ยุคโจมง (ญี่ปุ่น: 縄文時代โรมาจิJōmon-jidai) หมายถึงคาบเวลาในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ประมาณ 14,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชถึง 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช

นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า เมื่อประมาณ 40,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ระหว่างหมู่เกาะญี่ปุ่นกับแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียยังคงเชื่อมต่อกันด้วยแผ่นน้ำแข็ง โดยอาศัยหลักฐานทางโบราณคดี นักวิชาการสันนิษฐานว่ามนุษย์ Homo sapiens ได้อพยพจากทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียมาอาศัยบนหมู่เกาะญี่ปุ่นในช่วง 35,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และดำรงชีวิตแบบนักล่า-เก็บของป่าและใช้เครื่องมือหิน นักโบราณคดีได้ค้นพบเครื่องมือหิน ที่อยู่อาศัย และซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ในยุคนั้นทั่วหมู่เกาะญี่ปุ่น นอกจากนี้ การศึกษาใน พ.ศ. 2531 ยังชี้ว่าชาวญี่ปุ่นมีพื้นฐานทางพันธุกรรมร่วมกับชาวเอเชียตะวันออก

คำว่า โจมง ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ลายเชือก ซึ่งสื่อถึงลวดลายบนภาชนะหรือตุ๊กตาดินเผาในยุคนั้นซึ่งทำโดยใช้เชือกพันรอบกิ่งไม้แล้วกดทาบลงบนวัสดุ

ยุคโจมงตั้งเค้าและโจมงเริ่มแรก (10,000 – 4,000 ก่อน ค.ศ.) แก้

รูปแบบการดำรงชีวิตของมนุษย์ที่เริ่มมีรูปแบบคงที่นั้น เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชถึงยุคหินกลาง หากแต่นักวิชาการบางคนเสนอว่าเป็นยุคหินใหม่ที่มีคุณลักษณะบางอย่างของทั้งยุคหินกลางและหินใหม่ ในยุคดังกล่าวนี้ สมาชิกของวัฒนธรรมโจมงซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม และเป็นไปได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวไอนุในญี่ปุ่นปัจจุบัน ได้ทิ้งร่องรอยทางโบราณคดีไว้อย่างชัดเจนที่สุด วัฒนธรรมโจมงนี้อาจนับได้อย่างคร่าว ๆ ว่าอยู่ร่วมสมัยกับอารยธรรมในเมโสโปเตเมีย ลุ่มแม่น้ำไนล์ และลุ่มแม่น้ำสินธุ

เครื่องดินเผายุคแรก แก้

 
เครื่องปั้นดินเผายุคโจมง ราว 10,000 - 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โตเกียว

โดยอาศัยหลักฐานทางโบราณคดี ชาวโจมงอาจเป็นคนพวกแรกในโลกที่ทำภาชนะดินเผาขึ้นเมื่อสหัสวรรษที่ 11 ก่อนคริสต์ศักราช อีกทั้งยังเป็นพวกแรกที่ทำเครื่องมือหินอีกด้วย ความเก่าแก่ของเครื่องดินเผาเหล่านี้ได้รับการระบุภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยวิธีการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี อย่างไรก็ตาม นักวิชาการชาวญี่ปุ่นบางคนเชื่อว่าการผลิตเครื่องดินเผาน่าจะเกิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่ก่อน เนื่องจากแหล่งเครื่องดินเผาในบริเวณซึ่งอยู่ในประเทศจีนและรัสเซียปัจจุบันนั้นได้ผลิตเครื่องดินเผาซึ่ง "อาจจะเก่าพอ ๆ กับเครื่องดินเผาถ้ำฟุกุอิ แม้จะไม่เก่ากว่าก็ตาม" ชาวโจมงได้ปั้นตุ๊กตาและภาชนะจากดินเหนียวและทำลวดลายอย่างซับซ้อนด้วยการกดดินที่ยังหมาดอยู่ด้วยเชือกทั้งแบบที่ฟั่นเป็นเกลียวและไม่ฟั่น และกิ่งไม้

รูปแบบของยุคหินใหม่ แก้

โดยทั่วไป การผลิตเครื่องดินเผาสามารถบอกเป็นนัยได้ถึงรูปแบบการดำรงชีวิตแบบอยู่ติดที่ ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเครื่องดินเผานั้นแตกหักได้ง่ายและย่อมไม่มีประโยชน์กับผู้ดำรงชีวิตแบบหาของป่า-ล่าสัตว์ซึ่งต้องย้ายถิ่นฐานอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ ชาวโจมงจึงน่าจะเป็นคนพวกแรกในโลกที่ดำรงชีวิตแบบอยู่ติดที่ หรืออย่างน้อยก็เป็นแบบกึ่งติดที่ ชาวโจมงใช้เครื่องมือหินทั้งแบบที่ขึ้นรูปด้วยการสกัดและการบด และใช้ธนู อีกทั้งยังน่าจะชำนาญในการหาของป่า-ล่าสัตว์และการประมงทั้งชายฝั่งและน้ำลึก ชาวโจมงได้เริ่มทำการเกษตรขั้นตั้นและอาศัยในถ้ำ ซึ่งภายหลังได้ย้ายมาอาศัยในหลุมขุดตื้น ๆ และบ้านที่สร้างขึ้นบนพื้นดิน ร่องรอยที่เหลือของที่อาศัยเหล่านี้เป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาทางโบราณคดีในภายหลัง ร่องรอยเหล่านี้เองเป็นเหตุให้นักวิชาการส่วนหนึ่งยกให้ญี่ปุ่นเป็นแหล่งที่เริ่มต้นทำการเกษตรเป็นที่แรกในโลกเมื่อ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก่อนที่เกษตรกรรมจะแพร่หลายในตะวันออกกลางถึงสองพันปี อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางโบราณคดีบางอย่างชี้ว่าการทดลองทำการเกษตรบนเนินเขาและในหุบเขาต่าง ๆ ของเขตพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ในบริเวณที่ปัจจุบันเป็นประเทศซีเรีย จอร์แดน ตุรกี และอิรักนั้น มีมาแล้วตั้งแต่ประมาณ 11,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช

การขยายตัวของประชากร แก้

วัฒนธรรมแบบกึ่งอยู่ติดที่นี้ได้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างสำคัญ จนกระทั่งมีหลักฐานว่าวัฒนธรรมโจมงมีความหนาแน่นประชากรสูงที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดากลุ่มประชากรที่ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ การศึกษาแผนที่ทางพันธุกรรมโดยลุยจี ลูกา กาวัลลี-สฟอร์ซา ได้แสดงให้เห็นรูปแบบของการขยายตัวทางพันธุกรรมจากพื้นที่ในทะเลญี่ปุ่นไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออก การขยายตัวครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับสามของเอเชียตะวันออก (รองจาก "การขยายตัวครั้งใหญ่" จากทวีปแอฟริกา และการขยายตัวครั้งที่สองจากตอนเหนือของไซบีเรีย) ซึ่งสื่อถึงการขยายตัวทางภูมิศาสตร์ในยุคโจมงตอนต้น การศึกษาเหล่านี้ยังชี้ว่าการขยายตัวของกลุ่มประชากรชาวโจมงครั้งนี้อาจแผ่ไปจนถึงทวีปอเมริกาผ่านเส้นทางเลียบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก

ยุคหลัก ๆ แก้

ยุคโจมงตั้งเค้า (10,000 - 7,500 ก.ค.ศ.) :

  • ลายปั้นแปะ
  • ลายเล็บกด
  • ลายเชือกทาบ
  • มุโระยะล่าง

ยุคโจมงเริ่มแรก (7,500 - 4,000 ก.ค.ศ.) :

  • อิงุซะ
  • อินะริดะอิ
  • มิโตะ
  • ทะโดะล่าง
  • ทะโดะบน
  • ชิโบะงุชิ
  • คะยะมะ

ยุคโจมงตอนต้นถึงท้ายสุด (4,000 – 400 ก.ค.ศ.) แก้

 
โดะงู ที่พบในจังหวัดมิยะงิ

ยุคโจมงตอนต้นและตอนกลางนั้นมีการขยายตัวของประชากรอย่างมาก ซึ่งเห็นได้จากปริมาณของหลักฐานที่ขุดพบได้จากสองยุคนี้ ทั้งสองยุคดังกล่าวสอดคล้องกับกับช่วงภูมิอากาศร้อนสุดในยุคโฮโลซีน (ระหว่าง 4,000 ถึง 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยขึ้นสูงกว่าปัจจุบันหลายองศาเซลเซียส และระดับน้ำทะเลสูงกว่าปัจจุบันประมาณ 5 ถึง 6 เมตร งานศิลปะที่งดงามเช่นภาชนะดินเผารูปเปลวไฟซึ่งประดับประดาอย่างซับซ้อนนั้นเกิดขึ้นในยุคนี้ หลังจาก 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ภูมิอากาศเริ่มเย็นลง และประชากรเริ่มหดตัวลงอย่างมาก การค้นพบแหล่งทางโบราณคดีหลัง 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราชมีจำนวนน้อยลง

เมื่อถึงช่วงท้ายของยุคโจมง ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญเกิดขึ้นในแง่โบราณคดี โดยการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวได้พัฒนาจากแบบเริ่มต้นมาเป็นนาข้าวแบบซับซ้อนและเกิดระบบการปกครองขึ้น องค์ประกอบอื่น ๆ หลายอย่างของวัฒนธรรมญี่ปุ่นอาจนับย้อนไปได้ถึงยุคนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงการอพยพเข้ามาผสมปนเปกันของชาวแผ่นดินใหญ่จากเอเชียตอนเหนือและชาวแปซิฟิกตอนใต้ องค์ประกอบเหล่านั้นมีทั้งเทพปกรณัมชินโต ประเพณีการแต่งงาน ลีลาทางสถาปัตยกรรม และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น ภาชนะเคลือบเงา สิ่งทอ คันธนูที่ทำโดยการอัดไม้ต่างชนิดเข้าด้วยกัน งานโลหะ และงานแก้ว

ยุคหลัก ๆ แก้

ยุคโจมงตอนต้น (4,000 - 3,000 ก.ค.ศ.) :

  • ฮะนะซุมิล่าง
  • เซะกิยะมะ
  • คุโระฮะมะ
  • โมะโระอิโซะ เอ, บี, ซี
  • จูซันโบะดะอิ

ยุคโจมงตอนกลาง (3,000 - 2,000 ก.ค.ศ.) :

  • คะสึซะกะ/โอะตะมะดะอิ
  • คะโซะริ อี 1
  • คะโซะริ อี 2

ยุคโจมงตอนปลาย (2,000 - 1,000 ก.ค.ศ.) :

  • โชะเมียวจิ
  • โฮะริโนะอุจิ
  • คะโซะริ บี 1
  • คะโซะริ บี 2
  • อังเงียว 1

ยุคโจมงท้ายสุด (1,000 - 400 ก.ค.ศ.) :

  • อังเงียว 2
  • อังเงียว 3

อ้างอิง แก้