เมืองเสมา เป็นเมืองโบราณอยู่ห่างจากอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมาไปทางทิศเหนือ 5 กิโลเมตร คาดว่ามีการอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต่อมาเป็นเมืองโบราณร่วมสมัยวัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมขอม

เมืองเสมา
พระนอน วัดธรรมจักรเสมาราม เป็นหนึ่งในโบราณสถานภายในเมืองเสมา
แผนที่
ที่ตั้งตำบลเสมา, จังหวัดนครราชสีมา, ประเทศไทย
พิกัด14°55′21.5″N 101°47′57.2″E / 14.922639°N 101.799222°E / 14.922639; 101.799222
ประเภทโบราณสถาน
ความเป็นมา
วัสดุอิฐ และหิน
สร้างพุทธศตวรรษที่ 10
ละทิ้งพุทธศตวรรษที่ 18
สมัยเริ่มประวัติศาสตร์
ทวารวดี
เขมร
หมายเหตุเกี่ยวกับสถานที่
ขุดค้นพ.ศ. 2533
ผู้ขุดค้นกรมศิลปากร
การขึ้นทะเบียนโดยกรมศิลปากร
ขึ้นทะเบียน30 กันยายน พ.ศ. 2495
เลขทะเบียน0001263

ลักษณะทางกายภาพของเมืองนั้นมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ แผนผังเมืองเป็นรูปกลมรีไม่สม่ำเสมอ มีกำแพงเมืองชั้นเดียว ลำน้ำสำคัญที่ไหลผ่าน คือ ลำตะคองซึ่งไหลผ่านทางทิศใต้ของเมือง และห้วยไผ่ไหลผ่านทางทิศตะวันตกของเมือง เมืองเสมามีลักษณะการสร้างเมืองซ้อนกันสองชั้น เรียกว่า เมืองนอก–เมืองใน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2542 กรมศิลปากรได้สำรวจและขุดค้นเมืองเสมา พบโบราณสถานที่ตั้งอยู่ภายในเขตเมืองชั้นในและในเขตเมืองชั้นนอกจำนวน 11 แห่ง[1]: 9–15  ส่วนใหญ่เป็นซากวิหารที่สร้างโดยได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธ ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน และศาสนาพราหมณ์ ฝ่ายไศวนิกาย ที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมร

ลักษณะทางกายภาพ แก้

คูน้ำและคันดิน แก้

เมืองเสมามีคูน้ำคันดิน ซึ่งมีความยาวจากด้านทิศเหนือไปทิศใต้ ประมาณ 1,700 เมตร และจากด้านทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ประมาณ 1,500 เมตร กำแพงหรือคันดินสูงเฉลี่ย 3-4 เมตร คูน้ำกว้างประมาณ 10-20 เมตร

สภาพคูน้ำคันดินของเมืองเสมาสามารถสังเกตเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะคูน้ำคันดินของเมืองชั้นใน บริเวณคันดินและริมคูน้ำมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาแน่นเป็นบางช่วง คูเมืองด้านทิศใต้และทิศตะวันตกมีน้ำขังอยู่ ส่วนคูเมืองด้านทิศเหนือของเมืองชั้นในมีสภาพตื้นเขินเป็นบางช่วงแนวคันดินทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกสังเกตเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนนักเนื่องจากมีชาวบ้านมาจับจองพื้นที่อยู่อาศัย ไถดินเพื่อเพาะปลูก และมีการตัดถนนผ่าน

ศาสนสถาน แก้

ศาสนาพุทธ แก้

ภายในเมืองเสมาพบหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาพุทธแสดงให้เห็นถึงการรับอิทธิพลศาสนาพุทธจากเมืองโบราณสมัยทวารวดีในภาคกลาง และเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาพุทธคงเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 หรือ 13 เป็นต้น[2]: 108  โดยพบศาสนาสถานกระจายอยู่ภายในเมืองชั้นในและชั้นนอก ได้แก่ โบราณสถานหมายเลข 2, โบราณสถานหมายเลข 3, โบราณสถานหมายเลข 4, โบราณสถานหมายเลข 5, โบราณสถานหมายเลข 7, โบราณสถานหมายเลข 8, และโบราณสถานหมายเลข 9 ลักษณะของศาสนสถานมีทั้งประเภทเจดีย์ วิหาร และอาคารทรงปราสาท[1]: 241–242 [3]: 44–46  นอกจากนี้ยังพบศาสนสถานนอกเมือง คือ พระนอนที่วัดธรรมจักรเสมาราม และเจดีย์ที่วัดแก่นท้าว

ศาสนสถานประเภทเจดีย์ที่พบมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม (พบในโบราณสถานหมายเลข 2), ผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส (พบในโบราณสถานหมายเลข 5), ผังรูปแปดเหลี่ยม (พบในโบราณสถานหมายเลข 3) และผังกลม (พบในโบราณสถานหมายเลข 8) ส่วนศาสนสถานประเภทวิหารมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า (พบในโบราณสถานหมายเลข 4, โบราณสถานหมายเลข 3 หลังที่ 2, และโบราณสถานหมายเลข 9) มีร่องรอยการประดับตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นทั้งที่เป็นรูปสัตว์และรูปดอกไม้ ศาสนสถานอีกประเภทหนึ่ง คือ อาคารทรงปราสาท มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ส่วนฐานประดับลวดลายปูนปั้น (พบในโบราณสถานหมายเลข 7)

โบราณสถานทุกหลังก่อด้วยอิฐขนาดค่อนข้างใหญ่มีแกลบข้าวปนไม่สอปูนอันเป็นลักษณะของศาสนสถานในวัฒนธรรมทวารวดี

ประติมากรรมเนื่องในศาสนาพุทธที่พบส่วนใหญ่เป็นใบเสมาหินทรายขนาดใหญ่ ไม่มีลวดลายสลัก โดยปักอยู่เป็นคู่โดยรอบศาสนสถานประเภทวิหาร นอกจากนี้จากการขุดแต่งโบราณสถานได้พบประติมากรรมหลายชิ้นที่สำคัญ ได้แก่ ชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทราย พบที่โบราณสถานหมายเลข 1 โดยถูกนำมาทำเป็นฐานกำแพงแก้ว มีลักษณะเหมือนกับพระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่ได้รับอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบคุปตะและหลังคุปตะ[3]: 172–173  ชิ้นส่วนธรรมจักรทำจากหินทราย พบที่โบราณสถานหมายเลข 2 สลักทึบทั้งสองด้าน บริเวณขอบโดยรอบสลักลวดลายผักกูด ถัดเข้ามาเป็นลายดอกวงกลมสลับรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มีลักษณะคล้ายคลึงกับธรรมจักรศิลาพบที่วัดธรรมาจักรเสมาราม[3]: 173 

ศาสนสถานเนื่องในศาสนาพุทธที่พบในเมืองเสมาสามารถเทียบได้กับโบราณสถานหลายแห่งในเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี, เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี, เมืองโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์, และเมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์

ศาสนาพราหมณ์ แก้

ภายในเมืองเสมาพบหลักฐานการนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกายในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา เมื่อชุมชนเมืองเสมาได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร และพบข้อความจารึกในจารึกบ่ออีกา ที่กล่าวถึงกิจกรรมทางศาสนาพราหมณ์ ระบุอายุในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 15 จนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 16 อย่างไรก็ตาม ข้อความในจารึกดังกล่าว ทำให้ทราบว่ามีการนับถือศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธควบคู่กัน

ศาสนสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์ที่พบในเมืองเสมา คือ โบราณสถานหมายเลข 1 เป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ที่สุดในเมือง ประกอบด้วยปราสาทประธานแบบเขมรก่อด้วยอิฐหนึ่งหลัง ขนาบข้างด้วยวิหารสอง หลัง มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีรูปแบบการก่อสร้างมีการใช้อิฐเนื้อค่อนข้างละเอียดไม่มีแกลบข้าวปนอันเป็นลักษณะของอิฐที่ใช้ก่อสร้างศาสนสถานในวัฒนธรรมร่วมแบบเขมร โดยไม่สอปูน[1]: 11–12  จากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข 1 พบประติมากรรมเนื่องในศาสนาพราหมณ์หลายชิ้น ได้แก่ ชิ้นส่วนศิวลึงค์ศิลา, เศียรเทวรูป, ชิ้นส่วนรูปเคารพ, ฐานรูปเคารพ, ชิ้นส่วนโคนนทิ, และท่อโสมสูตร[1]: 25–37 

ศิลาจารึก แก้

จารึกที่เกี่ยวข้องและค้นพบภายในเมืองเสมา
จารึก อักษร ภาษา สถานที่ค้นพบ ประเภท รายละเอียด ขนาด หมายเหตุ
จารึกบ่ออีกา ขอมโบราณ สันสกฤตและเขมร บ้านบ่ออีกา ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา หินทรายสีแดง ระบุปี พ.ศ. 1411 ด้านที่หนึ่ง กล่าวถึงพระราชาแห่งอาณาจักรศรีจนาศะทรงอุทิศปศุสัตว์และทาสทั้งหญิงและชายแก่พระภิกษุสงฆ์ ส่วนด้านที่สอง กล่าวสรรเสริญพระอิศวรและอังศเทพผู้ได้รับดินแดนที่ถูกละทิ้งไปนอกกัมพุเทศ[4]: 23–29  กว้าง 110 ซม.
สูง 56 ซม.
หนา 25 ซม.
จารึกศรีจนาศะ ขอมโบราณ สันสกฤตและเขมร บริเวณเทวสถานใกล้สะพานชีกุน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หิน ระบุปี พ.ศ. 1480 จารึกหลักนี้เริ่มต้นด้วยการสรรเสริญพระศังกร (พระศิวะ) และสรรเสริญพระนางปารพตีซึ่งรวมกับพระศิวะภายใต้รูปอรรถนารี ต่อจากนั้นกล่าวถึงรายพระนามพระราชาแห่งอาณาจักรจนาศปุระ[4]: 42–49  กว้าง 22 ซม.
สูง 45 ซม.
จารึกเมืองเสมา ขอมโบราณ สันสกฤตและเขมร เมืองเสมา ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา หินทรายสีเทา ระบุปีมหาศักราช 893 ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 1514 จารึกเริ่มต้นด้วยการกล่าวนมัสการเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ พระศิวะ, พระวิษณุ, พระพรหม, พระอุมา, และพระสรัสวดี จากนั้นกล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 หรือพระบาทบรมวีรโลก ว่าทรงเป็นโอรสของพระเจ้าราเชนทรวรมัน และทรงสืบเชื้อสายมาจากจันทรวงศ์ และกล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 สุดท้ายกล่าวถึงข้าราชการผู้ใหญ่ที่ได้สร้างเทวรูปและพระพุทธรูปไว้หลายองค์ พร้อมทั้งถวายทาสและสิ่งของมากอย่างแด่ศาสนสถาน[4]: 42–49  กว้าง 46 ซม.
สูง 99 ซม.
หนา 10 ซม.
จารึกหลักที่ 4 ขอมโบราณ เขมร บริเวณกำแพงแก้วด้านทิศใต้ โบราณสถานหมายเลข 1 เมืองเสมา ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา หิน ระบุปีมหาศักราช 849 ตรงกับปี พ.ศ.1470 กล่าวถึงบ้านเมืองที่ชื่อ “ศรีจนาศะ” หรือ “จนาศะปุระ” และกล่าวถึงรายพระนามของพระราชาที่ปกครองบ้านเมืองนี้[3]: 42  ซึ่งยอร์จ เซเดย์ สันนิษฐานว่าศูนย์กลางของบ้านเมืองที่ชื่อศรีจนาศะหรือจนาศะปุระนี้คงตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงโคราช และนักวิชาการหลายท่านก็เชื่อว่าคงมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเสมา โดยพิจารณาจากหลักฐานโบราณคดีที่พบบริเวณเมืองเสมา[2]: 102–113  ยังไม่มีผลของการอ่านและแปล[3]: 42 

โบราณสถาน แก้

กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเมืองเสมาเป็นโบราณสถาน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2495[5] หลังสำรวจ ขุดค้น และขุดแต่งในระหว่าง พ.ศ. 2533–2542 พบโบราณสถานรวมทั้งหมด 11 แห่ง 6 แห่งอยู่ในเขตเมืองชั้นใน (คือ โบราณสถานหมายเลข 1–6) และ 3 แห่งอยู่ในเขตเมืองชั้นนอก (คือ โบราณสถานหมายเลข 7–9) แต่ขุดแต่งและบูรณะได้เพียง 8 แห่ง[1]: 9–15  นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานนอกเมืองอีก 2 แห่ง คือ เจดีย์บ้านแก่นท้าว และวิหารพระนอน วัดธรรมจักรเสมาราม

โบราณสถานหมายเลข 1 แก้

ที่ตั้งโบราณสถานหมายเลข 1
 
 
แท่นเคารพ เป็นรูปวงกลมคล้ายฐานบัว ตั้งอยู่ภายในปราสาทประธาน
 
ฐานวิหารทางด้านทิศตะวันออกของปราสาทประธาน
 
อาคารและกำแพงแก้วโบราณสถานหมายเลข 1

โบราณสถานหมายเลข 1 หรือโบราณสถานบ่ออีกา ตั้งอยู่ภายในเมืองเสมาชั้นใน ทางด้านทิศเหนือของบ่ออีกา เป็นปราสาทในวัฒนธรรมร่วมแบบเขมร ก่อด้วยอิฐและหินทราย มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 45 x 50 เมตร หันหน้าไปทางทิศใต้ สภาพเหลือเพียงส่วนฐานสูงประมาณ 1 เมตร ประกอบด้วย ปราสาทประธานหนึ่งหลัง, วิหารสองหลัง, ฐานอาคารทิศตะวันออกเฉียงใต้หนึ่งหลัง, และกำแพงแก้ว

ปราสาทประธาน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 8.8 x 22 เมตร มีสภาพชำรุดเหลือเพียงส่วนฐาน ซึ่งเป็นฐานบัวก่อด้วยอิฐ ด้านทิศใต้ซึ่งเป็นประตูทางเข้าออกของปราสาทประธานมีอันตลาระเชื่อมกับมณฑปรูปกากบาท มีบันไดทางขึ้นลงสามด้าน คือ ด้านทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศตะวันออก โดยทางขึ้นลงด้านทิศใต้มีฉนวนก่ออิฐเชื่อมกับโคปุระของกำแพงแก้ว ขั้นบันไดทางขึ้นลงด้านข้างของมณฑปทำด้วยหินทราย ภายในห้องด้านหน้านี้พบชิ้นส่วนกรอบประตูทำด้วยหินทรายหลายชิ้นวางอยู่ตรงหน้าบันไดทางขึ้นลง

ส่วนห้องครรภคฤหะก่อเป็นห้องยกฐานสูงขึ้นผังสี่เหลี่ยมเพิ่มมุม ภายในประดิษฐานแท่นประติมากรรมซึ่งพบจากการขุดแต่ง บนพื้นห้องมีท่อโสมสูตรเป็นแนวยาวเริ่มจากใต้แท่นฐานประติมากรรมไปทางด้านทิศตะวันออก

วิหาร ด้านทิศตะวันตกและตะวันออกของปราสาทประธานขนาบข้างด้วยวิหารห่างไปประมาณ 4 เมตร ในแนวเดียวกัน สภาพชำรุดเหลือเพียงฐานก่อด้วยอิฐ มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 6 x 12.30 เมตร ด้านหน้ามีมุขยื่นออกมาและมีทางเข้าออก 2 ทาง

ฐานอาคารทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของวิหารด้านทิศตะวันออกห่างไปประมาณ 10 เมตร สภาพชำรุดเหลือเพียงฐานก่อด้วยอิฐ มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 3.8 x 5 เมตร สูงประมาณ 50 เซนติเมตร ลักษณะเป็นฐานเรียบ

กำแพงแก้ว มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 43.40 x 48.60 เมตร หนา 1.20 เมตร กำแพงแก้วด้านทิศใต้ก่อด้วยอิฐเหลือเฉพาะส่วนฐานบัวซึ่งก่อบนฐานเขียงที่ทำจากหินทราย จากการขุดแต่งพบว่าฐานเขียงบางส่วนทำจากศิลาจารึกในสมัยก่อนหน้า ตรงกึ่งกลางของกำแพงแก้วมีซุ้มโคปุระในผังรูปกากบาท สภาพชำรุดเหลือเฉพาะส่วนฐานซึ่งก่อด้วยหินทรายรองรับส่วนผนังก่อด้วยอิฐ มีบันไดทางขึ้นลง ทำด้วยหินทราย ด้านหน้าของโคปุระนอกกำแพงแก้วมีฉนวนก่อด้วยอิฐต่อยื่นออกไป ด้านข้างของซุ้มโคปุระทั้งสองด้านห่างออกไปประมาณ 4 เมตร ในแนวตรงกับวิหาร มีบันไดทางขึ้น-ลง ทำด้วยหินทราย ส่วนกำแพงด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกไม่พบทางเข้าออก

บริเวณมุมกำแพงแก้วด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้มีห้องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 6.80 x 20 เมตร ยาวต่อเนื่องไปตามแนวกำแพง มีบันไดขึ้นลงตรงมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้พบที่กำแพงแก้วของปราสาทเมืองแขกซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันออกประมาณ 6 กิโลเมตร

จากการขุดแต่งพบชิ้นส่วนฐานรูปเคารพ ชิ้นส่วนศิวลึงค์ ฐานรูปเคารพหินทรายเป็นรูปวงกลมคล้ายฐานบัว จำนวนสองชิ้น ชิ้นส่วนเทวรูป ชิ้นส่วนโคนนทิ ชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายที่ถูกนำมาทำเป็นฐานกำแพงแก้ว ลักษณะประทับยืน จีวรห่มคลุมบางแนบพระวรกาย พระพาหายกขึ้นแต่ส่วนพระกรหักหายไป ลักษณะคล้ายคลึงพระพุทธรูปแบบทวารวดีที่ได้รับอิทธิพลศิลปะอินเดียสมัยคุปตะและหลังคุปตะ ศิลาจารึก เครื่องประดับสถาปัตยกรรม เช่น ชิ้นส่วนกลีบขนุนหินทราย ชิ้นส่วนฐานบัวขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม พบว่าแนวอิฐชั้นล่างด้านในของฐานประสาทประธานมีการใช้อิฐก้อนใหญ่มีแกลบข้าวปนเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นอิฐแบบที่ใช้ในวัฒนธรรมทวารวดี

จากหลักฐานด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และศิลาจารึกที่พบบริเวณใกล้กับโบราณสถานทำให้สันนิษฐานว่าโบราณสถานหมายเลข 1 สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย โดยคงมีการปรับเปลี่ยนจากพุทธสถานมาเป็นเทวสถานเมื่อศาสนาพราหมณ์เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนแถบนี้ และคงสร้างขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับปราสาทเมืองแขก และปราสาทโนนกู่ ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันออกของเมืองเสมา โดยปราสาททั้งสองหลังนี้กำหนดอายุราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 15 ตรงกับศิลปะเขมรแบบเกาะแกร์[6]

ปราสาทประธานของโบราณสถานหมายเลข 1

โบราณสถานหมายเลข 2 แก้

ที่ตั้งโบราณสถานหมายเลข 2
 

โบราณสถานหมายเลข 2 เป็นศาสนสถานเนื่องในศาสนาพุทธ น่าจะเป็นส่วนของฐานเจดีย์ เนื่องจากซากอาคารที่เป็นเจดีย์ในวัฒนธรรมทวารวดีส่วนใหญ่มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส[7]: 110 

โบราณสถานมีรูปแบบแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุมไม้ 20 ขนาด 7.90 x 8 เมตร สภาพชำรุดเหลือเพียงส่วนฐานสูงประมาณ 1 เมตรเศษ ฐานทางด้านทิศใต้มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด ประกอบด้วยฐานหน้ากระดานรองรับฐานบัวเพิ่มมุมไม้ 20 ตรงกึ่งกลางฐานมีทางเดินขึ้นบนอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานด้านทิศตะวันออกปรากฏทางเดินเล็กน้อย ส่วนฐานด้านทิศเหนือและทิศใต้มีสภาพชำรุดมาก ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโบราณสถานมีแนวอิฐบาง แผ่เป็นลานกว้าง และในแนวเดียวกันนี้ห่างออกไปอีกประมาณ 15 เมตร มีแนวอิฐแบบเดียวกันแต่มีหลุมเสากลมประกอบอยู่หลายหลุม สันนิษฐานว่าอาจเป็นอาคารขนาดเล็ก

จากการขุดแต่งเมื่อปี พ.ศ. 2542 พบชิ้นส่วนธรรมจักรศิลาภายในฐานเจดีย์ แตกเป็น 2 ชิ้น สลักทึบทั้งสองด้าน บริเวณขอบโดยรอบสลักลวดลายผักกูด ถัดเข้ามาเป็นลายดอกวงกลมสลับรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนแทรกด้วยลายผักกูดภายในเส้นคู่ขนาน บริเวณซี่ธรรมจักรสลักเป็นแท่งยึดกงไว้ ปลายซี่สลักเป็นลายผักกูดคั่นด้วยลายจุดไข่ปลาภายในลายเส้นคู่ขนาน บริเวณระหว่างซี่ด้านแรกสลักเป็นลายดอกบัว ด้านที่สองสลักเป็นลายก้านต่อดอก[3]: 173  เป็นลักษณะศิลปกรรมที่เหมือนกับธรรมจักรศิลาพบที่วัดธรรมจักรเสมาราม และสามารถเทียบได้กับธรรมจักรที่พบในเมืองโบราณสมัยทวารวดี เช่น เมืองนครปฐมโบราณ จังหวัดนครปฐม, เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี, เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้น อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-13[8]

นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนมือของประติมากรรมปูนปั้นสันนิษฐานว่าเป็นพระโพธิสัตว์ และชิ้นส่วนปูนปั้นรูปสัตว์

แผนผังของโบราณสถานหมายเลข 2 มีลักษณะคล้ายคลึงกับโบราณสถานหมายเลข 8, หมายเลข 10, หมายเลข 21, หมายเลข 22, หมายเลข 28, หมายเลข 29, หมายเลข 34 เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี

โบราณสถานหมายเลข 3 แก้

ที่ตั้งโบราณสถานหมายเลข 3
 

โบราณสถานหมายเลข 3 เป็นกลุ่มโบราณสถานประกอบด้วยส่วนฐานของเจดีย์และวิหารขนาดเล็ก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 12-15

เจดีย์ เป็นเจดีย์ในผังแปดเหลี่ยมก่อด้วยอิฐไม่สอปูน สภาพเหลือเพียงส่วนฐาน สูงประมาณ 70 เซนติเมตร โดยฐานด้านทิศตะวันออกมีสภาพพังทลายลง ตรงกึ่งกลางของฐานเจดีย์แต่ละด้านทำเป็นทางขึ้น-ลง สันนิษฐานว่าอาจเป็นเจดีย์ทรงระฆังกลม

แผนผังของเจดีย์ลักษณะนี้สามารถเทียบได้กับเจดีย์หมายเลข 10 ที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี[8]: 46  และฐานเจดีย์แปดเหลี่ยมที่เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี[9]

วิหาร ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเจดีย์ สภาพชำรุดพังทลายเหลือเพียงแนวอิฐเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 6.70 x 10.90 เมตร ภายในอาคารวิหารติดกับผนังด้านหลังเป็นเนินสูงกว่าบริเวณอื่นก่ออิฐเป็นรูปสี่เหลี่ยม บริเวณโดยรอบวิหารปักใบเสมาคู่ทำจากหินทรายขนาดใหญ่ ลักษณะใบเสมาไม่มีลวดลาย โกลนแต่งอย่างหยาบ โดยปักอยู่สี่ทิศ ได้แก่ ด้านทิศตะวันตก ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และด้านทิศใต้ บางอันมีสภาพหักชำรุด สันนิษฐานว่าเดิมคงปักอยู่โดยรอบวิหารทั้งแปดทิศ

โบราณสถานหมายเลข 4 แก้

ที่ตั้งโบราณสถานหมายเลข 4
 

โบราณสถานหมายเลข 4 สันนิษฐานว่า เป็นศาสนสถานประเภทวิหาร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 12-15 มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 8.25 x 13.50 เมตร สภาพเหลือเพียงส่วนฐานก่อด้วยอิฐสูงประมาณ 1.20 เมตร วิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออกซึ่งด้านหน้าทำเป็นบันไดทางขึ้นลงสามขั้น ขั้นล่างสุดทำเป็นอัฒจันทร์รูปครึ่งวงกลม ส่วนขั้นบนสุดมีร่องรอยหลุมเสาอยู่ทั้งสองข้างของบันได ฐานด้านทิศเหนือและใต้ทำเป็นช่องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเว้าลักษณะยกเก็จเข้าไปด้านละสองช่อง มีร่องรอยการประดับลวดลายด้วยปูนปั้น พื้นภายในวิหารมีการก่ออิฐซ้อนกันเป็นชั้นหนา บริเวณขอบด้านนอกของพื้นวิหารมีร่องรอยหลุมเสาทั้งสี่ด้าน

บริเวณโดยรอบวิหารปักใบเสมาคู่ ทำจากหินทรายขนาดใหญ่ ลักษณะใบเสมาไม่มีลวดลาย โกลนแต่งอย่างหยาบ โดยปักอยู่ห้าทิศ ได้แก่ ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้านทิศตะวันตก ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ และด้านทิศตะวันออก

จากการขุดแต่งเมื่อ พ.ศ. 2542 พบชิ้นส่วนสถาปัตยกรรม ชิ้นส่วนปูนปั้น ชิ้นส่วนรูปเคารพ ฐานรูปเคารพหินทรายสลักเป็นลายกลีบบัว[1]: 87 

แผนผังของโบราณสถานหมายเลข 4 สามารถเทียบได้กับโบราณสถานหมายเลข 4 ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ และลักษณะทางขึ้นด้านหน้าที่ทำเป็นอัฒจันทร์ศิลาแบบที่นิยมในศิลปะลังกา[7]: 112  คล้ายกับบันไดทางขึ้นของวิหารหมายเลข 5 ที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี[8]: 34 

โบราณสถานหมายเลข 5 แก้

ที่ตั้งโบราณสถานหมายเลข 5
 

โบราณสถานหมายเลข 5 มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยม ขนาด 6.12 x 6.40 เมตร สภาพเหลือเพียงส่วนฐานก่อด้วยอิฐสูงประมาณ 1 เมตร น่าจะเป็นเจดีย์ทรงกลม เนื่องจากซากอาคารที่เป็นเจดีย์ในวัฒนธรรมทวารวดีส่วนใหญ่มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส[7]: 110  สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 12-15

อิฐที่ใช้ก่อสร้างมีลักษณะเป็นอิฐก้อนใหญ่มีแกลบข้าวปน เป็นอิฐแบบที่ใช้ในวัฒนธรรมทวารวดี ก่อซ้อนขึ้นมาโดยไม่สอปูนโดยก่อเป็นผนังอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหนาประมาณ 70 เซนติเมตร ล้อมรอบแกนกลางที่ถมทรายและก้อนหินสีม่วงขนาดเล็ก

แผนผังของโบราณสถานหมายเลข 5 สามารถเทียบได้กับโบราณสถานเมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี และโบราณสถานหมายเลข 11 ที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

โบราณสถานหมายเลข 7 แก้

ที่ตั้งโบราณสถานหมายเลข 7
 

โบราณสถานหมายเลข 7 เป็นอาคารทรงปราสาทก่อด้วยอิฐ มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 9.60 x 9.60 เมตร สภาพชำรุดเหลือเพียงส่วนฐาน สูงประมาณ 1.80 เมตร ลักษณะของฐานบริเวณมุมทั้งสี่ มีเสาขนาดใหญ่ก่อนูนสูงขึ้นมาลักษณะยกเก็จ ผนังด้านทิศใต้ซึ่งเป็นด้านหน้าทำเป็นฐานย่อมุมมีบันไดทางขึ้นลง ส่วนฐานอีกสามด้านที่เหลือ ตรงกึ่งกลางทำเป็นบันไดทางขึ้นสู่ประตูหลอกโดยทางทิศเหนือมีร่องรอยปูนปั้นว่าประตูหลอกนี้ก่อเป็นซุ้มประดิษฐานรูปเคารพ ส่วนผนังสองข้างของบันไดทำเป็นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าเว้าลงไปซึ่งคงประดับลวดลายปูนปั้น

ภายในอาคารก่อเป็นห้องรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสถมอัดด้วยหินทรายเรียงเป็นชั้นขึ้นไปแล้วฉาบปูนขาวเป็นพื้น ถัดจากแนวหินทรายก่ออิฐล้อมรอบอีกชั้นหนึ่งอิฐที่ใช้ก่อสร้างมีลักษณะเป็นอิฐก้อนใหญ่มีแกลบข้าวปน เป็นอิฐแบบที่ใช้ในวัฒนธรรมทวารวดี ก่อซ้อนขึ้นมาโดยไม่สอปูนและประดับลวดลายปูนปั้น

จากการขุดแต่งเมื่อปี พ.ศ. 2542 พบชิ้นส่วนลวดลายปูนปั้นจำนวนมาก และชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทราย[1]: 102–106  ทำให้สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานเนื่องในศาสนาพุทธ

โบราณสถานหมายเลข 7 อาจเป็นอาคารทรงปราสาทแบบอินเดียใต้ในวัฒนธรรมทวารวดี[3]: 171  มีลักษณะคล้ายคลึงกับโบราณสถานบ้านจาเละ หมายเลข 3 ที่เมืองยะรัง จังหวัดปัตตานี[10]: 3–4 

โบราณสถานหมายเลข 8 แก้

ที่ตั้งโบราณสถานหมายเลข 8
 

โบราณสถานหมายเลข 8 มีแผนผังรูปวงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7.70 เมตร สภาพชำรุดเหลือเพียงส่วนฐาน สูงประมาณ 0.50 เมตร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 12-15

ก่อด้วยอิฐก้อนใหญ่มีแกลบข้าวปน เป็นอิฐแบบที่ใช้ในวัฒนธรรมทวารวดี ก่อซ้อนขึ้นมาโดยไม่สอปูนแล้วฉาบปูนปิดผนัง ก่อเป็นผนังอาคารทรงกลมหนาประมาณ 0.70 เมตร ล้อมรอบแกนกลางที่ถมทรายและก้อนหินสีม่วงขนาดเล็ก

สันนิษฐานว่าโบราณสถานหมายเลข 8 คงเป็นเจดีย์ทรงกลม ลักษณะแผนผังคล้ายกับเจดีย์ฐานกลมที่เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี[9]: 52–54 

โบราณสถานหมายเลข 9 แก้

ที่ตั้งโบราณสถานหมายเลข 9
 

โบราณสถานหมายเลข 9 มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 4.10 x 8.10 เมตร สภาพชำรุดเหลือเพียงส่วนฐาน สูงประมาณ 0.70 เมตร มีทางเข้า-ออกด้านทิศใต้ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 12-15

ก่อด้วยอิฐก้อนใหญ่มีแกลบข้าวปน เป็นอิฐแบบที่ใช้ในวัฒนธรรมทวารวดี ก่อซ้อนขึ้นมาโดยไม่สอปูนแล้วฉาบปูนปิดผนัง ก่อเป็นผนังอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หนาประมาณ 0.70 เมตร ล้อมรอบแกนกลางที่ถมทรายและก้อนหินสีม่วงขนาดเล็ก

สันนิษฐานว่าโบราณสถานหมายเลข 9 คงเป็นศาสนสถานประเภทวิหาร ลักษณะแผนผังคล้ายกับซากวิหารที่เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี[9]: 46–51 

พระนอน วัดธรรมจักรเสมาราม แก้

 
พระพักตร์ของพระนอนมีลักษณะเป็นเหลี่ยม ประกอบด้วยแผ่นหินสี่แผ่นซ้อนกัน
ที่ตั้งวัดธรรมจักรเสมาราม
 

พระนอน วัดธรรมจักรเสมาราม เป็นพระนอนหินทรายที่มีขนาดใหญ่ที่พบในประเทศไทย สร้างด้วยก้อนหินทรายแดงขนาดใหญ่หลายก้อนประกอบกันขึ้นตามแนวทิศเหนือใต้ มีการสลักหินทรายให้เป็นรูปทรงพระนอน สภาพโดยรวมชำรุด ความยาวตลอดองค์พระนอนประมาณ 13.3 เมตร สูง 2.8 เมตร นอนตะแคงขวา พระเศียรหันไปทางทิศใต้ ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก[11][12]

ส่วนพระพักตร์ประกอบด้วยด้วยหินทรายสี่แผ่นซ้อนกัน พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม พระขนงสลักเป็นสันนูนต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรเหลือบต่ำลง พระนาสิกค่อนข้างกว้าง มุมพระโอษฐ์ชี้ขึ้นแย้มพระสรวล พระศกขมวดเป็นก้นหอยสภาพแตกชำรุด ด้านหลังพระเศียรสลักโกลนไว้อย่างคร่าวๆ มีเฉพาะพระหัตถ์ที่รองรับพระเศียร ส่วนพระศอเป็นหินกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 90 เซนติเมตร พระวรกายประกอบด้วยหินทรายขนาดใหญ่ยาวตลอดเป็นแผ่นเดียวกัน (ปัจจุบันมีการคลุมผ้าคลุมส่วนพระวรกาย) ส่วนพระนาภีลงมาถึงข้อพระบาทแตกหักชำรุดส่วนพระบาททั้งสองข้างชิดติดเสมอกัน มีสภาพดีเป็นรูปพระบาทและฝ่าพระบาทชัดเจน มีการก่อแท่นอิฐหนุนส่วนพระขนององค์พระ รูปแบบศิลปะของพระพุทธไสยาสน์นี้คงได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบทวารวดีปะปนกับศิลปะพื้นเมือง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 15

บัณฑิต ลิ่วชัยชาญ และคณะ กล่าวว่าคติการสร้างพระพุทธไสยาสน์ของเมืองเสมานี้ เหมือนกับพระพุทธไสยาสน์เมืองโปโลนนารุวะ กล่าวคือ หันพระเศียรไปทางทิศใต้ และสร้างพระพุทธไสยาสน์ภายในคันธกุฎีที่เป็นอาคารแคบ[13]: 206–209 

โบราณวัตถุที่ค้นพบภายในบริเวณพระนอนที่สำคัญ คือ ธรรมจักรหินทรายหรือเสมาธรรมจักร พบอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธไสยาสน์ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.2 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางดุมล้อ 31 เซนติเมตร เป็นธรรมจักรแบบทึบ แกะสลักเป็นรูปสี่กงล้อ ตอนล่างของธรรมจักรมีลายสลักหน้ากาลหรือพนัสบดี ลักษณะทางศิลปกรรมเทียบได้กับธรรมจักรที่พบจากเมืองนครปฐม น่าจะสร้างขึ้นในเวลาเดียวกับพระพุทธไสยาสน์และเมืองเสมา[11][12]

การขุดแต่งของกรมศิลปากรยังพบหลักฐานเพิ่มเติมคือกวางหมอบและเสาเสมาธรรมจักร อาจแสดงให้เห็นว่าแต่เดิมเสมาธรรมจักรชิ้นนี้คงตั้งอยู่บนหัวเสา มีกวางหมอบอยู่ด้านหน้า และวางอยู่ด้านหน้าพระนอน[11][12]

พระนอน ทำด้วยหินทราย ได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบทวารวดีปะปนกับศิลปะพื้นเมือง

ประวัติ แก้

การศึกษา แก้

เมืองเสมาเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ ได้รับการกล่าวถึงในผู้สนใจโบราณคดีทั้งไทยและต่างชาติ โดยมีการกล่าวถึงครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[1]: 4–5  ดังนี้ คือในปี พ.ศ. 2428 นักสำรวจชาวฝรั่งเศส เอเตียน แอมอนิเยร์ ได้เข้ามาสำรวจทางโบราณคดีในประเทศไทย โดยบันทึกไว้ว่า "เมืองเสมาเป็นเมืองในสมัยอาณาจักรเขมรโบราณ มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า"

ต่อมาในปี พ.ศ. 2472 เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จประพาสหัวเมืองมณฑลอีสาน ได้ทรงสันนิษฐานเกี่ยวกับเมืองโบราณในเขตอำเภอสูงเนินไว้ว่า "เป็นที่ตั้งของเมืองนครราชสีมาเก่า โดยมีเมืองสองเมืองตั้งอยู่ใกล้กันคือ เมืองเสมา ซึ่งอยู่ทางฝั่งด้านทิศเหนือของลำตะคอง และเมืองโครามะประที่ตั้งอยู่ทางฝั่งทิศใต้ของ ลำตะคอง ห่างกันประมาณ 3 - 4 กิโลเมตร ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนปลาย สมัยสมเด็จพระนารายณ์ จึงได้ย้ายเมืองมาตั้งอยู่ในบริเวณตัวจังหวัดนครราชสีมาในปัจจุบันพร้อมกับ นำชื่อเมืองทั้งสองคือเมืองเสมา และเมืองโครามะปุระหรือโคราชมารวมกันเป็นชื่อเมืองใหม่ นามว่า นครราชสีมา​"[3]: 105 

ในปี พ.ศ. 2479 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเนื้อที่ประมาณ 2,475 ไร่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 หน่วยศิลปากรที่ 6 การสำรวจเพื่อทำผังและปักหมุดเขตโบราณสถานเมืองเสมา พร้อมกับได้ทำการขุดหลุมทดสอบทางโบราณคดี ขนาด 3 x 3 เมตร เพื่อศึกษาลำดับการอยู่อาศัยของมนุษย์และยุคสมัย จำนวน 1 หลุม ในบริเวณเมืองชั้นในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง และในปี พ.ศ. 2542 สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา ได้ทำการขุดแต่งเสริมความมั่นคงโบราณสถาน จำนวน 9 หลังภายในเมืองเสมา ระหว่างเดือนมิถุนายน–กันยายน 2542

สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เชื่อว่าเมืองเสมาคือเมืองราดของพ่อขุนผาเมือง โดยได้กล่าวว่า "อย่างเมืองเสมา เมืองราดของพ่อขุนผาเมืองในจารึกสุโขทัย ส่วนสูงเนินคือ เมืองโคราชเก่า..."[14]

พัฒนาการด้านวัฒนธรรม แก้

ผลการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีที่เมืองเสมาได้ข้อสรุปว่า ชุมชนโบราณแห่งนี้มีการอยู่อาศัยต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ และมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับชุมชนโบราณในภูมิภาคอื่น โดยสามารถแบ่งพัฒนาการทางวัฒนธรรมของเมืองเสมาได้เป็น 3 ระยะดังนี้[3]: 157–182 [2]: 109–110 [15]: 140–147 

ระยะที่ 1 : พุทธศตวรรษที่ 10-11 แก้

พบหลักฐานว่ามีชุมชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเริ่มแรก โดยเป็นชุมชนที่มีพัฒนาการทางวัฒนธรรมสืบต่อมาจากชุมชนในวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำมูล หลักฐานทางโบราณคดีสำคัญที่แสดงถึงวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับชุมชนโบราณร่วมสมัยบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลและชุมชนโบราณบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลุ่มแม่น้ำลพบุรี-ป่าสัก ได้แก่ ภาชนะดินเผาแบบสีดำขัดมันหรือแบบพิมายดำ ซึ่งเป็นรูปแบบภาชนะดินเผาที่พบแพร่หลายในชุมชนโบราณบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลตอนบนและพบการแพร่กระจายไปยังชุมชนบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลุ่มแม่น้ำลพบุรี-ป่าสัก, ภาชนะดินเผาแบบร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นภาชนะดินเผาที่พบหนาแน่นบริเวณตอนกลางของแม่น้ำมูล

ระยะที่ 2 : พุทธศตวรรษที่ 12-15 แก้

เป็นช่วงที่ชุมชนมีการอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น มีหลักฐานแสดงถึงการรับอิทธิพลวัฒนธรรมทวารวดีจากภาคกลางอย่างเด่นชัด คือ การนับถือศาสนาพุทธ (คือ นิกายเถรวาทและมหายาน) ในช่วงเวลานี้ชุมชนได้สร้างศาสนสถานและศาสนวัตถุเนื่องในศาสนาพุทธขึ้นทั้งภายในเมืองชั้นในและชั้นนอก ได้แก่ เจดีย์, วิหาร, ใบเสมาหินทราย, พระพุทธรูป, และธรรมจักรศิลา ซึ่งเป็นรูปแบบศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลศิลปะทวารวดีผสมศิลปะพื้นเมือง ส่วนหลักฐานโบราณคดีอื่นที่สำคัญ อาทิ หม้อน้ำมีพวย ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมือนกับที่พบในชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย, ลูกปัดแก้วสีเดียว, ตะคันดินเผา เบี้ยดินเผา, หม้อมีสัน เป็นต้น

ระยะที่ 3 : พุทธศตวรรษที่ 15-18 แก้

ชุมชนโบราณแห่งนี้ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมทวารวดี เนื่องจากพบหลักฐานของสถาปัตยกรรมและประติมากรรมในวัฒนธรรมร่วมแบบเขมร และมีร่องรอยการปรับเปลี่ยนพุทธสถานเป็นเทวสถาน ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงว่าศาสนาพราหมณ์เริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่ศาสนาพุทธ สอดคล้องกับหลักฐานศิลาจารึกที่พบในเมืองเสมา นอกจากนี้ยังปรากฏรูปแบบภาชนะดินเผาแบบเขมรหรือเครื่องเคลือบแบบเขมรแทนที่ภาชนะดินเผาในวัฒนธรรมทวารวดีซึ่งเป็นรูปแบบภาชนะดินเผาที่พบแพร่หลายในชุมชนโบราณที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางของประเทศไทย ในช่วงเวลานี้มีการขยายชุมชนขึ้นไปทางทิศเหนือของเมืองชั้นในและมีการขุดคูน้ำรูปสี่เหลี่ยมขึ้นในส่วนของเมืองที่ขยายออกไป หลักฐานที่แสดงถึงการติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนโบราณนอกภูมิภาคที่พบในช่วงเวลานี้ คือ เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซ่งและหยวน หลังจากพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นต้นไป เมืองเสมาจึงถูกทิ้งร้าง

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 หจก.ปุราณรักษ์. รายงานการขุดแต่งเพื่อการบูรณะโบราณสถานเมืองเสมา ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา. รายงานเสนอต่อสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ 9 จังหวัดนครราชสีมา, 2542.
  2. 2.0 2.1 2.2 มยุรี วีระประเสริฐ. ศรีจนาศะ รัฐอิสระที่ราบสูง. : สำนักพิมพ์มติชน, 2545.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 3.8 เขมิกา หวังสุข. พัฒนาการทางวัฒนธรรมในลุ่มแม่น้ำมูล : กรณีศึกษาแหล่งโบราณคดีเมืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2543.
  4. 4.0 4.1 4.2 กรมศิลปากร. จารึกในประเทศไทย เล่ม 3 : อักษรขอม พุทธศตวรรษที่ 15-16. กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2529.
  5. "ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดจำนวนและขอบเขตโบราณสถานสำหรับชาติ" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 69 (60): 3283. 30 กันยายน 2495.
  6. สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์. ศิลปะร่วมแบบเขมรในประเทศไทย : ภูมิหลังทางปัญญา-รูปแบบทางศิลปกรรม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2537.
  7. 7.0 7.1 7.2 ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2547.
  8. 8.0 8.1 8.2 สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ 2 สุพรรณบุรี.โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : โรงพิมพ์สหมิตรพริ้นติ้ง, 2545.
  9. 9.0 9.1 9.2 สมศักดิ์ รัตนกุล. โบราณคดีเมืองคูบัว. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2535.
  10. พรทิพย์ พันธุโกวิท. การศึกษาวิเคราะห์โบราณสถานเมืองยะรัง: ศึกษากรณีกลุ่มโบราณสถานบ้านจาเละ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี. วันนี้ของโบราณคดีไทย, 2547.
  11. 11.0 11.1 11.2 ทนงศักดิ์ หาญวงษ์. พระนอนวัดธรรมจักรเสมาราม. ศิลปากร, 2534.
  12. 12.0 12.1 12.2 ธวัช ปุณโณทก. เสมา, เมือง : ชุมชนโบราณ. สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคอีสาน เล่ม 11, 2542.
  13. บัณฑิต ลิ่วชัยชาญ และคณะ. รายงานผลการวิจัยเรื่องการประดิษฐานพระพุทธศาสนาจากลังกาทวีปในดินแดนประเทศไทยสมัยวัฒนธรรมทวารวดี. กรุงเทพฯ สมาพันธ์, 2553.
  14. พ่อขุนผาเมือง หายไปไหน? ‘ผมเชื่อว่าท่านมาเป็นกษัตริย์อยุธยา’ ขรรค์ชัย สุจิตต์ ทอดน่อง ‘เมืองเสมา’ ท้าพิสูจน์หลากปมประวัติศาสตร์
  15. ชลิต ชัยครรชิต. เมืองเสมาคือศูนย์กลางศรีจนาศะ. ศรีจนาศะ รัฐอิสระที่ราบสูง, : สำนักพิมพ์มติชน, 2545.