการรัฐประหาร ที่ซึ่งพยายามเปลี่ยนให้เจ้าชายเปดรูเป็นพระประมุขเพียงในพระนามเท่านั้นและถ่ายโอนพระราชอำนาจไปยังอาวิเลซ[69] เจ้าชายทรงยอมรับด้วยผลที่ทางผิดหวังแต่พระองค์ยังทรงเตือนพระองค์เองว่ามันเป็นครั้งสุดท้ายที่พระองค์จะทรงยอมภายใต้แรงกดดันนี้[68][70]
วิกฤตการณ์ยังคงดำเนินต่อไปถึงจุดที่ไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วเมื่อทาง คอร์เตส ทำการยุบรัฐบาลกลางในรีโอเดจาเนโรและกราบบังตมทูลให้เจ้าชายเปดรูเสด็จกลับ[71][72] นี่เป็นแผนการของชาวบราซิลเป็นความพยายามเพื่อให้อยู่ในสังกัดของโปรตุเกสอีกครั้ง ด้วยบราซิลไม่ใช่อาณานิคมมาตั้งแต่พ.ศ. 2358 และมีสถานะเป็นราชอาณาจักร[73][74] ในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2365 เจ้าชายเปดรูทรงถูกเสนอด้วยคำร้องของ 8,000 รายชื่อ ได้ร้องขอไม่ให้พระองค์เสด็จจากไป[75][76] พระองค์ตรัสตอบว่า "เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคนและความสุขโดยรวมของประเทศชาติ ข้าพเจ้าเต็มใจ โปรดบอกประชาชนเถิด ข้าพเจ้าจะยังคงอยู่ที่นี่"[77] นายพลอาวิเลซได้ก่อการจลาจลอีกครั้งและพยายามบีบบังคับให้เจ้าชายเปดรูเสด็จกลับโปรตุเกส ในครั้งนี้เจ้าชายทรงหันกลับมาต่อสู้ ทรงระดมพลกองทัพบราซิล (ที่ซึ่งไม่เข้าร่วมกับฝ่ายโปรตุเกสที่ก่อการจลาจลในครั้งก่อน),[78]หน่วยพลทหารและพลเรือนติดอาวุธ[79][80] ด้วยจำนวนที่มากกว่า อาวิเลซยอมแพ้และถูกขับไล่ออกจากลราซิลพร้อมกับทหารของเขา[81][82]
ในช่วงไม่กี่เดือนถัดไป เจ้าชายเปดรูทรงพยายามรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในรูปลักษณ์ภายนอกกับโปรตุเกส แต่สุดท้ายความแตกแยกกำลังมาถึง ด้วยความช่วยเหลือจากรัฐมนตรีที่มีความสามารถ ฌูเซ โบนิเฟชิโอ เดอ อันดราดา เขาทำการค้นหาแรงสนับสนุนจากภายนอกรีโอเดจาเนโร เจ้าชายทรงเดินทางไปยังมีนัสเชไรส์ในเดือนเมษายน และเสด็จไปยังเซาเปาลูในเดือนสิงหาคม พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากจังหวัดทั้งสองและทรงเข้าทอดพระเนตรพระราชอำนาจของพระองค์[83][84] ในขณะที่เสด็จกลับจากเซาเปาลู พระองค์ทรงได้รับข่าวในวันที่ 7 กันยายน ซึ่งทางคอร์เตส ไม่ยอมรับการปกครองตนเองของบราซิลและจะทำการลงโทษทุกคนที่ไม่เชื่อฟั คำสั่งนี้[85] "ไม่มีใครที่หลีกเลี่ยงการกระทำที่น่าทึ่งที่สุดบนแรงกดดันที่เกิดทันทีทันใด" บาร์แมนกล่าวเกี่ยวกับเจ้าชาย พระองค์"ไม่มีเวลาที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจมากกว่าการที่ทรงอ่านจดหมายขู่"[86] เจ้าชายเปดรูทรงม้าสีน้ำตาลแดง และทรงอยู่หน้าคณะผู้ติดตามและองครักษ์ของพระองค์ ตรัสว่า "สหายทั้งหลาย คอร์เตสโปรตุเกสอยากให้พวกเรากลายเป็นทาสและพยายามกลั่นแกล้งพวกเรา ณ วันนี้พันธะผูกพันของเราเป็นอันจบสิ้น ด้วยโลหิตของข้า, ด้วยเกียรติของข้า และด้วยข้าพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอสาบานที่จะนำมาซึ่งอิสรภาพแห่งบราซิล ชาวบราซิลทั้งหลาย จงเตือนใจพวกท่านเองเถิดเสียในวันนี้ว่า เราจะมุ่งไปข้างหน้าด้วย อิสรภาพหรือความตาย!"[87]
สมเด็จพระจักรพรรดิภายใต้รัฐธรรมนูญแก้ไข
ในช่วงหลายเดือนจาก 7 กันยายน พระเจ้าฌูเอาที่ 6 ยังคงเป็นที่ยอมรับในฐานะพระประมุขอันชอบธรรมของราชอาณาจักรเอกราชบราซิล[88] กลุ่มการเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพของบราซิลไม่ได้ต่อต้านพระมหากษัตริย์โดยตรง ที่ทรงถูกมองว่าเป็นเพียงพระประมุขหุ่นเชิดที่ทรงถูกควบคุมโดยสภาคอร์เตส[89] เจ้าชายผู้สำเร็จราชการจึงทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ต่อมาทรงถูกเชิญชวนให้ทรงราชบัลลังก์บราซิลในฐานะ สมเด็จพระจักรพรรดิ มิใช่ พระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตามเจ้าชายเปดรูทรงชี้แจงว่าถ้าหากพระราชบิดาของพระองค์เสด็จกลับมาบราซิล พระองค์จะสละราชบัลลังก์ให้พระราชบิดา[90] พระองค์ทรงสถาปนาพระองค์เองเป็น สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 24 พรรษาของพระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิบราซิลในวันที่ 12 ตุลาคม พระองค์ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในวันที่ 1 ธันวาคม พระราชอำนาจของพระองค์ไม่ได้ขยายไปทั่วแผ่นดินบราซิลในทันที พระองค์ทรงบีบบังคับให้หลายๆจังหวัดในภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ และกองทหารโปรตุเกสที่มีฐานที่มั่นที่สุดท้ายให้ยอมจำนนในต้นปีพ.ศ. 2367[91][92]
ในขณะที่ความสัมพันธ์ของสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 กับโบนิเฟชิโอได้เสื่อมโทรมลง แม้ว่าครั้งหนึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิจะทรงยกย่องเขาในฐานะที่ปรึกษา[93][94] สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงเริ่มไม่พอพระทัยในตำแหน่งที่ส่งเสริมบทบาทใหม่ของโบนิเฟชิโอในฐานะครู[95] สถานการณ์มาถึงจุดวิกฤตเมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงลงโทษในฐานการปฏิบัติตนไม่เหมาะสมด้วยการปลดโบนิเฟชิโอและน้องชายของเขา มาร์ติม ฟรานซิสโก เดอ อันดราดาจากตำแหน่งรัฐมนตรีลอยของพวกเขา จากความเผด็จการและความไม่ถูกต้อง โบนิเฟชิโอได้ใช้ตำแหน่งของตนทำการข่มขู่, ดำเนินคดี, จับกุมและแม้กระทั่งเนรเทศศัตรูทางการเมืองของเขา[96] เป็นเวลาหลายเดือนที่ศัตรูของโบนิเฟชิโอได้ทำานเพื่อเอาชนะพระทัยเหนือองค์จักรพรรดิ เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ยังคงเป็นเจ้าชายผู้สำเร็จราชการ พวกเขาได้ให้พระยศแก่พระองค์ว่า "ผู้ปกป้องตลอดกาลของบราซิล" ในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2365[97] พวกเขายังคงให้พระองค์ดำรงตำแหน่งในสมาคมฟรีเมสันในวันที่ 2 สิงหาคม[98][99] และต่อมาได้แต่งตั้งให้พระองค์เป็นผู้นำในวันที่ 7 ตุลาคม แทนที่โบนาเฟชิโอในตำแหน่งนี้[100]
วิกฤตระหว่างองค์จักรพรรดิและอดีตรัฐมนตรีของพระองค์รู้สึกได้ทันทีในสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ซึ่งได้รับเลือกตั้งสำหรับวัตถุประสงค์การจัดร่างรัฐธรรมนูญ[101] สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ โบนิเฟชิโอได้ทำการฟื้นฟูเพื่อการฉวยโอกาสทางการเมือง เขาอ้างว่าการดำรงอยู่ของการสมคบคิดกับโปรตุเกสในการต่อต้านผลประโยชน์ของบราซิล เป็นการบอกเป็นนัยถึงสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องเนื่องจากประสูติในโปรตุเกส[102][103] องค์จักรพรรดิทรงพิโรธอย่างมากด้วยคำบริภาษพระองค์ในการประณามความจงรักภักดีของประชาชนผู้ซึ่งเกิดในโปรตุเกส และคำที่ว่าพระองค์สร้างความขัดแย้งด้วยพระองค์เองในความจงรักภักดีต่อบราซิล[104] ในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2366 สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 มีพระราชโองการประกาศยุบสภาร่างรัฐธรรมนูญและให้มีการเลือกตั้งใหม่[105] ในวันต่อมา พระองค์ทรงก่อตั้งสภาโดยรัฐพื้นเมืองให้ทำการดูแลการยกร่างรัฐธรรมนูญ สำเนาของร่างรัฐธรรมนูญถูกส่งไปยังทุกๆเทศบาลเมือง และส่วนใหญ่ลงมติเห็นชอบให้บังคับใช้ทันทีในฐานะรัฐธรรมนูญแห่งจักรวรรดิ[106] ได้ถูกประกาศใช้และถวายคำสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2367[107]
วิกฤตภายในและภายนอกแก้ไข
เรื่องอื้อฉาวราชวงศ์โปรตุเกสแก้ไข
หลังจากการเจรจากันอย่างยาวนาน โปรตุเกสได้ลงนามในสนธิสัญญารีโอเดจาเนโรกับบราซิลในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2368 ซึ่งเป็นการยอมรับความเป็นเอกราชของบราซิล[108] นอกจากยอมรับความเป็นเอกราชของบราซิลแล้ว ข้อกำหนดของสนธิสัญญาอยู่ที่ค่าใช้จ่ายของบราซิล รวมถึงความต้องการสำหรับค่าชดเชยที่จะจ่ายให้กับโปรตุเกสที่ไม่มีความต้องการอื่นๆอีก ค่าชดเชยจะถูกจ่ายให้กับชาวโปรตุเกสทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในบราซิลสำหรับการสูญเสียของพวกเขาถูกกระทำมาเช่นทรัพย์สมบัติถูกยึด พระเจ้าฌูเอาที่ 6 ยังทรงได้สิทธิอันชอบธรรมที่จะทรงสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งบราซิล[109] ที่น่าอัปยศกว่านั้นคือสนธิสัญญาได้ระบุว่าการได้มาซึ่งอิสรภาพนั้นมาจากการอนุมัติด้วยน้ำพระทัยที่กว้างขวางของพระเจ้าฌูเอาที่ 6 มากกว่าการที่ถูกขับไล่โดยชาวบราซิลด้วยการใช้กำลังบังคับ[110][111] แม้เป็นสิ่งที่แย่กว่าคือ การที่บริเตนใหญ่ได้รับผลประโยชน์จากการที่แสดงบทบาทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยโดยการลงนามในสนธิสัญญาที่แยกต่างหากซึ่งสิทธิของตนเชิงพาณิชย์ได้รับการต่ออายุและโดยการลงนามในการประชุมที่บราซิลตกลงที่จะยกเลิกการค้าทาสกับแอฟริกาภายในสี่ปี สนธิสัญญาทั้งสองนี้เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของบราซิลอย่างรุนแรง[112][113]
ไม่กี่เดือนต่อมา องค์จักรพรรดิทรงรับทราบข่าวการสวรรคตของพระราชบิดาในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2369 และพระองค์ได้สืบราชบัลลังก์โปรตุเกสต่อในฐานะ พระเจ้าเปดรูที่ 4 แห่งโปรตุเกส[114] พระองค์ทรงทราบว่าการรวมกันอีกครั้งของบราซิลและโปรตุเกสเป็นสิ่งที่ประชาชนทั้งสองประเทศยอมรับไม่ได้ พระองค์ทรงรีบสละราชบัลลังก์โปรตุเกส ในวันที่ 2 พฤษภาคม[115][116] ทรงมอบราชบัลลังก์ให้แก่พระราชธิดาองค์โปรด ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 แห่งโปรตุเกส การสละราชบัลลังก์ของพระองค์มีเงื่อนไข โดยโปรตุเกสต้องยอมรับในรัฐธรรมนูญที่พระองค์ทรงจัดร่างขึ้นและสมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 ต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าชายมิเกล พระอนุชาของพระองค์[114] จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงจินตนาการถึงสหภาพนี้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2365 และทรงพยายามโน้มน้าวให้เจ้าชายมิเกลเสด็จกลับมาบราซิล องค์จักรพรรดิทรงเขียนถึงเจ้าชายว่า "จะมีปัญหาการขาดแคลนผู้คนที่บอกไม่ให้เจ้าออกไป...บอกให้พวกมันกินขี้ซะ และพวกมันจะพูดว่าบราซิลกำลังจะถอนตัว เจ้ากำลังจะเป็นกษัตริย์โปรตุเกส บอกพวกมันให้กินขี้อีกครั้ง"[117] โดยไม่คำนึงถึงการสละราชบัลลังก์ จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ยังคงมีบทบาทเป็นพระมหากษัตริย์โปรตุเกสที่ไม่อยู่ และทรงเข้ามาแทรกแทรงไกล่เกลี่ยในสถานการณ์ทางการทูตเช่นเดียวกับกิจการภายในของประเทศ เช่น ทรงทำการแต่งตั้ง[118] พระองค์ทรงพบว่ามันเป็นการยากที่เพียงอย่างน้อยที่สุดเพื่อรักษาสถานะของพระองค์ในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งบราซิลแยกต่างหากจากการทีทรงปกป้องผลประโยชน์ของพระราชธิดาในโปรตุเกส[118]
เจ้าชายมิเกลทรงแสร้งทำตามแผนการของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทันทีที่เจ้าชายทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในต้นปีพ.ศ. 2371 และการที่ได้รับการสนับสนุนจากพระนางคาร์ลอตา โจวควินา พระราชมารดา พระองค์ทรงประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ จากการสนับสนุนจากชาวโปรตุเกสที่นิยมระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และทรงสถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็น พระเจ้ามิเกลที่ 1 แห่งโปรตุเกส[119] ในฐานะที่ทรงเจ็บปวดจากการทรยศของพระอนุชาที่ทรงรักยิ่ง จักรพรรดิเปดรูยังทรงทรนกับการเอาพระทัยออกห่างของพระเชษฐภคินีและพระขนิษฐาที่ยังทรงพระชนม์อยู่ได้แก่ เจ้าหญิงมาเรีย เทเรซา, เจ้าหญิงมาเรีย ฟรานซิสกา, เจ้าหญิงอิซาเบล มาเรีย และเจ้าหญิงมาเรีย ดา อัสซันโค ซึ่งทั้งหมดทรงไปเข้าเป็นฝ่ายเดียวกับพระเจ้ามิเกลที่ 1[120] มีเพียงพระขนิษฐาองค์สุดท้องของพระองค์คือ เจ้าหญิงอนา เดอ จีซัส มาเรีย เท่านั้นที่ยังทรงจงรักภักดีในองค์จักรพรรดิ[61] และหลังจากนั้นพระนางก็เดินทางไปที่รีโอเดจาเนโรเพื่อใกล้ชิดองค์จักรพรรดิผู้เป็นพระเชษฐาองค์โต[61] ด้วยความชิงชังและทรงเริ่มเชื่อว่าพระเจ้ามิเกลที่ 1 ทรงปลงพระชนม์พระราชบิดา[121] จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงสนพระทัยไปที่โปรตุเกสและทรงพยายามอย่างไร้ผลที่จะทรงรวบรวมการสนับสนุนระหว่างประเทศเพื่อสิทธิอันชอบธรรมของพระราชธิดา สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2[122]
สงครามและการตกพุ่มหม้ายแก้ไข
จากการสนับสนุนโดยสหรัฐแห่งรีโอเดลาพลาตา (ปัจจุบันคือ ประเทศอาร์เจนตินา) กลุ่มคนเล็กๆได้ประกาศดินแดนทางภาคใต้ในแคว้นคิสพลาตินาเป็นเอกราชในเดือนเมษายน พ.ศ. 2368[123] รัฐบาลบราซิลเป็นครั้งแรกที่รับรู้ถึงการพยายามที่จะแยกตัวในการลุกฮือเล็กๆ มันใช้เวลาหลายเดือนก่อนที่จะเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเกิดจากการเข้ามามีส่วนร่วมจากสหรัฐรีโอเดลาพลาตา ซึ่งพยายามผนวกคิสพลาตินา ก่อให้เกิดความกังวลอย่างรุนแรง โดยการตอบโต้ จักรวรรดิประกาศสงครามในเดือนธันวาคมนำมาซึ่งวิกฤตสงครามคิสพลาทีน[124] องค์จักรพรรดิเสด็จเยือนรัฐบาเยีย (ตั้งอยู่ที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 เสด็จพร้อมพระมเหสีและพระราชธิดา พระนางมาเรีย องค์จักรพรรดิทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประชาชนในรัฐบาเยีย[125] การเดินทางครั้งนี้ถูกวางแผนเพื่อสร้างแรงสนับสนุนจากความพยายามในสงคราม[126]
คณะผู้ติดตามราชวงศ์รวมทั้ง โดมิทิลา เดอ คัสโตร (จากนั้นคือ วิสเคานท์เตสและต่อมาคือ มาคิโอเนสแห่งซานโตส) ซึ่งเป็นนางสนมในจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ตั้งแต่พระองค์ทรงพบนางครั้งแรกในปีพ.ศ. 2365 แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงเคยซื่อสัตย์กับพระนางมาเรีย ลีโอโพลดิน่า ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงปกปิดความสัมพันธ์ทางเพศของพระองค์กับสตรีคนอื่นๆ[127] แต่ความหลงใหลในคนรักใหม่ของพระองค์ "ได้กลายเป็นทั้งที่เห็นได้ชัดและไร้ขีดจำกัด"[128] ในขณะที่พระมเหสีของพระองค์ทรงทนกับการถูกมองข้ามและทรงกลายเป็นเป้าหมายของการนินทา[128] จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงปฏิบัติพระองค์ไม่สุภาพและมีพระทัยร้ายต่อพระนางมาเรีย ลีโอโพลดิน่ามากขึ้นโดยทรงให้พระราชทรัพย์แก่พระนางน้อยลง, ห้ามพระนางเสด็จออกจากพระราชวังและบังคับให้พระนางต้องยอมรับโดมิทิลาในฐานะนางสนองพระโอษฐ์ของพระนาง[129][130] ในขณะเดียวกันคนรักใหม่ขององค์จักรพรรดิก็ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของนางเช่นเดียวกับครอบครัวของเธอและมิตรสหาย ซึ่งแสวงหาความโปรดปรานหรือเพื่อส่งเสริมโครงการต่างๆมากขึ้นโดยขอความช่วยเหลือจากนาง โดยการอ้อมทางปกติของช่องทางกฎหมาย[131]
ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2369 จักรพรรดิเปดรูที่ 1 เสด็จทางเรือจากรีโอเดจาเนโรไปยังเมืองเซา โจเซในรัฐซันตากาตารีนา จากที่นี่พระองค์ทรงม้าไปที่ปรอโตอเลกรีเมืองหลวงของรัฐรีโอกรันดีโดซูลที่กองทัพใหญ่ถูกส่งไปประจำที่นั่น[132] เมื่อพระองค์เสด็จถึงในวันที่ 7 ธันวาคม องค์จักรพรรดิทรงพบความเคยชินกับกองทัพมากกว่าการรายงานก่อนหน้านี้ที่ทรงคาดหวัง พระองค์ "ทรงตอบสนองด้วยพลังตามปกติของพระองค์ พระองค์ทรงผ่านคำสั่งที่วุ่นวาย, พระองค์ทรงมีชื่อเสียงจากการไล่คนกินสินบนและคนไร้ความสามารถ, ทรงสนิทสนมกับทหารและทรงรวมการบริหารกองทัพและพลเมืองทั่วไป"[133] พระองค์กำลังพร้อมเสด็จกลับไปยังรีโอเดจาเนโร[134] เมื่อพระองค์ทรงรับทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระนางมาเรีย ลีโอโพลดิน่า จากการที่ทรงแท้ง[133][135] ข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวบราซิลที่ว่าพระนางสิ้นพระชนม์หลังจากทรงถูกทำร้ายร่างกายโดยจักรพรรดิเปดรูที่ 1
สงครามยังคงดำเนินต่อไปโดยยังไม่เห็นข้อสรุป ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2371 ทหารรับจ้างชาวไอริชและเยอรมันได้ก่อการจลาจลที่รีโอเดจาเนโร[136][137]ในเหตุการณ์กบฏทหารรับจ้างไอริชและเยอรมัน ด้วยไม่พอใจสภาพความเป็นอยู่ที่รุนแรงในค่ายทหารบราซิล ชาวต่างชาติที่ยอมรับสินบนของสหรัฐรีโอเดลาพลาตาอย่างง่ายดายไม่เพียงแค่การก่อกบฏ แต่เพื่อทำการจับกุมองค์จักรพรรดิเพื่อที่พระองค์จะเป็นองค์ประกันเป็นเบี้ยต่อรอง[138][139] กบฏทหารรับจ้างถูกปราบปรามอย่างนองเลือด จากนั้นในภายหลังจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงสละคิสพลาตินาในเดือนสิงหาคมและจังหวัดนั้นก็กลายเป็นประเทศเอกราชอุรุกวัย[140][141]
การอภิเษกสมรสครั้งที่สองแก้ไข
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสี จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงตระหนักว่าพระองค์ทรงเคยทำให้พระนางต้องทุกข์ทรมาน และความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับโดมิทิลาเริ่มแตกสลาย พระนางมาเรีย ลีโอโพลดิน่าไม่ทรงเหมือนกับพระสนมของพระองค์ พระนางทรงเป็นที่นิยมชมชอบ ซื่อสัตย์และรักพระองค์โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จักรพรรดิทรงงคิดถึงพระนางอย่างมากและแม้กระทั่งการครอบงำความคิดของพระองค์โดยโดมิทิลาก็ล้มเหลวที่จะเอาชนะความรู้สึกสูญเสียและเสียใจของพระองค์[142] วันหนึ่งโดมิทิลาพบพระองคทรงกันแสงอยู่บนพื้นและกอดพระสาทิสลักษณ์พระมเหสีผู้ล่วงลับของพระองค์ ซึ่งจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงกล่าวว่าทรงพบดวงพระวิญญาณที่เศร้าโศกของพระนาง[143] ต่อมาเมื่อองค์จักรพรรดิเสด็จออกจากแท่นบรรทมที่ประทับร่วมกับโดมิทิลาและทรงตะโกนว่า "ออกไปจากข้านะ! ข้ารู้ว่าข้ามีชีวิตไม่คู่ควรกับการเป็นพระประมุข ความคิดถึงองค์จักรพรรดินีจะไม่ออกไปจากใจข้า"[144][145] พระองค์ไม่ทรงลืมพระโอรสธิดาของพระองค์ที่กำพร้าพระมารดาและได้สังเกตว่าครั้งหนึ่งพระองค์ทรงอุ้มพระราชโอรส เจ้าชายเปดรู และตรัสว่า "เจ้าเด็กผู้โชคร้าย ลูกเป็นเจ้าชายที่ไร้สุขที่สุดในโลก"[146]
ด้วยคำยืนกรานของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 โดมิทิลาได้ออกจากรีโอเดจาเนโรในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2371[147] พระองค์ตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสอีกครั้งและจะเป็นคนดี พระองค์ยังทรงพยายามเกลี้ยกล่อมพระสัสสุระ (พ่อตา) ของพระองค์ด้วยความจริงใจ โดยทรงอ้างในจดหมายที่ว่า "ความชั่วช้าของกระหม่อมหมดสิ้นแล้ว และกระหม่อมจะไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อผิดพลาดเหล่านี้อีกครั้งซึ่งกระหม่อมเสียใจและขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัย"[148] สมเด็จพระจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 ทรงน้อยที่จะทรงเชื่อ องค์จักรพรรดิออสเตรียที่ทรงขุ่นเคืองพระราชหฤทัยลึกๆที่พระราชธิดาของพระองค์ต้องทรงทนทรมาน พระองค์ทรงถอนการสนับสนุนสำหรับความสัมพันธ์กับบราซิลและทรงผิดหวังในผลประโยชน์ของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ในโปรตุเกส[149]
เนื่องมาจากชื่อเสียงที่ไม่ดีของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ในยุโรป จากพฤติกรรมในอดีตของพระองค์ เหล่าเจ้าหญิงจากหลายๆชาติปฏิเสธข้อเสนออภิเษกสมรสกับพระองค์[119] ความภาคภูมิใจของพระองค์ต้องด่างพร้อย พระองค์ทรงอนุญาตให้พระสนมกลับมา ซึ่งนางกลับมาในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2372 หลังจากห่างหายไปเกือบหนึ่งปี[148][150] อย่างไรก็ตามเมื่อพระองค์ทรงทราบว่าในที่สุดพิธีหมั้นได้ถูกจัดขึ้น องค์จักรพรรดิทรงยุติความสัมพันธ์กับโดมิทิลาอีกครั้งหนึ่งและตลอดไป นางเดินทางกลับไปยังจังหวัดบ้านเกิดที่เซาเปาลูในวันที่ 27 สิงหาคม ซึ่งนางยังคงพำนักอยู่ที่นั่นตลอด[151] วันก่อนหน้าเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม องค์จักรพรรดิทรงอภิเษกสมรสผ่านตัวแทนกับเจ้าหญิงอเมลีแห่งเลาช์เทนเบิร์ก[152][153] แม้ว่าพระนางจะทรงมีบรรดาศักดิ์ต่ำเมื่อประสูติ[154][155] พระองค์ทรงตะลึงในความสิริโฉมของพระนางหลังจากทรงพบกับพระนาง[156][157] คำสาบานที่จะอภิเษกสมรสที่ผ่านตัวแทนก่อนหน้านี้เป็นที่ยอมรับในศีลสมรสวันที่ 17 ตุลาคม[158][159]
ระหว่างโปรตุเกสและบราซิลแก้ไข
วิกฤตการณ์ที่ไม่มีสิ้นสุดแก้ไข
ตั้งแต่สมัยของสภาร่างรัฐธรรมนูญในปีพ.ศ. 2366 และด้วยอำนาจที่มีขึ้นมาใหม่ในปีพ.ศ. 2369 ด้วยการเปิดประชุมสมัชชา (รัฐสภาบราซิล) มีการต่อสู้ทางอุดมการณ์มากกว่าสมดุลของอำนาจที่ถูกใช้โดยองค์จักรพรรดิและสภานิติบัญญัติในการปกครอง ในด้านหนึ่งร่วมในมุมมองของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 นักการเมืองที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์ควรมีอิสระในการการเลือกกำหนดรัฐมนตรี, นโยบายระดับชาติและทิศทางของรัฐบาล ฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นที่รู้จักในพรรคเสรีนิยม ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลควรจะมีอำนาจในการกำหนดแนวทางของรัฐบาลและควรประกอบด้วยผู้แทนมาจากพรรคเสียงข้างมากที่รับผิดชอบต่อสภา[160] การพูดกันอย่างเคร่งครัดของทั้งสองพรรคที่สนับสนุนรัฐบาลของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 และพรรคเสรีนิยมที่สนับสนุนลัทธิเสรีนิยมและระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ[161]
โดยไม่คำนึงถึงความล้มเหลวในฐานะผู้ปกครองของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 พระองค์ทรงเคารพรัฐธรรมนูญ พระองค์ไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการยอมให้มีการโยงการเลือก[162] ทรงปฏิเสธที่จะลงนามร่วมในการกระทำที่ยอมรับโดยรัฐบาล[163] หรือทรงปฏิเสธที่จะกำหนดข้อจำกัดใดๆบนเสรีภาพในการพูด[164][165] แม้ว่าภายในพระราชอำนาจของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงประกาศยุบสภาและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่เมื่อไม่ทรงเห็นด้วยกับจุดมุ่งหมายของพระองค์หรือการเลื่อนเวลาการนั่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ[166] หนังสืพิมพ์เสรีนิยมและจุลสารที่ยึดเอาชาติกำเนิดโปรตุเกสของจักรพรรดืเปดรูที่ 1 มาสนับสนุนข้อกล่าวหาที่ถูกต้องของทั้งสอง (เช่นที่มากของความกระตือรือร้นของพระองค์ก็พุ่งตรงไปยังกิจการที่เกี่ยวข้องกับโปรตุเกส) [167] และข้อกล่าวหาเท็จ (เช่นว่าพระองค์มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการที่จะยับยั้งรัฐธรรมนูญและรวมบราซิลเข้ากับโปรตุเกสอีกครั้ง) [168] นักเสรีนิยมซึ่งเป็นพระสหายชาวโปรตุเกสขององค์จักรพรรดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในราชสำนัก รวมทั้ง ฟรานซิสโก โกเมซ ดา ซิลวา ซึ่งมีนามเล่นๆว่า "ตัวตลก" เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเหล่านี้และจัดตั้ง "รัฐบาลเงา"[169][170] ไม่มีบุคคลเหล่านี้แสดงความสนใจในปัญหาดังกล่าวและสนใจในเรื่องใดๆก็ตามที่พวกเขาอาจจะใช้ร่วมกัน ไม่มีการซ่องสุมวางแผนในพระราชวังที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญหรือนำบราซิลกลับเข้าในภายใต้การควบคุมของโปรตุเกส[171]
ที่มาของการวิจารณ์โดยนักเสรีนิยมเกี่ยวข้องกับมุมมองของผู้เห็นด้วยกับการเลิกทาสของจักรพรรดิเปดรูที่ 1[172] องค์จักรพรรดิมีพระราชดำริอย่างจิงจังในกระบวนการที่ค่อยๆขจัดความเป็นทาส อย่างไรก็ตามอำนาจตามรัฐธรรมนญที่ตราไว้อยู่ในมือของรัฐสภาซึ่งถูกควบคุมโดยเจ้าของทาสและศักดินาได้พยายามขัดขวางการพยายามเลิกทาส[173][174] องค์จักรพรรดิทรงเลือกที่จะพยายามชักชวนแบบอย่างของศีลธรรม โดยทรงตั้งที่ดินของพระองค์ในซันตาครูซเป็นแบบจำลองโดยอนุญาตให้ที่ดินนี้ปลดปล่อยการเป็นทาส[175][176] จักรพรรดิเปดรูที่ 1 มีพระราชดำริขั้นก้าวหน้าอื่นๆอีก เมื่อองค์จักรพรรดิทรงประกาศความตั้งพระทัยของพระองค์ที่ยังคงอยู่ในบราซิลวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2365 และประชาชนพยายามมองพระองค์เพื่อถวายพระเกียรติด้วยทำการปลดม้าออกและลากรถม้าของพระองค์ด้วยตัวพวกเขาเอง องค์จักรพรรดิทรงปฏิเสธ พระองค์ทรงตอบว่ามันเป็นการประณามพระองค์พร้อมกันในที่สาธารณะถึงเทวสิทธิราชย์ของเลือดพิเศษในสังคมชั้นสูงและของชนชาติ "มันเจ็บปวดให้ข้าพเจ้าไปพบเห็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้าไปเป็นบรรณาการแด่คนที่เหมาะสมสำหรับเทวสิทธิ์ ข้าพเจ้ารู้ว่าโลหิตของข้าพเจ้าเป็นสีเดียวกับโลหิตของพวกนิโกร"[177][178]
สละราชบัลลังก์แก้ไข
หลังจากการเนรเทศโดมิทิลาออกจากราชสำนัก จักรพรรดิทรงให้สัตย์สาบานที่จะเปลี่ยนแปลงพระองค์เองเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ พระมเหสีพระองค์ที่สองของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 คือ พระนางอเมลีมีพระทัยดีและรักพระโอรสธิดาของพระองค์และทรงให้ความรู้สึกที่จำเป็นมากในสภาวะปกติแก่ทั้งพระราชวง์ของพระองค์และสาธารณะ[179] อย่างไม่เคยมีมาก่อนพระองค์ไม่ทรงมีเรื่องอื้อฉาวและทรงซื่อสัตย์ต่อพระมเหสี[180] ด้วยความพยายามที่จะลดความรุนแรงและข้ามเหนือการประพฤติผิดเมื่อครั้งอดีต พระองค์ทรงยุติความขัดแย้งกับโจเซ โบนาเฟชิโอ อดีตรัฐมนตรีและที่ปรึกษาของพระองค์
ความพยายามขององค์จักรพรรดิที่ทรงเอาพระทัยในพรรคเสรีนิยมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก พระองค์ทรงสนับสนุนกฎหมายปีพ.ศ. 2370 ที่ซึ่งจัดตั้งด้วยความรับผิดเฉพาะตัวของรัฐมนตรี[181] ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2374 พระองค์ทรงกำหนดรัฐมนตรีที่จัดตั้งขึ้นโดยนักการเมืองที่ดึงมาจากฝ่ายค้าน[182] ด้วยการยอมรับในบทบาททางรัฐสภาของรัฐบาล ท้ายสุดพระองค์เสนอตำแหน่งในยุโรปให้ฟรานซิสโก โกเมซและพระสหายที่เกิดในโปรตุเกสเพื่อขจัดข่าวลือของ "รัฐบาลเงา"[179][183]
ด้วยความผิดหวังของพระองค์ มาตรการผ่อนคลายของพระองค์ไม่สามารถหยุดการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากทางด้านเสรีนิยมต่อรัฐบาลของพระองค์และชาติกำเนิดต่างประเทศของพระองค์ ทรงผิดหวังในการดื้อแพ่งของพวกเขา กลายเป็นพระองค์ไม่เต็มพระทัยที่จะจัดการสถานการณ์ทางการเมืองของพระองค์ที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น[179] ในขณะเดียวกัน ชาวโปรตุเกสได้ขับไล่การรณรงค์ที่โน้มน้าวให้พระองค์ละทิ้งบราซิลและแทนที่จะอุทิศกำลังกายของพระองค์ในการต่อสู้เพื่อสิทธิในราชบัลลังก์โปรตุเกสของพระราชธิดา[184] ตามที่โรเดอริค เจ. บาร์แมนเขียนว่า "[ใน]กรณีฉุกเฉินความสามารถขององค์จักรพรรดิส่องมา พระองค์กลายเป็นผู้ที่ดีเยี่ยมในความกล้า ทรงมีไหวพริบและมีความมั่นคงในการดำเนินการ พระชนม์ชีพในฐานะพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เต็มไปด้วยความน่าเบื่อ, การตักเตือนและการไกล่เกลี่ย เป็นลักษณะที่ต่อต้านกับแก่นพระบุคลิกภาพของพระองค์"[185] ในทางกลับกัน นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า พระองค์"ทรงค้นพบตัวตนทุกอย่างในกรณีของพระราชธิดาของพระองค์ที่ดึงดูดบุคลิกลักษณะของพระองค์มากที่สุด โดยการเสด็จไปที่โปรตุเกสพระองค์จะทำการปกป้องผู้ถูกกดขี่ ทรงแสดงความกล้าหาญและปฏิเสธความต้องการของพระองค์เอง ทรงรักษารัฐธรรมนูญและเพลิดเพลินกับการกระทำอย่างเสรีภาพที่พระองค์ทรงโหยหา"[184]
พระราชดำริที่จะสละราชบัลลังก์และเสด็จกลับโปรตุเกสได้ฝังรากลึกในจิตใจของพระองค์ และเริ่มต้นในต้นปีพ.ศ. 2372 พระองค์มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อย[186] โอกาสที่จะได้กระทำตามดำริได้ปรากฏออกมาเร็วๆนี้ นักปฏิกิริยาภายในพรรคเสรีนิยมได้ออกมาชุมนุมไปตามถนนเพื่อก่อกวนชุมชนโปรตุเกสในรีโอเดจาเนโร ในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2374 มันได้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "noite das garrafadas" (คืนแห่งขวดแตก) ชาวโปรตุเกสทำการตอบโต้และก่อความวุ่นวายไม่หยุดตามถนนในเมืองหลวงของประเทศ[187][188] ในวันที่ 5 เมษายน จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงขับไล่รัฐบาลเสรีนิยม ที่อยู่ในอำนาจมาตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม สำหรับการขาดความสามารถในการฟื้นฟูกฎหมาย[182][189] ฝูงชนจำนวนมาก ที่ได้ถูกยั่วยุโดยนักปฏิกิริยา ได้รวมตัวกันในใจกลางเมืองรีโอเดจาเนโรในตอนบ่ายของวันที่ 6 เมษายน เพื่อเรียกร้องให้ฟื้นฟูรัฐบาลที่โดนล้มไปทันที[190] องค์จักรพรรดิมีพระราชดำรัสตอบว่า "ข้าพเจ้าจะทำทุกสิ่งเพื่อประชาชนและไม่มีอะไร[ถูกบังคับ]โดยประชาชน"[191] บางครั้งหลังจากพลบค่ำ, กองทัพรวมทั้งราชองครักษ์ของพระองค์ได้ทอดทิ้งพระองค์และเข้าร่วมการประท้วง พระองค์ไม่เพียงตระหนักถึงความโดดเดี่ยวและกลายเป็นต้องทรงแยกจากกิจการของชาวบราซิล และทุกคนก็ประหลาดใจ พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์เมื่อเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ของวันที่ 7 เมษายน[192] ทรงส่งมอบพระราชโองการสละราชบัลลงก์แก่คนส่งสาร พระองค์ตรัสว่า "นี่ท่านมีการสละราชบัลลังก์ของฉัน ฉันจะกลับยุโรปและไปจากประเทศที่ฉันรักมากและยังคงรักตลอดไป"[193][194]
เสด็จกลับยุโรปแก้ไข
สงครามฟื้นฟูราชบัลลังก์แก้ไข
ในเช้าตรู่ของวันที่ 7 เมษายน อดีตจักรพรรดิเปดรู พระมเหสีและคนอื่นๆ รวมทั้งพระราชธิดา อดีตสมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 และพระขนิษฐาของพระองค์ เจ้าหญิงอนา เดอ จีซัส เสด็จประทับขึ้นเรือเอชเอ็มเอส วอร์สไปรท์ เรือยังคงทอดสมออยู่ที่รีโอเดจาเนโร และในวันที่ 13 เมษายน อดีตจักรพรรดิทรงย้ายไปประทับและออกไปยังยุโรปด้วยเรือเอชเอ็มเอส วอเลจ[196][197] พระองค์เสด็จถึงแชร์บวร์ก-อ็อคเตวิลแยร์ ฝรั่งเศสในวันที่ 10 มิถุนายน[198][199] ช่วงไม่กี่เดือนถัดไป พระองค์เสด็จประพาสไปมาระหว่างฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นแต่ไม่ทรงได้รับการสนับสนุนจริงจากภาครัฐ[200] พระองค์ทรงพบว่าพระองค์เองทรงอยู่ในสถานะที่อึดอัดพระทัยเพราะพระองค์ไม่ทรงมีสถานะอย่างเป็นทางการทั้งในพระราชวงศ์บราซิลหรือพระราชวงศ์โปรตุเกส อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงได้รับพระอิสริยยศ ดยุกแห่งบราแกนซา ในวันที่ 15 มิถุนายน เป็นพระอิสริยยศที่พระองค์ทรงเคยได้รับครั้งหนึ่งเมื่อทรงเป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์โปรตุเกส ถึงแม้ว่าพระอิสริยยศนี้ควรเป็นของรัชทายาทในสมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 ซึ่งแน่นอนพระองค์ไม่ทรงเรียกร้องให้เป็นการรับรู้โดยทั่วไป[201][202] ในวันที่ 1 ธันวาคม เจ้าหญิงมาเรีย อเมเลีย พระราชธิดาของพระองค์ที่ประสูติแต่พระนางอเมลี ได้ประสูติที่กรุงปารีส[203]
พระองค์ไม่ทรงลืมพระราชโอรสธิดาของพระองค์ที่อยู่ที่บราซิลภายใต้การปกครองของโจเซ โบนาเฟชิโอ พระองค์ทรงเขียนจดหมายอย่างขมขื่นพระทัยแก่แต่ละพระองค์ ทรงถ่ายทอดความคิดถึงอย่างมากล้นของพระองค์และทรงขอซ้ำๆให้แต่ละพระองค์เข้ารับการศึกษาอย่างจริงจัง ไม่นานก่อนที่จะทรงสละราชบัลลังก์ จักรพรรดิเปดรูตรัสแก่พระราชโอรสและองค์รัชทายาทว่า "พ่อตั้งใจว่าน้องชายของพ่อ มิเกลและตัวพ่อเองจะเป็นคนสุดท้ายที่มีการศึกษาไม่ดีในราชวงศ์บราแกนซา"[204][205] ชาร์ลส์ นาเปียร์ ผู้บัญชาการกองทัพเรือที่ต่อสู้ภายใต้ราชลัญจกรของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ในช่วงปีพ.ศ. 2373 ได้บันทึกว่า "ศักยภาพของพระองค์เป็นของพระองค์เอง ความต้องการการศึกษาของพระองค์ที่ไม่ดีและไม่มีมนุษย์คนใดมีเหตุผลมากที่ข้อบกพร่องมากกว่าตัวพระองค์เอง"[206][207]
พระราชหัตถเลขาของพระองค์ถึงจักรพรรดิเปดรูที่ 2 พระองค์มักใส่สำนวนที่มากเกินกว่าระดับการอ่านของผู้เยาว์ และนักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าทรงมีเจตนาเป็นคำแนะนำแก่องค์จักรพรรดิผู้เยาว์และในที่สุดอาจเป็นคำปรึกษาเมื่อทรงเจริญพระชันษาขึ้น[198] ความโดดเด่นของข้อความในพระราชหัตถเลขาถึงจักรพรรดิเปดรูที่ 2 ได้เสนอปรัชญาทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพและลึกซึ้งของดยุกแห่งบราแกนซา ความว่า "ยุคสมัยที่เจ้าผู้ปกครองได้รับการยอมรับเพียงเพราะพวกเขาเป็นเจ้าผู้ปกครองได้สิ้นสุดลง; ในศตวรรษที่เราอยู่ ซึ่งประชาชนรู้ดีในสิทธิของตนเอง มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรจะเป็นเจ้าผู้ปกครองและควรรู้ว่าพวกเขาเองเป็นมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า ที่สำหรับความรู้และความรู้สึกที่ดีของพวกเขาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจะกลายเป็นที่รักและเคารพนับถือได้อย่างรวดเร็ว" พระองค์สรุปว่า "การเคารพนับถือของอิสระชนต่อผู้ปกครองของพวกเขาควรจะเกิดจาดความเชื่อมั่น ซึ่งพวกเขาถือได้ว่าผู้ปกครองของพวกเขาสามารถทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในระดับความสุขที่พวกเขาจะปรารถนา และถ้าดังกล่าวไม่เป็นกรณีของผู้ปกครองที่ไม่มีความสุขกับประชาชนที่ไม่มีความสุข"[208]
ในขณะประทับอยู่ในปารีส ดยุกแห่งบราแกนซาทรงพบปะและเป็นสหายกับกิลแบร์ ดู มอติแยร์, มาควิส เดอ ลาฟาแยตต์ ผู้ผ่านศึกในสงครามปฏิวัติอเมริกันซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งของพระองค์[202][209] อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงกล่าวอำลาครอบครัวของพระองค์, ลาฟาแยตต์และทหารกว่า 200 นายที่มาถวายพระพรในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2375 พระองค์ทรงคุกพระชานุต่อหน้าพระราชธิดา อดีตพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 และตรัสว่า "ท่านหญิง นี่คือนายพลโปรตุเกสผู้ซึ่งจะจะรักษาสิทธิอันชอบธรรมและเรียกคืนราชบัลลังก์ให้แก่ลูก" พระราชธิดาทรงกอดพระองค์และหลั่งพระอัสสุชล[210] อดีตจักรพรรดิเปดรูเสด็จทางเรือไปยังหมู่เกาะอะโซร์สในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นดินแดนของโปรตุเกสที่เดียวที่ยังคงจงรักภักดีในพระราชธิดาของพระองค์ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนพระองค์ทรงเตรียมการขั้นสุดท้ายโดยตัดสินพระทัยเสด็จไปยังแผ่นดินใหญ่โปรตุเกส ทรงเข้าเมืองโปร์ตูโดยไม่ถูกคัดค้านในวันที่ 9 กรกฎาคม[211] พระองค์ทรงมาที่หัวหน้าของกองทหารเล็กๆที่ประกอบไปด้วยนักเสรีนิยม เช่น อัลเมดา การ์เร็ตต์และอเล็กซานเดร เฮอร์คูลาโนเช่นเดียวกับทหารรับจ้างจากต่างชาติและอาสาสมัครเช่น หลานของลาฟาแยตต์ คือ เอเดรียน ยูลส์ เดอ ลาสแตร์รี[212]
สวรรคตแก้ไข
อย่างรุนแรงมาก กองทัพเสรีนิยมของอดีตจักรพรรดิเปดรูถูกปิดล้อมในโปร์ตูมานานกว่าหนี่งปี ที่นั่นในช่วงต้นปีพ.ศ. 2376 พระองค์ทรงได้รับข่าวจากโจเซ โบนาเฟชิโอในบราซิลว่าพระราชธิดาของพระองค์ เจ้าหญิงเปาลา กำลังจะสิ้นพระชนม์แล้ว อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงส่งสองคำขอร้องไปยังผู้ปกครองของพระราชโอรสธิดาของพระองค์ว่า "อย่างแรกโปรดผมที่สวยงามของเธอเล็กน้อยให้แก่ฉัน ขั้นตอนที่สองคือฝังเธอในคอนแวนต์แห่งนอซซา เซนโฮรา ดา อาจูดา [พระแม่แห่งการช่วยเหลือ] และไว้เธอในจุดเดียวของแม่ของเธอที่แสนดี ลีโอโพลดิน่าของฉันสำหรับผู้ที่แม้วันนี้ยังคงหลั่งน้ำตาแห่งความปรารถนา... ฉันขอให้ท่านเป็นพ่อ พ่อที่ไม่มีความสุขและน่าสงสาร ทีทำตามความปรารถนาของฉันและไปด้วยตัวเองที่จะฝากไว้เคียงข้างร่างแม่ของเธอด้วยลูกที่เกิดจากครรภ์ของเธอนี้และโอกาสนี้ขอสวดภาวนาแก่คนหนึ่งๆและคนอื่นๆ"[213]
หลายเดือนต่อมา ในเดือนกันยายน พระองค์ทรงพบกับอันโตนิโอ คาร์ลอส เดอ อันดราดา น้องชายของโบนาเฟชิโอ ซึ่งเดินทางมาจากบราซิล ในฐานะตัวแทนจากพรรคนักฟื้นฟู อันโตนิโอ คาร์ลอสทรงทูลให้ดยุคแห่งบราแกนซาเสด็จกลับบราซิลและปกครองอดีตจักรวรรดิของพระองค์ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระหว่างพระราชโอรสยังทรงพระเยาว์ อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงตระหนักว่าฝ่ายนักฟื้นฟูต้องการใช้พระองค์เป็นเครื่องมือในการเพิ่มพูนอำนาจของพวกเขาเอง และทรงผิดหวังกับอันโตนิโอ คาร์ลอส โดยการทำให้ความต้องการเกือบเป็นไปไม่ได้ เพื่อให้ทรงแน่ใจว่าชาวบราซิลและไม่แต่เพียงฝ่ายหนึ่งที่อยากให้พระองค์เสด็จกลับอย่างแท้จริง เขายืนยันที่จะขอให้เสด็จกลับมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ความปรารถนาของประชาชนจะได้รับการถ่ายทอดผ่านผู้แทนในประเทศของพวกเขาและการแต่งตั้งของพระองค์จะต้องได้รับการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติ เท่านั้นและ"เมื่อแสดงคำร้องขอของพระองค์ในโปรตุเกสโดยคณะผู้แทนแย่างเป็นทางการของรัฐสภาบราซิล" พระองค์จะได้รับการยอมรับพิจารณา[214][215]
ในระหว่างสงคราม ดยุคแห่งบราแกนซาทรงติดตั้งปืนใหญ่, ขุดสนามเพลาะ, มีแนวโน้มว่าจะทรงบาดเจ็บ, เสวยอาหารท่ามกลางทหารหมู่ยศต่างๆ และทรงต่อสู้ภายใต้อาวุธหนักที่คนที่อยู่ถัดจากพระองค์ถูกยิงหรือถูกระเบิดออกเป็นชิ้นๆ[216] เหตุของพระองค์ก็เกือบจะหายไปจนกว่าพระองค์จะเอาความเสี่ยงตามขั้นตอนแบ่งกองกำลังของพระองค์ และทรงส่งกำลังบางส่วนไปโจมตีแบบสะเทินน้ำสะเทินบกทางตอนใต้ของโปรตุเกส ภูมิภาคอัลเกรฟตกอยู่ภายในการขยายอาณาเขต ซึ่งจากนั้นตรงขึ้นเหนือไปยังลิสบอนซึ่งยอมจำนนในวันที่ 24 กรกฎาคม[217] อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงดำเนินการต่อไปปราบส่วนที่เหลือของประเทศแต่เมื่อความขัดแย้งจะนำไปสู่ข้อสรุป พระมาตุลาของพระองค์ เจ้าชายคาร์ลอส เคานท์แห่งโมลินา ผู้ซึ่งพยายามช่วงชิงราชบัลลังก์ของพระราชนัดดาของพระองค์ คือ สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2 แห่งสเปน ทรงเข้ามาขัดขวางพระองค์ ด้วยความขัดแย้งในวงกว้างนี้ทั่วคาบสมุทรไอบีเรีย ในสงครามการ์ลิสต์ครั้งที่ 1 ดยุกแห่งบราแกนซาทรงเป็นพันธมิตรกับกองทัพเสรีนิยมสเปนที่จงรักภักดีต่อพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2 และทรงปราบปรามทั้งพระเจ้ามิเกลที่ 1 และเจ้าชายคาร์ลอส สันติภาพได้มาถึงในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2377 ด้วยการยินยอมแห่งอีโบรามงเต[218][219]
ยกเว้นพระอาการประชวรด้วยโรคลมชักที่ทรงมีอาการชักในทุกๆไม่กี่ปีมานี้[36][220] อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงมีความสุขในพระพลานามัยสมบูรณ์เสมอ อย่างไรก็ตามสงครามได้ทำลายรัฐธรรมนูญของพระองค์และในปีพ.ศ. 2377 พระองค์กำลังจะเสด็จสวรรคตด้วยวัณโรค[221] พระองค์ทรงถูกบังคบให้ประทับอยู่บนแท่นบรรทมในพระราชวังเกวลูซมาตั้แต่วันที่ 10 กันยายน[222][223] อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงมีรับสั่งให้เขียนจดหมายถึงชาวบราซิล ที่ทรงเคยร้องขอให้ค่อยๆนำการเลิกทาสมาใช้ พระองค์ทรงเตือนพวกเขาว่า "ระบบทาสคือความชั่วร้ายและคือการโจมตีสิทธิและศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ผลที่ตามมาจะไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ถูกจองจำกว่าประเทศที่มีกฎหมายให้มีระบบทาส มันเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกินศีลธรรม"[224] หลังจากทรงทุกข์ทรมานจากพระอาการประชวนมาเป็นเวลานาน อดีตจักรพรรดิเปดรูเสด็จสวรรคตในเวลา 14.30 น. ของวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2477[225] ตามพระราชประสงค์ของพระองค์ พระหทัยถูกบรรจุในโบสถ์โปร์ตูส์ลาปา[226] และพระศพของพระองค์ถูกฝังที่วิหารหลวงแห่งพระราชวงศ์บราแกนซา[226][227] ข่าวการสวรรคตของพระองค์ได้มาถึงรีโอเดจาเนโรในวันที่ 20 พฤศจิกายน แต่พระราชโอรสธิดาของพระองค์ได้รับการแจ้งให้ทราบหลังจากวันที่ 2 ธันวาคม[228] โบนาเฟชิโอซึ่งต่อมาถูกปลดจากการเป็นผู้ปกครองของพระราชโอรสธิดา ได้เขียนจดหมายถึงจักรพรรดิเปดรูที่ 2 และพระเชษฐภคินีของพระองค์ว่า "ท่านเปดรูยังไม่ตาย เพียงคนธรรมดาเท่านั้นที่ตาย ไม่ใช่วีรบุรุษ"[229][230]
พระราชมรดกแก้ไข
จากการเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 อำนาจของพรรคฟื้นฟูได้หายไปในชั่วข้ามคืน[231] การประเมินความยุติธรรมของอดีตจักรพรรดิกลายเป็นอดีตไปเมื่อภัยคุกคามของการกลับสู่พระราชอำนาจของพระองค์ถูกลบออกไป อีวาริสโต เดอ เวกาหนึ่งในนักวิจารณ์พระองค์ที่เลวร้ายที่สุดได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเสรีนิยม ได้ออกคำสั่งซึ่งตามที่นักประวัติศาสตร์ โอตาวิโอ ทาร์ควินิโอ เดอ เซาซา ซึ่งมีมุมมองหลังจากนั้นไม่นานว่า "อดีตพระจักรพรรดิแห่งบราซิลไม่ทรงใช่เจ้าผู้ปกครองตามกฎหมายสามัญ...และความสุขุมทำให้พระองค์การเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการปลดปล่อยทั้งในบราซิลและในโปรตุเกส ถ้าพวกเรา[ชาวบราซิล]อยู่เป็นกลุ่มคนในชาติอิสระ ถ้าแผ่นดินของเราไม่ได้ถูกฉีกออกเป็นสาธารณรัฐศัตรูขนาดเล็กๆ ที่ซึ่งเพียงจิตวิญญาณอนาธิปไตยและกองทัพมีอำนาจเหนือกว่า พวกเราเป็นหนี้ในการตัดสินพระทัยอย่างเด็ดขาดของพระองค์ที่ยังคงหลงเหลือในหมู่พวกเราในการสร้างเสียงเรียกร้องครั้งแรกสำหรับอิสรภาพของเรา" เขากล่าวต่อว่า "โปรตุเกส ถ้ามันเป็นอิสระจากความมืดมิดและการปกครองเผด็จการที่ด้อยค่า...ถ้ามันสนุกกับผลประโยชน์ที่นำโดยผู้แทนรัฐบาลที่เรียนรู้ประชาชน มันเป็นหนี้แก่ท่านชายเปดรู เดอ อัลคันทารา ผู้ซึ่งทรงเหนื่อยหล้า, ทุกข์ยากและเสียสละเพื่อชาติโปรตุเกสทำให้พระองค์ได้รับเกียรติสูงเป็นบรรณาการแห่งชาติ"[232][233]
จอห์น อาร์มิเทจ ผู้ซึ่งอาศัยในบราซิลในช่วงครึ่งหลังของรัชกาลจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ได้บันทึกว่า "แม้ข้อผิดพลาดขององค์จักรพรรดิที่ได้รับร่วมกับผลประโยชน์ที่ดีผ่านอิทะพลของพวกมันในกิจการของประเทศแม่ พระองค์ทรงปกครองด้วยพระปัญญามากก็จะทรงได้รับการยอมรับที่ดีในดินแดนของพระองค์ แต่บางทีอาจจะเป็นความโชคร้ายของมวลมนุษยชาติ" อาร์มิเทจทรงเสริมว่าเหมือน "อดีตจักรพรรดิของชาวฝรั่งเศส พระองค์ยังทรงเป็นบุตรแห่งโชคชะตาหรือมากกว่าที่ใช้เป็นเครื่องมือที่อยู่ในมือของทุกคนที่มองเห็นและโชคชะตาที่เป็นประโยชน์สำหรับความคืบหน้าไปยังปลายทางที่ดีและลึกลับ ในความเก่าแก่เช่นเดียวกับโลกใบใหม่พระองค์ทรงได้รับโชคชะตาต่อจากนี้ไปจะกลายเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติต่อไป ก่อนและใกล้ความสง่างามของพระองค์แต่งานเพียงสั้นๆบนดินแดนบรรพบุรุษของพระองค์ อย่างมากพอที่จะชดเชยความผิดพลาดและความโง่เขลาของพระชนม์ชีพในอดีตของพระองค์ ด้วยความเสียสละและความกล้าหาญในสาเหตุของเสรีภาพทางการเมืองและศาสนา"[234]
ในปีพ.ศ. 2515 ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีการประกาศอิสรภาพของบราซิล พระบรมศพของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 (แม้ว่าจะไม่ได้พระหทัยของพระองค์) ได้ถูกนำมายังบราซิล ตามที่พระองค์ทรงปรารถนาไว้ พร้อมด้วยการป่าวประกาศและพระเกียรติยศในฐานะประมุขแห่งรัฐ พระบรมศพของพระองค์ถูกฝังใหม่ในอนุสาวรีย์อิสรภาพแห่งบราซิลร่วมกับพระนางมาเรีย ลีโอโพลดิน่าและพระนางอเมลี ในเมืองเซาเปาลู[226][235] หลายปีต่อมา นีล ดับบลิว. มาเคาเลย์, จูเนียร์ ได้กล่าวว่า "คำวิจารณ์จากท่านเปดรูทรงแสดงออกอย่างอิสระและดุดัน มันทำให้พระองค์ต้องทรงสละราชบัลลังก์ทั้งสอง ความอดทนของพระองค์ของการวิจารณ์สาธารณะและความตั้งพระทัยของพระองค์ที่จะสละพระราชอำนาจทำให้ท่านเปดรูทรงแตกต่างจากบรรพบุรุษผู้ทรงสมบูรณาญาสิทธิ์ของพระองค์และจากเหล่าผู้ปกครองที่บีบบังคับของรัฐในทุกวันนี้ ที่ซึ่งมีระยะการดำรงตำแหน่งที่มีความปลอดภัยเช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์ชรา" มาเคาเลย์ยืนยันว่า "ผู้นำเสรีนิยมที่ประสบความสำเร็จอย่างเช่น ท่านเปดรูอาจจะได้รับการเฉลิมพระเกียรติด้วยอนุสาวรีย์หินหรือสำริดเป็นครั้งคราว แต่พระบรมสาทิสลักษณ์ขนาดสูงสี่ชั้นนั้นไม่เข้ากับอาคารสาธารณะ ภาพเหล่านั้นจะไม่ได้ถูกถือในขบวนพาเหรดของหลายร้อยหลายพันคนที่สวมเครื่องแบบ, ไม่มีคำว่า '-isms' แนบไปท้ายชื่อของพวกเขา"[236]
พระอิสริยยศแก้ไข
- 12 ตุลาคม พ.ศ. 2341 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2344 : เจ้าชาย (ท่าน) เปดรู, หัวหน้าคณะแห่งคราโต[116]
- 11 มิถุนายน พ.ศ. 2344 - 20 มีนาคม พ.ศ. 2359 : เจ้าชายแห่งเบย์รา[116]
- 20 มีนาคม พ.ศ. 2359 - 9 มกราคม พ.ศ. 2360 : เจ้าชายแห่งบราซิล[116]
- 9 มกราคม พ.ศ. 2360 - 10 มีนาคม พ.ศ. 2369 : พระวรราชกุมาร[116]
- 12 ตุลาคม พ.ศ. 2365 - 7 เมษายน พ.ศ. 2374 : สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งบราซิล[116]
- 10 มีนาคม พ.ศ. 2369 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2369 : พระมหากษัตริย์แห่งโปรตุเกสและอัลเกรฟ[116]
- 15 มิถุนายน พ.ศ. 2374 - 24 กันยายน พ.ศ. 2477 : ดยุกแห่งบราแกนซา[201]
ในฐานะจักรพรรดิแห่งบราซิล พระองค์มีพระอิศริยยศเต็มว่า "ท่านเปดรูที่ 1 , สมเด็จพระจักรพรรดิภายใต้รัฐธรรมนูญและผู้ปกป้องตลอดกาลแห่งบราซิล"[237] ในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งโปรตุเกส พระองค์มีพระอิสริยยศเต็มว่า "ท่านเปดรูที่ 4 , พระมหากษัตริย์แห่งโปรตุเกสและอัลเกรฟ, แห่งอีกด้านหนึ่งของทะเลในทวีปแอฟริกา, ลอร์ดแห่งกีนีและแห่งผู้พิชิต, นาวิกราชและการค้าแห่งเอธิโอเปีย, อะราเบีย, เปอร์เซีย และอินเดีย, ฯลฯ"[238]
พระมเหสีและพระโอรสธิดาแก้ไข
อาร์คดัชเชสมาเรีย ลีโอโพลดิน่าแห่งออสเตรียแก้ไข
สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิลทรงอภิเษกสมรสกับอาร์คดัชเชสมาเรีย ลีโอโพลดิน่าแห่งออสเตรีย ด้วยการอภิเษกสมรสผ่านตัวแทนในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2360 มีพระโอรสธิดาร่วมกัน 7 พระองค์ได้แก่
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | คู่สมรส และพระโอรส-ธิดา หมายเหตุ | |
สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 แห่งโปรตุเกส | พ.ศ. 2362 |
4 เมษายนพ.ศ. 2396 |
15 พฤศจิกายนอภิเษกสมรสครั้งที่ 1 วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2378 กับ ออกุสต์ เดอ โบฮาร์เนส์ ดยุคแห่งเลาช์เทนเบิร์ก ไม่มีพระโอรสธิดา อภิเษกสมรสครั้งที่ 2 วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2379 กับ เจ้าชายเฟอร์ดินานด์แห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา มีพระโอรสธิดา 11 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าเปดรูที่ 5 แห่งโปรตุเกส สมเด็จพระเจ้าลูอิสที่ 1 แห่งโปรตุเกส เจ้าหญิงมาเรียแห่งโปรตุเกส เจ้าชายฌูเอา ดยุคแห่งเบจา เจ้าหญิงมาเรีย แอนนาแห่งโปรตุเกส เจ้าหญิงแอนโทเนียแห่งโปรตุเกส เจ้าชายเฟอร์นันโดแห่งโปรตุเกส เจ้าชายออกุสโต ดยุคแห่งโคอิมบรา เจ้าชายลีโอโพลโดแห่งโปรตุเกส เจ้าหญิงมาเรีย ดา กลอเรียแห่งโปรตุเกส เจ้าชายยูจินีโอแห่งโปรตุเกส ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งโปรตุเกสระหว่างปีพ.ศ. 2369 จนถึงพ.ศ. 2396 พระราชสวามีองค์แรกของพระนาง ออกุสต์ เดอ โบฮาร์เนส์ ดยุคแห่งเลาช์เทนเบิร์กได้สิ้นพระชนม์เพียงไม่กี่เดือนหลังจากอภิเษกสมรส พระราชสวามีองค์ต่อมาของพระนางคือ เจ้าชายเฟอร์ดินานด์แห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา ผู้ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าเฟอร์นันโดที่ 2 แห่งโปรตุเกสหลังจากพระนางมีพระประสูติกาลโอรสพระองค์แรก ซึ่งมีพระโอรสธิดารวม 11 พระองค์ สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 ทรงเป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์ของพระอนุชา สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล โดยพระนางทรงดำรงเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งบราซิลจนกระทั่งพระนางทรงถูกตัดออกจากสิทธิการสืบราชบัลลังก์ด้วยกฎหมายมาตราที่ 91 ในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2378[239] | |
เจ้าชายมิเกลแห่งเบย์รา | พ.ศ. 2363 |
26 เมษายนพ.ศ. 2363 |
26 เมษายนทรงดำรงพระอิสริยยศ เจ้าชายแห่งเบย์ราจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ | |
เจ้าชายฌูเอา คาร์ลอสแห่งเบย์รา | พ.ศ. 2364 |
6 มีนาคมพ.ศ. 2365 |
4 กุมภาพันธ์ทรงดำรงพระอิสริยยศ เจ้าชายแห่งเบย์ราจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ | |
เจ้าหญิงยาโนเรียแห่งบราซิล | พ.ศ. 2365 |
11 มีนาคมพ.ศ. 2444 |
15 พฤศจิกายนอภิเษกสมรส วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2387 กับ เจ้าชายหลุยส์ เคานท์แห่งอควิลา มีพระโอรสธิดา 4 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายหลุยส์ เคานท์แห่งร็อกคากูเกลมา เจ้าหญิงมาเรีย อิซาเบลลาแห่งบูร์บง-ทูซิชิลี เจ้าชายฟิลิปโปแห่งบูร์บง-ทูซิชิลี เจ้าชายมาเรีย เอ็มมานูเอลแห่งบูร์บง-ทูซิชิลี ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายหลุยส์ เคานท์แห่งอควิลา ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 แห่งทูซิชิลี พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรซิซิลีทั้งสอง ทรงได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าหญิงแห่งโปรตุเกสอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2365[240] พระนางทรงถูกตัดออกจากสิทธิการสืบราชบัลลังก์โปรตุเกสหลังจากบราซิลประกาศอิสรภาพ[241] | |
เจ้าหญิงเปาลาแห่งบราซิล | พ.ศ. 2366 |
17 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2376 |
16 มกราคมทรงสิ้นพระชนม์ขณะมีพระชนมายุ 9 พรรษาด้วยพระโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ[242] ประสูติในบราซิลหลังจากได้รับเอกราชแล้ว พระนางทรงถูกตัดออกจากสิทธิการสืบราชบัลลังก์โปรตุเกส[243] | |
เจ้าหญิงฟรานซิสกาแห่งบราซิล | พ.ศ. 2367 |
2 สิงหาคมพ.ศ. 2441 |
27 มีนาคมอภิเษกสมรส วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2386 กับ เจ้าชายฟรองซัวส์แห่งออร์เลออง เจ้าชายแห่งโจอินวิลล์ มีพระโอรสธิดา 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงฟรองซัวส์แห่งออร์เลออง เจ้าชายปิแยร์ ดยุคแห่งเพนทิเอฟเร เจ้าหญิงมารี ลีโอโพลดีนแห่งออร์เลออง ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายฟรองซัวส์แห่งออร์เลออง เจ้าชายแห่งโจอินวิลล์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ที่ 1 แห่งฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์กรกฎาคมแห่งฝรั่งเศส ประสูติในบราซิลหลังจากได้รับเอกราชแล้ว พระนางทรงถูกตัดออกจากสิทธิการสืบราชบัลลังก์โปรตุเกส[244] | |
สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล | พ.ศ. 2368 |
2 ธันวาคมพ.ศ. 2434 |
5 ธันวาคมอภิเษกสมรส วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2385 กับ เจ้าหญิงเทเรซา คริสตินาแห่งทูซิชิลี มีพระโอรสธิดา 4 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายอฟอนโซ เจ้าชายรัชทายาทแห่งบราซิล เจ้าหญิงอิซาเบล เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งบราซิล เจ้าหญิงลีโอโพลดินาแห่งบราซิล เจ้าชายเปดรู เจ้าชายรัชทายาทแห่งบราซิล ทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งบราซิลระหว่างปีพ.ศ. 2374 จนกรทั่งพ.ศ. 2432 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเทเรซา คริสตินาแห่งทูซิชิลี ซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 แห่งทูซิชิลี พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรซิซิลีทั้งสอง ประสูติในบราซิลหลังจากได้รับเอกราชแล้ว พระองค์ทรงถูกตัดออกจากสิทธิการสืบราชบัลลังก์โปรตุเกส[230] |
เจ้าหญิงอเมลีแห่งเลาช์เทนเบิร์กแก้ไข
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของอาร์คดัชเชสมาเรีย ลีโอโพลดิน่าแห่งออสเตรีย สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิลทรงอภิเษกสมรสใหม่กับเจ้าหญิงอเมลีแห่งเลาช์เทนเบิร์ก ด้วยการอภิเษกสมรสผ่านตัวแทนในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2372 มีพระธิดา 1 พระองค์ได้แก่
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | คู่สมรส และพระโอรส-ธิดา หมายเหตุ | |
เจ้าหญิงมาเรีย อเมเลียแห่งบราซิล | พ.ศ. 2374 |
1 ธันวาคมพ.ศ. 2396 |
4 กุมภาพันธ์พระนางทรงดำรงพระชนม์ชีพทั้งหมดของพระนางในยุโรปและไม่เคยเสด็จมายังบราซิล เจ้าหญิงมาเรีย อเมเลียทรงถูกหมั้นหมายไว้กับอาร์คดยุคแม็กซีมีเลียนแห่งออสเตรีย ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระจักรพรรดิแม็กซีมีเลียนที่ 1แห่งจักรวรรดิเม็กซิโก แต่เจ้าหญิงทรงสิ้นพระชนม์ก่อนการอภิเษกสมรส เจ้าหญิงประสูติหลังจากพระราชบิดาสละราชบัลลังก์โปรตุเกส พระองค์ไม่ทรงเคยอยู่ในสิทธิการสืบราชบัลลังก์โปรตุเกส[245] |
โดมิทิลา เดอ คัสโตร มาคิโอเนสแห่งซานโตสแก้ไข
สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิลมีพระโอรสธิดากับโดมิทิลา เดอ คัสโตร มาคิโอเนสแห่งซานโตส พระสนมที่ทรงคบหามาอย่างยาวนาน มีพระโอรสธิดาร่วมกัน 4 พระองค์ได้แก่
ชื่อ | เกิด | เสียชีวิต | หมายเหตุ | |
อิซาเบล มาเรีย เดอ อัลคันทารา ดัสเชสแห่งกอยอัส | พ.ศ. 2367 |
23 พฤษภาคมพ.ศ. 2441 | เธอเป็นพระธิดาเพียงคนเดียวของสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ที่กำเนิดนอกภาวะการสมรส ผู้ซึ่งต่อมาได้รับการรับรองตามกฎหมายจากพระองค์[246] ในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2369 อิซาเบล มาเรียได้รับพระราชทานตำแหน่ง "ดัสเชสแห่งกอยอัส" ซึ่งเป็นอิสริยยศชั้นไฮเนส และได้รับสิทธิในการขานชื่อว่า "ดอนนา"(ท่านผู้หญิง) [246] เธอเป็นบุคคลแรกที่ได้รับอิสริยยศชั้นดัสเชสในสมัยจักรวรรดิบราซิล[247] เกียรติยศเหล่านี้มิได้เป็นถวายเกียรติให้เธอในฐานะเจ้าหญิงแห่งบราซิลหรือสิทธิในการสืบราชสันตติวงศ์ ในพระราชพินัยกรรมของสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 พระองค์ได้พระราชทานแบ่งพระราชมรดกบางส่วนแก่เธอ[248] หลังจากนั้นเธอได้สูญเสียตำแหน่งและเกียรติยศในบราซิลจากการสมรสกับชาวต่างชาติ คือ เอิรนส์ ฟิชเลอร์ ฟาน ทรูเบิร์ก, เคานท์แห่งทรูเบิร์ก ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2386[249][250] | |
เปดรู เดอ อัลคันทารา บราซิเลโร | พ.ศ. 2368 |
7 ธันวาคมพ.ศ. 2368 |
27 ธันวาคมดูเหมือนว่าสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 มีพระราชวินิจฉัยที่จะพระราชทานบรรดาศักดิ์แก่เขาในฐานะ "ดยุคแห่งเซาเปาโล" ที่ซึ่งไม่เป็นผลจากการที่เขาได้เสียชีวิตเมื่อยังเยาว์วัย[251] | |
มาเรีย อิซาเบล เดอ อัลคันทารา บราซิเลรา | พ.ศ. 2370 |
13 สิงหาคมพ.ศ. 2371 |
25 ตุลาคมสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 มีพระราชวินิจฉัยที่จะพระราชทานอิสริยยศแก่เธอในฐานะ "ดัสเชสแห่งคาเอรา" ซึ่งเป็นอิสริยยศชั้นไฮเนส และได้รับสิทธิในการขานชื่อว่า "ดอนนา"(ท่านผู้หญิง) [252] ที่ซึ่งไม่เป็นผลจากการที่เธอได้เสียชีวิตเมื่อยังเยาว์วัย อย่างไรก็ตามในหลักฐานอื่นๆของท้องถิ่นได้ขานนามเธอว่า "ดัสเชสแห่งคาเอรา" ถึงแม้ว่าตำแหน่งนี้จะไม่ได้ใช้"ในเอกสารทางราชการ, ไม่มีการแต่งตั้งตำแหน่งนี้แก่เธอ, อีกทั้งไม่มีการกล่าวถึงในเอกสารที่เกี่ยวข้องกับพิธีฝังศพของเธอ"[252] | |
มาเรีย อิซาเบล เดอ อัลคันทารา เคานท์เตสแห่งอิกัวคู | พ.ศ. 2373 |
28 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2439 |
13 กันยายนได้เป็นเคานท์เตสแห่งอิกัวคูจากการสมรสในปีพ.ศ. 2391 กับเปดรู คาลเดย์รา บรันท์ บุตรชายของเฟลิสเบอร์โต คาลเดย์รา บรันท์ มาควิสแห่งบาร์บาเซนา[251] เธอไม่ได้รับพระราชทานอิสริยยศใดๆจากพระบิดาเลยที่ทรงอภิเษกสมรสใหม่กับเจ้าหญิงอเมลี อย่างไรก็ตามสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงยอมรับเธอในฐานะพระธิดาในพระราชพินัยกรรม แต่ไม่ทรงมอบพระราชมรดกใดๆแก่เธอ ยกเว้นมีคำขอให้ดูแลเธอด้านการศึกษาจวบจนเจริญวัย[248] |
มาเรีย เบเนดิกตา บารอนเนสแห่งซอรอคาบาแก้ไข
สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงคบหากับมาเรีย เบเนดิกตา บารอนเนสแห่งซอรอคาบา และมีพระโอรสร่วมกัน 1 พระองค์คือ
ชื่อ | เกิด | เสียชีวิต | หมายเหตุ | |
โรดริโก เดลฟิม เปเรย์รา | พ.ศ. 2366 |
4 พฤศจิกายนพ.ศ. 2434 |
31 มกราคมในพระราชพินัยกรรมของสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงยอมรับเขาในฐานะพระโอรสของพระองค์และทรงแบ่งพระราชมรดกแก่เขา[248] โรดริโก เดลฟิม เปเรย์ราได้เป็นนักการทูตชาวบราซิลและใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในยุโรป[253] |
เฮนเรียต โจเซฟีน คลีเมนซ์ ซาอิสเซทแก้ไข
สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงคบหากับเฮนเรียต โจเซฟีน คลีเมนซ์ ซาอิสเซท และมีพระโอรสร่วมกัน 1 พระองค์คือ
ชื่อ | เกิด | เสียชีวิต | หมายเหตุ | |
เปดรู เดอ อัลคันทารา บราซิเลโร | พ.ศ. 2372 |
23 สิงหาคมไม่ปรากฏปีที่เสียชีวิต | ในพระราชพินัยกรรมของสมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงยอมรับเขาในฐานะพระโอรสของพระองค์และทรงแบ่งพระราชมรดกแก่เขา[248] |
พระราชตระกูลแก้ไข
ดูเพิ่มแก้ไข
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Viana 1994, p. 252.
- ↑ Saraiva 2001, p. 378.
- ↑ Lustosa 2006, p. 36.
- ↑ See:
- Calmon 1950, p. 14,
- Sousa 1972, Vol 1, pp. 10–11,
- Macaulay 1986, p. 6.
- ↑ Calmon 1975, p. 3.
- ↑ Branco 1838, p. XXXVI.
- ↑ Barman 1999, p. 424.
- ↑ Calmon 1950, pp. 5, 9.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, p. 10.
- ↑ Calmon 1950, p. 11.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, pp. 5, 9.
- ↑ Calmon 1950, p. 12.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, pp. 4, 8, 10, 28.
- ↑ Calmon 1950, pp. 12–13.
- ↑ Macaulay 1986, p. 6.
- ↑ Macaulay 1986, p. 3.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, p. 9.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 18.3 18.4 Macaulay 1986, p. 7.
- ↑ 19.0 19.1 Sousa 1972, Vol 1, p. 12.
- ↑ See:
- Costa 1972, pp. 12–13,
- Lustosa 2006, p. 43,
- Sousa 1972, Vol 1, pp. 34, 47.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, pp. 39,41.
- ↑ 22.0 22.1 Macaulay 1986, p. 22.
- ↑ Macaulay 1986, p. 29.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, pp. 125, 128.
- ↑ Macaulay 1986, p. 189.
- ↑ Macaulay 1986, p. 33.
- ↑ Calmon 1950, p. 33.
- ↑ 28.0 28.1 28.2 Macaulay 1986, p. 32.
- ↑ See:
- Sousa 1972, Vol 1, p. 116,
- Costa 1995, pp. 99–101,
- Lustosa 2006, p. 70.
- ↑ 30.0 30.1 Costa 1995, p. 101.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, p. 121.
- ↑ Sousa 1972, Vol 2, p. 101.
- ↑ Barman 1999, p. 17.
- ↑ 34.0 34.1 34.2 34.3 Macaulay 1986, p. 46.
- ↑ Lustosa 2006, p. 58.
- ↑ 36.0 36.1 Macaulay 1986, p. 36.
- ↑ Macaulay 1986, p. 37.
- ↑ Barman 1988, p. 134.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, p. 252.
- ↑ Macaulay 1986, p. 51.
- ↑ Lustosa 2006, p. 71.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, p. 76.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, pp. 78–80.
- ↑ Macaulay 1986, p. 53.
- ↑ Costa 1972, p. 42.
- ↑ Calmon 1950, p. 44.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, p. 96.
- ↑ Calmon 1950, p. 49.
- ↑ Barman 1988, p. 64.
- ↑ 50.0 50.1 Barman 1988, p. 68.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 47–48.
- ↑ See:
- Sousa 1972, Vol 1, pp. 121–122,
- Costa 1995, p. 101,
- Lustosa 2006, p. 70.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, p. 123.
- ↑ 54.0 54.1 Macaulay 1986, p. 93.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 70,
- Sousa 1972, Vol 1, pp. 158–164,
- Calmon 1950, pp. 59–62,
- Viana 1994, p. 395.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 72,
- Sousa 1972, Vol 1, pp. 203–217,
- Calmon 1950, pp. 66–67,
- Viana 1994, p. 396.
- ↑ Barman 1988, p. 72.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 72,
- Sousa 1972, Vol 1, p. 227,
- Macaulay 1986, p. 86,
- Costa 1972, p. 69.
- ↑ Macaulay 1986, p. 175.
- ↑ Sousa 1972, Vol 2, p. 185.
- ↑ 61.0 61.1 61.2 Macaulay 1986, p. 255.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, p. 121.
- ↑ Macaulay 1986, p. 177.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, pp. 232–233.
- ↑ 65.0 65.1 Macaulay 1986, p. 96.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, pp. 231–232.
- ↑ Barman 1988, p. 74.
- ↑ 68.0 68.1 Lustosa 2006, p. 114.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 74,
- Lustosa 2006, pp. 113–114,
- Calmon 1950, pp. 75–76.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, p. 242.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, p. 264.
- ↑ Barman 1988, p. 81.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, pp. 264–265.
- ↑ Barman 1988, p. 82.
- ↑ Barman 1988, p. 83.
- ↑ Macaulay 1986, p. 107.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 84,
- Macaulay 1986, p. 107,
- Calmon 1950, p. 82.
- ↑ Barman 1988, p. 78.
- ↑ Barman 1988, p. 84.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 109–110.
- ↑ Macaulay 1986, p. 116.
- ↑ Calmon 1950, p. 85.
- ↑ Barman 1988, pp. 90–91, 96.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 119, 122–123.
- ↑ Macaulay 1986, p. 124.
- ↑ Barman 1988, p. 96.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 96,
- Sousa 1972, Vol 2, p. 31,
- Macaulay 1986, p. 125.
- ↑ Viana 1966, pp. 13–14.
- ↑ Barman 1988, p. 95.
- ↑ Lima 1997, p. 404.
- ↑ Viana 1994, pp. 420–422.
- ↑ Barman 1988, pp. 104–106.
- ↑ Sousa 1972, Vol 1, p. 307.
- ↑ Lustosa 2006, p. 139.
- ↑ Barman 1988, p. 110.
- ↑ See:
- Macaulay 1986, p. 148,
- Barman 1988, p. 101,
- Sousa 1972, Vol 2, p. 71.
- ↑ Barman 1988, p. 92.
- ↑ Macaulay 1986, p. 121.
- ↑ Barman 1988, p. 272.
- ↑ See:
- Macaulay 1986, pp. 129–130,
- Barman 1988, p. 100,
- Calmon 1950, p. 93.
- ↑ Macaulay 1986, p. 120.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 153–154.
- ↑ Barman 1988, p. 116.
- ↑ Barman 1988, p. 117.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 118,
- Macaulay 1986, p. 157,
- Viana 1994, p. 429.
- ↑ See:
- Macaulay 1986, p. 162,
- Lustosa 2006, p. 174,
- Sousa 1972, Vol 2, pp. 166, 168,
- Viana 1994, p. 430,
- Barman 1988, p. 123.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 123,
- Lustosa 2006, p. 175,
- Sousa 1972, Vol 2, p. 168,
- Macaulay 1986, p. 162,
- Viana 1994, p. 431.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 128,
- Sousa 1972, Vol 2, p. 193,
- Macaulay 1986, p. 184.
- ↑ See:
- Barman 1988, pp. 140–141,
- Sousa 1972, Vol 2, pp. 195–197,
- Macaulay 1986, pp. 184–185.
- ↑ Barman 1988, p. 140.
- ↑ Sousa 1972, Vol 2, p. 195.
- ↑ Barman 1988, p. 141.
- ↑ Macaulay 1986, p. 186.
- ↑ 114.0 114.1 Barman 1988, p. 142.
- ↑ Morato 1835, p. 26.
- ↑ 116.0 116.1 116.2 116.3 116.4 116.5 116.6 Branco 1838, p. XXXVII.
- ↑ Macaulay 1986, p. 118.
- ↑ 118.0 118.1 Barman 1988, p. 148.
- ↑ 119.0 119.1 Macaulay 1986, p. 226.
- ↑ Macaulay 1986, p. 295.
- ↑ Macaulay 1986, p. 239.
- ↑ Barman 1988, pp. 147–148.
- ↑ Barman 1988, p. 125.
- ↑ Barman 1988, p. 128.
- ↑ Sousa 1972, Vol 2, p. 206.
- ↑ Macaulay 1986, p. 190.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 168, 190.
- ↑ 128.0 128.1 Barman 1988, p. 146.
- ↑ Lustosa 2006, pp. 192, 231, 236.
- ↑ Barman 1999, p. 16.
- ↑ Barman 1988, p. 136.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 201–202.
- ↑ 133.0 133.1 Macaulay 1986, p. 202.
- ↑ Rangel 1928, pp. 178–179.
- ↑ Costa 1972, pp. 123–124.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 207–210.
- ↑ Costa 1995, pp. 121–128.
- ↑ Costa 1995, pp. 126–138.
- ↑ Calmon 1950, p. 173.
- ↑ Macaulay 1986, p. 211.
- ↑ Barman 1988, p. 151.
- ↑ Barman 1999, p. 24.
- ↑ See:
- Rangel 1928, p. 193,
- Lustosa 2006, p. 250,
- Costa 1995, p. 88,
- Sousa 1972, Vol 2, p. 260.
- ↑ Costa 1995, p. 88.
- ↑ Rangel 1928, p. 195.
- ↑ Lustosa 2006, p. 250.
- ↑ Lustosa 2006, p. 262.
- ↑ 148.0 148.1 Lustosa 2006, p. 252.
- ↑ Barman 1988, p. 147.
- ↑ Sousa 1972, Vol 2, p. 320.
- ↑ Sousa 1972, Vol 2, p. 326.
- ↑ Costa 1995, p. 94.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, p. 8.
- ↑ Lustosa 2006, p. 284.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, p. 7.
- ↑ Lustosa 2006, p. 285.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, p. 15.
- ↑ Macaulay 1986, p. 235.
- ↑ Rangel 1928, p. 274.
- ↑ See:
- Barman 1988, pp. 114, 131, 134, 137–139, 143–146, 150,
- Needell 2006, pp. 34–35, 39,
- Macaulay 1986, pp. 195, 234.
- ↑ See:
- Macaulay 1986, p. 229,
- Needell 2006, p. 42,
- Barman 1988, pp. 136–138.
- ↑ Macaulay 1986, p. 193.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 195, 219, 221.
- ↑ Macaulay 1986, pp. x, 193, 229.
- ↑ Viana 1994, p. 445.
- ↑ Viana 1994, p. 476.
- ↑ Macaulay 1986, p. 229.
- ↑ Macaulay 1986, p. 244.
- ↑ Macaulay 1986, p. 243.
- ↑ Calmon 1950, pp. 155–158.
- ↑ Macaulay 1986, p. 174.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 216–217, 246.
- ↑ Macaulay 1986, p. 215.
- ↑ Lustosa 2006, pp. 129, 131.
- ↑ Macaulay 1986, p. 214.
- ↑ Lustosa 2006, p. 131.
- ↑ Macaulay 1986, p. 108.
- ↑ Lustosa 2006, pp. 128–129.
- ↑ 179.0 179.1 179.2 Barman 1988, p. 156.
- ↑ See:
- Sousa 1972, Vol 3, pp. 10, 16–17,
- Macaulay 1986, pp. 231, 241,
- Costa 1995, p. 94.
- ↑ Macaulay 1986, p. 195.
- ↑ 182.0 182.1 Barman 1988, p. 159.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, p. 44.
- ↑ 184.0 184.1 Barman 1988, p. 157.
- ↑ Barman 1988, p. 138.
- ↑ See:
- Viana 1966, p. 24,
- Barman 1988, p. 154,
- Sousa 1972, Vol 3, p. 127.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 246–147.
- ↑ Barman 1988, p. 158.
- ↑ Macaulay 1986, p. 250.
- ↑ See:
- Sousa 1972, Vol 3, p. 108,
- Barman 1988, p. 159,
- Macaulay 1986, p. 251.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 159,
- Macaulay 1986, p. 251,
- Sousa 1972, Vol 3, p. 110.
- ↑ See:
- Barman 1988, p. 159,
- Calmon 1950, pp. 192–193,
- Macaulay 1986, p. 252.
- ↑ Macaulay 1986, p. 252.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, p. 114.
- ↑ Lustosa 2006, p. 323.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 254–257.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, pp. 117, 119, 142–143.
- ↑ 198.0 198.1 Macaulay 1986, p. 257.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, pp. 149, 151.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 257–260, 262.
- ↑ 201.0 201.1 Sousa 1972, Vol 3, p. 158.
- ↑ 202.0 202.1 Macaulay 1986, p. 259.
- ↑ Macaulay 1986, p. 267.
- ↑ Barman 1988, p. 281.
- ↑ Calmon 1975, p. 36.
- ↑ Costa 1995, p. 117.
- ↑ Jorge 1972, p. 203.
- ↑ See:
- Barman 1999, p. 40,
- Calmon 1950, p. 214,
- Lustosa 2006, p. 318.
- ↑ Lustosa 2006, p. 306.
- ↑ See:
- Lustosa 2006, p. 320,
- Calmon 1950, p. 207,
- Costa 1995, p. 222.
- ↑ See:
- Costa 1972, pp. 174–179,
- Macaulay 1986, pp. 269–271, 274,
- Sousa 1972, Vol 3, pp. 221–223.
- ↑ See:
- Macaulay 1986, pp. 268–269,
- Sousa 1972, Vol 3, pp. 201, 204,
- Costa 1995, pp. 222, 224.
- ↑ Santos 2011, p. 29.
- ↑ Macaulay 1986, p. 293.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, p. 287.
- ↑ See:
- Calmon 1950, pp. 222–223,
- Costa 1995, pp. 311–317,
- Macaulay 1986, pp. 276, 280, 282, 292,
- Sousa 1972, Vol 3, pp. 241–244, 247.
- ↑ Macaulay 1986, p. 290.
- ↑ Macaulay 1986, pp. 295, 297–298.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, pp. 291, 293–294.
- ↑ Lustosa 2006, pp. 72–73.
- ↑ Macaulay 1986, p. 302.
- ↑ Macaulay 1986, p. 304.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, p. 302.
- ↑ Jorge 1972, pp. 198–199.
- ↑ See:
- Costa 1995, p. 312,
- Macaulay 1986, p. 305,
- Sousa 1972, Vol 3, p. 309.
- ↑ 226.0 226.1 226.2 Macaulay 1986, p. 305.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, p. 309.
- ↑ Barman 1999, p. 433.
- ↑ Macaulay 1986, p. 299.
- ↑ 230.0 230.1 Calmon 1975, p. 81.
- ↑ Barman 1988, p. 178.
- ↑ Jorge 1972, p. 204.
- ↑ Sousa 1972, Vol 3, pp. 309, 312.
- ↑ Armitage 1836, Vol 2, pp. 139–140.
- ↑ Calmon 1975, p. 900.
- ↑ Macaulay 1986, p. x.
- ↑ Rodrigues 1863, p. 71.
- ↑ Palácio de Queluz 1986, p. 24.
- ↑ Barman 1999, p. 438.
- ↑ Morato 1835, p. 17.
- ↑ Morato 1835, pp. 33–34.
- ↑ Barman 1999, p. 42.
- ↑ Morato 1835, pp. 17–18.
- ↑ Morato 1835, pp. 18–19, 34.
- ↑ Morato 1835, pp. 31–32, 35–36.
- ↑ 246.0 246.1 Sousa 1972, Vol 2, p. 229.
- ↑ Viana 1968, p. 204.
- ↑ 248.0 248.1 248.2 248.3 Rangel 1928, p. 447.
- ↑ Rodrigues 1975, Vol 4, p. 22.
- ↑ Lira 1977, Vol 1, p. 276.
- ↑ 251.0 251.1 Viana 1968, p. 206.
- ↑ 252.0 252.1 Viana 1968, p. 205.
- ↑ Barman 1999, p. 148.
บรรณานุกรมแก้ไข
- Armitage, John (1836). The History of Brazil, from the period of the arrival of the Braganza family in 1808, to the abdication of Don Pedro The First in 1831. 2. London: Smith, Elder & Co.
- Barman, Roderick J. (1988). Brazil: The Forging of a Nation, 1798–1852. Stanford, California: Stanford University Press. ISBN 978-0-8047-1437-2.CS1 maint: ref=harv (link)
- Barman, Roderick J. (1999). Citizen Emperor: Pedro II and the Making of Brazil, 1825–1891. Stanford, California: Stanford University Press. ISBN 978-0-8047-3510-0.CS1 maint: ref=harv (link)
- Branco, João Carlos Feo Cardoso de Castello (1838). Resenha das familias titulares do reino de Portugal: Acompanhada das notícias biográphicas de alguns indivíduos da mesmas famílias (ภาษาโปรตุเกส). Lisbon: Imprensa Nacional.CS1 maint: ref=harv (link)
- Calmon, Pedro (1950). O Rei Cavaleiro (ภาษาโปรตุเกส) (6 ed.). São Paulo: Edição Saraiva.CS1 maint: ref=harv (link)
- Calmon, Pedro (1975). História de D. Pedro II (ภาษาโปรตุเกส). 1–5. Rio de Janeiro: José Olímpio.CS1 maint: ref=harv (link)
- Carvalho, J. Mesquita de (1968). Dicionário prático da língua nacional ilustrado. 1 (12 ed.). São Paulo: Egéria.CS1 maint: ref=harv (link)
- Costa, Horácio Rodrigues da (1972). "Os Testemunhos do Grito do Ipiranga". Revista do Instituto Histórico e Geográfico Brasileiro (ภาษาโปรตุเกส). Rio de Janeiro: Imprensa Nacional. 295.
- Costa, Sérgio Corrêa da (1972) [1950]. Every Inch a King: A Biography of Dom Pedro I First Emperor of Brazil. Translated by Samuel Putnam. London: Robert Hale. ISBN 978-0-7091-2974-5.CS1 maint: ref=harv (link)
- Costa, Sérgio Corrêa da (1995). As quatro coroas de D. Pedro I. Rio de Janeiro: Paz e Terra. ISBN 978-85-219-0129-7.CS1 maint: ref=harv (link)
- Dicionários Editora (1997). Dicionário de Sinônimos (2 ed.). Porto: Porto Editora.CS1 maint: ref=harv (link)
- Freira, Laudelino (1946). Grande e novíssimo dicionário da língua portuguesa. 2. Rio de Janeiro: A Noite.CS1 maint: ref=harv (link)
- Houaiss, Antônio; Villar, Mauro de Salles (2009). Dicionário Houaiss da língua portuguesa. Rio de Janeiro: Objetiva. ISBN 978-85-7302-963-5.CS1 maint: ref=harv (link)
- Jorge, Fernando (1972). Os 150 anos da nossa independendência (ภาษาโปรตุเกส). Rio de Janeiro: Mundo Musical.CS1 maint: ref=harv (link)
- Lustosa, Isabel (2006). D. Pedro I: um herói sem nenhum caráter (ภาษาโปรตุเกส). São Paulo: Companhia das Letras. ISBN 978-85-359-0807-7.CS1 maint: ref=harv (link)
- Macaulay, Neill (1986). Dom Pedro: The Struggle for Liberty in Brazil and Portugal, 1798–1834. Durham, North Carolina: Duke University Press. ISBN 978-0-8223-0681-8.CS1 maint: ref=harv (link)
- Lima, Manuel de Oliveira (1997). O movimento da Independência (ภาษาโปรตุเกส) (6th ed.). Rio de Janeiro: Topbooks.CS1 maint: ref=harv (link)
- Lira, Heitor (1977). História de Dom Pedro II (1825–1891) : Ascenção (1825–1870) (ภาษาโปรตุเกส). 1. Belo Horizonte: Itatiaia.
- Morato, Francisco de Aragão (1835). Memória sobre a soccessão da coroa de Portugal, no caso de não haver descendentes de Sua Magestade Fidelíssima a rainha D. Maria II (ภาษาโปรตุเกส). Lisbon: Typographia de Firmin Didot.CS1 maint: ref=harv (link)
- Needell, Jeffrey D. (2006). The Party of Order: the Conservatives, the State, and Slavery in the Brazilian Monarchy, 1831–1871. Stanford, California: Stanford University Press. ISBN 978-0-8047-5369-2.CS1 maint: ref=harv (link)
- Rangel, Alberto (1928). Dom Pedro Primeiro e a Marquesa de Santos (ภาษาโปรตุเกส) (2 ed.). Tours, Indre-et-Loire: Arrault.CS1 maint: ref=harv (link)
- Palácio de Queluz (1986). D. Pedro d'Alcântara de Bragança, 1798–1834 (ภาษาโปรตุเกส). Lisbon: Secretária de Estado.CS1 maint: ref=harv (link)
- Rodrigues, José Carlos (1863). A Constituição política do Império do Brasil (ภาษาโปรตุเกส). Rio de Janeiro: Typographia Universal de Laemmert.CS1 maint: ref=harv (link)
- Rodrigues, José Honório (1975). Independência: revolução e contra-revolução (ภาษาโปรตุเกส). 4. Rio de Janeiro: Livraria Francisco Alves Editora.
- Santos, Eugénio Francisco dos (2011). "Fruta fina em casca grossa". Revista de História da Biblioteca Nacional (ภาษาโปรตุเกส). Rio de Janeiro: SABIN. 74.CS1 maint: ref=harv (link)
- Saraiva, António José (2001) [1969]. The Marrano Factory. The Portuguese Inquisition and Its new Christians 1536–1765. Translated by H.P. Solomon and I.S.D. Sasson. Leiden, South Holland: Brill. ISBN 90-04-12080-7.CS1 maint: ref=harv (link)
- Sousa, Otávio Tarquínio de (1972). A vida de D. Pedro I (ภาษาโปรตุเกส). 1. Rio de Janeiro: José Olímpio.
- Sousa, Otávio Tarquínio de (1972). A vida de D. Pedro I (ภาษาโปรตุเกส). 2. Rio de Janeiro: José Olímpio.
- Sousa, Otávio Tarquínio de (1972). A vida de D. Pedro I (ภาษาโปรตุเกส). 3. Rio de Janeiro: José Olímpio.
- Viana, Hélio (1966). D. Pedro I e D. Pedro II. Acréscimos às suas biografias (ภาษาโปรตุเกส). São Paulo: Companhia Editora Nacional.CS1 maint: ref=harv (link)
- Viana, Hélio (1968). Vultos do Império (ภาษาโปรตุเกส). São Paulo: Companhia Editora Nacional.CS1 maint: ref=harv (link)
- Viana, Hélio (1994). História do Brasil: período colonial, monarquia e república (ภาษาโปรตุเกส) (15th ed.). São Paulo: Melhoramentos. ISBN 978-85-06-01999-3.CS1 maint: ref=harv (link)
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Pedro I of Brazil
ก่อนหน้า | จักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิล | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิบราซิล | สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งบราซิล (12 ตุลาคม พ.ศ. 2365 - 7 เมษายน พ.ศ. 2374) |
สมเด็จพระจักรพรรดิเปดรูที่ 2 | ||
สมเด็จพระเจ้าฌูเอาที่ 6 | พระมหากษัตริย์แห่งโปรตุเกสและอัลเกรฟ (10 มีนาคม พ.ศ. 2369 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2369) |
สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 |