ผู้ใช้:Phaisit16207/ทดลองเขียน 13

พรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี
Sozialistische Einheitspartei Deutschlands
ก่อตั้ง21 เมษายน ค.ศ. 1946 (1946-04-21)
ถูกยุบ16 ธันวาคม ค.ศ. 1989 (1989-12-16)
รวมตัวกับKPD และ SPD
ถัดไปPDS
หนังสือพิมพ์Neues Deutschland
ฝ่ายเยาวชนFreie Deutsche Jugend
สมาชิกภาพ  (ปี 1989)2,260,979[1]
อุดมการณ์คอมมิวนิสต์
ลัทธิมากซ์ ลัทธิเลนิน
กลุ่มระดับสากลโคมินฟอร์ม
สีแดง
เพลง"ลีทแดร์พาร์ทัย"
ธงประจำพรรค
การเมืองเยอรมนีตะวันออก
รายชื่อพรรคการเมือง
การเลือกตั้ง

พรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี (เยอรมัน: Sozialistische Einheitspartei Deutschlands, SED) มักรู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมนีตะวันออก (East German Communist Party)[2] เป็นพรรคการเมืองลัทธิมากซ์–เลนิน[3] ที่ปกครองสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (เยอรมนีตะวันออก) ตั้งแต่การก่อตั้งของประเทศในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1949 จนถึงการยุบพรรคหลังการปฏิวัติเงียบสงบ ใน ค.ศ. 1989 พรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนีถูกก่อตั้งขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 1946 โดยการรวมตัวกันระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมนีและพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี

ถึงแม้ว่าประเทศเยอรมนีตะวันออกจะเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียว[4] แต่ก็มีแนวร่วมประชาชนจากสถาบันอื่น ๆ ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นพันธมิตรกับพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี พรรคเหล่านี้ได้แก่ สหภาพประชาธิปไตยคริสตชน, พรรคประชาธิปไตยเสรีนิยม, พรรคเกษตรกรประชาธิปไตย และพรรคประชาธิปไตยแห่งชาติ ในคริสต์ทษวรรษที่ 1980 พรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนีปฏิเสธนโยบายเปิดความคิดเสรีของมีฮาอิล กอร์บาชอฟ เช่น เปเรสตรอยคา และ กลัสนอสต์ ซึ่งจะไปสู่การแยกเยอรมนีตะวันออก ออกจากการปรับโครงสร้างของสหภาพโซเวียต และการล่มสลายของพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี ในฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ. 1989

พรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนีได้รับการจัดระเบียบอย่างเป็นทางการ บนรากฐานของคติประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ แนวคิดนี้ถูกคิดขึ้นโดยนักทฤษฎีลัทธิมากซ์ชาวรัสเซีย วลาดีมีร์ เลนิน which conceptualized a democratic and open discussion on policy on the condition of unity in upholding the agreed-upon policies. Theoretically, the highest body of the SED was the Party Congress, convened every fifth year. When the Party Congress was not in session, the Central Committee was the highest body, but since the body normally met only once a year most duties and responsibilities were vested in the Politburo and its Standing Committee, members of the latter being seen as the top leadership of the Party and the State within the State Council of East Germany from 1960 replacing the President of the German Democratic Republic.

อ้างอิง

แก้
  1. Dirk Jurich, Staatssozialismus und gesellschaftliche Differenzierung: eine empirische Studie, p.31. LIT Verlag Münster, 2006, ISBN 3825898938
  2. Orlow, Dietrich (29 October 2015). Socialist Reformers and the Collapse of the German Democratic Republic. Springer. ISBN 9781137574169.
  3. Political Systems of the World. Allied Publishers. pp. 115–. ISBN 978-81-7023-307-7.
  4. Frank B. Tipton (1 January 2003). East Germany: The structure and functioning of a one-party state. A History of Modern Germany Since 1815. A&C Black. pp. 545–548. ISBN 978-0-8264-4909-2.

เขตปกครองสามัญ

แก้
เขตปกครองสามัญ

Generalgouvernement  (เยอรมัน)
Generalne Gubernatorstwo  (โปแลนด์)
ค.ศ. 1939–ค.ศ. 1945
 
เขตปกครองสามัญในปี ค.ศ. 1942
สถานะรัฐองค์ประกอบการปกครองตนเอง
ของ นาซีเยอรมัน[1]
เมืองหลวงลิสมันท์ชทัดท์ (Litzmannstadt) (12 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939)
กรากุฟ (4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939–1945)
ภาษาทั่วไปเยอรมัน (เป็นทางการ)
โปแลนด์
ยูเครน
ยิดดิช
การปกครองเขตการปกครองทางทหาร
ผู้สำเร็จราชการทั่วไป 
• 1939–1945
ฮันส์ ฟรังค์
เลขานุการแห่งรัฐ 
• 1939–1941
อาร์ทัวร์ ไซส์-อินควาร์ท
• 1941–1945
โยเซ็ฟ บือเลอร์
ยุคประวัติศาสตร์การบุกครองโปแลนด์ในสงครามโลกครั้งที่สอง
12 ตุลาคม ค.ศ. 1939
2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945
พื้นที่
193995,000 ตารางกิโลเมตร (37,000 ตารางไมล์)
1941142,000 ตารางกิโลเมตร (55,000 ตารางไมล์)
ประชากร
• 1941
12000000
สกุลเงินซวอตือ
ไรชส์มาร์ค
ก่อนหน้า
ถัดไป
  ค.ศ. 1939:
การปกครองโปแลนด์ทางทหารของเยอรมนี
  ค.ศ. 1941:
สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน
รัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์  
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ  โปแลนด์
  สโลวาเกีย
  ยูเครน

เขตปกครองสามัญ (เยอรมัน: Generalgouvernement, โปแลนด์: Generalne Gubernatorstwo, ยูเครน: Генеральна губернія) ยังถูกเรียกอีกอย่างว่า เขตปกครองสามัญสำหรับภูมิภาคโปแลนด์ที่ถูกยึดครอง (เยอรมัน: Generalgouvernement für die besetzten polnischen Gebiete) เป็นเขตยึดครองของเยอรมนีที่ถูกจัดตั้งขึ้นหลังการรุกรานโปแลนด์โดยนาซีเยอรมนี สโลวาเกีย และสหภาพโซเวียต เมื่อเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สอง สาธารณรัฐโปแลนด์ที่ 2 ที่เพิ่งถูกยึดครองมาใหม่ ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน: เขตปกครองสามัญอยู่ตรงกลาง, ดินแดนของโปแลนด์ที่ถูกผนวกโดยนาซีเยอรมนีอยู่ด้านตะวันตก และดินแดนของโปแลนด์ที่ถูกผนวกโดยสหภาพโซเวียตอยู่ด้านตะวันออก ดินแดนแห่งนี้ถูกขยายไปออกอย่างมากใน ค.ศ. 1941 ภายหลังการรุกรานสหภาพโซเวียตโดยเยอรมนี รวมทั้งอำเภอใหม่แห่งกาลิเซีย[2]

พื้นฐานสำหรับการจัดตั้งเขตปกครองสามัญ คือ "ภาคผนวกกฤษฎีกาเกี่ยวกับการบริหารของดินแดนยึดครองโปแลนด์" ถูกประกาศโดยฮิตเลอร์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1939 เขาได้ยืนยันว่ารัฐบาลโปแลนด์ถูกยุบลงโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลนี้ได้ถูกนำมาใช้โดยศาลฎีกาเยอรมนีในการกำหนดตัวตนของชาวโปแลนด์ทั้งหมดในฐานะบุคคลไร้สัญชาติ กับการยกเว้นกลุ่มชาวเยอรมันของโปแลนด์ในช่วงสงคราม ชื่อนามเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกต้องตามกฎหมายของไรช์ที่สาม โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศ[2]

เขตปกครองสามัญถูกดำเนินการโดยนาซีเยอรมนี ในฐานะหน่วยบริหารที่ถูกแยกออกจากกัน เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการส่งกำลังบำรุง เมื่อกองกำลังแวร์มัคท์รุกรานสหภาพโซเวียตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 (ปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา) ดินแดนของเขตปกครองสามัญถูกขยายใหญ่ขึ้น โดยการรวมภูมิภาคของโปแลนด์ ที่เคยถูกผนวกโดยสหภาพโซเวียตในก่อนหน้านี้[3] ภายในไม่กี่วัน อำเภอกาลิเซียตะวันออกก็ถูกรุกรานและถูกรวมเข้ากับอำเภอกาลิเซีย จนถึง ค.ศ. 1945 เขตปกครองสามัญประกอบไปด้วยดินแดนของโปแลนด์ในภาคกลาง, ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่ ภายในพรมแดนก่อนเกิดสงคราม (และรวมไปถึงภาคตะวันตกของยูเครนในปัจจุบัน) รวมไปถึงเมืองสำคัญของโปแลนด์อย่างวอร์ซอ, กรากุฟ, ลวุฟ (ในปัจจุบันนี้คือลวิว, ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ลัมบวร์ค[a]), ลูบลิน (ดูที่: การสงวนลูบลิน), ตาร์โนโปอล (ดูที่: ประวัติศาสตร์ของตาร์โนโปอลเกตโต), สตาญิสวุฟ (ในปัจจุบันนี้คืออีวาโน-ฟรันคีวัฟ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น สตานิลูว์[b]; ดูที่: สตาญิสวุฟเกตโต), โดรโคเบ็สค์ และซัมบวอร์ (ดูที่: โดรโคเบ็สค์และซัมบวอร์เกตโต) และอื่น ๆ สถานที่ทางภูมิศาสตร์ก็ถูกเปลื่ยนชื่อเป็นภาษาเยอรมัน[2]

การบริหารงานของเขตปกครองสามัญจะประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ของเยอรมนีทั้งหมด โดยมีเจตนารมณ์ที่จะให้ดินแดนแห่งนี้ตกเป็นที่ตั้งรกรากโดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเยอรมัน ผู้ที่จะลดประชากรชาวโปแลนด์ให้เหลืออยู่ในระดับทาส ก่อนที่จะถูกกำจัดทางชีวภาพในที่สุด[4] ผู้ปกครองของเขตปกครองสามัญ (Generalgouvernement) ของนาซีเยอรมนี ไม่มีเจตนารมณ์ที่จะแบ่งปันการปกครองกับคนท้องถิ่นตลอดช่วงสงคราม โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติและทิศทางทางการเมือง เจ้าหน้าที่มักจะไม่เอ่ยถึงคำว่า โปแลนด์ ในความสอดคล้องทางกฎหมาย ยกเว้นเพียงแต่กรณีเดียว คือ โรงพิมพ์ธนบัตรแห่งโปแลนด์ของเขตปกครองสามัญ (โปแลนด์: Bank Emisyjny w Polsce, เยอรมัน: Emissionbank in Polen)[5][6]

  1. Diemut 2003, page 268.
  2. 2.0 2.1 2.2 Diemut Majer (2003). "Non-Germans" Under the Third Reich: The Nazi Judicial and Administrative System in Germany and Occupied Eastern Europe with Special Regard to Occupied Poland, 1939–1945. With contribution from the United States Holocaust Memorial Museum. JHU Press. pp. 236–246. ISBN 0801864933.
  3. Piotr Eberhardt, Jan Owsinski (2003). Ethnic Groups and Population Changes in Twentieth-century Central-Eastern Europe: History, Data, Analysis. M.E. Sharpe. p. 216. ISBN 9780765606655.
  4. Ewelina Żebrowaka-Żolinas Polityka eksterminacyjna okupanta hitlerowskiego na Zamojszczyźnie Studia Iuridica Lublinensia 17, 213-229
  5. Keith Bullivant, Geoffrey J. Giles, Walter Pape (1999). Germany and Eastern Europe: Cultural Identities and Cultural Differences. Rodopi. p. 32.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  6. Adam D. Rotfeld, Anatolij W. Torkunow (2010). White spots–black spots: difficult issues in Polish–Russian relations 1918–2008 [Białe plamy–czarne plamy: sprawy trudne w polsko-rosyjskich stosunkach 1918–2008] (ภาษาโปแลนด์). Polsko-Rosyjska Grupa do Spraw Trudnych, Polski Instytut Spraw Międzynarodowych. p. 378. ISBN 9788362453009.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์).


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/> ที่สอดคล้องกัน