เฉียว ฉือ
เฉียว ฉือ (จีนตัวย่อ: 乔石; จีนตัวเต็ม: 喬石; พินอิน: Qiáo Shí; 24 ธันวาคม พ.ศ. 2467 – 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558) ชื่อเดิม เจี่ยง จื้อถง (蒋志彤) เป็นนักการเมืองชาวจีนและเป็นหนึ่งในผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการถาวรประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2530–2540 เขาเป็นคู่แข่งกับเจียง เจ๋อหมินในการชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของจีน แต่ประสบความพ่ายแพ้ เขาจึงได้รับตำแหน่งประธานสภาประชาชนแห่งชาติแทน และถูกนับเป็นผู้ที่มีอำนาจมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 จนกระทั่งเกษียณอายุในปี 2541[1]
เฉียว ฉือ เจี่ยง จื้อถง | |
---|---|
乔石 | |
ประธานสภาประชาชนแห่งชาติ คนที่ 6 | |
ดำรงตำแหน่ง 27 มีนาคม พ.ศ. 2536 – 15 มีนาคม พ.ศ. 2541 | |
ก่อนหน้า | ว่าน หลี่ |
ถัดไป | หลี่ เผิง |
เลขาธิการคณะกรรมาธิการสอบวินัยส่วนกลาง | |
ดำรงตำแหน่ง 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 – 18 ตุลาคม พ.ศ. 2535 | |
ก่อนหน้า | เฉิน ยฺหวิน |
ถัดไป | เว่ย์ เจี้ยนสิง |
ผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไปพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |
ดำรงตำแหน่ง มืถุนายน พ.ศ. 2526 – เมษายน พ.ศ. 2527 | |
เลขาธิการใหญ่ | หู เย่าปัง |
ก่อนหน้า | หู ฉี่ลี่ |
ถัดไป | หวัง จ้าวกั๋ว |
เลขาธิการคณะกรรมาธิการกิจการการเมืองและกฎหมายส่วนกลาง | |
ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2528 – พ.ศ. 2535 | |
ก่อนหน้า | เฉิน พีเสี่ยน |
ถัดไป | เหริน เจี้ยนซิน |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 24 ธันวาคม พ.ศ. 2467 เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐจีน |
เสียชีวิต | 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558 (90 ปี) ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน |
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (2483–2541) |
คู่สมรส | ยฺวี่ เหวิน (สมรส 2495; เสียชีวิต 2556) |
บุตร | เจี๋ยง เสี่ยวหมิน (ชาย) เฉียว เสี่ยวซี (หญิง) |
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยอีสต์ไชนายูไนเต็ด มหาวิทยาลัยริไจนา นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (แคนาดา; 2539) |
อาชีพ | นักการเมือง |
วิชาชีพ | วรรณกรรม |
เฉียว ฉือ | |||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 喬石 | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อักษรจีนตัวย่อ | 乔石 | ||||||||||||||||||
|
เมื่อเปรียบเทียบกับกับเจียง เฉียวมีจุดยืนในนโยบายการเมืองและเศรษฐกิจที่เสรีมากกว่า ส่งเสริมหลักนิติธรรมและการปฏิรูปที่มุ่งเน้นตลาดของรัฐวิสาหกิจ[2]
ชีวิตช่วงต้น
แก้เฉียว ฉือ เกิดเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2467 ชื่อเดิมของเขาคือ เจี่ยง จื้อถง (蔣志彤; Jiǎng Zhìtóng) ที่เซี่ยงไฮ้ บิดาของเขาเป็นชาวติงไห่ มณฑลเจ้อเจียง ทำงานเป็นนักบัญชีในเซี่ยงไฮ้ ส่วนมารดาเป็นกรรมกรที่โรงงานทอผ้าหมายเลข 1 ของเซี่ยงไฮ้[3] เขาศึกษาเอกวรรณคดีที่มหาวิทยาลัยอีสต์ไชน่า แต่ไม่ได้จบการศึกษา เขาใช้ชื่อในการทำกิจกรรมปฏิวัติใต้ดินว่า เจี่ยง เฉียวฉือ ตั้งแต่ตอนอายุเพียง 16 ปี ตามธรรมเนียมในยุคนั้นสำหรับเยาวชนที่ใฝ่ฝันจะเป็นคอมมิวนิสต์ ต่อมาเขาได้ละทิ้งนามสกุลเจี่ยงไปโดยสิ้นเชิงและเรียกตนเองว่า "เฉียว ฉือ"[4][5]
ยุคเหมา
แก้หลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี พ.ศ. 2492 เฉียวได้ดำรงตำแหน่งผู้นำสันนิบาติเยาวชนคอมมิวนิสต์ประจำเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง จนถึงปี 2497 ระหว่างปี 2497–2505 เขาทำงานที่บริษัทเหล็กกล้าอันชาน ในมณฑลเหลียวหนิง จากนั้นจึงย้ายไปทำงานที่บริษัทเหล็กกล้าจิ่วชวน ในมณฑลกานซู่[6]
ในปี พ.ศ. 2506 เฉียวได้รับการโยกย้ายไปทำงานที่กองการต่างประเทศของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาระหว่างประเทศ และได้เดินทางไปเยือนประเทศคอมมิวนิสต์อื่น ๆ อย่างกว้างขวาง[4] ถึงกระนั้น ชีวิตของเฉียวก็พลิกผันอย่างเลวร้าย เมื่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรมปะทุขึ้นในปี 2509 เนื่องจากภรรยาของเขา ยฺหวี เหวิน (于文) เป็นหลานสาวของเฉิน ปู้เหลย์ (陈布雷) ที่ปรึกษาคนสำคัญของเจียง ไคเชก หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง เฉียวต้องเผชิญกับการประณามซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงการต่อสู้กับพวกหัวเก่า (struggle sessions) ส่งผลให้เขาต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการแผลกะเทาะที่ลำไส้เล็กส่วนต้นและเลือดออก ในปี 2512 ทั้งเฉียวและภรรยาถูกส่งไปทำงานในฟาร์มแรงงานชนบท ก่อนแรกในมณฑลเฮย์หลงเจียง และต่อมาในมณฑลเหอหนาน เขาสามารถกลับมาทำงานที่กองการต่างประเทศได้อีกครั้งในปี 2514 เมื่อเกิ่ง เปียว เข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการ[3]
ขึ้นสู่อำนาจ
แก้หลังสิ้นสุดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เฉียวได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการกรมการต่างประเทศในปี 2521 และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการในปี 2525 โดยรับผิดชอบการบริหารความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ต่างประเทศ นอกจากนี้ เขายังได้รับเลือกเป็นสมาชิกสำรองของคณะเลขาธิการกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารประจำวันของพรรค ต่อมาเขายังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไปของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งดูแลการบริหารงานประจำวันของพรรค และผู้อำนวยการกรมองค์การพรรค ซึ่งดูแลทรัพยากรบุคคล[4] ในช่วงที่เฉียวดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไปของพรรค ได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานจากเดิมที่มุ่งเน้นการต่อสู้ทางชนชั้น มาเป็นการมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการปฏิรูปและเปิดประเทศ
ในปี 2528 หัวหน้าสายลับจีน ยฺหวี เฉียงเชิง ได้แปรพักตร์ไปยังสหรัฐ ส่งผลให้ เฉิน พีเสี่ยน สมาชิกคณะกรมการเมืองและเลขาธิการคณะกรรมาธิการกิจการการเมืองและกฎหมายส่วนกลาง ถูกปลดจากตำแหน่ง เฉียวจึงได้รับเลือกให้เข้ามาแทนที่ อีกเหตุผลหนึ่งคือเขามีความใกล้ชิดกับเลขาธิการใหญ่ หู เย่าปัง และได้รับความไว้วางใจจากจากเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุดของจีน[7] ด้วยผลงานและความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย ในปีเดียวกัน เฉียวก็ได้รับเลือกเป็นสมาชิกกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งถือเป็นอันดับสองของอำนาจในพรรค และในปี 2529 เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี[2][5]
ระหว่างปี 2530–2540 เฉียวได้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญยิ่ง นั่นคือ สมาชิกคณะกรรมาธิการถาวรประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการตัดสินใจสูงสุดของจีน โดยเขารับผิดชอบงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลาย ได้แก่ ความมั่นคงภายใน หน่วยสืบราชการลับ กระบวนการยุติธรรม และวินัยของพรรค[7]
ระหว่างปี 2530–2535 นอกจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการถาวรประจำกรมการเมืองแล้ว เฉียวยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการสอบวินัยส่วนกลาง (Central Commission for Discipline Inspection) ซึ่งเป็นหน่วยงานปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันภายในพรรค[5]
จัตุรัสเทียนอันเหมินและผลพวง
แก้เฉียวถูกมองว่ามีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 2532 แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเขาสนับสนุนหรือต่อต้านการปราบปรามนักศึกษาผู้ประท้วง[1] แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่รวมถึงอัตชีวประวัติของอดีตเลขาธิการพรรค จ้าว จื่อหยาง ระบุว่า เฉียวมีจุดยืนที่คลุมเครือเกี่ยวกับวิธีจัดการกับผู้ประท้วง เขาถูกกล่าวว่ามีความอดทนต่อขบวนการนักศึกษา และงดออกเสียงในการลงคะแนนของคณะกรมการเมืองเกี่ยวกับเรื่องการส่งกองทัพไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมิน[2]
เฉียวสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำของเขาไว้ได้ ในขณะที่เพื่อนร่วมคณะกรมการเมืองอย่าง จ้าว จื่อหยาง และหู ฉี่ลี่ ซึ่งคัดค้านการปราบปรามผู้ประท้วง ถูกปลดจากตำแหน่งและถูกขับออกจากพรรค อย่างไรก็ตาม การที่เฉียวสามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้นั้นก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์อยู่เช่นกัน บางคนมองว่าเขาเป็นนักการเมืองที่เห็นแก่ตัวและไร้หลักการ เนื่องจากไม่กล้าแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในช่วงเวลาสำคัญ[2]
ภายหลังเหตุการณ์ทางการเมืองที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เฉียว และนายกรัฐมนตรี หลี่ เผิง ได้ถูกยกขึ้นมาเป็นสองตัวเต็งที่จะชิงตำแหน่งผู้นำพรรค แต่เติ้ง เสี่ยวผิง และเหล่าผู้อาวุโสหลายคนในพรรค รู้สึกว่าหลี่ เผิง มีแนวคิดแบบซ้ายเกินไป และไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนผ่านจีนออกจากระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน ดังนั้นเฉียวจึงกลายเป็นตัวเลือก 'จำยอม' เนื่องจากประสบการณ์และความอาวุโสของเขาในเวลานั้น[4]
แม้เติ้ง เสี่ยวผิง จะจัดการประชุมกับเฉียวเป็นการส่วนตัว เพื่อพูดคุยถึงเรื่องการสืบทอดอำนาจ[7] แต่สุดท้าย เฉียวก็พ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งของเขา เจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคในปี 2532 และประธานาธิบดีในปี 2536[4]
ไม่เคยมีคำอธิบายอย่างชัดเจนว่าเหตุใดเฉียวถึงไม่ได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรค นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเนื่องจากเขามีประสบการณ์ด้านการบังคับใช้กฎหมายมากเกินไป จึงมีแนวโน้มที่จะใช้กลยุทธ์ที่แข็งกร้าวและรุนแรงในการแก้ไขปัญหา หรืออาจจะสูญเสียความนิยมจาก "ผู้อาวุโสในพรรค" คนสำคัญ ซึ่งเป็นผู้นำที่เกษียณอายุแล้วแต่ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในกระบวนการสืบทอดอำนาจ[1][5]
ในเดือนมีนาคม 2536 เฉียวได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ ซึ่งโดยทางการถือว่าเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่สูงเป็นอันดับ 3 ในประเทศ รองจากเลขาธิการพรรคและนายกรัฐมนตรี ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศ เขาพยายามที่จะเสริมสร้างระบบกฎหมายของจีนและปฏิรูปสภาประชาชนแห่งชาติ จากองค์กรที่ทำหน้าที่ให้ความเห็นชอบตามคำสั่ง (rubber-stamp body) ให้กลายเป็นสถาบันที่มีอำนาจแท้จริงในการกำหนดและส่งเสริมนิติธรรม[1] ผู้นำที่ไม่เห็นด้วยและผู้นำนักศึกษาที่เทียนอันเหมิน หวัง ตัน เคยแสดงความคิดเห็นว่า "แม้ว่าเฉียว ฉือ จะขึ้นชื่อเรื่องกลวิธีการสร้างภาพลักษณ์ แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถนำพาจีนไปสู่การปกครองที่เปิดกว้างและโปร่งใสมากขึ้น"[4]
เกษียณ
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ความเสื่อมอำนาจและการเสียชีวิต
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ครอบครัว
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เกียรติยศ
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 Gan, Nectar (14 มิถุนายน 2015). "Former China Communist Party senior official Qiao Shi dies at 91". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2023.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 Mackerras, Colin; McMillen, Donald H.; Watson, Andrew (2003). Dictionary of the Politics of the People's Republic of China. Routledge. p. 185. ISBN 978-1-134-53175-2.
- ↑ 3.0 3.1 Lu Mengjun (14 มิถุนายน 2015). 乔石往事: 妻子是陈布雷外甥女, "文革"期间被贴了大字报 [Qiao Shi's past: wife was a niece of Chen Bulei]. Eastday (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 มิถุนายน 2015. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2015.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 Song, Yuwu (2013). Biographical Dictionary of the People's Republic of China. McFarland. p. 258. ISBN 978-0-7864-3582-1.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 "Qiao Shi". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2010.
- ↑ 乔石同志简历. Eastday (ภาษาจีน). 14 มิถุนายน 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2020.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 Niu Lei (14 มิถุนายน 2015). 牛泪:乔石与江泽民交往秘史. Duowei (History Channel). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2024.