กาฬมรณะ (อังกฤษ: Black Death) หรือ กาฬโรคครั้งใหญ่ (Great Plague) หรือ มฤตภาพครั้งใหญ่ (Great Mortality) คือเหตุการณ์โรคระบาดทั่วซึ่งสร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มีผู้เสียชีวิตราว 75 ถึง 200 ล้านคนในทวีปยูเรเชีย ระบาดรุนแรงสูงสุดในยุโรปช่วงปี 1347 ถึง 1351[1][2][3] เชื่อกันว่าเกิดจากแบคทีเรีย Yersinia pestis ซึ่งก่อให้เกิดกาฬโรคหลายรูปแบบ (กาฬโรคเลือด, กาฬโรคปอด, กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง)[4]

การแพร่กระจายของกาฬมรณะในยุโรปและตะวันออกใกล้ (1346–1353)

เหตุครั้งนี้ถือเป็นการระบาดครั้งแรกของกาฬโรคในแผ่นดินยุโรป และเป็นการระบาดที่สองในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (การระบาดครั้งแรกเกิดขึ้นราว 800 ปีก่อนหน้า)[5] กาฬมรณะก่อให้เกิดกลียุคทางศาสนา สังคมและเศรษฐกิจ และสร้างผลกระทบอย่างลึกซึ้งในประวัติศาสตร์ยุโรป

ประเมินกันว่ากาฬมรณะมีผู้เสียชีวิต 30% ถึง 60% ของประชากรในทวีปยุโรป[6] ลดประชากรโลกจากประมาณ 450 ล้านคน ลงเหลือ 350–375 ล้านคนในคริสต์ศตวรรษที่ 14[7] และใช้เวลาราว 200 ปี ในการเพิ่มประชากรยุโรปกลับมาดังเดิม[8] บางพื้นที่อย่าง ฟลอเรนซ์ต้องใช้เวลาเกือบ 500 ปีกว่าประชากรจะกลับมาเท่าเดิม[9][10][11] กาฬโรคกลับมาระบาดซ้ำเป็นครั้งคราวกระทั่งต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

คาดกันว่ากาฬมรณะมีจุดกำเนิดในจีนหรือเอเชียกลาง[12][13][14][15][16] จากนั้นแพร่มาตามเส้นทางสายไหมจนถึงไครเมียในปี 1343[17] และมีหมัดหนูตะวันออก (Xenopsylla cheopis) ซึ่งอาศัยอยู่ในหนูท้องขาวที่ติดมากับเรือพาณิชย์ของเจโนวานำโรคจากไครเมียแพร่กระจายไปทั่วลุ่มน้ำเมดิเตอร์เรเนียนไปถึงส่วนที่เหลือของยุโรปผ่านคาบสมุทรอิตาลี

ที่มาของชื่อ

แก้

วลี "กาฬมรณะ" (mors nigra) ถูกใช้ในปี 1350 โดยซิมมอน เดอ โควิโน (Simon de Covino) หรือโควิน (Couvin) นักดาราศาสตร์ชาวเบลเยียมผู้ประพันธ์บทกวี "De judicio Solis in convivio Saturni" (คำพิพากษาของดวงอาทิตย์ในงานเลี้ยงฉลองของดาวเสาร์) ซึ่งให้เหตุผลว่ากาฬโรคเกิดจากการรวมตัวกันของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์[18] ในปี 1908 ฟรังซีส ไอแดน กาสเกต (Francis Aidan Gasquet) อ้างว่าชื่อ atra mors สำหรับโรคระบาดในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ปรากฏครั้งแรกในหนังสือปี 1631 ชื่อประวัติศาสตร์เดนมาร์ก เขียนโดย เจ.ไอ. พอนเทนนัส (Johannes Isacius Pontanus) "ที่พวกเขาเรียกกาฬมรณะนั้นมาจากอาการของโรค" (Vulgo & ab effectu atram mortem vocitabant).[19] ชื่อกาฬมรณะได้แพร่กระจายผ่านสแกนดิเนเวียไปจนถึงเยอรมนี และค่อยๆกลายเป็นชื่อของโรคระบาดกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14[20]

อย่างไรก็ตาม atra mors ยังถูกใช้อ้างถึงการระบาดของไข้หวัด (febris pestilentialis) ในหนังสือคริสต์ศตวรรษที่ 12 De signis et sinthomatibus egritudinum (สัญญาณและอาการของโรค) เขียนโดยแพทย์ชาวฝรั่งเศส ฌีล เดอ คอร์เบล (Gilles de Corbeil)[21][22] ในภาษาอังกฤษ วลีนี้ถูกใช้ครั้งแรกในปี 1755[23][24] นักเขียนร่วมสมัยเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "กาฬโรคครั้งใหญ่ (Great Plague)"[25] หรือ "โรคระบาดครั้งใหญ่ (great pestilence)"[26]

ลำดับเหตุการณ์

แก้
 
ภาพวาดหมอกาฬโรค ซึ่งเป็นหมอที่รับรักษาโรคนี้โดยเฉพาะ

ต้นกำเนิด

แก้

กาฬโรคมีสาเหตุมาจากเชื้อ Yersinia pestis ซึ่งมีวงจรชีวิตในประชากรหมัดในกลุ่มสัตว์ฟันแทะ เช่น มาร์มอต ในหลายพื้นที่ประกอบด้วยเอเชียกลาง, เคอร์ดิสถาน, เอเชียตะวันตกเฉียงใต้, อินเดียเหนือ, และ ประเทศยูกันดา[27] เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเอเชีย สัตว์ฟันแทะจึงเริ่มหนีจากทุ่งหญ้าที่แห้งแล้งไปยังพื้นที่ที่มีประชากรมนุษย์อาศัยอยู่จำนวนมาก และแพร่กระจายโรค[28] ในเดือนตุลาคม 2010 นักพันธุศาสตร์การแพทย์ได้เสนอว่า การระบาดครั้งใหญ่ของกาฬโรคทั้งสามครั้งมีต้นกำเนิดจากประเทศจีน[29] ในปี 2017 การวิจัยหลุมฝังศพคริสต์ศาสนาเนสตอเรียนระหว่างปี 1338–1339 ใกล้กับอือซึก-เกิลในประเทศคีร์กีซสถานซึ่งมีจารึกที่อ้างถึงกาฬโรค ทำให้นักระบาดวิทยาจำนวนมากคิดว่าพวกเขาระบุจุดเริ่มในการระบาดของโรคระบาดได้ ซึ่งจากจุดนี้โรคสามารถแพร่กระจายไปยังจีนและอินเดียได้อย่างง่ายดาย[30]

การวิจัยในปี 2018 พบหลักฐานของ Yersinia pestis ในหลุมฝังศพโบราณในสวีเดน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่อธิบายถึงการลดลงของประชากรในยุคหินใหม่ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งประชากรในยุโรปลดลงอย่างมีนัยสำคัญ[31] ในปี 2013 นักวิจัยยืนยันการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าสาเหตุของการเกิดโรคระบาดยุสตินิอานุส (ปี 541–542 และกลับมาระบาดซ้ำจนกระทั่งปี 750) คือ Yersinia pestis[32][33]

คริสต์ศตวรรษที่ 13 เมื่อมองโกลพิชิตประเทศจีน ส่งผลให้การเกษตรและการค้าตกต่ำ เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1330 ด้วยภัยธรรมชาติและโรคระบาดส่งผลให้เกิดทุพภิกขภัยในวงกว้าง เริ่มในปี 1331 ด้วยกาฬโรคระบาดมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน[34] โรคระบาดซึ่งอาจรวมถึงกาฬโรคด้วยนั้น คร่าชีวิตผู้คนทั่วเอเชียไปประมาณ 25 ล้านคนในช่วงสิบห้าปีก่อนที่โรคจะไปถึงคอนสแตนติโนเปิลในปี 1347[35][36]

โรคได้ล่องตามเส้นทางสายไหมไปกับกองทัพมองโกลและเหล่าพ่อค้า หรืออาจรวมถึงเรือเดินสมุทรด้วย[37] สิ้นปี 1346 รายงานเกี่ยวกับกาฬโรคก็เดินทางมาถึงท่าเรือในทวีปยุโรป: "อินเดียประชากรลดลง ขณะที่ในทาทารี, เมโสโปเตเมีย, ซีเรีย, อาร์มีเนียถูกปกคลุมไปด้วยศพ"[38]

มีรายงานว่ากาฬโรคถูกนำสู่ยุโรปด้วยพ่อค้าชาวเจโนวาจากเมื่อท่าคัฟฟาในคาบสมุทรไครเมียในปี 1347[39][40] ระหว่างการโอบล้อมโจมตีเมืองของกองทัพมองโกล ภายใต้การนำของยานี เบจ (Jani Beg) ทางฝ่ายกองทัพมองโกลต้องเผชิญกับกาฬโรค กองทัพจึงได้ใช้แคทะพัลต์ยิงศพที่ติดเชื้อกาฬโรคข้ามกำแพงเมืองคัฟฟา เพื่อแพร่เชื้อโรคไปยังชาวเมือง พวกพ่อค้าชาวเจโนวาต่างพากันหลบหนี และได้นำเอากาฬโรคไปด้วยผ่านทางเรือเดินสมุทรไปถึงแคว้นซีชีเลีย อิตาลีแผ่นดินใหญ่และกระจายขึ้นเหนือไป[41] ไม่ว่าข้อสันนิษฐานนี้จะถูกต้องหรือไม่ แต่เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเหตุหลายประการ เช่น สงคราม ความอดอยาก สภาพอากาศที่เลวร้าย มีส่วนช่วยให้เหตุการณ์กาฬมรณะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ในบรรดาต้นเหตุอื่นๆ ของการระบาด การขาดสารอาหาร แม้จะเป็นเหตุทางอ้อมแต่ก็มีส่วนทำให้ประชากรยุโรปสูญเสียมหาศาลเช่นกันเพราะมันทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง[42]

การแพร่ระบาดในเอเชีย

แก้

จากประวัติศาสตร์ การแพร่ระบาดเริ่มต้นขึ้นที่ประเทศจีนในช่วงปี ค.ศ. 1330 กาฬโรคเริ่มระบาดในแถบหูเป่ย ในปี ค.ศ. 1334 และเกิดการแพร่ระบาดอย่างหนักในระหว่างปี ค.ศ. 1353-1354 จากบันทึกเก่าแก่ของจีน บันทึกไว้ว่า การแพร่ระบาดได้กระจายไปใน 8 พื้นที่ของจีน ได้แก่ หูเป่ย เจียงซี ซานซี หูหนาน กวางตุง กวางซี เหอหนาน และซุยยวน เพียงแต่ว่าข้อมูลนี้ได้มาจากผู้ที่รอดชีวิตจากยุคนั้น และยังไม่มีการศึกษาเพิ่มเติมในเบื้องลึก ซึ่งคาดว่ากองคาราวานพ่อค้าชาวมองโกล จะเป็นผู้นำเอากาฬโรคที่ระบาดที่เอเชียตอนกลางมายังยุโรป

การแพร่ระบาดในยุโรป

แก้
 
การแพร่ของแบล็กเดทในทวีปยุโรป

ในเดือนตุลาคม ปี 1347 กองเรือสินค้าที่อพยพมาจากเมืองคัฟฟ่ามาที่ท่าเรือเมสซีนา ประเทศอิตาลี่ ในเวลาที่เรือเทียบท่า ลูกเรือทุกคนติดเชื้อหรือเสียชีวิตแล้ว จึงสัณนิษฐานได้ว่า เรือได้นำเอาหนูติดเชื้อที่เป็นพาหะนำโรคมาด้วย เรือบางลำยังไม่เทียบท่า แต่กลายเป็นเรือร้างลอยลำอยู่กลางน้ำ เพราะว่าทุกคนเสียชีวิตหมด พวกโจรสลัดที่เข้าไปปล้นเรือ ก็ได้ช่วยให้กาฬโรคแพร่ระบาดอีกทางหนึ่ง การระบาดได้กระจายไปยังเจโนวาและเวนิสในช่วงปี 1347-1348

จากประเทศอิตาลี แพร่ระบาดไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ข้ามยุโรป จู่โจมฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส และอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคมปี 1348 หลังจากนั้น ก็แพร่ไปกระจายไปทาง ทิศตะวันออกไปยังประเทศเยอรมนี และแถบสแกนดิเนเวียในช่วงปี 1348-1350 ทั้งยังพบการระบาดที่นอร์เวย์ในปี 1349 และในที่สุดก็ระบาดลุกลามไปยังแถบตะวันตกเฉียงเหนือ ของรัสเซียในปี 1351 แต่อย่างไรก็ตามการระบาดก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว ไม่ว่าจะที่ยุโรป โปแลนด์ เบลแยี่ยม หรือแม้กระทั่งเนเธอร์แลนด์

การแพร่ระบาดในตะวันออกกลาง

แก้

กาฬโรคแพร่กระจายไปในหลายประเทศ ในแถบตะวันออกกลาง ส่งผลให้เกิดการลดจำนวนลงของประชากรอย่างยิ่งยวด และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และสังคมไปตลอดนับจากนั้น โดยการแพร่ระบาดมาจากทางตอนใต้ของรัสเซีย ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1347 การแพร่ระบาดได้เข้าไปถึงเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ บางทีอาจผ่านทางเมืองท่า จากการค้าขายกับ คอนสแตนติโนเปิล และเมืองท่าแถบทะเลดำ ในช่วงปี 1348 การระบาดได้ลุกลามไปทางตะวันออกถึงกาซา และไปทางเหนือ ตลอดชายฝั่งทางตะวันออกของ เลบานอน ซีเรีย ปาเลสไตน์ รวมไปทั้งแอชเคลอน อาช เยรูซาเลม ซิดอน ดามัสคัส ฮอมส์ อเลปโป และในปี 1348-1349 โรคระบาดก็ได้เข้าไปถึง แอนทิออช ซึ่งชาวเมืองได้พากันอพยพหนีไปทางทิศเหนือ และส่วนมากจะเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง

นครมักกะฮ์ กลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดในปี 1349 ซึ่งในปีเดียวกันนี้เอง จากบันทึกได้แสดงให้เห็นถึง เมืองโมซุลที่ตกอยู่ภายใต้ภาวะโรคระบาดร้ายแรง และนครแบกแดดต้องพบกับการแพร่ระบาดรอบสองในปี 1351 เยเมนก็ประสบปัญหาเดียวกัน อันเนื่องมาจากกษัตริย์มูจาฮิด ของเยเมน ถูกจองจำที่กรุงไคโร ประเทศอิยิปต์ โดยคณะผู้ติดตามของกษัตริย์มูจาฮิดได้ติดเชื้อกาฬโรคจากประเทศอิยิปต์ และอาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังที่อื่น ๆ

สัญญาณและอาการของโรค

แก้
 
มือที่แสดงให้เห็นถึงนิ้วที่เนื้อตายเน่าเพราะกาฬโรคต่อมน้ำเหลืองส่งผลให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อตายและเปลี่ยนเป็นสีดำ
 
ฝีมะม่วงที่ขาหนีบบนต้นขาด้านบนของบุคคลที่ติดเชื้อกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง อาการต่อมน้ำเหลืองบวมมักเกิดที่คอ รักแร้ และขาหนีบของผู้ป่วย

ในบันทึกร่วมสมัยจากช่วงเวลาของการระบาดมักจะแตกต่างกันหรือไม่แน่ชัด อาการที่พบบ่อยที่สุดคือพบฝีมะม่วงที่ในขาหนีบ คอ และรักแร้ มีหนองหรือเลือดเมื่อแตกออก[43] โจวันนี บอกกัชโชได้บรรยายไว้ดังนี้:

{{คำพูด | style=font-size:100% | ในชายและหญิงมีความเหมือนกัน เขาทั้งหลายเมื่อแรกเริ่มแพ้ภัยจักมีฝีปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วที่ขาหนีบหรือไม่ก็รักแร้ บางจำพวกโตใหญ่จนมีขนาดเท่าแอปเปิ้ลทั่วไปผลหนึ่ง บางจำพวกโตเพียงเท่าไข่ไก่ ... จากทั้งสองบริเวณ เจ้าก้อนเนื้อแห่งความตายนี้ก็จะเริ่มแพร่และกระจายตัวไปทุกทิศทุกทางในไม่ช้า หลังการนั้น โรคจะมีอาการเปลี่ยนแปลง ในหลายกรณีจะมีจุดดำหรือจุดแดงเข้มขึ้นที่แขนหรือต้นขาหรือที่อื่นๆ จากไม่กี่จุดเป็นจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น ฝีและจุดดำเป็นสัญลักษณ์แห่งความตายที่ใกล้เข้ามา[44]

รายละเอียดทางการแพทย์เพียงอย่างเดียวที่น่าสงสัยในคำอธิบายของบอกกัชโชคือฝีนั้นเป็น "สัญลักษณ์แห่งความตายที่ใกล้เข้ามา" ในขณะที่ถ้าระบายฝีออกมาจะสามารถรักษาได้[45]

ตามด้วยไข้เฉียบพลันและอาเจียนเป็นเลือด ผู้ป่วยส่วนใหญ่เสียชีวิตในสองถึงเจ็ดวันหลังจากการติดเชื้อ จุดและผื่นคล้ายกระ[46]ซึ่งอาจเกิดจากหมัดกัดถูกระบุว่าเป็นสัญญาณของกาฬโรค

ความเสียหายในยุโรป

แก้
 
การฝังศพผู้เสียชีวิตจากกาฬมรณะในเมืองตูร์แน ภาพจากบันทึกของฌีล ลี มุยซี (Gilles Li Muisis) อธิการวัดนักบุญมาร์แต็งแห่งตูร์แน

มีการประมาณผู้เสียชีวิตจากกาฬมรณะที่เป็นชาวยุโรปอย่างน้อย 1/4 ถึง 2/3 ของประชากรชาวยุโรปทั้งหมด ในระหว่างช่วงปี 1348-1350 หมู่บ้านเล็ก ๆ ตามชนบทมีประชากรลดลง ผู้รอดชีวิตส่วนมากจะพากันอพยพเข้าตัวเมืองที่ใหญ่กว่า แล้วทิ้งหมู่บ้านไป จนเป็นหมู่บ้านร้าง

กาฬมรณะจู่โจมไปถึงวัฒนธรรมอย่างรุนแรง หมู่บ้านที่เคยมีคนอาศัยอยู่มากได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่เบาบางและโดดเดี่ยวอย่างโปแลนด์กับลิทัวเนียได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย ส่วนพื้นที่อื่นอย่างฮังการี บราบันต์ แอโน ลิมบวร์ค ซันติอาโก​ เด​ โกมโปสเตลา กลับไม่ได้รับผลกระทบโดยไม่ทราบสาเหตุ นักประวัติศาสตร์ได้ตั้งสมมุติฐานว่าอาณาจักรและดินแดนเหล่านั้นมีมาตราการกักกันโรค หรือไม่ก็มีการระบาดของกาฬโรค แต่ก็เป็นระยะเวลาอันสั้นและไม่มีผลกระทบร้ายแรง

อย่างไรก็ตามพื้นที่เหล่านี้ก็ถูกเล่นงาน ในการแพร่ระบาดใหญ่รอบที่ 2 ในปี 1360-1363 ซึ่งเริ่มมีกลุ่มที่มีความรู้ความสามารถ ในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาด ของกาฬโรคขึ้นมาหลายกลุ่มแล้ว ส่วนพื้นที่อื่นที่เป็นที่อพยพหนีกาฬโรคจะเป็น เขตพื้นที่ภูเขาโดดเดี่ยว เพราะว่าเขตตัวเมืองที่มีขนาดใหญ่ มีความหนาแน่นของประชากรสูง จะมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อกาฬโรคได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะเมืองในเขตที่สกปรก เต็มไปด้วยแมลงปรสิตอย่าง เห็บ หมัด หนู รวมไปถึงสภาพความอดอยากและ ไม่มีสุขอนามัยที่ดีพอ

ในประเทศอิตาลี เมืองฟลอเรนซ์ในช่วงปี 1338 มีประชากรอยู่ประมาณ 110,000-120,000 คน ถูกกาฬโรคเล่นงานจนเหลือประชากรเพียง 50,000 คนในปี 1351 ที่นครฮัมบวร์คกับเบรเมิน ประชากรเสียชีวิตจากกาฬโรคไปราว ๆ 60%-70% ของประชากรทั้งหมด ในพื้นที่อื่นบางพื้นที่ ประชากร 2/3 ตายเรียบ ที่อังกฤษมีผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคราว 70% ซึ่งทำให้ประชากรลดลงจาก 7 ล้านคน เหลือเพียง 2 ล้านคนในปี 1400

กาฬโรคมีผลต่อประชากรทุกระดับชั้นโดยไม่ไว้หน้า ไม่ว่าจะเป็นคนระดับล่างที่อยู่ในที่สกปรก หรือชนชั้นสูง พระเจ้าอัลฟองโซที่ 11 แห่งคาสตีล เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่เสด็จสวรรคตจากกาฬโรค พระเจ้าปีเตอร์ที่ 4 อารากอน สูญเสียมเหสี ลูกสาว และหลานสาวในเวลาหกเดือน จักรพรรดิไบเซนไทน์สูญเสียพระโอรส

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และสังคม

แก้

รัฐบาลในยุโรปไม่มีนโยบายที่แน่ชัด ในการรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อกาฬโรค เพราะว่าไม่มีใครรู้สาเหตุของการแพร่ระบาด พวกผู้มีอำนาจปกครองส่วนใหญ่ จึงใช้วิธีห้ามการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค กวาดล้างตลาดมืด ควบคุมราคาธัญพืช และการหาปลาบริเวณกว้างแบบผิดกฎหมาย ความพยายามต่าง ๆ นานา นี้ส่งผลกระทบไปถึงประเทศที่เป็นหมู่เกาะ อย่างเช่น อังกฤษไม่สามารถนำเข้าธัญพืชจากฝรั่งเศสได้ เพราะฝรั่งเศสระงับการส่งออก อีกทั้งยังผู้ผลิตส่วนมากไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้เต็มที่ เพราะว่าขาดแคลนแรงงาน ซ้ำร้ายผลผลิตที่เตรียมส่งออกแต่ถูกระงับ ก็ถูกปล้นสะดมโดยพวกโจรสลัด และหัวขโมยที่จะเอาไปขายต่อในตลาดมืด ในขณะเดียวกัน ประเทศที่ค่อนข้างใหญ่อย่างอังกฤษ และสก็อตแลนด์ก็ตกอยู่ในช่วงภาวะสงคราม และต้องใช้งบประมาณจำนวนมากไปกับการรับมือ ปัญหาสินค้าราคาสูง

ในปี 1337 อังกฤษและฝรั่งเศสอยู่ในช่วงสงครามที่รู้จักกันในชื่อสงครามร้อยปี จากงบประมาณที่ร่อยหรอ ผู้คนล้มตายจำนวนมาก บ้านเมืองถูกทำลายจากภาวะสงคราม ความอดอยากหิวโหย โรคระบาด และเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ภาวะช่วงกลางของศตวรรษที่ 14 นี้ของยุโรป เหมือนตกอยู่ในฝันร้าย

กาฬโรคไม่เพียงแต่ทำให้ประชากรล้มตายราวใบไม้ร่วง จนกระทั่งจำนวนประชากรโดยเฉลี่ยลดลงเท่านั้น แต่มันยังส่งผลทางโครงสร้างเศรษฐกิจที่ผิดคาดอีกด้วย นักประวัติศาสตร์-เศรษฐศาสตร์ เฟอร์นัล บรูเดล (Fernand Braudel) ได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับกาฬมรณะไว้อย่างน่าสนใจว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ระหว่างภายหลังศตวรรษที่ 14 กับช่วงศตวรรษที่ 15 ศาสนจักรเสื่อมอำนาจลงผู้ดำรงตำแหน่งทางสังคมเปลี่ยนจากพวกศาสนจักรเป็นสามัญชน และทำให้เกิดการประท้วงของชนชั้นสามัญไปทั่วทั้งยุโรป

ยุโรปก่อนหน้านี้เคยประสบปัญหาภาวะประชากรล้นเมือง มีความเห็นว่ากาฬมรณะทำให้ประชากรลดลงราว 30%-50% ส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น มีที่ดินและอาหารเพียงพอจัดสรรให้ชนชั้นสามัญ แต่ว่าความเห็นนี้ยังเป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงกันอยู่ เพราะว่าประชากรชาวยุโรป เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1420 จนกระทั่งเริ่มเพิ่มขึ้นอีกทีในปี 1470 ดังนั้นกาฬมรณะจึงยังไม่มีเหตุผลสนับสนุนที่มีน้ำหนักพอ กับประเด็นที่ว่ามีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจพัฒนาขึ้นหรือไม่

การสูญเสียประชากรอย่างมาก ทำให้เกิดการแข่งขันแย่งชิงแรงงานระหว่างนายที่ดิน โดยการเพิ่มค่าแรง และสวัสดิการแรงงานเพื่อดึงดูดใจแรงงานที่มีอยู่อย่างจำกัด จากภาวะขาดแคลนแรงงานนี้เอง ทำให้ชนชั้นสามัญมีโอกาสเรียกร้องสิทธิที่มากขึ้น และเป็นเวลากว่า 120 ปี ประชากรชาวยุโรปจึงจะเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. ABC/Reuters (29 January 2008). "Black death 'discriminated' between victims (ABC News in Science)". Australian Broadcasting Corporation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 December 2016. สืบค้นเมื่อ 3 November 2008.
  2. "Health: De-coding the Black Death". BBC. 3 October 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 July 2017. สืบค้นเมื่อ 3 November 2008.
  3. "Black Death's Gene Code Cracked". Wired. 3 October 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 April 2015. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
  4. "Plague". World Health Organization. October 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 April 2015. สืบค้นเมื่อ 8 November 2017.
  5. Firth, John (April 2012). "The History of Plague – Part 1. The Three Great Pandemics". jmvh.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 October 2019. สืบค้นเมื่อ 14 November 2019.
  6. Austin Alchon, Suzanne (2003). A pest in the land: new world epidemics in a global perspective. University of New Mexico Press. p. 21. ISBN 978-0-8263-2871-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 April 2019. สืบค้นเมื่อ 16 October 2015.
  7. "Historical Estimates of World Population". Census.gov. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 May 2019. สืบค้นเมื่อ 28 April 2019.
  8. Jay, Peter (17 July 2000). "A Distant Mirror". TIME Europe. 156 (3). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2008. สืบค้นเมื่อ 25 January 2018.
  9. Nauert, Charles G. (2006). The A to Z of the Renaissance. Scarecrow Press. p. 106. ISBN 978-1-4617-1896-3.
  10. Jussila, Heikki; Majoral, Roser (2018). Sustainable Development and Geographical Space: Issues of Population, Environment, Globalization and Education in Marginal Regionsons. Routledge. p. 13. ISBN 978-1-351-72481-4.
  11. Goldthwaite, Richard A. (2009). The economy of Renaissance Florence. Johns Hopkins University Press. p. 278. ISBN 978-0-8018-8982-0.
  12. Hollingsworth, Julia. "Black Death in China: A history of plagues, from ancient times to now". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2020. สืบค้นเมื่อ 24 March 2020.
  13. Bramanti, Barbara; Stenseth, Nils Chr; Walløe, Lars; Lei, Xu (2016). "Plague: A Disease Which Changed the Path of Human Civilization". Advances in Experimental Medicine and Biology. 918: 1–26. doi:10.1007/978-94-024-0890-4_1. ISBN 978-94-024-0888-1. ISSN 0065-2598. PMID 27722858.
  14. Wade, Nicholas (2010-10-31). "Europe's Plagues Came From China, Study Finds". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2010. สืบค้นเมื่อ 2020-03-01.
  15. "Black Death | Causes, Facts, and Consequences". Encyclopædia Britannica (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2019. สืบค้นเมื่อ 2020-03-01.
  16. Wade, Nicholas. "Black Death's Origins Traced to China". query.nytimes.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-03-01.
  17. "Black Death". BBC – History. 17 February 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 August 2019. สืบค้นเมื่อ 20 December 2019.
  18. * On page 22 of the manuscript in Gallica. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 ตุลาคม 2016., Simon mentions the phrase "mors nigra" (Black Death): "Cum rex finisset oracula judiciorum / Mors nigra surrexit, et gentes reddidit illi;" (When the king ended the oracles of judgment / Black Death arose, and the nations surrendered to him;).
    • A more legible copy of the poem appears in: Emile Littré (1841) Opuscule relatif à la peste de 1348, composé par un contemporain. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 กรกฎาคม 2014. (Work concerning the plague of 1348, composed by a contemporary), Bibliothèque de l'école des chartes, 2 (2) : 201–243; see especially p. 228.
    • See also: Joseph Patrick Byrne, The Black Death (Westport, Connecticut: Greenwood Press, 2004), p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 เมษายน 2016.
  19. Francis Aidan Gasquet, The Black Death of 1348 and 1349, 2nd ed. (London, England: George Bell and Sons, 1908), p. 7. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 พฤษภาคม 2016. Johan Isaksson Pontanus, Rerum Danicarum Historia ... (Amsterdam (Netherlands): Johann Jansson, 1631), p. 476. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 พฤษภาคม 2016.
  20. The German physician Justus Friedrich Karl Hecker (1795–1850) cited the phrase in Icelandic (Svarti Dauði), Danish (den sorte Dod), etc. See: J. F. C. Hecker, Der schwarze Tod im vierzehnten Jahrhundert [The Black Death in the Fourteenth Century] (Berlin, (Germany): Friedr. Aug. Herbig, 1832), page 3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 เมษายน 2016.
  21. See: Stephen d'Irsay (May 1926) "Notes to the origin of the expression: atra mors," Isis, 8 (2): 328–332.
  22. de Corbeil, Gilles (1907) [1200]. Valentin, Rose (บ.ก.). Egidii Corboliensis Viaticus: De signis et symptomatibus aegritudium. Bibliotheca scriptorum medii aevi Teubneriana (ภาษาละติน). Harvard University.
  23. Oxford English Dictionary, 3rd edition, s.v.
  24. Pontoppidan, Erich (1755). The Natural History of Norway: …. London, England: A. Linde. p. 24. From p. 24: "Norway, indeed, cannot be said to be entirely exempt from pestilential distempers, for the Black-death, known all over Europe by its terrible ravages, from the years 1348 to 50, was felt here as in other parts, and to the great diminution of the number of the inhabitants."
  25. J. M. Bennett and C. W. Hollister, Medieval Europe: A Short History (New York: McGraw-Hill, 2006), p. 326.
  26. John of Fordun's Scotichronicon ("there was a great pestilence and mortality of men") Horrox, Rosemary (1994). Black Death. ISBN 978-0-7190-3498-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 พฤษภาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2015.
  27. Ziegler 1998, p. 25.
  28. Garrett L (2005). "The Black Death". HIV and National Security: 17–19. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 ตุลาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 3 ธันวาคม 2020.
  29. Wade, Nicholas (31 October 2010). "Europe's Plagues Came From China, Study Finds". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2010. สืบค้นเมื่อ 25 March 2020. The great waves of plague that twice devastated Europe and changed the course of history had their origins in China, a team of medical geneticists reported Sunday, as did a third plague outbreak that struck less harmfully in the 19th century. ... In the issue of Nature Genetics published online Sunday, they conclude that all three of the great waves of plague originated from China, where the root of their tree is situated. ... The likely origin of the plague in China has nothing to do with its people or crowded cities, Dr. Achtman said. The bacterium has no interest in people, whom it slaughters by accident. Its natural hosts are various species of rodent such as marmots and voles, which are found throughout China.
  30. Galina Eroshenko et al. (2017) “Yersinia Pestis Strains of Ancient Phylogenetic Branch 0.ANT Are Widely Spread in the High-Mountain Plague Foci of Kyrgyzstan,” PLoS ONE, XII (e0187230); discussed in Philip Slavin, "Death by the Lake: Mortality Crisis in Early Fourteenth-Century Central Asia"., Journal of Interdisciplinary History 50/1 (Summer 2019): 59–90.
  31. Zhang, Sarah (6 ธันวาคม 2018). "An Ancient Case of the Plague Could Rewrite History". The Atlantic. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2019.
  32. "Modern lab reaches across the ages to resolve plague DNA debate". phys.org. May 20, 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2019. สืบค้นเมื่อ 22 March 2020.
  33. Maria Cheng (January 28, 2014). "Plague DNA found in ancient teeth shows medieval Black Death, 1,500-year pandemic caused by same disease". National Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 March 2015. สืบค้นเมื่อ 22 March 2020.
  34. The Cambridge History of China: Alien regimes and border states, 907–1368, p. 585.
  35. Kohn, George C. (2008). Encyclopedia of plague and pestilence: from ancient times to the present. Infobase Publishing. p. 31. ISBN 978-0-8160-6935-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 16 October 2015.
  36. Sussman GD (2011). "Was the black death in India and China?". Bulletin of the History of Medicine. 85 (3): 319–55. doi:10.1353/bhm.2011.0054. PMID 22080795. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 May 2012. สืบค้นเมื่อ 14 May 2012.
  37. Moore, Malcolm (1 พฤศจิกายน 2010). "Black Death may have originated in China". The Daily Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 ตุลาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 2 เมษายน 2018.
  38. Hecker 1859, p. 21 cited by Ziegler, p. 15.
  39. Wheelis M. Biological Warfare at the 1346 Siege of Caffa. Emerging Infectious Diseases. 2002;8(9):971–75. doi:10.3201/eid0809.010536.
  40. Barras, Vincent; Greub, Gilbert (June 2014). "History of biological warfare and bioterrorism". Clinical Microbiology and Infection. 20 (6): 498. doi:10.1111/1469-0691.12706. PMID 24894605. In the Middle Ages, a famous although controversial example is offered by the siege of Caffa (now Feodossia in Ukraine/Crimea), a Genovese outpost on the Black Sea coast, by the Mongols. In 1346, the attacking army experienced an epidemic of bubonic plague. The Italian chronicler Gabriele de’ Mussi, in his Istoria de Morbo sive Mortalitate quae fuit Anno Domini 1348, describes quite plausibly how the plague was transmitted by the Mongols by throwing diseased cadavers with catapults into the besieged city, and how ships transporting Genovese soldiers, fleas and rats fleeing from there brought it to the Mediterranean ports. Given the highly complex epidemiology of plague, this interpretation of the Black Death (which might have killed >25 million people in the following years throughout Europe) as stemming from a specific and localized origin of the Black Death remains controversial. Similarly, it remains doubtful whether the effect of throwing infected cadavers could have been the sole cause of the outburst of an epidemic in the besieged city.
  41. "The Black Death". History – Channel 4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 June 2008. สืบค้นเมื่อ 3 November 2008.
  42. Baten, Joerg; Koepke, Nikola (2005). "The Biological Standard of Living in Europe during the Last Two Millennia". European Review of Economic History. 9 (1): 61–95. doi:10.1017/S1361491604001388. hdl:10419/47594 – โดยทาง EBSCO.
  43. Byrne 2004, pp. 21–29
  44. Giovanni Boccaccio (1351). Decameron.
  45. Ziegler 1998, pp. 18–19.
  46. D. Herlihy, The Black Death and the Transformation of the West (Harvard University Press: Cambridge, Massachusetts, 1997, p. 29.

บรรณานุกรม

แก้

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้