ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง
ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง หรือ ศรีกรุงภาพยนตร์ เป็นอดีตบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายภาพยนตร์ไทย ที่มีผลงานระหว่างปี พ.ศ. 2475-2485 มีผู้ก่อตั้งคือพี่น้องสกุลวสุวัต นำโดย มานิต วสุวัต เป็นกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทสำคัญต่อวงการภาพยนตร์ไทย และเป็นผู้นำความคิดริเริ่มใหม่และนวัตกรรมหลาย ๆ ด้านในยุคบุกเบิกของวงการภาพยนตร์ไทย โดยมีตราสัญลักษณ์ประจำบริษัทเป็นพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม
ประเภท | บริษัทจำกัด |
---|---|
อุตสาหกรรม | ภาพยนตร์ โรงถ่ายภาพยนตร์ เพลง |
ก่อนหน้า | กรุงเทพ ภาพยนต์บริษัท |
ก่อตั้ง | พ.ศ. 2478 |
เลิกกิจการ | พ.ศ. 2485 |
ถัดไป | ศรีกรุงภาพยนตร์ |
สำนักงานใหญ่ | ทุ่งบางกะปิ ถนนอโศก จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน) |
บุคลากรหลัก |
|
ผลิตภัณฑ์ | ภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม, สื่อสิ่งพิมพ์, แผ่นเสียง |
เจ้าของ | พี่น้องสกุลวสุวัต |
พี่น้องตระกูลวสุวัต เริ่มตั้งแต่ดูแลกิจการโรงภาพยนตร์ในเครือบริษัทสยามนิรามัยในสมัยรัชกาลที่ 6 และได้สร้างภาพยนตร์ไทยเรื่องยาวสำเร็จเป็นเรื่องแรกชื่อ โชคสองชั้น ในปี พ.ศ. 2470 และต่อมาได้สร้างภาพยนตร์เสียงในฟิล์มของไทยสำเร็จเป็นรายแรก เรื่อง หลงทาง ในปี พ.ศ. 2475 รวมทั้งก่อตั้งโรงถ่ายภาพยนตร์ชื่อ ภาพยนต์เสียงศรีกรุง[a] ซึ่งนับเป็นโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงมาตรฐานสากลแห่งแรกในประเทศ ในปี พ.ศ. 2478 และดำเนินกิจการสร้างภาพยนตร์เสียงอย่างต่อเนื่องจนได้รับฉายาว่า ฮอลลีวู้ดแห่งสยาม[1] จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้กิจการหยุดชะงักลง โรงถ่ายภาพยนตร์จึงได้ปิดกิจการไปในปี พ.ศ. 2485 และเปลี่ยนรูปแบบเป็นโรงภาพยนตร์ชื่อ ศาลาศรีกรุง จัดฉายภาพยนตร์เสียงในฟิล์มที่นำเข้าจากต่างประเทศและภาพยนตร์ไทยเสียงในฟิล์มบางเรื่อง ก่อนจะเลิกกิจการไปในปี พ.ศ. 2509[2]
ปัจจุบันผลงานภาพยนตร์ของพี่น้องตระกูลวสุวัตเกือบ 20 เรื่อง ได้สูญหายไปเกือบหมดสิ้น มีเพียงภาพยนตร์เรื่อง โชคสองชั้น และ เลือดชาวนา ที่หลงเหลืออยู่ในสภาพของเศษฟิล์ม ซึ่งหอภาพยนตร์ได้อนุรักษ์ไว้[3][4]
ตราสัญลักษณ์
ตราสัญลักษณ์ประจำบริษัทของภาพยนตร์เสียงศรีกรุง เป็นภาพวาดพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร อยู่ในวงล้อมของแถบฟิล์ม ประดับด้วยชื่อ ภาพยนต์เสียงศรีกรุง Srikrung Sound Film โดยคำว่า ศรีกรุง เป็นชื่อที่นำมาจากวารสารศรีกรุง อันเป็นกิจการดั้งเดิมของตระกูลวสุวัตที่ดำเนินมาตั้งแต่ พ.ศ. 2456 ก่อนจะนำมาตั้งเป็นชื่อโรงพิมพ์ศรีกรุง และกิจการภาพยนตร์ในเวลาต่อมา[2]
ประวัติ
พี่น้องตระกูลวสุวัต (พ.ศ. 2465 - 2469)
พี่น้องตระกูลวสุวัต ได้แก่ มานิต วสุวัต, หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต), กระเศียร วสุวัต และกระแส วสุวัต เป็นบุตรของพระยาสุนทรพิมล (เผล่ วสุวัต) และคุณหญิงทิม วสุวัต พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่สนใจและคิดค้นทดลองเล่นในเรื่องการประดิษฐ์ การช่างเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไก และการถ่ายรูปมาตั้งแต่เยาว์วัย ต่อมาตระกูลวสุวัตได้ทำกิจการโรงพิมพ์และเป็นเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ศรีกรุงและสยามราษฎร์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น[5]
ในปี พ.ศ. 2465 โรงภาพยนตร์ในเครือบริษัทสยามนิรามัย ก่อตั้งโดยราชสำนัก จากการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนให้นักธุรกิจคนไทยจัดตั้งกิจการโรงภาพยนตร์ และดำเนินกิจการโดยพี่น้องตระกูลวสุวัต[6] ต่อมาได้มีการเริ่มฉายภาพยนตร์ขึ้นโดยตั้งชื่อคณะในนาม ศรีกรุง โดยมี มานิต, หลวงกลการเจนจิต, กระเศียร และกระแส เป็นผู้ร่วมคณะ[7]
ขณะที่พี่น้องตระกูลวสุวัตยังเป็นผู้ดูแลกิจการโรงภาพยนตร์ เกิดน้ำท่วมเมืองซัวเถา ประเทศจีน อันเป็นข่าวใหญ่สำหรับชาวจีนในเมืองไทยขณะนั้น พี่น้องวสุวัตได้รับพระราชทานภาพถ่ายเหตุการณ์นี้จากในหลวงรัชกาลที่ 6 เพื่อนำมาลงข่าวหนังสือพิมพ์ แต่ด้วยความสนใจในการทำภาพยนตร์ พี่น้องวสุวัตจึงได้ไปติดต่อขอซื้อกล้องถ่ายภาพยนตร์ที่กรมหลวงสรรพสาตรเคยใช้มาดัดแปลงจนใช้การได้[5] และได้ฟิล์มจากพระสัทธาพงศ์ (ต่วย) เจ้าของโรงหนังปีระกา เพราะในขณะนั้นยังไม่มีฟิล์มจำหน่ายในประเทศ
คณะศรีกรุงจึงได้ทดลองถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรก คือเรื่อง น้ำท่วมเมืองซัวเถา เป็นการนำชุดภาพถ่ายข่าวน้ำท่วมที่เมืองซัวเถามาถ่ายทำจัดฉากให้ดูเหมือนเป็นหนังข่าว เช่น เอากิ่งไม้มาเป็นฉากหน้าของภาพ เป่าลมให้สั่นไหวเหมือนเกิดพายุ และนำมาจัดฉายที่โรงภาพยนตร์ของสยามนิรามัย ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวจีนที่แห่กันมาชมจนห้องขายตั๋วพัง[2] ทำให้พี่น้องวสุวัตลงมือทดลองถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเชิงข่าวสารสารคดีอีกหลายเรื่อง โดยมี หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) เป็นหัวหน้าถ่ายทำ[8][9]
ในปี พ.ศ. 2468 หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) ได้ตำแหน่งเป็นหัวหน้าช่างถ่ายภาพและภาพยนตร์ของกองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าว กรมรถไฟหลวง หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่ผลิตภาพยนตร์แห่งแรกของไทย โดยได้ทำหน้าที่บันทึกเหตุการณ์สำคัญของประเทศตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 7 อย่างต่อเนื่อง เช่น พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ 6, พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 7, รัชกาลที่ 7 เสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ ฯลฯ จนชาวสยามในเวลานั้น ต่างเรียกขานหนังของกรมรถไฟจนติดปากว่า หนังหลวงกล[8][10]
เมื่อมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย โดยได้รับความเอื้อเฟื้อจากกรมรถไฟหลวง แม้แต่การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง นางสาวสุวรรณ (2466) ที่กำกับและเขียนบทโดยเฮนรี แม็กเร พี่น้องตระกูลวสุวัตก็ได้เข้าร่วมช่วยเหลือด้วย ดังนั้นจึงมีโอกาสได้เรียนรู้เทคนิควิธีการทางภาพยนตร์ และได้ทดลองใช้เครื่องมือต่างๆ ทำให้มีความรู้ความชำนาญกว่าผู้อื่น ประกอบกับความรู้ความสามารถทางการถ่ายรูปถ่ายภาพยนตร์มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว[5]
กรุงเทพภาพยนตร์บริษัท (พ.ศ. 2470 - 2473)
ในปี พ.ศ. 2470 พี่น้องตระกูลวสุวัตได้ก่อตั้งเป็นบริษัทสร้างภาพยนตร์ไทยชื่อ กรุงเทพภาพยนต์บริษัท สร้างภาพยนตร์เงียบเรื่อง โชคสองชั้น ซึ่ง โดยมี มานิต วสุวัต เป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้ประดิษฐ์ศิลป์, หลวงบุณยมานพพานิชย์ (อรุณ บุณยมานพ) เจ้าของนาม "แสงทอง" เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง, หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) เป็นผู้กำกับการแสดง, หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) เป็นผู้ถ่ายภาพ ผู้แสดงเป็นพระเอกคือ มานพ ประภารักษ์ ซึ่งคัดมาจากผู้สมัครทางหน้าหนังสือพิมพ์ ม.ล. สุดจิตร์ อิศรางกูร นางเอกละครร้องและละครรำมีชื่ออยู่ในขณะนั้น หลวงภรตกรรมโกศล ตัวโกงจากเรื่อง นางสาวสุวรรณ แสดงเป็นผู้ร้าย[11]
วิดีโอหลายคลิปจากแหล่งข้อมูลภายนอก | |
---|---|
โชคสองชั้น (๒๔๗๐) หนังไทยเรื่องแรก Chok Song Chun 1927, วิดีโอยูทูบ |
ภาพยนตร์เรื่อง โชคสองชั้น ออกฉายเป็นครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2470 ได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นับว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่มีมหาชนไปดูกันมากที่สุด และได้รับการจารึกว่าเป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย[11][12][13]
จากความสำเร็จครั้งนี้พี่น้องวสุวัตตัดสินใจสร้างภาพยนตร์อีกสองเรื่อง ได้แก่ ใครดีใครได้ (2470) และ ใครเป็นบ้า (2471) ก่อนที่กรุงเทพภาพยนตร์บริษัทได้ยุติการสร้างภาพยนตร์ลงชั่วคราวโดยหันไปทดลองค้นคว้าเกี่ยวกับภาพยนตร์เสียงซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมแทนภาพยนตร์เงียบอย่างจริงจัง[5][11]
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2472 ได้มีคณะถ่ายภาพยนตร์เสียงประเภทข่าวจากประเทศอเมริกา ชื่อ บริษัทฟอกซ์มูวีโทนนิวส์ (Fox Movietone News) เดินทางเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ข่าวเบ็ดเตล็ดในสยาม โดยในการนี้ หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) ซึ่งเป็นหัวหน้าช่างถ่ายภาพยนตร์ของกองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าว ได้เข้าไปอำนวยความสะดวกให้แก่คณะถ่ายทำกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด จึงได้ถือโอกาสดึงพี่น้องคนอื่นๆ เข้าไปเรียนรู้การถ่ายทำภาพยนตร์เสียงด้วย[14]
ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง แบบวสุวัต (พ.ศ. 2474 - 2478)
พี่น้องตระกูลวสุวัตได้ริเริ่มคิดประดิษฐ์เครื่องมือถ่ายภาพยนตร์บันทึกเสียงลงในภาพยนตร์ได้สำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2474 โดยการดัดแปลงประดิษฐ์เครื่องฉายและกล้องถ่ายภาพยนตร์ที่มีอยู่ให้กลายเป็นเครื่องฉายและกล้องถ่ายภาพยนตร์เสียงระบบเสียงในฟิล์มจนสำเร็จพอใช้การได้ แล้วลงมือสร้างภาพยนตร์ชนิด "เสียงบนฟิล์ม" และเนื่องจากพี่น้องตระกูลวสุวัตได้คิดค้นประกอบเครื่องมือขึ้นใช้เองตามวิธีของระบบฟิล์มเดียว (Single System) จึงได้เรียกว่า "แบบวสุวัต" นับเป็นผู้สร้างภาพยนตร์เสียงรายแรกที่สามารถสร้างภาพยนตร์พูดได้[5][8]
พี่น้องตระกูลวสุวัตได้ทดลองถ่ายทำภาพยนตร์เสียงขนาดสั้นและได้นำออกฉายที่โรงภาพยนตร์พัฒนากรในปีเดียวกัน มีทั้งหมด 3 ม้วน เป็นการแสดงหลายเรื่องรวมกัน เช่น จำอวด งิ้ว และดนตรีไทย โดยได้ถ่ายการเดี่ยวซอสามสายโดยพระยาภูมิเสวิน และเดี่ยวจะเข้โดยนางสนิทบรรเลงการ และถ่ายการแสดงคณะจำอวด ทิ้ง มาฬมงคล และ อบ บุญติด ซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ในเวลานั้น ได้รับความสนใจตื่นเต้นในหมู่ผู้ชมเป็นอันมาก ผลพวงจากความสำเร็จครั้งนี้ทำให้พี่น้องวสุวัตได้ลงทุนจัดตั้งกิจการสร้างภาพยนตร์ของพวกตนเป็นทางการว่า บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Srikrung Sound Film[8][14]
ก้าวต่อมาของคณะภาพยนตร์เสียงศรีกรุงคือการลงมือสร้างภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกของไทย เรื่อง หลงทาง หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Going Astray โดยในขั้นต้นได้สร้างโรงถ่ายขึ้นที่กลางสนามในลานบ้านที่สะพานขาวและเรียกกันว่า "โรงถ่ายสะพานขาว" หรือโรงโถงกลางสนามในลานบ้านวสุวัต ย่านสะพานขาวติดถนนกรุงเกษม ภายในกั้นเป็น 3 ห้องบุฝาเซ็ลโลเท็กซ์เก็บเสียงสะท้อน ใช้เป็นฉากภายในเรื่อง ได้แก่ ฉากห้องกินข้าว, ห้องนอนของพระเอก และ ห้องรับแขกใหญ่ของเพื่อนพระเอก ส่วนการถ่ายทำนอกสถานที่ก็มีปัญหาเรื่องเสียงรบกวน และการขนย้ายอุปกรณ์ต่างๆ ก็เป็นเรื่องยุ่งยากมาก[8]
โรงถ่ายสะพานขาวนี้ใช้เป็นฉากในห้องในบ้านของตัวละครเท่านั้น ทีมงานไม่สามารถหาฉากภาพยนตร์ภายนอกที่เหมาะสมจะเป็นทุ่งนาบ้านของพระเอกได้ หลังจากใช้เวลาไม่นานคณะผู้สร้างก็ค้นพบสถานที่ที่ตำบลบางกะปิ เป็นทุ่งนาผืนกว้างที่เหมาะแก่การถ่ายภาพยนตร์และเป็นสถานที่ที่เงียบสงัดห่างไกลเมือง คณะผู้สร้างจึงปักหลักถ่ายฉากภายนอกจนกระทั่งปิดกล้อง[15]
ภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกของไทย เรื่อง หลงทาง ออกฉายในช่วงวันขึ้นปีใหม่ เดือนเมษายน พ.ศ. 2475 ซึ่งพิเศษกว่าทุกปีเพราะเป็นปีที่รัฐบาลจัดงานเฉลิมฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศจะเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงมากกว่าปรกติ ภาพยนตร์เสียงเรื่อง หลงทาง จึงประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง[8][12][15]
ในปลายปี พ.ศ. 2476 คณะภาพยนตร์เสียงศรีกรุงจึงเตรียมสร้างโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงมาตรฐานแห่งแรกของประเทศ ที่ทุ่งบางกะปิ ถนนอโศก ซึ่งทีมงานซื้อที่ดินผืนใหญ่สุดถนนสายปากน้ำ (ใกล้โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย)[15]
ในระหว่างที่กำลังสร้างโรงถ่าย บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงก็ยังคงสร้างภาพยนตร์ต่ออีกหลายเรื่อง เช่นภาพยนตร์เรื่อง เลือดทหารไทย (2478) ที่ทางบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงได้รับการว่าจ้างจากกระทรวงกลาโหม ให้ถ่ายทำภาพยนตร์เผยแพร่กิจการทหารทั้งสามเหล่าทัพ โดยนำเสนอเป็นภาพยนตร์บันเทิงที่มีพระเอกนางเอก[15][16]
เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2477 เริ่มสร้างโรงถ่ายภาพยนตร์ที่ทุ่งบางกะปิ เขียนแบบและก่อสร้างโดยบริษัทคริสเตียนนีแอนด์เนียลเสน โดยสตูดิโอเป็นตึกคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคาโค้ง ติดตั้งอุปกรณ์ทันสมัย วางระเบียบตามแบบโรงถ่ายฮอลลีวู้ด มีทั้งอาคารถ่ายและบริเวณภายนอกที่จะสร้างฉากอะไรก็ได้โดยสะดวกไม่ต้องไปหาที่อื่น แบ่งเป็นแผนกพร้อมเจ้าหน้าที่ประจำแผนกอำนวยการ จนเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2478 ตั้งชื่อโรงถ่ายว่า ภาพยนต์เสียงศรีกรุง[17] เมื่อแรกเปิดโรงถ่ายได้มีการประกาศรับนักแสดงและมีผู้สนใจสมัครหญิงราว 400 คนเศษ และชาย อีก 1,000 คนเศษ โดยภาพยนตร์เรื่องแรกที่ถ่ายทำในโรงถ่ายแห่งนี้ คือ พญาน้อยชมตลาด (2478)[15]
บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง จำกัด (พ.ศ. 2478 - 2485)
ช่วงเวลาที่ถือได้ว่าเป็นยุคทองของบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2478-2482 ภาพยนตร์เสียงศรีกรุงได้ผลิตภาพยนตร์ข่าวและสารคดีราว 40-50 เรื่อง และภาพยนตร์เรื่องปีละ 3-4 เรื่อง[18] ยุคนี้จัดว่าเป็นยุคทองยุคหนึ่งของวงการหนังไทย เพราะบริษัทเสียงศรีกรุงสร้างหนังตามที่เห็นว่าเหมาะสมและยังได้พัฒนาการสร้างหนังอยู่ตลอดเวลา หนังของบริษัทนี้ได้รับการต้อนรับในทุกแห่ง และนอกจากนั้นบริษัทยังผลิตแผ่นเสียงเพลงประกอบออกจำหน่ายในชื่อ แผ่นเสียงศรีกรุง อีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทได้สร้างดาราที่มีชื่อเสียงขึ้นมากมาย และยังเป็นที่กำเนิดของดาราคู่แรก คือ จำรัส สุวคนธ์ และ มานี สุมนนัฎ[7] ทั้งคู่มาแสดงร่วมกันเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง กลัวเมีย (2479) ซึ่งเมื่อออกฉายก็ได้รับความนิยมอย่างมาก ตั้งแต่นั้นมาชื่อ "มานี-จำรัส" ได้รับการจารึกในฐานะดาราคู่ขวัญคู่แรกของวงการภาพยนตร์ไทย[19][20]
ในปี พ.ศ. 2480 บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงได้เริ่มลงมือถ่ายทำภาพยนตร์เสียงเรื่องยิ่งใหญ่ตามความตั้งใจที่มีมาตั้งแต่เริ่มต้นสร้างโรงถ่าย ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ประเภทเพลงระบำ ตั้งชื่อว่า เพลงหวานใจ ซึ่งทีมงานได้วางแผนเขียนบท แต่งเพลง ซักซ้อมการเต้นระบำและการแสดง รวมทั้งลงทุนตกแต่งฉากอย่างทันสมัยและมโหฬารทั้งในและนอกโรงถ่ายมานานหลายเดือน[21] และนับเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ไทยที่นางเอกชั้นนำใส่ชุดทูพีชชิ้นน้อยนิดซึ่งเป็นแฟชั่นใหม่ล่าสุดเข้าฉากถ่ายทำ[22] ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2480 ซึ่งประสบความสำเร็จมากอีกเช่นเคย[21] ทางบริษัทจึงนำทั้งคู่มาแสดงร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย คือเรื่อง หลอกเมีย (2480)
จากชื่อเสียงของมานี-จำรัส พวกเขาได้รับสิทธิพิเศษในการนั่งเก้าอี้พิเศษแบบฮอลลิวูดที่จะมอบแด่ผู้กำกับชั้นนำของโรงถ่าย[23][24] และพวกเขาได้กลายเป็นผู้นำการแต่งกายที่ล้ำยุคของประชาชนยุคนั้น กล่าวคือบุรุษจะหวีผมแสกกลางเรียบแปล้ ไว้หนวดเรียวริมฝีปากอย่างนักแสดงฮอลลิวูด ส่วนสตรีจะเขียนคิ้วโก่ง ไว้ผมทรงชิงเกิล ใส่เสื้อเอวจัมพ์ และสวมชุดว่ายน้ำอวดขาอ่อนตามอย่างนักแสดง[25] นับเป็นช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดในอาชีพนักแสดงของทั้งคู่
จนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงต้องยุติกิจการถ่ายทำภาพยนตร์ลงเพราะผลกระทบที่ได้รับจากภาวะสงคราม ผนวกกับมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครเมื่อปลายปี พ.ศ. 2485 พร้อมกับการเข้าสู่ยุคตกต่ำของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยทั่วประเทศ โรงถ่ายภาพยนตร์เสียงศรีกรุงได้รับความเสียหายหนัก โดยภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงศรีกรุง คือเรื่อง น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง (2485)[26][27] และได้ปิดกิจการไปในปี พ.ศ. 2485[6] มานิต วสุวัตจึงได้หันไปทุ่มเทให้กับกิจการหนังสือพิมพ์แทนจนสิ้นสุดสงคราม[5]
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และศรีกรุงภาพยนตร์ (พ.ศ. 2493 - 2515)
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงไม่กระเตื้องดีขึ้นเพราะศรีกรุงได้สูญเสียบุคคลผู้เป็นกำลังสำคัญของกิจการนี้ไปหลายคน พี่น้องวสุวัตจึงเลิกผลิตภาพยนตร์ โรงถ่ายได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นโรงงานผลิตแผ่นเสียงในนาม บริษัทแผ่นเสียงศรีกรุง จำกัด ซึ่งเป็นโรงแรกของประเทศ และปรับปรุงโรงถ่ายเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสอง ใช้ชื่อ ศาลาศรีกรุง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 จัดฉายภาพยนตร์เสียงในฟิล์มที่นำเข้าจากต่างประเทศและภาพยนตร์ไทยเสียงในฟิล์มบางเรื่อง จนกระทั่งปิดตัวลงและถูกรื้อไปในปี พ.ศ. 2509[5][28]
ในช่วงปี พ.ศ. 2493 - 2495 ภาพยนตร์เสียงศรีกรุงบางเรื่องได้ถูกนำกลับมาฉายอีกครั้งที่ศาลาเฉลิมกรุงและศาลาเฉลิมบุรี
ในช่วงปี พ.ศ. 2514 มานิต วสุวัต ได้หวนกลับมาสร้างภาพยนตร์อีกครั้งโดยรวบรวมทายาทในตระกูลวสุวัตจัดตั้งบริษัทศรีกรุงยุคใหม่ขึ้น ในนาม ศรีกรุงภาพยนตร์ ขณะที่วงการกำลังนิยมทำหนังสโคป เสียงพากย์ในฟิล์ม โดยมี ชายชาญ วสุวัต เป็นผู้อำนวยการสร้าง และ มานิต วสุวัต เป็นที่ปรึกษา นักแสดงนำในภาพยนตร์ของศรีกรุงภาพยนตร์ในยุคนี้ ได้แก่ สมบัติ เมทะนี, อรัญญา นามวงศ์, สุคนธ์ทิพย์ เสนะวงศ์, เมตตา รุ่งรัตน์, ไพโรจน์ ใจสิงห์, ฯลฯ
กิจการสร้างภาพยนตร์ของศรีกรุงยุคใหม่ดำเนินไปได้สองปีเท่านั้นก็ต้องยุติงานสร้างอีกครั้ง เหลือเพียงบริษัทแผ่นเสียง จนถึงปี พ.ศ. 2518 บริษัทแผ่นเสียงได้เลิกกิจการถาวรเมื่อความนิยมลดลงในยุคแถบเสียงตลับ (Casette) กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่แผ่นเสียง จนกระทั่งมานิต วสุวัต เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2526 ด้วยวัย 85 ปี[5]
ปัจจุบันพื้นที่โรงถ่ายภาพยนต์เสียงศรีกรุงคือบริเวณลานจอดรถของรถไฟฟ้า MRT สถานีสุขุมวิท ใกล้กับสยามสมาคม[17]
สิ่งสืบเนื่องและอนุสรณ์
หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้นำอาคารโรงถ่าย ภาพยนต์เสียงศรีกรุง มาเป็นต้นแบบในการสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย เพื่อรำลึกถึงจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เสียงแห่งแรกในประเทศ รวมถึงคุณูปการของพี่น้องตระกูลวสุวัต[17]
จากผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่อง เพลงหวานใจ ของมานี-จำรัส ซึ่งเป็นดาราคู่ขวัญและกลายเป็นภาพจำ ด้วยเหตุนี้หอภาพยนตร์จึงได้มีการก่อสร้างสระประติมากรรม โดยจำลองมาจากฉากหนึ่งในภาพยนตร์ดังกล่าว ที่เรืออากาศเอกของไทย (จำรัส สุวคนธ์) ผู้ขับเครื่องตกในประเทศสมมติชื่อซานคอซซาร์ แล้วพบกับพระราชินี (มานี สุมนนัฏ) ที่กำลังสรงน้ำอยู่ริมห้วย โดยมีตากล้องคือ เภา วสุวัต และผู้กำกับคือ ขุนวิจิตรมาตรา กำลังถ่ายทำอยู่ในน้ำ ด้วยเหตุนี้สระประติมากรรมนั้นจึงสร้างให้เป็นรูปปั้นสตรีแช่อยู่ในสระน้ำ[29]
พี่น้องวสุวัตมีภาพยนตร์สร้างขึ้นทั้งหมดเกือบ 20 เรื่อง ระหว่างปี พ.ศ. 2470 ถึง พ.ศ. 2485 แต่ผลงานภาพยนตร์ของพี่น้องวสุวัตกลับสูญหายไปเกือบหมดสิ้น โดยเฉพาะในยุคโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงศรีกรุง ปัจจุบันผลงานเหล่านี้กลับเหลือรอดมาแค่เศษฟิล์มจากภาพยนตร์เรื่อง โชคสองชั้น (2470) ซึ่งหอภาพยนตร์ได้ค้นพบเศษฟิล์มและสามารถนำมาฉายได้เพียงประมาณ 1 นาที[30] และภาพยนตร์เรื่อง เลือดชาวนา (2479) ซึ่งสามารถนำมาฉายให้คนรุ่นหลังดูได้เพียง 15 นาทีเท่านั้น[3] รวมถึงผลงานการถ่ายภาพยนตร์บางส่วนของหลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) ได้รับการเก็บรักษาไว้ในคลังอนุรักษ์ของหอภาพยนตร์ แม้ส่วนมากจะหลงเหลือมาเพียงเศษเสี้ยว[10]
ปัจจุบัน ผลงานภาพยนตร์ของพี่น้องตระกูลวสุวัตได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภาพยนตร์ของชาติจากหอภาพยนตร์ทั้งหมด 3 เรื่อง ได้แก่ โชคสองชั้น (2470), พระราชพิธีเฉลิมกรุงเทพมหานครอันประดิษฐานมาครบ 150 ปี (2475)[31] และ เลือดชาวนา (2479)[3]
บุคลากร
ผู้อำนวยการสร้าง
- มานิต วสุวัต
ผู้ประพันธ์
- หลวงบุณยมานพพานิชย์ (อรุณ บุณยมานพ) เจ้าของนาม "แสงทอง"
- ขุนวิจิตรมาตรา/กาญจนาคพันธุ์ (หลงทาง, ปู่โสมเฝ้าทรัพย์, เลือดทหารไทย, เพลงหวานใจ)
- หลวงอนุรักษ์รัถการ (เมืองแม่หม้าย, กลัวเมีย, หลอกเมีย)
- หลวงกลการเจนจิต (แก่นกะลาสี)
- ศรีสุข วสุวัต กับ เชื้อ อินทรทูต (เลือดชาวนา)
- ผัน นาคสุวรรณ (เลือดชนบท)
- จวงจันทร์ จันทร์คณา (พรานบูรพ์) (ในสวนรัก, อ้ายค่อม, ค่ายบางระจัน, ไม่เคยรัก)
ผู้กำกับการแสดง
- หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ)
- ขุนวิจิตรมาตรา (เพลงหวานใจ)
- หลวงอนุรักษ์รัถการ (พญาน้อยชมตลาด, เมืองแม่หม้าย, กลัวเมีย, หลอกเมีย)
- ศรีสุข วสุวัต กับ เชื้อ อินทรทูต (เลือดชาวนา)
- หลวงกลการเจนจิต กับ พอใจ วสุวัต (แก่นกะลาสี)[32]
- หลวงกลการเจนจิต (เลือดชนบท)
- จวงจันทร์ จันทร์คณา (พรานบูรพ์) (ในสวนรัก, อ้ายค่อม, ค่ายบางระจัน, ไม่เคยรัก)
ผู้ถ่ายภาพ
- หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต)
- ศรีสุข วสุวัต
- พอใจ วสุวัต
นักแสดง/ดาราศรีกรุง
- แม่น ชลานุเคราะห์, ศรี, วาสนา ทองศรี, ชื่นใจ, ปลั่ง ชูเทศะ และ ชลัช อัลบูรณ์ (หลงทาง)
- เสน่ห์ นิลพันธ์, ปลอบ ผลาชีวะ, มณี มุญจนานนท์ และ องุ่น เครือพันธ์ (ปู่โสมเฝ้าทรัพย์)
- ร้อยเอก หม่อมหลวงขาบ กุญชร, จมื่นมานิตย์นเรศ, ร้อยโท เขียน ธีมากร และ จำรุ กรรณสูตร (เลือดทหารไทย)
- หลวงพรตกรรมโกศล (มงคล สุมนนัฎ) (พญาน้อยชมตลาด, แก่นกะลาสี)
- มานี สุมนนัฎ (พญาน้อยชมตลาด, เมืองแม่หม้าย, กลัวเมีย, เพลงหวานใจ, หลอกเมีย)
- เขียน ไกรกุล (กลัวเมีย)
- ประมวล รัศมิทัต, นัยนา วาณีวัฒน์, เชิญ ศิวเสน, สมยศ ทัศนพันธ์, สวัสดิ์ วิธีเทศ (เพลงหวานใจ)
- เกษม มิลินทจินดา (เมืองแม่หม้าย, แก่นกะลาสี, เพลงหวานใจ, หวานใจนายเรือ)
- จำรัส สุวคนธ์ (เลือดชาวนา, กลัวเมีย, เพลงหวานใจ, หลอกเมีย, ในสวนรัก, ไม่เคยรัก, น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง)
- ปลอบ ผลาชีวะ, ราศรี เพ็ญงาม, บังอร อินทุโสภณ (เลือดชาวนา)
- ชั้น ไชยนันท์ (เลือดชนบท)
- เบ็ญจา รัตนกุล (เลือดชนบท, อ้ายค่อม, ไม่เคยรัก)
- ทองคำ มาติน (เพลงหวานใจ, ตื่นเขย)
- สายสนม วีรานุวัต, จิตรา สุมนนัฏ (หลอกเมีย)
- จุรี รัตนหัตถ์ (หวานใจนายเรือ)
- เลิศล้วน อมาตยกุล, วาสนา สุวรรณทัต (ตื่นเขย)
- สมพงษ์ จันทรประภา (อ้ายค่อม, ค่ายบางระจัน)
- นรา พานิชพัฒน์ (ในสวนรัก, น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง)
- เจือ จักษุรักษ์, ไพพรรณ บูรณพิมพ์ (ค่ายบางระจัน)
- ฯลฯ
ทีมงาน
- แผนกกล้อง หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต), ศรีสุข - พอใจ วสุวัต (ช่างกล้อง), ศรีสุข - เชื้อ (เสมียนจดบันทึก)
- แผนกแสง หลวงกลการเจนจิต
- แผนกเสียง กระเศียร วสุวัต
- แผนกอัดจานเสียง กระเศียร วสุวัต
- แผนกล้างและพิมพ์ กระเศียร วสุวัต, ประจวบ อมาตยกุล
- แผนกลำดับภาพ กระเศียร วสุวัต
- แผนกเครื่องแต่งกาย นิตชลอ - อุ่นจิต วสุวัต
- แผนกฉาก แนม สุวรรณแพทย์
- แผนกดนตรี เรือโทมานิต เสนะวีณิน, นารถ ถาวรบุตร, จำรัส รวยนิรันดร์
- แผนกธุรการทั่วไป (รวมกับ แผนกโฆษณา) กระแส วสุวัต, ผัน นาคสุวรรณ
- ที่ปรึกษาทั่วไป, ผู้ประพันธ์คำร้องเพลงประกอบ ขุนวิจิตรมาตรา/กาญจนาคพันธุ์
นวัตกรรม
เครื่องมือถ่ายทำ
- ฟิล์ม 35 มม.ไวด์สกรีน (จอกว้าง) ขาวดำ (2478-2485), สีธรรมชาติ (2514-2515)
- กล้องใหญ่มิตเชล, กล้องเบลโฮเวล และกล้องมืออายโม ตั้งแต่ยุคโรงถ่ายสะพานขาว[33]
- สร้างกล้องภาพยนตร์และเสียงรวมกัน ระบบฟิล์มเดียว (Single System) แบบวสุวัต สำเร็จ (ดัดแปลงจากกล้องถ่ายหนังเงียบ) ใช้ถ่ายทำหนังข่าว พิธีรับเสด็จรัชกาลที่ 7 และพระราชินี นิวัติพระนครจากสหรัฐอเมริกา และหนังพูด หลงทาง (2474)
- สร้างกล้องภาพยนตร์และกล้องเสียงแยกกัน ระบบฟิล์มคู่ (Double System) สำเร็จ ใช้ถ่ายทำหนัง ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ (2476) เป็นสี (บางฉาก) และใช้แบบฟอร์มจดรายละเอียดทุกเทค เรื่องแรกของเมืองไทย[16]
- รถบรรทุกติดตั้งอุปกรณ์อัดเสียงชั่วคราว (ถอดจากโรงถ่ายบางกะปิ) ใช้ถ่ายทำ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ (2476)
- โทรศัพท์พิเศษเพื่อติดต่อกองถ่ายแต่ละชุด ฉากสนามรบ (บริเวณโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) ใน เลือดทหารไทย (2478)
- รถติดตั้งอุปกรณ์อัดเสียง (ด้วยความช่วยเหลือ) จากฮอลลีวู้ด ใช้ถ่ายทำ เลือดชนบท (2480)
- สเลตวงกลม (slate) หรือ แคลปบอร์ด (clapboard) มีเอกลักษณ์เป็นรูปวงกลมและเป็นแห่งเดียวในโลกเท่าที่ค้นพบว่าใช้สเลตรูปแบบนี้[2][17]
ผลงาน
ภาพยนตร์ทดลอง ข่าว และบันทึกเหตุการณ์
ปี พ.ศ. | ชื่อ | บริษัทผู้สร้าง | เชิงอรรถ |
---|---|---|---|
2465 | น้ำท่วมเมืองซัวเถา | พี่น้องสกุลวสุวัต | ถ่ายทำจากภาพนิ่งเอามาต่อกันเป็นเรื่องยาว[8] |
การชนช้างในงานยุทธกีฬาของทหาร | |||
ไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี | |||
รัชกาลที่ 6 ทรงกอล์ฟที่หัวหิน | |||
2473 | การแสดงคณะจำอวด ทิ้ง มาฬมงคล และ อบ บุญติด[8] | กรุงเทพภาพยนตร์บริษัท | กล้องทีมงานฟ๊อกซ์มูวี่โทน |
การเดี่ยวซอสามสายโดยพระยาภูมิเสวิน และจะเข้โดยนางสนิทบรรเลงการ[8] | |||
2474 | พิธีรับเสด็จรัชกาลที่ 7 และพระราชินี นิวัตพระนคร จากสหรัฐอเมริกา | ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง แบบวสุวัต | |
2475 | ข่าวงานฉลองพระนครครบ 150 ปี | ถ่ายทำพร้อมกับทีมงานพาราเม้าท์ | |
ข่าวรัชกาลที่ 7 พระราชทานรัฐธรรมนูญ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม[34] |
ภาพยนตร์ดำเนินเรื่อง
ปี พ.ศ. | เรื่อง | ผู้ประพันธ์ | ผู้กำกับ | ผู้ถ่ายภาพ | เชิงอรรถ |
---|---|---|---|---|---|
กรุงเทพภาพยนตร์บริษัท | |||||
2470 | โชคสองชั้น (Double Luck) | หลวงบุณยมานพพานิช (อรุณ บุณยมานพ) | หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) | [b] |
ใครดีใครได้ (None But the Brave) | ศรีสุวรรณ (หลวงนัยวิจารณ์) | ||||
2471 | ใครเป็นบ้า | นายกระแส | |||
ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง แบบวสุวัต | |||||
2474 | หลงทาง (Going Astray) | ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) | ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) | [c] |
2476 | ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ | [d] | |||
ความรักในเมืองไทย | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) | [e] | |||
2478 | เลือดทหารไทย | ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) | ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) | [f] |
บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง จำกัด | |||||
2478 | สัตตหีบ | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) | |||
พญาน้อยชมตลาด (Phya Noi) | หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) | ||||
เมืองแม่หม้าย | หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) | ศรีสุข วสุวัต | [g] | ||
2479 | เลือดชาวนา | เชื้อ อินทรทูต | ศรีสุข วสุวัต, เชื้อ อินทรทูต | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) ศรีศุข วสุวัต |
[h] |
กลัวเมีย (Henpecked Husband) | หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) | หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) | ||
แก่นกะลาสี | พอใจ วสุวัต | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) พอใจ วสุวัต |
[i] | ||
2480 | วิวาห์เที่ยงคืน (Midnight Wedding) | เชื้อ บุนนาค | หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขะวิริยะ) | ||
เลือดชนบท | สังคามาระตา | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) | พอใจ วสุวัต | ||
เพลงหวานใจ (His Sweet Melody) | ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) | ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) ศรีสุข วสุวัต พอใจ วสุวัต |
[j] | |
2481 | หลอกเมีย (The Husband Misbeheaves) | เปล่ง ศุขวีระยะ | หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) | |
หวานใจนายเรือ (Love in the Navy) | สังคามาระตา | ผัน นากสุวรรณ | พอใจ วสุวัต | ||
ตื่นเขย (Tit for Tat) | หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) | หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) | ||
จ๊ะเอ๋ | [k] | ||||
ในสวนรัก (Garden of Love) | จวงจันทร์ จันทร์คณา (พรานบูรพ์) | จวงจันทร์ จันทร์คณา (พรานบูรพ์) | |||
อ้ายค่อม (Ai Gom) | |||||
2482 | ค่ายบางระจัน | ||||
ใครผิดใครถูก | ศรี จันทร์งาม | ||||
2483 | ไม่เคยรัก (Bachelor in Love) | เปรมไชยา | จวงจันทร์ จันทร์คณา (พรานบูรพ์) | หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) พอใจ วสุวัต |
|
2485 | น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง | [l] | |||
ศรีกรุงภาพยนตร์ | |||||
2514 | กลัวเมีย (สร้างใหม่) | หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) | ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) | [m] | |
ในสวนรัก (สร้างใหม่) | พรานบูรพ์ | สมบัติ เมทะนี, รุจน์ รณภพ | |||
2515 | หัวใจมีตีน | พ.ต.ต.ประชา พูนวิวัฒน์ | ประกอบ แก้วประเสริฐ | สมาน ทองทรัพย์สิน | |
แม่ยาย | กาญจนาคประพันธ์ | ชายชาญ วสุวัต | ชายชาญ วสุวัต |
รางวัล
- รางวัลตุ๊กตาทองพระสุรัสวดี เกียรติยศ ประจำปี พ.ศ. 2525 แด่ นายมานิต วสุวัต ในฐานะผู้บุกเบิกวงการภาพยนตร์ไทย
เชิงอรรถ
- ↑ ภาพยนต์เสียงศรีกรุง สะกดด้วย ต์ ตามที่ปรากฏในป้ายโรงถ่ายและตราสัญลักษณ์ของบริษัท
- ↑ ภาพยนตร์เรื่อง โชคสองชั้น ได้การยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย
- ↑ ภาพยนตร์เรื่อง หลงทาง ถือเป็นภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกของไทย และถ่ายทำที่โรงถ่ายสะพานขาว[8]
- ↑ กำเนิดเพลงไทยโน้ตสากลจังหวะรัมบ้า "กล้วยไม้" และนางเอกร้องเพลงบนเวทีโรงภาพยนตร์ (ศาลาเฉลิมกรุง, พัฒนากร) เรื่อง ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ (2476)[16]
- ↑ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์จีนเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย สร้างโดยบริษัท ยูไนเต็ดฟิล์ม คอปอเรชั่น ทุนของกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในสยาม พูดกวางตุ้ง
- ↑ ตามความประสงค์ของ กระทรวงกลาโหม
- ↑ เก้าอี้พิเศษ แบบโรงถ่ายในฮอลลีวู้ด สำหรับนักแสดงที่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ดาราภาพยนตร์ ในเรื่องต่อมา เริ่มจาก มานี สุมนนัฎ ใน เมืองแม่หม้าย (2478)[23]
- ↑ กีต้าร์โปร่ง เครื่องดนตรีใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาเมืองไทยช่วงต้นปี ใช้ในฉาก จำรัส สุวคนธ์ เดินร้องเพลง "ตะวันยอแสง" เรื่อง เลือดชาวนา (2479)[4][21]
- ↑ หนังพูดถ่ายทำในประเทศอิตาลี แก่นกะลาสี (2479)[21][35]
- ↑ เครื่องอาบน้ำแบบใหม่ล่าสุด "ชุดทูพีซ", จังหวะเต้นรำ "คองก้า" และปฏิวัติคำร้องจากเดิมใช้ "พี่" กับ "น้อง" เป็นใช้ "ฉัน" และ "เธอ" ใน เพลงหวานใจ (2480)[21]
- ↑ ภาพยนตร์สั้นใช้ฉายประกอบภาพยนตร์เรื่อง ตื่นเขย (2481) เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ใช้สุนัขไทยเข้ามาแสดงด้วย[21]
- ↑ ถ่ายทำช่วงน้ำท่วมพระนคร ตุลาคม 2485
- ↑ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ปรากฏตัวพิเศษในฉากเพลง ยามรัก ในเรื่อง กลัวเมีย (2514)
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ กาญจนาคพันธุ์, ยุคเพลงหนังและละครในอดีต, เรืองศิลป์ 2518, 220 หน้า
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 งานศิลปะ “หนังศรีกรุง” โดยนวลนิต วสุวัต บทความโดย พุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู
- ↑ 3.0 3.1 3.2 เลือดชาวนา (เศษที่เหลืออยู่)
- ↑ 4.0 4.1 บทความเรื่อง ความรู้สึกเมื่อเข้าแสดงภาพยนต์ของ จำรัส สุวคนธ์ จากสูจิบัตรภาพยนตร์เรื่อง เลือดชาวนา
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 5.7 ผู้สร้างโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงแห่งแรกของไทย
- ↑ 6.0 6.1 หนึ่งศตวรรษภาพยนตร์ในประเทศไทย บทความโดย โดม สุขวงศ์
- ↑ 7.0 7.1 “เสียงศรีกรุง” กำหนดมาตรฐาน “Star-ดารา” ? ไม่ใช่นักแสดงทุกคนจะเป็นได้
- ↑ 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 ความก้าวหน้าของกิจการสร้างภาพยนตร์
- ↑ ความรุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรมหนังไทยยุคบุกเบิก (2470 - 2489) EP. 1 เปิดศักราชอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยคนไทย เพื่อคนไทย
- ↑ 10.0 10.1 5 ผลงานสำคัญของ “หลวงกลการเจนจิต” ตากล้องหนังไทยเรื่องแรก
- ↑ 11.0 11.1 11.2 ภาพยนตร์ไทยของคนไทย
- ↑ 12.0 12.1 เสวนา “หนังไทย” ถึงสิ้นยุคสมัย “มิตร-เพชรา” ไขปัญหา มิตร เล่นหนังวันละ 3 เรื่อง จำบทอย่างไร?
- ↑ ประวัติภาพยนตร์ไทย ตอนที่ 3 เก็บถาวร 2007-09-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ rimpingfunds.com
- ↑ 14.0 14.1 ความรุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรมหนังไทยยุคบุกเบิก (2470 - 2489) EP. 3 ภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกของคนไทย
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 ความรุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรมหนังไทยยุคบุกเบิก (2470 - 2489) EP. 4 บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง : ตำนานบทสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยยุคภาพยนตร์เสียง
- ↑ 16.0 16.1 16.2 ภาพยนตร์ยุคประชาธิปไตย
- ↑ 17.0 17.1 17.2 17.3 ทัวร์พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย ตอนแนะนำพิพิธภัณฑ์และมุมสเลท ที่ยูทูบ
- ↑ โดม สุขวงศ์, ประวัติภาพยนตร์ไทย, องค์การค้าคุรุสภา 2533, 57 หน้า
- ↑ ประวัติภาพยนตร์ไทย ตอนที่ 4เว็บไซต์ rimpingfunds.com เก็บถาวร 2007-06-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ ความรุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรมหนังไทยยุคบุกเบิก (2470 - 2489) EP. 5 สูตรสำเร็จของบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง
- ↑ 21.0 21.1 21.2 21.3 21.4 21.5 ภาพยนตร์กับเสียงเพลง
- ↑ ภาพนิ่งฉากเพลงในห้วยเรื่อง เพลงหวานใจ, หลักหนังไทย. หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน). 2555. หน้า 258. ISBN 978-616-543-150-7.
- ↑ 23.0 23.1 มานี สุมนนัฏ ดาราดวงแรกแห่งโลกภาพยนตร์ไทย บทความโดย พุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู
- ↑ ""ปุ๊ อัญชลี" ประทับรอยมือลานดารา หอภาพยนตร์-ร่วมรำลึก 100 ปี "มานี สุมนนัฏ"". ไทยพีบีเอส. 1 ธันวาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2016.
- ↑ "ศิลปะการแสดง". ลักษณะไทย. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 มกราคม 2019. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2016.
- ↑ ความรุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรมหนังไทยยุคบุกเบิก (2470 - 2489) EP. 8 สงครามโลกครั้งที่ 2 : จุดสิ้นสุดของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยยุคบุกเบิก และจุดเริ่มต้นของยุคหนัง 16
- ↑ ‘น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง’ ภาพยนตร์ปลอบขวัญชาวไทย (2) สงครามโลกกับการสร้างภาพยนตร์ไทย บทความโดย ณัฐพล ใจจริง
- ↑ 'โรงหนังศรีกรุง' โรงหนังเก่าเปลี่ยนไป มีอะไรเปลี่ยนแปลง
- ↑ "100 ปี ชาตกาล 3 บุคคลเด่นและดัง ในปี 2558". ผู้จัดการออนไลน์. 8 ธันวาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 24 มกราคม 2023.
- ↑ The one-minute fragment was exhibited in 2006 in Paris during the "Tout a Fait Thai 2006: The Thai Culture Festival in France" (Rithdee, Kong. October 13, 2006. "Screen test", Bangkok Post, Real Time, Page R1.
- ↑ พระราชพิธีเฉลิมกรุงเทพมหานครอันประดิษฐานมาครบ ๑๕๐ ปี
- ↑ โดม สุขวงศ์, สยามภาพยนตร์, หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน), 2555 ISBN 978-616-543-173-6 หน้า 253-254
- ↑ ยุคเพลงหนังและละครในอดีต หน้า 131
- ↑ ปฏิบัติการถ่ายหนังวันปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 จากความทรงจำของขุนวิจิตรมาตรา
- ↑ “แก่นกลาสี” หนังไทยมาแปลก! ไปรับเรือรบที่อิตาลี จอดเมืองไหนเอาทหารขึ้นไปถ่ายกับแหม่ม ได้หนังมาอีกเรื่อง!! บทความโดย โรม บุนนาค
แหล่งข้อมูลอื่น
- ความรุ่งโรจน์ ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ยุคบุคเบิก (2470 - 2489) บทความโดย ภาณุ อารี
- มานิต วสุวัต (ผู้สร้างโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงแห่งแรกของไทย) ทางเว็บไซต์ มูลนิธิหนังไทย
- ศิลปวัฒนธรรมเสวนา ยุคทองของ “หนังไทย” ถึงสิ้นยุคสมัย “มิตร-เพชรา” ที่ยูทูบ
- ทิพย์วัลย์ ประยูรสุข, บรรณาธิการ. ภาพยนตรานุกรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2470-2499. นครปฐม: หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน), 2557.