หู เย่าปัง
หู เย่าปัง (จีน: 胡耀邦; พินอิน: Hú Yàobāng; 20 กันยายน ค.ศ. 1915 – 15 เมษายน ค.ศ. 1989) เป็นนักการเมืองชาวจีนผู้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาดำรงตำแหน่งสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 1981 ถึง 1987 โดยดำรงตำแหน่งประธานพรรคตั้งแต่ ค.ศ. 1981 ถึง 1982 และเลขาธิการพรรคตั้งแต่ ค.ศ. 1982 ถึง 1987 หลังการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966–1976) หูกลายมาเป็นที่รู้จักในฐานะพันธมิตรใกล้ชิดของเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุดของจีนในขณะนั้น
หู เย่าปัง | |
---|---|
胡耀邦 | |
![]() หูระหว่างการเยือนกรุงโรมใน ค.ศ. 1986 | |
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |
ดำรงตำแหน่ง 12 กันยายน ค.ศ. 1982 – 15 มกราคม ค.ศ. 1987 | |
ก่อนหน้า | ตนเอง (ในตำแหน่งประธาน) |
ถัดไป | จ้าว จื่อหยาง |
ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |
ดำรงตำแหน่ง 29 มิถุนายน ค.ศ. 1981 – 12 กันยายน ค.ศ. 1982 | |
รอง | เย่ เจี้ยนอิง |
ก่อนหน้า | ฮฺว่า กั๋วเฟิง |
ถัดไป | ตนเอง (ในตำแหน่งเลขาธิการ) |
เลขาธิการสำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |
ดำรงตำแหน่ง 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1980 – 12 กันยายน ค.ศ. 1982 | |
ประธาน | ฮฺว่า กั๋วเฟิง ตนเอง |
ก่อนหน้า | เติ้ง เสี่ยวผิง (1966) |
ถัดไป | หู ฉีลี่ (เลขาธิการคนที่ 1) |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1915 หลิวหยาง เหอหนาน สาธารณรัฐจีน |
เสียชีวิต | 15 เมษายน ค.ศ. 1989 ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน | (73 ปี)
ที่ไว้ศพ | ก้งชิงเฉิง จิ่วเจียง |
เชื้อชาติ | จีน |
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (1933–1989) |
คู่สมรส | หลี่ จ้าว (สมรส 1941–1989) |
บุตร | 4 |
ลายมือชื่อ | ![]() |
การเป็นสมาชิกสถาบันกลาง ตำแหน่งอื่น ๆ ที่ดำรง
| |
Hu Yaobang | |||||||||||||||||||||||
![]() "หู เย่าปัง" ในอักษรจีน | |||||||||||||||||||||||
ภาษาจีน | 胡耀邦 | ||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
หูเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนในคริสต์ทศวรรษ 1930 ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เขาถูกกวาดล้าง เรียกตัวกลับ และกวาดล้างอีกครั้งโดยเหมา เจ๋อตง หลังเติ้งขึ้นสู่อำนาจ หลังจากเหมาถึงแก่อสัฯกรรม หูก็มีบทบาทสำคัญในโครงการ ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980 เขาดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองหลายอย่างภายใต้การดูแลของเติ้ง ขณะเดียวกัน การปฏิรูปทางการเมืองและเศรษฐกิจของหูยังทำให้เขากลายเป็นศัตรูของผู้อาวุโสพรรคที่ทรงอิทธิพลหลายคน ซึ่งต่อต้านการปฏิรูปตลาดเสรีและรัฐบาล เมื่อการประท้วงของนักศึกษาเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วประเทศจีนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1986 และมกราคม ค.ศ. 1987 ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของหูกล่าวโทษเขาว่าเป็นผู้ก่อความวุ่นวาย และโน้มน้าวเติ้งว่าความอดทนของหูต่อ "การเปิดเสรีชนชั้นกระฎุมพี" เป็นสาเหตุที่ทำให้การประท้วงดังกล่าวเกิดขึ้น หูถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการในช่วงต้นปี ค.ศ. 1987 แต่ยังคงได้รับอนุญาตให้คงสมาชิกภาพในกรมการเมืองไว้ได้
ตำแหน่งเลขาธิการของหูได้รับการสืบทอดโดยจ้าว จื่อหยาง พันธมิตรใกล้ชิดของเขา โดยเขาดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองของหูหลายครั้ง หนึ่งวันหลังการเสียชีวิตของหูในเดือนเมษายน ค.ศ. 1989 มีการจัดงานรำลึกอย่างไม่เป็นทางการในระดับเล็ก ๆ ขึ้นในปักกิ่ง ระหว่างนั้น ผู้คนได้เรียกร้องให้รัฐบาลจีนประเมินและยอมรับมรดกของหูอีกครั้ง หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในวันก่อนพิธีศพของหู นักศึกษาราว 100,000 คนได้เดินขบวนไปที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่การเหตุการณ์การประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ในเดือนมิถุนายน ต่อมารัฐบาลจีนได้ตรวจพิจารณารายละเอียดต่าง ๆ ในชีวิตของหู แต่ใน ค.ศ. 2005 รัฐบาลจีนได้ฟื้นฟูชื่อเสียงของเขาอย่างเป็นทางการและยกเลิกการตรวจพิจารณาเนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด 90 ปีของเขา หูถูกฝังในก้งชิงเฉิงในเจียงซี
ชีวิตช่วงต้น
แก้นักปฏิวัติหนุ่ม
แก้บรรพบุรุษของหู เย่าปังเป็นชาวฮากกา[1][2] จากเจียงซี ในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368–1644) พวกเขาอพยพไปยังหูหนาน ที่ซึ่งเป็นเมืองเกิดของหู[3] หูเกิดในครอบครัวชาวนายากจน[4]: 138 เขาไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการและสอนตัวเองให้อ่านหนังสือ[4]: 138
หูเข้าร่วมการกบฏครั้งแรกเมื่ออายุได้ 12 ปี และออกจากครอบครัวเพื่อเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่ออายุได้เพียง 14 ปี[5] และกลายเป็นสมาชิกเต็มตัวของพรรคใน ค.ศ. 1933[6] ในช่วงการต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนแตกแยกกันในคริสต์ทศวรรษ 1930 หูสนับสนุนเหมา เจ๋อตงและต่อต้านกลุ่ม 28 บอลเชวิค
หูเป็นหนึ่งในทหารผ่านศึกอายุน้อยที่สุดในการเดินทัพทางไกล[7] หลังจากเหมาถูกปลดจากอำนาจ ไม่นานก่อนจะเริ่มต้นการทัพโอบล้อมครั้งที่สี่ ผู้สนับสนุนของเหมาถูกข่มเหง และหูถูกตัดสินประหารชีวิต ก่อนเริ่มการเดินทัพทางไกล เขาและคนอื่น ๆ กำลังจะถูกนำตัวไปตัดศีรษะ อย่างไรก็ตาม ถาน ยฺหวีเป่า ผู้นำคอมมิวนิสต์ท้องถิ่นผู้ทรงอิทพล ได้เข้าแทรกแซงในนาทีสุดท้ายและช่วยชีวิตหูไว้ได้ เนื่องจากหูสนับสนุนเหมา เขาจึงถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือและสั่งให้เข้าร่วมการเดินทัพทางไกลเพื่อที่จะถูกเฝ้าติดตาม[8]
หูได้รับบาดเจ็บสาหัสในสมรภูมิเขาหลู ใกล้กับจุนอี้ ซึ่งอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่เหมา เจ๋อตงฟื้นคืนอำนาจอีกครั้งผ่านการประชุมจุนอี้[9] หลังจากที่หูได้รับบาดเจ็บ ทีมแพทย์ภาคสนามของคอมมิวนิสต์ตัดสินใจที่จะไม่ช่วยหู และปล่อยให้เขาอยู่ในสนามรบให้ตายอยู่ข้างถนน หูได้รับการช่วยเหลือโดยเพื่อนในวัยเด็กของเขา ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพแดงจีนที่บังเอิญผ่านมา หูร้องเรียกชื่อเล่นของเพื่อนเพื่อขอความช่วยเหลือ และเพื่อนของเขาก็ช่วยให้หูตามทัพใหญ่ของกองทัพแดงที่กำลังถอยร่นทัน และได้รับการรักษาบาดแผล[ต้องการอ้างอิง]
หูถูกก๊กมินตั๋งจับตัวเป็นเชลยในระหว่างการเดินทัพทางไกล[4]: 138 ใน ค.ศ. 1936 หูได้เข้าร่วมกองกำลังรบนอกประเทศที่นำโดยจาง กั๋วเทา เป้าหมายของกองกำลังอันแข็งแกร่งกว่า 21,800 นายของจาง คือการข้ามแม่น้ำเหลือง ขยายฐานทัพคอมมิวนิสต์ทางตะวันตกของฉ่านซี และเชื่อมโยงกับกองกำลังจากสหภาพโซเวียตหรือกับเฉิง ชื่อไฉ ขุนศึกซินเจียง ผู้ซึ่งเป็นพันธมิตรของคอมมิวนิสต์และสหภาพโซเวียต กองกำลังของจางเทาพ่ายอย่างย่อยยับต่อขุนศึกชาตินิยมในพื้นที่ หรือกลุ่มหม่า หูพร้อมด้วยฉิน จีเหว่ย์ กลายเป็นสองในเชลยศึกนับพันคนที่ถูกกองกำลังของกลุ่มหม่าจับตัวไป หูเป็นเชลยศึกเพียงคนหนึ่งในจำนวน 1,500 คนที่หม่า ปู้ฟางตัดสินใจใช้แรงงานบังคับแทนที่จะประหารชีวิต[ต้องการอ้างอิง]
หม่า ปู้ฟางส่งกองทหารม้ามุสลิมหลายกองพลภายใต้การนำของนายพลหม่า เปียวเพื่อต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม เจียง ไคเชกกดดันให้หม่า ปู้ฟางส่งทหารไปต่อสู้กับผู้รุกรานชาวญี่ปุ่นให้มากขึ้น หม่าจึงตัดสินใจว่าแทนที่จะใช้กำลังทหารของตน เขาจะส่งเชลยศึกจากกองทัพแดงจีนจำนวน 1,500 นายไปแทน เนื่องจากเส้นทางการเดินทัพต้องผ่านชายแดนฐานทัพคอมมิวนิสต์ในฉ่านซี หูและฉิน จีเหว่ย์จึงตัดสินใจเดินทางกลับหาคอมมิวนิสต์ และจัดการหลบหนีอย่างลับ ๆ การหลบหนีเกิดขึ้นตามที่วางแผนไว้และประสบความสำเร็จ โดยจากเชลยศึกทั้งหมด 1,500 นาย มีมากกว่า 1,300 นายที่สามารถกลับมายังเหยียนอานสำเร็จ เหมาต้อนรับคอมมิวนิสต์ที่กลับมาเหล่านี้ด้วยตัวเขาเอง และหูก็กลับสู่กองกำลังคอมมิวนิสต์ ซึ่งเขาจะอยู่ที่นั่นจนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา[ต้องการอ้างอิง]
หลังจากหูมาถึงเหยียนอน เขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนการทหารต่อต้านญี่ปุ่น ขณะศึกษาอยู่ที่นั่น หูได้พบและแต่งงานกับหลี่ จ้าว ภรรยาของเขา ซึ่งเป็นนักเรียนในเหยียนอานเช่นกัน หลังจากฝึกฝนแล้ว หูทำงานในฝ่ายการเมือง และได้รับมอบหมายให้ทำงานเป็นสมาชิกกองทัพแนวหน้าที่สามของเผิง เต๋อหวย[10]
หูเป็นเพื่อนและทำงานอย่างใกล้ชิดกับเติ้ง เสี่ยวผิงในคริสต์ทศวรรษ 1930 ในคริสต์ทศวรรษ 1940 หูทำงานภายใต้การนำของเติ้งในฐานะกรรมาธิการการเมืองในกองทัพสนามที่สอง ในช่วงท้ายของสงครามกลางเมืองจีน หูเดินทางไปกับเติ้งที่เสฉวน และกองกำลังคอมมิวนิสต์สามารถยึดครองมณฑลจากกองกำลังชาตินิยมได้สำเร็จใน ค.ศ. 1949[6]
ขบวนการปฏิรูปที่ดิน
แก้ระหว่างขบวนการปฏิรูปที่ดินรอบสุดท้ายของจีน หูมีส่วนร่วมในความพยายามของพรรคที่จะยับยั้งความรุนแรงของชาวนาต่อเจ้าของที่ดิน โดยอธิบายว่าการเรียกร้องให้ "ทำลายล้าง" เจ้าของที่ดินนั้นหมายถึงการเอาทรัพย์สินของเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ชีวิต[11] หูสั่งการให้คณะทำงานงานพรรคไม่ "ใช้การตัดหัวเพื่อแก้ปัญหา"[11] ในมุมมองของหู การประหารชีวิต "ทรราชชั่วร้าย" (หมายถึงเจ้าของที่ดินที่เอารัดเอาเปรียบหรือเป็นอาชญากรที่สุด) และเจ้าของที่ดินที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ ถือเป็นสิ่งเหมาะสม: "พวกเขานี่แหละที่บังคับให้เราฆ่าพวกเขา"[11]
นักการเมืองจีน
แก้ใน ค.ศ. 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถเอาชนะกองกำลังชาตินิยมในจีนแผ่นดินใหญ่ได้สำเร็จ และก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น ใน ค.ศ. 1952 หูเดินทางไปปักกิ่งกับเติ้ง และหูก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ ค.ศ. 1952 ถึง 1966[6] หูเลื่อนตำแหน่งขึ้นในลำดับชั้นของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างรวดเร็ว กระทั่งเหมาได้ส่งหูไปทำงานเป็นเลขาธิการพรรคคนที่หนึ่งประจำฉ่านซีใน ค.ศ. 1964 โดยกล่าวว่า "เขาต้องฝึกเชิงปฏิบัติ" หูอาจได้รับมอบหมายให้ทำงานนอกปักกิ่งเพราะเขาถูกตัดสินว่าไม่กระตือรือร้นเกี่ยวกับลัทธิเหมาเพียงพอ[12] ไม่เหมือนกับเพื่อนร่วมงานหลาย ๆ คน หูสามารถรักษาสมาชิกภาพของเขาในคณะกรรมาธิการกลางพรรคได้จนถึงการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคครั้งที่ 9 ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1969
ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม หูถูกกวาดล้างและฟื้นฟูสองครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงอาชีพทางการเมืองของเติ้ง เสี่ยวผิง ที่ปรึกษาของหู[13] ใน ค.ศ. 1969 หูถูกเรียกตัวกลับปักกิ่งเพื่อถูกข่มเหง หูกลายเป็น "หมายเลขหนึ่ง" ในบรรดา "สามหู" ที่มีคนพูดถึงกันในทางลบและถูกแห่ไปทั่วปักกิ่งโดยสวมปลอกคอไม้หนัก ๆ ไว้ที่คอ "หู" อีกสองคนคือหู เค่อฉือ สมาชิกอาวุโสอันดับสองของสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ และหู ฉีลี่ สมาชิกอาวุโสอันดับสามของสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ และกลายเป็นผู้ร่วมงานใกล้ชิดของเติ้ง เสี่ยวผิงด้วย หลังถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงต่อธารกำนัล หูถูกส่งไปยังค่ายแรงงานห่างไกลเพื่อเข้าร่วม "การปฏิรูปผ่านแรงงาน" ภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ขณะลี้ภัยทางการเมือง หูถูกบังคับให้ทำงานลากก้อนหินขนาดใหญ่ด้วยมือเปล่า[12]
เมื่อเติ้งถูกเรียกตัวกลับปักกิ่งชั่วคราวระหว่างปี ค.ศ. 1973 ถึง 1976 หูก็ถูกเรียกตัวกลับด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเติ้งถูกกวาดล้างอีกครั้งใน ค.ศ. 1976 หูก็ถูกกวาดล้างเช่นกัน[7] หลังการกวาดล้างครั้งที่สอง หูถูกส่งไปเลี้ยงวัว[12] หูถูกเรียกตัวกลับมาและฟื้นฟูชื่อเสียงเป็นครั้งที่สองใน ค.ศ. 1977 ไม่นานหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา หลังถูกเรียกตัวกลับ เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้กำกับดูแลฝ่ายองค์การของพรรค และต่อมาได้กำกับดูแลการโฆษณาชวนเชื่อของพรรคผ่านฝ่ายของกรมการเมือง[6] หูเป็นหนึ่งในผู้นำหลักที่รับผิดชอบการประเมินชะตากรรมของผู้ถูกข่มเหงในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ตามรายงานของรัฐบาลจีน หูเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้คนกว่าสามล้านคน[13] หูสนับสนุนผู้ประท้วงกำแพงประชาธิปไตย ค.ศ. 1978 อย่างเงียบ ๆ และเชิญนักเคลื่อนไหวสองคนไปที่บ้านของเขาในปักกิ่ง หูคัดค้านนโยบาย "สองสิ่งใดก็ตาม" ของฮฺว่า กั๋วเฟิง และยังเป็นผู้สนับสนุนสำคัญในการขึ้นสู่อำนาจของเติ้ง เสี่ยวผิง[12]
นักปฏิรูป
แก้นโยบายสาธารณะ
แก้การขึ้นสู่อำนาจของหูได้รับการวางแผนโดยเติ้ง เสี่ยวผิง และหูก็ได้ก้าวขึ้นสู่ระดับสูงสุดของพรรคหลังเติ้งแทนที่ฮฺว่า กั๋วเฟิงในตำแหน่ง "ผู้นำสูงสุด" ของจีน ใน ค.ศ. 1980 หูได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการสำนักเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลาง และได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองที่ทรงอำนาจ ใน ค.ศ. 1981 หูได้รับเลือกเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ใน ค.ศ. 1981 เขาได้ช่วยยกเลิกตำแหน่งประธานพรรค ส่วนหนึ่งของความพยายามที่กว้างขึ้นเพื่อแยกจีนออกจากการเมืองแบบเหมาอิสต์ หน้าที่ส่วนใหญ่ของประธานถูกโอนไปยังตำแหน่งเลขาธิการ ตำแหน่งที่หูรับช่วงต่อ การที่เติ้งเข้าแทนที่ฮฺว่า กั๋วเฟิงถือเป็นการที่ผู้นำพรรคได้ตกลงร่วมกันว่าจีนควรละทิ้งเศรษฐศาสตร์แบบเหมาอิสต์ที่เข้มงวด และหันไปใช้นโยบายที่เน้นปฏิบัติมากกว่า และหูก็ได้กำกับความพยายามหลายครั้งของเติ้งในการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน[6] ใน ค.ศ. 1982 หูเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากเป็นอันดับสองในประเทศจีน รองจากเติ้ง[14] ตลอดทศวรรษสุดท้ายของอาชีพการงานของหู เขาส่งเสริมบทบาทของปัญญาชนในฐานะรากฐานของการบรรลุสี่ทันสมัยของจีน[13]
ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เติ้งอ้างถึงหูและจ้าว จื่อหยางว่าเป็น "มือซ้ายและขวา" ของเขา[15] หลังถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการ หูก็ได้ส่งเสริมการปฏิรูปทางการเมืองหลายอย่าง โดยมักจะร่วมมือกับจ่าวด้วย เป้าหมายสูงสุดของการปฏิรูปของหูบางครั้งก็มีการกำหนดไว้อย่างคลุมเครือ หูพยายามปฏิรูประบบการเมืองของจีนโดย: กำหนดให้ผู้สมัครต้องได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจึงจะเข้าสู่กรมการเมืองได้; จัดการเลือกตั้งมากขึ้นโดยมีผู้สมัครมากกว่าหนึ่งคน; เพิ่มความโปร่งใสของรัฐบาล; เพิ่มการหารือกับประชาชนก่อนกำหนดนโยบายของพรรค; และเพิ่มระดับที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อความผิดพลาดของตน[16] ระหว่างดำรงตำแหน่ง หูพยายามฟื้นฟูผู้คนที่ถูกข่มเหงในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ชาวจีนจำนวนมากคิดว่านี่คือความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของเขา เขายังเห็นด้วยกับนโยบายที่เน้นปฏิบัติได้จริงในเขตปกครองตนเองทิเบตหลังตระหนักถึงข้อผิดพลาดของนโยบายก่อนหน้านี้ เขาสั่งถอนแกนนำชาวจีนฮั่นหลายพันคนออกจากเขตปกครองตนเองทิเบตภายหลังการเยือนภูมิภาคดังกล่าวในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1980 โดยเชื่อว่าชาวทิเบตและชาวอุยกูร์ควรได้รับอำนาจบริหารกิจการของตนเอง[17] หูลดจำนวนสมาชิกพรรคฮั่นและผ่อนปรนการควบคุมทางสังคม[18]: 240 ชาวจีนฮั่นที่เหลืออยู่จะต้องเรียนภาษาทิเบตและอุยกูร์[19] เขากำหนดข้อกำหนด 6 ประการเพื่อปรับปรุง 'เงื่อนไขที่มีอยู่' รวมถึงการเพิ่มเงินทุนของรัฐให้แก่เขตปกครองตนเองทิเบต การปรับปรุงการศึกษา และความพยายามฟื้นฟูวัฒนธรรมทิเบตและอุยกูร์[20] ขณะเดียวกัน หูกล่าวว่า "สิ่งใดก็ตามที่ไม่เหมาะกับเงื่อนไขของทิเบต ควรจะได้รับการปฏิเสธหรือแก้ไข"[19] หูกล่าวขอโทษชาวทิเบตอย่างชัดเจนสำหรับการที่จีนปกครองภูมิภาคโดยไม่ถูกต้องในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เขาประกาศยกเลิกโครงการปิงถวน (ชาวนาทหาร) ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ แต่ทำไม่ได้เพราะหวัง เจิ้นคัดค้าน[โปรดขยายความ] ต่อมา นโยบายเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคน เช่น เติ้ง ลี่ฉฺวิน เช่นเดียวกับชาตินิยมฮั่นบางกลุ่มที่คิดว่าหูมอบสิทธิพิเศษทางสังคมแก่ชนกลุ่มน้อยมากเกินไป[12]
หูเดินทางไปทั่วในช่วงดำรงตำแหน่งเลขาธิการ โดยเยี่ยมชมเขตและหมู่บ้านต่าง ๆ กว่า 1,500 แห่ง เพื่อตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและติดต่อกับประชาชนทั่วไป ใน ค.ศ. 1981 หูได้ย้อนกลับไปยังเส้นทางเดินทัพทางไกล และใช้โอกาสนี้เยี่ยมชมและตรวจสอบฐานทัพทหารห่างไกลที่ตั้งอยู่ในทิเบต, เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์, ยูนนาน, ชิงไห่ และมองโกเลียใน[21]
ความเห็นทางการเมืองที่ขัดแย้งกัน
แก้หูโดดเด่นในเรื่องความเป็นเสรีนิยมและการแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งบางครั้งอาจไปทำให้ผู้นำอาวุโสคนอื่น ๆ ของจีนไม่พอใจ ในการเยือนมองโกเลียในใน ค.ศ. 1984 หูได้เสนอแนะต่อสาธารณะว่าชาวจีนอาจเริ่มกินอาหารแบบตะวันตก (ด้วยส้อมและมีด ในจานเดี่ยว) เพื่อป้องกันโรคติดต่อ เขาเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่จีนคนแรกที่เลิกสวมชุดเหมาและหันมาสวมชุดสูทแบบตะวันตกแทน เมื่อถูกถามว่าทฤษฎีใดของเหมา เจ๋อตงที่พึงปรารถนาสำหรับจีนสมัยใหม่ เขาตอบว่า "ฉันคิดว่าไม่มีเลย"[22]
หูไม่ได้พร้อมที่จะละทิ้งลัทธิมากซ์โดยสิ้นเชิง แต่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่สามารถแก้ไข "ปัญหาทั้งหมดของมนุษยชาติ" ได้ หูสนับสนุนให้ปัญญาชนหยิบยกหัวข้อที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งในสื่อต่าง ๆ รวมถึงประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความเป็นไปได้ในการกำหนดขอบเขตทางกฎหมายต่ออิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์ภายในรัฐบาลจีน ผู้อาวุโสพรรคหลายคนไม่ไว้วางใจหูมาตั้งแต่เริ่มต้นและในที่สุดก็เริ่มกลัวอิทธิพลของเขา[21]
หูพยายามอย่างจริงใจที่จะฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงขอบเขตความพยายามของเขา ใน ค.ศ. 1984 เมื่อปักกิ่งเฉลิมฉลองวันครบรอบ 12 ปีที่ญี่ปุ่นให้การยอมรับทางการทูตต่อสาธารณรัฐประชาชนจีน หูได้เชิญเยาวชนญี่ปุ่นจำนวน 3,000 คนมายังปักกิ่งและจัดให้พวกเขาเดินทางไปเยือนเซี่ยงไฮ้, หางโจว, หนานจิง, อู่ฮั่น และซีอาน เจ้าหน้าที่อาวุโสหลายคนมองว่าความพยายามของหูเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เนื่องจากญี่ปุ่นเชิญเยาวชนชาวจีนไปญี่ปุ่นเพียง 500 คนเท่านั้นในปีที่แล้ว หูถูกวิพากษ์วิจารณ์ภายในถึงของขวัญฟุ่มเฟือยที่เขามอบให้แก่เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่เดินทางมาเยี่ยมเยียน และการอนุญาตให้ลูกสาวของเขาเดินทางไปกับลูกชายของนากาโซเนะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นการส่วนตัวเมื่อพวกเขามาเยือนปักกิ่ง หูปกป้องการกระทำของเขาโดยอ้างถึงความสำคัญของความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งระหว่างจีนกับญี่ปุ่น และความเชื่อของเขาที่ว่าความโหดร้ายที่ญี่ปุ่นกระทำต่อจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นการกระทำของขุนศึก ไม่ใช่ประชาชนทั่วไป[23]
หูทำให้พันธมิตรที่มีศักยภาพภายในกองทัพปลดปล่อยประชาชนแตกแยกเมื่อเขาเสนอเป็นเวลาสองปีติดต่อกันว่าควรลดงบประมาณกลาโหมของจีน และผู้นำทหารอาวุโสก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์เขา เจ้าหน้าที่ทหารกล่าวหาว่าหูเลือกซื้ออุปกรณ์ทางทหารจากออสเตรเลียอย่างไม่เหมาะสมใน ค.ศ. 1985 เมื่อหูเยือนอังกฤษ เจ้าหน้าที่ทหารวิจารณ์เขาว่าดื่มซุปเสียงดังเกินไปในงานเลี้ยงที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงจัด[24]
จ้าวและหูริเริ่มโครงการต่อต้านการทุจริตในระดับใหญ่ และอนุญาตให้มีการสอบสวนบุตรหลานของผู้อาวุโสระดับสูงของพรรค ซึ่งเติบโตมาโดยได้รับการปกป้องจากอิทธิพลของพ่อแม่ การที่หูทำการสอบสวนเจ้าหน้าที่พรรคที่สังกัด "พรรคมกุฎราชกุมาร" ทำให้หูไม่เป็นที่นิยมในหมู่เจ้าหน้าที่พรรคที่ทรงอำนาจหลายคน[16] หลังเติ้งปฏิเสธที่จะสนับสนุนการปฏิรูปบางส่วนของหู หูก็ได้ออกมาวิจารณ์เติ้ง เสี่ยวผิงเป็นการส่วนตัวถึงความไม่เด็ดขาดและวิธีคิดแบบ "โบราณ" ซึ่งในที่สุดเติ้งก็เริ่มตระหนักถึงความคิดเห็นนั้น[25]
การลาออก
แก้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1986 กลุ่มนักศึกษาได้จัดการประท้วงสาธารณะในเมืองต่าง ๆ กว่าสิบเมืองเพื่อสนับสนุนการเปิดเสรีทางการเมืองและเศรษฐกิจ การประท้วงเริ่มต้นขึ้นที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเหอเฝย์ มณฑลอานฮุย โดยมีผู้นำคือฟาง ลี่จือ นักเคลื่อนไหวและนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัย ฟางพูดอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับการนำเสนอการปฏิรูปทางการเมืองซึ่งจะยุติอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์ภายในรัฐบาลจีน การประท้วงดังกล่าวยังนำโดย "ปัญญาชนหัวรุนแรง" อีกสองคน คือ หวัง หรัววั่ง และหลิว ปินเยี่ยน[24]
เติ้ง เสี่ยวผิงไม่ชอบผู้นำทั้งสามคน และสั่งให้หูไล่พวกเขาออกจากพรรคเพื่อทำให้พวกเขาเงียบ แต่หูปฏิเสธ[25] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1987 หลังการประท้วงของนักศึกษาเพื่อเรียกร้องเสรีภาพตามแบบตะวันตกสองสัปดาห์[6] กลุ่มผู้อาวุโสพรรค เจ้าหน้าที่ทหารอาวุโส และเติ้ง เสี่ยวผิงได้บังคับให้หูลาออกโดยให้เหตุผลว่าเขาผ่อนปรนกับนักศึกษาที่ประท้วงมากเกินไปและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเกินไปสู่การปฏิรูปเศรษฐกิจตามแบบตลาดเสรี[5][26]
หลังหูถูกไล่ออกโดยบังคับ เติ้งได้เลื่อนตำแหน่งจ้าว จื่อหยางให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคแทนหูผู้มีแนวคิดเสรีนิยม ทำให้จ้าวอยู่ในตำแหน่งที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากเติ้งเพื่อเป็น "ผู้นำสูงสุด"[16] หูลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มกราคม แต่ยังคงอยู่ในคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองต่อไป[6] เมื่อหู "ลาออก" พรรคได้บังคับให้เขาออกแถลงการณ์ "วิจารณ์ตนเองอย่างน่าอับอายเกี่ยวกับความผิดพลาดของเขาในประเด็นสำคัญของหลักการทางการเมืองซึ่งละเมิดหลักความเป็นผู้นำร่วมกันของพรรค" ในระหว่างงานซึ่งมีผู้อาวุโส กรมการเมือง สำนักเลขาธิการ และคณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลางเข้าร่วม พันธมิตรต่างทอดทิ้งเขาไปยกเว้นสี จ้งซฺวิน เพื่อนสนิทของเขา ที่ลุกขึ้นปกป้องเขาและโจมตีทุกคนสำหรับการปฏิบัติต่อหู หูต้องห้ามไม่ให้สีอารมณ์เสียโดยบอกกับเขาว่า "อย่ากังวลไปเลยจ้งซฺวิน ฉันจัดการได้"[27] นับแต่นั้น หูก็เริ่มเก็บตัวและมีส่วนร่วมทางการเมืองจีนน้อยลง โดยศึกษาประวัติศาสตร์การปฏิวัติและฝึกอักษรวิจิตรในเวลาว่าง หรือเดินออกกำลังกายนาน ๆ[7] โดยทั่วไปแล้วหูถูกมองว่าไม่มีอำนาจที่แท้จริงหลังการลาออกของเขา และเขาถูกลดตำแหน่งให้เหลือเพียงบทบาททางพิธีการเท่านั้น[ต้องการอ้างอิง]
"การลาออก" ของหูส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของพรรคคอมมิวนิสต์จีนขณะที่ความน่าเชื่อถือของหูเองก็ดีขึ้นด้วย ในหมู่ปัญญาชนชาวจีน หูกลายเป็นตัวอย่างของคนที่ปฏิเสธการประนีประนอมความเชื่อมั่นของตนเมื่อเผชิญกับการต่อต้านทางการเมือง และต้องจ่ายราคาเป็นผล การเลื่อนตำแหน่งของหลี่ เผิง ผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังจากหูลาออกจากตำแหน่งฝ่ายบริหารทำให้รัฐบาลมีความกระตือรือร้นในการปฏิรูปน้อยลง และทำลายแผนการสืบทอดอำนาจอย่างเป็นระเบียบจากเติ้ง เสี่ยวผิงไปยังนักการเมืองคนใดก็ตามที่คล้ายกับหู[22]
เสียชีวิต การประท้วง และการฝังศพ
แก้การเสียชีวิตและปฏิกิริยาของประชาชน
แก้ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1987 หูยังคงเป็นสมาชิกในคณะกรรมาธิการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคครั้งที่ 13 และต่อมาได้รับเลือกเป็นสมาชิกกรใการเมืองชุดใหม่โดยการประชุมเต็มคณะครั้งแรกของคณะกรรมาธิการกลาง วันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1989 หูเกิดอาการหัวใจวายขณะเข้าร่วมการประชุมกรมการเมืองในจงหนานไห่เพื่อหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา หูถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน พร้อมด้วยภรรยาของเขา หูเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมาในที่ 15 เมษายน ขณะมีอายุ 73 ปี คำกล่าวสุดท้ายของหูคือเขาควรได้รับการฝังอย่างเรียบง่ายโดยไม่ต้องฟุ่มเฟือยในบ้านเกิดของเขา[28] ในคำไว้อาลัยอย่างเป็นทางการของเขา หูได้รับการอธิบายว่าเป็น "นักรบคอมมิวนิสต์ผู้มุ่งมั่นและผ่านการทดสอบมายาวนาน นักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพที่ยิ่งใหญ่และนักการเมือง และผู้นำทางการเมืองที่โดดเด่นของกองทัพจีน"[13] นักข่าวตะวันตกสังเกตว่าคำไว้อาลัยของหูนั้นจงใจ "ส่องแสง" เพื่อเบี่ยงเบนความสงสัยที่ว่าพรรคได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ดี[22] ในพิธีรำลึก หลี่ จ้าว ภรรยาม่ายของหู โทษการตายของหูว่าเป็นเพราะพรรคปฏิบัติต่อเขาอย่างรุนแรง โดยกล่าวกับเติ้ง เสี่ยวผิงว่า "ทั้งหมดเป็นเพราะพวกคุณ!"[29]
แม้เขาจะกึ่งเกษียณอายุไปแล้วเมื่อเสียชีวิต และถูกปลดจากตำแหน่งที่มีอำนาจแท้จริงเนื่องจาก "ความผิดพลาด" ของเขา แต่แรงกดดันจากสาธารณชนก็บังคับให้รัฐบาลจีนจัดพิธีศพให้แก่เขา โดยมีผู้นำพรรคเข้าร่วมด้วย คำไว้อาลัยในพิธีศพของหูยกย่องการทำงานของเขาในการฟื้นฟูภาวะปกติทางการเมืองและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจหลังการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[30] ผู้ร่วมแสดงความอาลัยต่อสาธารณชนที่พิธีศพของหูยืนเรียงแถวกันเป็นระยะทาง 16 กิโลเมตร (10 ไมล์) ถือเป็นปฏิกิริยาที่สร้างความประหลาดใจแก่ผู้นำจีน ไม่นานหลังพิธีศพของฮู นักศึกษาในปักกิ่งเริ่มยื่นคำร้องต่อรัฐบาลเพื่อขอให้พลิกคำตัดสินที่นำไปสู่การ "ลาออก" ของหูอย่างเป็นทางการ และให้จัดพิธีศพสาธารณะที่มีรายละเอียดมากขึ้น ต่อมารัฐบาลได้จัดพิธีรำลึกถึงหูอย่างเปิดเผย ณ มหาศาลาประชาชน[28]
วันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1989 นักศึกษา 50,000 คนเดินขบวนไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อเข้าร่วมพิธีรำลึกถึงหู และเพื่อส่งจดหมายร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง[31] หลายคนไม่พอใจกับการตอบสนองที่ล่าช้าของพรรคและการจัดพิธีศพที่ค่อนข้างเรียบง่าย การไว้อาลัยของสาธารณชนเริ่มขึ้นบนท้องถนนในปักกิ่งและที่อื่น ๆ ในปักกิ่ง เรื่องนี้มุ่งเน้นไปที่อนุสาวรีย์วีรชนในจัตุรัสเทียนอันเหมิน การไว้อาลัยกลายมาเป็นช่องทางสาธารณะในการแสดงออกถึงความโกรธแค้นต่อการรับรู้ถึงระบบอุปถัมภ์ในรัฐบาล การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของหู และบทบาทเบื้องหลังของ "ชายชรา" ผู้นำที่เกษียณอายุอย่างเป็นทางการแต่ยังคงรักษาอำนาจกึ่งกฎหมาย เช่น เติ้ง เสี่ยวผิง[30] ท้ายที่สุด การประท้วงก็ทวีความรุนแรงกลายเป็นการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ส่งผลให้จ้าว จื่อหยาง ผู้มีแนวคิดเสรีนิยมถูกปลดจากอำนาจ และเจียง เจ๋อหมินขึ้นสู่อำนาจกลายเป็นผู้นำสูงสุดคนใหม่แทน การส่งเสริมแนวคิดเรื่องเสรีภาพในการพูดและการสื่อสารของหูมีอิทธิพลต่อนักศึกษาที่เข้าร่วมการประท้วงเป็นอย่างมาก
หลุมศพ
แก้หลังเสร็จพิธีศพของหู ร่างของเขาถูกฌาปนกิจ และเถ้ากระดูกของเขาถูกฝังที่ปาเป่าชาน หลี่ จ้าว ภรรยาของหู ไม่พอใจกับที่ตั้งหลุมศพของฮู จึงยื่นคำร้องต่อรัฐบาลเพื่อย้ายเถ้ากระดูกของหูไปยังที่ที่เหมาะสมกว่าได้สำเร็จ ในที่สุดเถ้ากระดูกของฮูก็ถูกย้ายไปยังสุสานขนาดใหญ่ในก้งชิงเฉิง (เมืองระดับอำเภอภายใต้เขตอำนาจของจิ่วเจียง) ซึ่งเป็นเมืองที่หูช่วยก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1955 สุสานของหูอาจถือได้ว่าเป็นสุสานที่น่าประทับใจที่สุดของผู้นำอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[32]
หลี่ จ้าวเรี่ยไรเงินสำหรับการก่อสร้างสุสานของหูจากทั้งแหล่งส่วนตัวและสาธารณะ และด้วยความช่วยเหลือจากลูกชายของเธอ พวกเขาก็เลือกสถานที่ที่เหมาะสมในก้งชิงเฉิง สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นเป็นรูปพีระมิด บนยอดเขา วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1990 เถ้ากระดูกของฮูถูกส่งไปยังก้งชิงเฉิง โดยมีหู เต๋อผิง ลูกชายของเขา เป็นผู้แบก พิธีดังกล่าวมีเวิน เจียเป่า เจ้าหน้าที่รัฐมณฑลเจียงซีจำนวนมาก และสมาชิกสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ 2,000 คนเข้าร่วม โรงงานและโรงเรียนในก้งชิงเฉิงปิดทำการตลอดทั้งวัน ทำให้ประชาชนในพื้นที่กว่า 7,000 คนสามารถเข้าร่วมงานได้ ในพิธีนี้ หลี่ จ้าวได้กล่าวสุนทรพจน์แสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลและประชาชนที่เข้าร่วมงาน[33]
การตรวจพิจารณาและการฟื้นฟูอย่างเป็นทางการ
แก้การตรวจพิจารณาสื่อ
แก้การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 สิ้นสุดลงด้วยการปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรงในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1989 โดยมีพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก เนื่องจากการประท้วงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการเสียชีวิตของหู เย่าปัง รัฐบาลจึงตัดสินใจว่าการอภิปรายสาธารณะเกี่ยวกับหูและมรดกของเขาอาจทำให้จีนไม่มั่นคงได้ เพราะจะมีการถกเถียงกันใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับการปฏิรูปทางการเมืองที่หูสนับสนุน เนื่องจากประชาชนมีความเกี่ยวข้องกับหูและการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ชื่อของหู เย่าปังจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามในจีนแผ่นดินใหญ่ และรัฐบาลจีนก็ระมัดระวังการกล่าวถึงเขาในสื่อ[34] ตัวอย่างหนึ่งของการตรวจพิจารณาของรัฐบาลคือสื่อสิ่งพิมพ์ที่รำลึกถึงวันครบรอบการเสียชีวิตของเขาใน ค.ศ. 1994 ถูกถอนออกจากการตีพิมพ์
การฟื้นฟูชื่อเสียงอย่างเป็นทางการ
แก้หู จิ่นเทาประกาศแผนการฟื้นฟูชื่อเสียงหู เย่าปังในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 โดยจัดงานขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายน วันครบรอบ 90 ปีวันเกิดของเขา งานดังกล่าวถูกวางแผนให้จัดขึ้นในปักกิ่ง เมืองที่หูเสียชีวิต, หูหนาน สถานที่เกิดของหู และจิ่วเจียง เมืองที่หูถูกฝัง ผู้สังเกตการณ์ชาวตะวันตกตั้งข้อสังเกตว่าการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูหู เย่าปังอาจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทางการเมืองที่กว้างขวางขึ้นของหู จิ่นเทาในการได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานที่มีแนวคิดปฏิรูป ซึ่งเคารพหู เย่าปังมาโดยตลอด[34]
นักวิเคราะห์การเมืองบางคนโต้แย้งว่าการบริหารของหู จิ่นเทาต้องการมีความเกี่ยวข้องกับหู เย่าปัง ทั้งคู่ (ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกัน) ขึ้นสู่อำนาจผ่านทางสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ และได้รับการอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของ "กลุ่มสันนิบาตเยาวชน" เดียวกัน การสนับสนุนของหู เย่าปังมีส่วนรับผิดชอบต่อการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วของหู จิ่นเทาในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980[35]
ผู้สังเกตการณ์บางรายตั้งข้อสังเกตว่า การฟื้นฟูของหู เย่าปังทำให้มีแนวโน้มมากขึ้นที่พรรคจะเต็มใจประเมินการประท้วงเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 อีกครั้ง แต่ผู้สังเกตการณ์รายอื่นแสดงความไม่มั่นใจ พิธีรำลึกที่มีจุดประสงค์เพื่อรำลึกถึงวันเกิดหรือวันเสียชีวิตของใครบางคนมักเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มทางการเมืองภายในจีน โดยบางแห่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของการปฏิรูปเพิ่มเติม ผู้คลางแคลงใจสังเกตว่า หู จิ่นเทาออกแถลงการณ์ชื่นชมรัฐบาลคิวบาและเกาหลีเหนือ (แม้รัฐบาลของพวกเขาจะมี "ข้อบกพร่องทางเศรษฐกิจ" ก็ตาม) ไม่นานหลังจากประกาศพิธีรำลึกหู เย่าปังต่อสาธารณะ โดยนัยว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่พรรคจะดำเนินแผนปฏิรูปการเมืองครั้งสำคัญในอนาคตอันใกล้[34]
วันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 พรรคคอมมิวนิสต์ได้จัดงานเฉลิมฉลองวันครบรอบ 90 ปีวันเกิดของหู เย่าปังอย่างเป็นทางการโดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่มหาศาลาประชาชน (มีการเปลี่ยนแปลงวันจัดงานเป็น 2 วันก่อนวันกำหนดอย่างเป็นทางการ) มีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 350 คน รวมถึงนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า รองประธานาธืบดีเจิ้ง ชิ่งหง เจ้าหน้าที่พรรค คนดัง และสมาชิกในครอบครัวของหู เย่าปังอีกจำนวนมาก[36] มีข่าวลือว่าหู จิ่นเทาต้องการเข้าร่วม แต่ถูกขัดขวางโดยสมาชิกอาวุโสคนอื่น ๆ ของพรรคที่ยังคงไม่ชอบหู เย่าปัง เวินไม่ได้รับโอกาสที่จะพูด และเจิ้ง ชิ่งหงเป็นสมาชิกพรรคที่มีอาวุโสที่สุดที่ได้พูด[15] ในสุนทรพจน์ของเขา เจิ้งกล่าวว่าสมาชิกควรเรียนรู้จากคุณธรรมของหู โดยเฉพาะความตรงไปตรงมาและความห่วงใยแท้จริงที่เขามีต่อชาวจีน เจิ้งกล่าวว่าหู "อุทิศชีวิตทั้งหมดของเขาและสร้างคุณธรรมอันเป็นอมตะเพื่อการปลดปล่อยและความสุขของประชาชนจีน ... ความสำเร็จทางประวัติศาสตร์และคุณธรรมของเขาจะถูกจดจำโดยพรรคและประชาชนของเราตลอดไป"[36]
ในสื่อหลังปี ค.ศ. 2005
แก้ชีวประวัติอย่างเป็นทางการสามเล่มและผลงานเขียนของหูมีกำหนดเผยแพร่ในประเทศจีน โครงการนี้เริ่มต้นโดยกลุ่มผู้ช่วยเก่าของหู นำโดยจาง ลี่ฉฺวิน (เสียชีวิตใน ค.ศ. 2003) หลังรัฐบาลทราบเรื่องก็ยืนกรานที่จะเข้าควบคุมโครงการดังกล่าว ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งที่หน่วยงานตรวจพิจารณาของรัฐบาลระบุก็คือความกังวลว่ารายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหูกับเติ้ง เสี่ยวผิง (โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับการที่หูถูกปลดจากอำนาจหลังต่อต้านคำสั่งปราบปรามนักศึกษาที่ออกมาประท้วงใน ค.ศ. 1987) จะสะท้อนถึงมรดกของเติ้งในทางลบ ต่อมาผู้เขียนชีวประวัติของหูปฏิเสธข้อเสนอจากรัฐบาลในการเผยแพร่หนังสือเวอร์ชันที่มีการตรวจพิจารณา[34] ท้ายที่สุด ชีวประวัติที่เขียนโดยอดีตผู้ช่วยของหูได้รับการตีพิมพ์เพียงหนึ่งเล่มเท่านั้น (ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงจุดสิ้นสุดของการปฏิวัติวัฒนธรรม) ส่วนอีกสองเล่มยังคงเป็นของรัฐบาลและไม่ได้รับการตีพิมพ์[ต้องการอ้างอิง] แม้นิตยสารที่ตีพิมพ์บทความรำลึกจะถูกระงับการจำหน่ายในช่วงแรก แต่การห้ามดังกล่าวก็ถูกการยกเลิกใน ค.ศ. 2005 และนิตยสารเหล่านี้ เหยียนหฺวางชุนชิว นิตยสารที่มุ่งเน้นการปฏิรูป ได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์บทความชุดหนึ่งใน ค.ศ. 2005 เพื่อรำลึกถึงวันเกิดของหู เย่าปัง แต่รัฐบาลได้จำกัดจำนวนการเผยแพร่นิตยสารดังกล่าว ฉบับรำลึกถึงหูจำหน่ายได้ 50,000 เล่ม แต่อีก 5,000 เล่มที่เหลือถูกเจ้าหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อทำลายทิ้ง[37] นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาเสียชีวิตที่ชื่อของหูปรากฏต่อสาธารณะ[ต้องการอ้างอิง]
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2010 (ครบรอบ 21 ปีการเสียชีวิตของหู) นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ เหรินหมินรื่อเป้า ในหัวข้อ "นึกถึงหู เย่าปังเมื่อกลับสู่ซิงอี้"[38] นำเสนอในรูปแบบเรียงความ โดยรำลึกถึงการสำรวจชีวิตของคนธรรมดาโดยหู เย่าปังและเวิน เจียเป่าในอำเภอซิงอี้ กุ้ยโจว เมื่อ ค.ศ. 1986 เวิน ซึ่งทำงานร่วมกับหูตั้งแต่ ค.ศ. 1985 ถึง 1987 ชื่นชม "รูปแบบการทำงานอันยอดเยี่ยมของหูที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อความทุกข์ทรมานของมวลชน" และ "คุณธรรมอันสูงส่งและความเปิดกว้าง [ในด้านบุคลิกภาพ]" ของเขา เรียงความของเวินได้รับการตอบรับอย่างกระตือรือร้นในเว็บไซต์ภาษาจีน โดยมีผู้ตอบกลับมากกว่า 20,000 รายบนเว็บไซต์ Sina.com ในวันเดียวกับที่บทความดังกล่าวเผยแพร่[39] ผู้สังเกตการณ์ที่คุ้นเคยกับระบบการเมืองจีนตีความบทความนี้ว่าเป็นการยืนยันของเวินว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของหู ไม่ใช่จ้าว จื่อหยาง[15]
วันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ครบรอบ 100 ปีวันเกิดของหู เย่าปัง สี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สีจิ้นผิง ได้จัดพิธีรำลึกอันทรงเกียรติถึงหู เย่าปังในปักกิ่ง ตรงกันข้ามกับงานที่ผู้นำคนก่อนเคยจัดไว้เมื่อสิบปีก่อน งานฉลองครบรอบ 100 ปีนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดยมีสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองเข้าร่วมทุกคน สียกย่องหูด้วยความสำเร็จต่าง ๆ ของเขา และกล่าวว่าหู "อุทิศชีวิตเพื่อพรรคและประชาชน เขาใช้ชีวิตอย่างรุ่งโรจน์ ใช้ชีวิตอย่างดิ้นรน... ผลงานของเขาจะเปล่งประกายในประวัติศาสตร์ "[40] หูปรากฏตัวเป็นตัวละครในละครประวัติศาสตร์ปี ค.ศ. 2015 เรื่อง Deng Xiaoping at History's Crossroads[ต้องการอ้างอิง]
รางวัลและเกียรติยศ
แก้- เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย ชั้นที่ 1 (โรมาเนีย ค.ศ.1985)[41]
อ้างอิง
แก้- ↑ Gladney 25
- ↑ 回忆父亲胡耀邦(十) (ภาษาจีนตัวย่อ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 มกราคม 2016. สืบค้นเมื่อ 23 กรกฎาคม 2015.
- ↑ Lee 308
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Hammond, Ken (2023). China's Revolution and the Quest for a Socialist Future. New York, NY: 1804 Books. ISBN 9781736850084.
- ↑ 5.0 5.1 Kristof 2
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5 6.6 Encyclopædia Britannica.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 Kristof 3
- ↑ "Hu Yaobang | Chinese political leader | Britannica". 14 มีนาคม 2024.
- ↑ Lee 310
- ↑ Lee 310–311
- ↑ 11.0 11.1 11.2 DeMare, Brian James (2019). Land wars : the story of China's agrarian revolution. Stanford, California: Stanford University Press. p. 118. ISBN 978-1-5036-0849-8. OCLC 1048940018.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 Lee 311
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 People's Daily
- ↑ Forney
- ↑ 15.0 15.1 15.2 Wu
- ↑ 16.0 16.1 16.2 Becker
- ↑ The Australian
- ↑ Lampton, David M. (2024). Living U.S.-China Relations: From Cold War to Cold War. Lanham, MD: Rowman & Littlefield. ISBN 978-1-5381-8725-8.
- ↑ 19.0 19.1 Bass 52
- ↑ Bass 51–52
- ↑ 21.0 21.1 Lee 312
- ↑ 22.0 22.1 22.2 Kristof 1
- ↑ Lee 311–312
- ↑ 24.0 24.1 Lee 313–314
- ↑ 25.0 25.1 Lee 314
- ↑ Béja, Jean-Philippe; Goldman, Merle (1 มิถุนายน 2009). "The Impact of the June 4th Massacre on the pro-Democracy Movement". China Perspectives. 2009 (2): 18–28. doi:10.4000/chinaperspectives.4801. ISSN 2070-3449. S2CID 142896365.
- ↑ Suettinger, Robert (ธันวาคม 2021). "Hu Yaobang is Seen as 'More of a Reformer Than Deng Xiaoping,' Says Hu Biographer". Radio Free Asia. สืบค้นเมื่อ 1 มีนาคม 2021.
- ↑ 28.0 28.1 Lee 315
- ↑ Vogel 586
- ↑ 30.0 30.1 Brook 26–27
- ↑ Tilly 74
- ↑ Lee 310, 314
- ↑ Lee 309
- ↑ 34.0 34.1 34.2 34.3 Pan
- ↑ Nathan & Gilley 80
- ↑ 36.0 36.1 Xinhua
- ↑ Fan 1
- ↑ Wen
- ↑ Lam
- ↑ 习近平纪念胡耀邦诞辰100周年讲话(全文). Duowei (ภาษาจีนตัวย่อ). 20 พฤศจิกายน 2015.
- ↑ 罗马尼亚授予胡耀邦勋章. People's Daily. 1985-11-22: 1.