เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน ฝ่าสมรภูมินรก

(เปลี่ยนทางจาก Saving Private Ryan)

เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน ฝ่าสมรภูมินรก (อังกฤษ: Saving Private Ryan) เป็นภาพยนตร์แนวสงครามมหากาพย์สัญชาติอเมริกัน ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1998 กำกับโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก และเขียนบทโดย รอเบิร์ต โรแดต ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องในช่วง การบุกครองนอร์ม็องดีในสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพยนตร์เป็นที่รู้จักจากการแสดงภาพสงครามที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากการยกพลขึ้นบกที่หาดโอมาฮา ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวของ จอห์น เอช. มิลเลอร์ (ทอม แฮงส์) กัปตันหน่วยจู่โจมกองทัพบกสหรัฐ และพลทหารในสังกัดของเขา (ทอม ไซส์มอร์, เอ็ดเวิร์ด เบิร์นส์, แบร์รี เป็ปเปอร์, จิโอวานนี ริบิซี, วิน ดีเซล, แอดัม โกลด์เบิร์กและเจเรมี เดวีส์) ตามหา พลร่มสิบตรี เจมส์ ฟรานซิส ไรอัน (แม็ตต์ เดม่อน) เพื่อนำเขากลับบ้าน เนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ หลังพี่น้องอีกสามคนถูกฆ่าตายในสนามรบ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการสร้างร่วมกันระหว่าง ดรีมเวิร์กสพิกเจอร์ส, พาราเมาต์พิกเจอส์, แอมบลินเอนเทอร์เทนเมนต์และมิวชัวล์ฟิล์มคอมปานี ดรีมเวิร์กสเป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือ ขณะที่พาราเมาต์เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ทั่วโลก

เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน ฝ่าสมรภูมินรก
ใบปิดภาพยนตร์
กำกับสตีเวน สปีลเบิร์ก
เขียนบทรอเบิร์ต โรแดต
อำนวยการสร้าง
นักแสดงนำ
กำกับภาพยานุชซ์ คามินสกี
ตัดต่อไมเคิล คาห์น
ดนตรีประกอบจอห์น วิลเลียมส์
บริษัทผู้สร้าง
ผู้จัดจำหน่าย
วันฉาย24 กรกฎาคม ค.ศ. 1998 (1998-07-24) (สหรัฐ)
4 ธันวาคม ค.ศ. 1998 (1998-12-04) (ไทย)
ความยาว169 นาที
ประเทศสหรัฐ
ภาษาอังกฤษ
ทุนสร้าง70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[1]
ทำเงิน482.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[1]

ในปี ค.ศ. 1996 ผู้อำนวยการสร้าง มาร์ก กอร์ดอน นำเสนอแนวคิดของโรแดตให้กับพาราเมาต์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก พี่น้องไนแลนด์ ซึ่งในที่สุด โครงการนี้ก็เริ่มการพัฒนา[2] สปีลเบิร์ก ซึ่งในเวลานั้นเพิ่งก่อตั้งดรีมเวิร์กส เขาเข้าร่วมโครงการเพื่อมาเป็นผู้กำกับ และแฮงส์ก็เข้าเป็นนักแสดง หลังจากที่นักแสดงได้ผ่านการฝึกฝนภายใต้การดูแลของ เดล ดาย ทหารผ่านศึกเหล่านาวิกโยธินสหรัฐ การถ่ายทำเริ่มต้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1997 โดยใช้เวลาสองเดือน ฉากดี-เดย์ของภาพยนตร์นั้นถ่ายทำที่ หาดบัลลินเนสเกอร์, ชายฝั่งเคอร์ราโคล, บัลลินเนสเกอร์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของ เคอร์ราโคล, เคาน์ตีเว็กซ์ฟอร์ด, ไอร์แลนด์ และใช้ทหารจากกองหนุนของกองทัพไอริชเป็นทหารราบสำหรับการยกพลขึ้นบก

ภาพยนตร์ฉายเมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม ค.ศ. 1998 ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์และผู้ชม โดยชมในเรื่องการแสดง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงที่มาจากแฮงส์), ความสมจริง, การกำกับภาพ, ดนตรีประกอบ, บทภาพยนตร์และการกำกับของสปีลเบิร์ก โดยภาพยนตร์มักจะอยู่ในรายชื่อสิบอันดับแรกของภาพยนตร์ที่ฉายในปี ค.ศ. 1998 ของนักวิจารณ์ ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศ โดยเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดของปี ค.ศ. 1998 ในสหรัฐ โดยทำเงินในประเทศ 216.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดทั่วโลกในปี ค.ศ. 1998 โดยทำเงิน 481.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก[3] นอกจากนี้ ภาพยนตร์ทำเงินเพิ่มอีก 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมาจากการวางจำหน่ายโฮมวิดีโอในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1999

ภาพยนตร์ได้รับรางวัลมากมาย ได้แก่ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ใน รางวัลลูกโลกทองคำ, สมาคมผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา, สมาคมผู้กำกับแห่งอเมริกาและรางวัลขวัญใจนักวิจารณ์ ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อใน รางวัลออสการ์ ทั้งหมด 11 สาขา ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 71 ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (แฮงส์) และบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และชนะเลิศ 5 รางวัล ได้แก่ สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ครั้งที่สองของสปีลเบิร์ก), ลำดับภาพยอดเยี่ยม, กำกับภาพยอดเยี่ยม, เสียงยอดเยี่ยมและลำดับเสียงเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม

เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน ฝ่าสมรภูมินรก ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล ได้รับการยกย่องว่ามีอิทธิพลต่อภาพยนตร์แนวสงคราม[4][5][6] และทำให้ความสนใจในสื่อสงครามโลกครั้งที่สองกลับมาอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 2007 สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน จัดอันดับภาพยนตร์ เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน ฝ่าสมรภูมินรก ให้อยู่ในอันดับที่ 71 ของภาพยนตร์อเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน เอเอฟไอส์ 100 ปี...100 เรื่อง (ฉบับครบรอบ 10 ปี) และในปี ค.ศ. 2014 ภาพยนตร์ถูกเลือกโดย หอสมุดรัฐสภา ให้มีการเก็บรักษาใน หอทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติ ในฐานะที่ภาพยนตร์ "มีวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์, หรือ มีความสุนทรีย์อย่างมีนัยสำคัญ"[7]

โครงเรื่อง แก้

สงครามโลกครั้งที่สอง หลังการบุกหาดโอมาฮ่าเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 แล้ว กองทัพอเมริกันประสบความสูญเสียเป็นอย่างมาก ทหารหลายคนบาดเจ็บ พิการ และล้มตาย ร้อยเอก จอห์น มิลเลอร์ (ทอม แฮงค์) ผู้นำกองทหารกองหนึ่ง ก็พบกับความสูญเสียของผู้ใต้บังคับบัญชาในครั้งนี้ด้วย

แต่ในยุทธการยกพลขึ้นบกครั้งนี้ของสัมพันธมิตร นำมาซึ่งความสูญเสียของบุตรชาย 3 คนแห่งตระกูลไรอัน ซึ่งกองทัพสหรัฐได้ส่งจดหมายแสดงความเสียใจมาแก่คุณนายไรอัน แต่ทว่า ในการพิมพ์จดหมายนั้น เสมียนผู้พิมพ์พบถึงความสูญเสียของตระกูลไรอันแล้ว 3 คน ซึ่งยังเหลือเพียงบุตรชายคนสุดท้อง คือ พลทหาร เจมส์ ไรอัน (แมตต์ เดม่อน) ที่ตกอยู่ในแนวข้าศึกโดยไม่ทราบชะตากรรม จึงได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชา (เดนนิส ฟารีนา) ซึ่งได้ตัดสินใจให้พาพลทหารไรอันกลับบ้านมาอย่างปลอดภัย

ภารกิจนำพลทหารไรอันกลับบ้านจึงตกแก่กองกำลังของร้อยเอกมิลเลอร์ ซึ่งมีผู้ใต้บังคับบัญชา 7 คน โดยที่แต่ละคนไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเสี่ยงชีวิตคนส่วนใหญ่เพื่อชีวิตคน ๆ เดียวด้วย โดยที่ระหว่างทางพวกเขาต้องประสบกับความสูญเสียเป็นอย่างมาก ซึ่งในท้ายที่สุด หลายคนได้เสียชีวิตรวมทั้งร้อยเอกมิลเลอร์ด้วย แต่ก่อนตาย เขาได้บอกแก่ไรอันว่า ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ซึ่งไรอันได้จดจำและสำนึกในบุญคุณของมิลเลอร์ไปตลอด

ตัวละคร แก้

เบื้องหลังและความสำเร็จ แก้

Saving Private Ryan เป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่และได้รับการจับตาเป็นอย่างมากในปี ค.ศ. 1998 อีกทั้งเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดประจำปีนั้นด้วย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความสูญเสียของกำลังทหารและชีวิตผู้คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฉากเปิดเรื่องที่ยาวกว่า 10 นาที ที่เป็นการบุกหาดโอมาฮ่า ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสมรภูมิที่สูญเสียที่สุดของกองทัพสหรัฐอเมริกา ได้รับคำวิจารณ์ว่าทำได้เสมือนจริงอย่างมาก และหลายคนได้นำไปเปรียบเทียบกับภาพยนตร์แนวเดียวกันในอดีต อย่าง The Longest Day ในปี ค.ศ. 1962[8][9]

เมื่อเข้าฉายแล้ว ได้รับการจับตาอย่างยิ่งว่าจะคว้ารางวัลได้หลายรางวัล ทั้ง รางวัลออสการ์หรือรางวัลลูกโลกทองคำ รวมทั้ง รางวัลอื่น ๆ ด้วย ซึ่งภาพยนตร์ก็คว้าได้หลายรางวัลด้วยกัน โดยเฉพาะการแสดงที่โดดเด่นอย่างมากของ ทอม แฮงค์ และเจเรมี เดวีส์ ที่รับบทเป็นพลทหารอับฮัม ที่ตื่นตระหนกตลอดเวลา เป็นเหมือนลูกไล่และจุดอ่อนของกองกำลัง

ซึ่งในระหว่างที่เข้าฉายนั้น ก็มีภาพยนตร์ในแนวเดียวกัน คือ The Thin Red Line ของทเวนตี้ เซนจูรี ฟอกซ์ เข้าฉายในเวลาเดียวกัน เสมือนเป็นคู่แข่งและคู่เปรียบเทียบ[10]

ในรางวัลออสการ์มีชื่อเข้าชิงมากถึง 11 รางวัล ประกอบไปด้วย รางวัลใหญ่ ๆ ด้วยกัน เช่น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, บันทึกภาพยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, บันทึกเสียงยอดเยี่ยม เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็สามารถคว้ามาได้ ยกเว้น สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่พลาดให้แก่ Shakespeare in Love ภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษ[11]

ดูเพิ่ม แก้

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 "Saving Private Ryan". Box Office Mojo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 16, 2008. สืบค้นเมื่อ September 5, 2008.
  2. Weinraub, Bernard. "'Ryan' Lands With Impact In Theaters Across U.S." The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 3, 2018. สืบค้นเมื่อ September 2, 2018.
  3. "1998 Worldwide Grosses". Box Office Mojo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 22, 2009. สืบค้นเมื่อ May 1, 2014.
  4. Maslin, Janet (July 24, 1998). "FILM REVIEW; Panoramic and Personal Visions of War's Anguish". The New York Times (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 25, 2018. สืบค้นเมื่อ July 25, 2018.
  5. Rubin, Steven Jay (July 24, 2018). "'Saving Private Ryan' at 20: How Spielberg's vivid D-Day story changed war movies forever". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 26, 2019. สืบค้นเมื่อ July 25, 2018.
  6. "Top ten war films: Saving Private Ryan claims No 1 spot". The Telegraph. August 19, 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 25, 2018. สืบค้นเมื่อ July 25, 2018.
  7. Grow, Kory (December 17, 2014). "'Big Lebowski,' 'Ferris Bueller's Day Off' Added to National Film Registry". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 29, 2018. สืบค้นเมื่อ September 11, 2017.
  8. แกะรอยเซฟวิ่งฯ 2
  9. [https://web.archive.org/web/20120119033303/http://www.pantip.com/amof/old_cafe/A251806.html เก็บถาวร 2012-01-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน วิจารณ์ Saving Private Ryan หนึ่งในหนังสงครามที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ด จากพันทิปดอตคอม]
  10. Saving Private Ryan vs. The Thin Red Line
  11. คำวิจารณ์จาก สยามโซนดอตคอม

แหล่งข้อมูลอื่น แก้