อ็องเรียต มารีแห่งฝรั่งเศส
อ็องเรียต มารีแห่งฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Henriette Marie de France; อังกฤษ: Henrietta Maria of France; 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1609 — 10 กันยายน ค.ศ. 1669) พระองค์ทรงเป็นเจ้าหญิงแห่งฝรั่งเศส และได้ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ ในฐานะพระมเหสีของ พระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ (Charles I of England) ชีวิตของพระองค์เต็มไปด้วยความผันผวนทางการเมือง สงคราม และความโศกเศร้าจากการต้องลี้ภัยและสูญเสียพระสวามีไปในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของอังกฤษ
อ็องเรียต มารี | |
---|---|
สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ | |
![]() | |
สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ, สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ | |
ดำรงพระยศ | 13 มิถุนายน ค.ศ. 1625 – 30 มกราคม ค.ศ. 1649 |
ก่อนหน้า | อันนาแห่งเดนมาร์ก |
ถัดไป | กาตารีนาแห่งบรากังซา |
ประสูติ | 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1609 พระราชวังลูฟวร์ ปารีส ฝรั่งเศส |
สวรรคต | 10 กันยายน ค.ศ. 1669 ชาโตเดอโกลอมบ์ โคลอมบ์ ฝรั่งเศส | (59 ปี)
ฝังพระศพ | 13 กันยายน ค.ศ. 1669 มหาวิหารแซ็ง-เดอนี แซ็ง-เดอนี ฝรั่งเศส |
พระสวามี | พระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ |
พระราชบุตร |
|
ราชวงศ์ | บูร์บง (โดยกำเนิด) สจวต (โดยสมรส) |
พระราชบิดา | พระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส |
พระราชมารดา | มารีอา เด เมดีชี |
ศาสนา | นิกายโรมันคาทอลิก |
ลายพระอภิไธย | ![]() |
ชีวิตช่วงต้น
แก้อ็องเรียต มารีแห่งฝรั่งเศส ถือกำเนิดในฐานะเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์บูร์บงอันทรงอำนาจของฝรั่งเศส ชีวิตช่วงต้นของเธอจึงถูกกำหนดโดยสถานะทางราชวงศ์และบริบททางการเมืองของยุโรปในต้นศตวรรษที่ 17 ซึ่งเต็มไปด้วยการช่วงชิงอำนาจระหว่างราชวงศ์คาทอลิกและโปรเตสแตนต์
เธอประสูติ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1609 ณ พระราชวังลูฟวร์ (Louvre Palace) อันโอ่อ่าในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจและวัฒนธรรมของยุโรป เธอเป็นพระธิดาองค์สุดท้องของ พระเจ้าอองรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส (Henry IV of France) ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถรวมฝรั่งเศสให้เป็นปึกแผ่นหลังสงครามศาสนา และเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์บูร์บงแห่งฝรั่งเศส ส่วนพระมารดาคือ มารี เดอ เมดีชี (Marie de' Medici) ซึ่งเป็นเจ้าหญิงจากตระกูลเมดีชีอันมั่งคั่งและมีอิทธิพลแห่งฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
การมีพระบิดาเป็นกษัตริย์ผู้แข็งแกร่งและพระมารดาจากตระกูลที่ร่ำรวยและมีสายเลือดราชวงศ์อื่น ๆ ผสมผสานกัน ทำให้อ็องเรียต มารี มีสายเลือดราชวงศ์ที่หลากหลายและมีเครือข่ายเชื่อมโยงไปทั่วยุโรป เธอเป็นพระขนิษฐา (น้องสาว) ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส (Louis XIII of France) ซึ่งจะขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดา นอกจากนี้ เธอยังเป็นพระปิตุจฉา (อา) ของเจ้าหญิงมารี-หลุยส์แห่งออร์เลอ็อง ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นพระราชินีแห่งสเปน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันซับซ้อนของราชวงศ์ในยุคนั้น
ชีวิตในวัยเยาว์ของอ็องเรียต มารี ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อพระบิดาเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน จากการลอบปลงพระชนม์ ในปี ค.ศ. 1610 เมื่อเธอมีพระชนมายุเพียง 1 ขวบ การจากไปของพระบิดาทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 พระเชษฐา ขึ้นครองราชย์ ในขณะที่ยังทรงพระเยาว์ และ มารี เดอ เมดีชี พระมารดา จึงเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การที่ต้องเติบโตมาในราชสำนักที่อยู่ภายใต้การสำเร็จราชการนี้ ทำให้เธอได้เห็นและสัมผัสถึงความซับซ้อนของการเมืองในราชสำนักฝรั่งเศส รวมถึงความขัดแย้งและการแก่งแย่งชิงอำนาจที่เกิดขึ้น
ภายใต้การดูแลของพระมารดา อ็องเรียต มารี ได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างเคร่งครัดตามหลักศาสนา โรมันคาทอลิก ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของฝรั่งเศสในขณะนั้น ความศรัทธาอันแรงกล้านี้จะฝังแน่นอยู่ในตัวเธอไปตลอดชีวิต และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและโชคชะตาของเธอ เมื่อย้ายไปยังอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศโปรเตสแตนต์
นอกจากนี้ การศึกษาของเจ้าหญิงในราชสำนักฝรั่งเศสยังรวมถึงการเรียนรู้ภาษา วรรณกรรม ดนตรี การเต้นรำ และธรรมเนียมปฏิบัติของราชสำนัก อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับการฝึกฝนด้านการเมืองการปกครองมากนัก ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับเจ้าหญิงในยุคนั้นที่บทบาทหลักคือการเป็นเครื่องมือทางการทูตเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านการอภิเษกสมรส
การเติบโตขึ้นในราชสำนักฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยพิธีรีตองและความหรูหราอลังการ แต่ก็แฝงไปด้วยความรุนแรงทางการเมืองเบื้องหลัง ทำให้เธอมีบุคลิกที่ซับซ้อน เธอเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น กล้าหาญ และยึดมั่นในอุดมการณ์ แต่ก็อาจขาดความเข้าใจในความละเอียดอ่อนทางการเมืองของชาติอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาติที่แตกต่างทางศาสนาอย่างอังกฤษ
ภูมิหลังที่แข็งแกร่งในราชวงศ์บูร์บงแห่งฝรั่งเศส และการเป็นเจ้าหญิงคาทอลิกในยุคแห่งสงครามศาสนา ทำให้ชีวิตของอ็องเรียต มารี ถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเตรียมพร้อมให้เธอเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่ยิ่งใหญ่ ในฐานะสมเด็จพระราชินีของประเทศอังกฤษในอนาคต
การอภิเษกสมรส
แก้การอภิเษกสมรสของ อ็องเรียต มารี กับ พระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1625 ไม่ได้เป็นเรื่องของความรัก แต่เป็นการจัดแจงทางการเมืองที่สำคัญ จุดประสงค์หลัก คือ การสร้างพันธมิตรระหว่างสองมหาอำนาจของยุโรป อย่างราชอาณาจักรฝรั่งเศส ซึ่งเป็นมหาอำนาจคาทอลิก และราชอาณาจักรอังกฤษ ซึ่งเป็นมหาอำนาจโปรเตสแตนต์ การเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานนี้ถูกมองว่าเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างสมดุลอำนาจในยุโรป หลังจากสงครามสามสิบปี (Thirty Years' War)
พิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นครั้งแรก ในรูปแบบ การอภิเษกสมรสโดยฉันทะ (marriage by proxy) ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1625 โดย ดยุกแห่งเชฟเริส (Duke of Chevreuse) ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 หลังจากนั้นไม่นาน อ็องเรียต มารี ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ก็ได้เดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษ เพื่อเข้าสู่ประเทศใหม่และพบกับพระสวามี ณ เมืองแคนเทอร์เบอรี
เมื่อมาถึงอังกฤษ เธอต้องเผชิญกับ ภาวะวัฒนธรรมช็อก (culture shock) อย่างรุนแรง ราชสำนักอังกฤษ ภายใต้พระเจ้าชาลส์ที่ 1 นั้นเคร่งครัดและระมัดระวังตัวสูง ต่างจากราชสำนักฝรั่งเศสที่เธอคุ้นเคย ซึ่งมีชีวิตชีวาและเปิดกว้างกว่ามาก แต่ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของศาสนา อ็องเรียต มารี เป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดอย่างแรงกล้า เธอมาพร้อมกับคณะนักบวชคาทอลิกและตั้งใจที่จะประกอบศาสนกิจตามความเชื่อของตนอย่างไม่ลดละ ซึ่งสิ่งนี้ขัดแย้งโดยตรงกับสภาพแวดล้อมในอังกฤษที่นับถือ ศาสนาโปรเตสแตนต์ (นิกายแองกลิคัน) และมีกลุ่มเพียวริตัน (Puritans) ที่ทรงอิทธิพลในรัฐสภา ซึ่งต่อต้านคาทอลิกอย่างรุนแรง การที่พระราชินีเป็นคาทอลิก ทำให้พระองค์ถูกมองด้วยความหวาดระแวงและสงสัยว่าเป็นภัยคุกคามต่อศาสนาประจำชาติ นอกจากนี้ การปรับตัวเข้ากับภาษาอังกฤษและธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างก็เป็นไปอย่างยากลำบาก อุปนิสัยที่รักความบันเทิง การเต้นรำ การแสดงละคร และการแต่งกายตามแฟชั่นแบบฝรั่งเศสของเธอ ยังถูกมองว่าฟุ่มเฟือยและไม่เหมาะสมโดยกลุ่มอนุรักษ์นิยมในอังกฤษ
ในช่วงปีแรกของการอภิเษกสมรส ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ไม่ราบรื่นนัก พระเจ้าชาลส์ทรงไม่พอใจต่ออิทธิพลของคณะข้าราชบริพารและนักบวชชาวฝรั่งเศสที่ติดตามพระมเหสีมา ถึงขั้นที่พระองค์สั่งปลดข้าราชบริพารชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ออกไป ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่อ็องเรียต มารี และทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น หลังจากการลอบสังหารดยุกแห่งบัคกิงแฮม ผู้เป็นคนสนิทของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ในปี ค.ศ. 1628 การจากไปของ ดยุกแห่งบัคกิงแฮม ทำให้พระเจ้าชาลส์ทรงหันมาพึ่งพระมเหสีมากขึ้น และทั้งสองพระองค์ก็เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์จากที่เคยห่างเหินไปสู่ความรักและความผูกพันที่ลึกซึ้ง
ทั้งพระเจ้าชาลส์และอ็องเรียต มารี ต่างก็ทรงมีรสนิยมที่ดี ในด้านศิลปะ พวกเขาร่วมกันอุปถัมภ์ศิลปิน นักดนตรี และนักเขียน สร้างสรรค์บรรยากาศทางวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองในราชสำนักอังกฤษ มีการจัดงานแสดงละคร (masques) ที่หรูหราอลังการ ซึ่งอ็องเรียต มารี มักจะร่วมแสดงด้วย ทำให้ราชสำนักอังกฤษในช่วงนั้นมีชีวิตชีวาและเป็นศูนย์กลางของศิลปะในยุโรป นอกจากนี้ อ็องเรียต มารี ทรงให้กำเนิดพระโอรสธิดากับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 รวม 9 พระองค์ ซึ่งรวมถึง พระเจ้าชาลส์ที่ 2 และ พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ซึ่งจะได้กลับคืนสู่บัลลังก์อังกฤษหลังจากการฟื้นฟูราชวงศ์
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของพระองค์ บวกกับความจงรักภักดีในศาสนาคาทอลิก ยังคงเป็นแหล่งที่มาของความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องกับรัฐสภาและกลุ่มเพียวริตัน ที่นับวันยิ่งไม่พอใจในการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 และเกรงกลัวการกลับมาของคาทอลิก อ็องเรียต มารี ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากฝ่ายตรงข้ามว่าเป็น "ราชินีคาทอลิก" ที่พยายาม "ครอบงำ" พระสวามี และนำพาประเทศไปสู่ความหายนะทางการเมืองและศาสนา มีการวาดภาพล้อเลียนและเขียนบทความโจมตีเธออย่างต่อเนื่อง ความตึงเครียดทางศาสนา การเมือง และความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับรัฐสภาค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น จนนำไปสู่จุดแตกหัก เมื่อเกิด สงครามกลางเมืองอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1642 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของอ็องเรียต มารี ไปตลอดกาล
บุตรธิดา
แก้อ็องเรียต มารีแห่งฝรั่งเศส และพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ทรงมีพระโอรสธิดารวมกันทั้งสิ้น 9 พระองค์ ซึ่ง 6 พระองค์รอดชีวิตจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่และมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ และอีก 3 พระองค์สิ้นพระชนม์ในวัยเยาว์ ได้แก่:
- ชาลส์ เจมส์ ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ (Charles James, Duke of Cornwall) (ประสูติและสิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1629) พระโอรสองค์แรก สิ้นพระชนม์เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังประสูติ
- พระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ (Charles II of England) (ประสูติ ค.ศ. 1630 – สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1685): กษัตริย์แห่งอังกฤษ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ ผู้ได้กลับคืนสู่ราชบัลลังก์ หลังการฟื้นฟูราชวงศ์
- เจ้าหญิงแมรี่่่ พระราชกุมารี (Mary, Princess Royal and Princess of Orange) (ประสูติ ค.ศ. 1631 – สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1660): อภิเษกสมรสกับ วิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ และเป็นพระมารดาของพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ (William III of England)
- พระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ (James II of England) (ประสูติ ค.ศ. 1633 – สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1701): กษัตริย์แห่งอังกฤษ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ ผู้ถูกโค่นราชบัลลังก์ในเหตุการณ์ การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์
- เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (Princess Elizabeth) (ประสูติ ค.ศ. 1635 – สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1650): สิ้นพระชนม์ในวัยเยาว์ ระหว่างถูกคุมขังโดยฝ่ายรัฐสภา
- เจ้าหญิงแอนน์ (Princess Anne) (ประสูติ ค.ศ. 1637 – สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1640) สิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุเพียง 3 พรรษา
- เจ้าหญิงแคทเธอรีน (Princess Catherine) (ประสูติและสิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1639) สิ้นพระชนม์เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังประสูติ
- เจ้าชายเฮนรี่ ดยุกแห่งกลอสเตอร์ (Prince Henry, Duke of Gloucester) (ประสูติ ค.ศ. 1640 – สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1660) พระโอรสผู้ถูกคุมขังและลี้ภัย ก่อนจะสิ้นพระชนม์ด้วยไข้ทรพิษ หลังการฟื้นฟูราชวงศ์
- เจ้าหญิงเฮนเรียตตา แอนน์ (Princess Henrietta Anne, Duchess of Orléans) (ประสูติ ค.ศ. 1644 – สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1670): อภิเษกสมรสกับฟิลิปที่ 1 ดยุกแห่งออร์เลอ็อง (พระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส) และเป็นพระมารดาของมารี-หลุยส์แห่งออร์เลอ็อง (สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน) ซึ่งทำให้ อ็องเรียต มารีแห่งฝรั่งเศส เป็นยายของมารี-หลุยส์แห่งออร์เลอ็อง
บทบาทสำคัญในสงครามกลางเมือง
แก้เมื่อความตึงเครียดระหว่างพระเจ้าชาลส์ที่ 1 และรัฐสภาอังกฤษปะทุขึ้นเป็น สงครามกลางเมือง ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1642 บทบาทของ อ็องเรียต มารีก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากราชินีผู้เป็นที่ถกเถียงในราชสำนัก เธอได้ก้าวขึ้นมาเป็น กำลังสำคัญและผู้บัญชาการอย่างไม่เป็นทางการของฝ่ายราชนิยม หรือ ผู้สนับสนุนราชวงศ์ (Royalists) โดยมีเป้าหมายหลักคือการรักษาอำนาจของพระสวามีรวมถึงราชวงศ์สจวตเอาไว้
ก่อนที่สงครามจะปะทุอย่างเต็มตัว ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1642 อ็องเรียต มารีได้ตัดสินใจเดินทางไปยัง เนเธอร์แลนด์ โดยมีข้ออ้างในการไปส่ง เจ้าหญิงแมรี่ พระธิดา ให้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับวิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริง คือ การ ระดมเงินทุนและอาวุธ เพื่อสนับสนุนพระสวามีที่กำลังเผชิญหน้ากับรัฐสภา เธอได้นำ เครื่องเพชรพลอยและมงกุฎราชกกุธภัณฑ์ ของอังกฤษไปจำนำและขายเพื่อแลกเป็นเงินก้อนใหญ่ (บางแหล่งระบุว่าสูงถึงสองล้านปอนด์) ซึ่งนำไปใช้จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ กระสุน และว่าจ้างทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์จากยุโรป การกระทำของเธอในครั้งนี้แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวและเป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากภาพลักษณ์ของราชินีผู้รักความหรูหราที่หลายคนเคยรู้จัก
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1643 อ็องเรียต มารีได้เสด็จกลับอังกฤษอย่างกล้าหาญ โดยทรงนำกองเรือที่บรรทุกอาวุธและกำลังพลขึ้นฝั่งที่ บริดลิงตัน ยอร์กเชียร์ การเดินทางกลับนี้เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อเรือของพระองค์ถูกกองเรือของรัฐสภายิงโจมตี แต่พระองค์ก็ยังทรงรอดมาได้ หลังจากการขึ้นฝั่ง พระองค์ได้ทรงจัดตั้งกองบัญชาการที่ ยอร์ก และได้ลงมือ ฟื้นฟูกำลังใจของฝ่ายราชนิยมในภาคเหนือของอังกฤษ อย่างกระตือรือร้น ทรงเข้าร่วมประชุมสภาการสงคราม (council of war) และแสดงความคิดเห็นอย่างแข็งขัน ทรงมีส่วนร่วมในการเจรจาลับกับผู้บัญชาการฝ่ายรัฐสภาบางรายที่เปลี่ยนมาเข้ากับฝ่ายกษัตริย์ เช่น เซอร์ฮิวจ์ โคลมลีย์ (Sir Hugh Cholmeley, 1st Baronet) ซึ่งทำให้ฝ่ายราชนิยมสามารถยึดปราสาทสการ์โบโรห์ (Scarborough Castle) มาได้ พระองค์ทรงเดินทางไปพบปะทหารและเรียกตัวเองอย่างติดตลกว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดหญิง" (Generalissima) ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่กล้าหาญและไม่เคยมีมาก่อนสำหรับราชินีในยุคนั้น
หลังจากประสบความสำเร็จในการรวบรวมกำลังในภาคเหนือ พระองค์ได้นำกองกำลังพร้อมด้วยเสบียงและอาวุธเดินทางลงใต้เพื่อสมทบกับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ซึ่งได้ตั้งฐานบัญชาการอยู่ที่เมืองอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford) ในระหว่างการเดินทาง เธอสามารถยึดเมืองสำคัญอย่าง เบอร์ตัน-อัพพอน-เทรนต์ (Burton upon Trent) ได้ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างภาคเหนือและใต้ของอังกฤษ การรวมตัวกันของทั้งสองพระองค์ที่อ็อกซ์ฟอร์ด ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1643 เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการรวมพลังของฝ่ายราชนิยม
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์สงครามเริ่มพลิกผันและฝ่ายราชนิยมเริ่มเสียเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญในสมรภูมินาสบี (Battle of Naseby) ในปี ค.ศ. 1645 และเมื่อเธอทรงตั้งครรภ์พระโอรสธิดาองค์สุดท้าย (เจ้าหญิงเฮนเรียตตา แอนน์) อ็องเรียต มารีก็ถูกบีบให้ต้องลี้ภัยกลับไปยังฝรั่งเศสอีกครั้ง ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1644 แม้จะประทับอยู่ในต่างแดนและป่วยหนัก แต่เธอก็ยังคงติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 อย่างต่อเนื่อง ทรงให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ และพยายามโน้มน้าวให้พระเจ้าชาลส์ไม่ยอมแพ้ต่อข้อเรียกร้องของรัฐสภา รวมถึงยังคงพยายามแสวงหาความช่วยเหลือจากนานาชาติ ทั้งจาก ฝรั่งเศส พระสันตะปาปา เนเธอร์แลนด์ และประเทศอื่นๆ เพื่อสนับสนุนฝ่ายราชนิยมอย่างไม่ลดละ
แม้ความพยายามของเธอจะไม่สามารถพลิกสถานการณ์ของสงครามให้ฝ่ายราชนิยมได้รับชัยชนะ แต่บทบาทของอ็องเรียต มารีในสงครามกลางเมืองนั้นไม่สามารถมองข้ามได้ เธอแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้งต่อพระสวามี และความสามารถในการปฏิบัติการทางการเมืองและการทหาร ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ซึ่งทำให้เธอถูกยกย่องว่าเป็น "ราชินีนักรบ" ในสายตาของบางคน และเป็นที่หวาดกลัวของฝ่ายรัฐสภาที่พยายามจะประณามเธอว่าเป็นผู้บงการและเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของอังกฤษ
การลี้ภัยและการสูญเสีย
แก้เมื่อสงครามกลางเมืองอังกฤษ ดำเนินไปอย่างดุเดือดและสถานการณ์เริ่มพลิกผันไปในทางที่ฝ่ายราชนิยมของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 เสียเปรียบอย่างหนัก ชีวิตของ อ็องเรียต มารี ก็เข้าสู่บทบาทแห่งการลี้ภัยและความสูญเสียครั้งใหญ่
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1644 หลังจากที่เธอพยายามอย่างเต็มที่ ในการระดมกำลังและอาวุธในภาคเหนือเพื่อสนับสนุนพระสวามี ขณะที่กำลังทรงตั้งครรภ์พระธิดาองค์สุดท้าย (เจ้าหญิงเฮนเรียตตา แอนน์) เธอถูกบีบให้ต้องลี้ภัยกลับไปยังประเทศฝรั่งเศสอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากและความเสี่ยงด้านสุขภาพ เมื่อไปถึงฝรั่งเศส เธอได้รับการต้อนรับจากพระเชษฐาคือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 และ พระราชนัดดา คือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส แต่การลี้ภัยก็ไม่ได้หมายถึงความสงบสุขอย่างแท้จริง
แม้จะอยู่ห่างจากสนามรบในอังกฤษ แต่อ็องเรียต มารี ก็ยังคงจดจ่ออยู่กับการช่วยเหลือพระสวามี เธอติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 อย่างต่อเนื่องผ่านจดหมาย ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ และพยายามโน้มน้าวให้พระองค์ไม่ยอมแพ้ต่อข้อเรียกร้องของรัฐสภา และยังคงแสวงหาความช่วยเหลือจากนานาชาติอย่างไม่ลดละ ทั้งจากพระสันตะปาปาในกรุงโรม รัฐต่าง ๆ ในอิตาลี และราชสำนักคาทอลิกอื่น ๆ ในยุโรป เพื่อระดมทุนและกำลังพล มาสนับสนุนฝ่ายราชนิยมในอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ความพยายามของเธอก็ไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ของสงคราม
ข่าวร้ายที่สุดมาถึง ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1649 เมื่อพระเจ้าชาลส์ที่ 1 พระสวามีผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอ ถูกจับกุมและสำเร็จโทษ โดยรัฐสภาอังกฤษ เหตุการณ์นี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของอ็องเรียต มารี เธอเสียใจอย่างหนักและไม่สามารถทำใจยอมรับการสูญเสียครั้งนี้ได้เลย การสำเร็จโทษกษัตริย์เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อังกฤษ และสร้างความตกตะลึงไปทั่วยุโรป อ็องเรียต มารี ในฐานะราชินีม่ายที่ถูกเนรเทศ ได้เห็นการล่มสลายของราชวงศ์และการสถาปนา ระบอบสาธารณรัฐ ในอังกฤษ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอไม่เคยคาดคิด
ชีวิตในช่วงหลายปี หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระสวามีเต็มไปด้วยความยากลำบากทางการเงินและความหวังที่ริบหรี่ เธอต้องเลี้ยงดูพระโอรสธิดาที่ลี้ภัยมาพร้อมกับเธอในฝรั่งเศส ซึ่งรวมถึง เจ้าชายชาลส์ (ต่อมาคือพระเจ้าชาลส์ที่ 2) และ เจ้าชายเจมส์ (ต่อมาคือพระเจ้าเจมส์ที่ 2) โดยต้องพึ่งพาเงินสนับสนุนจากราชสำนักฝรั่งเศสและเงินจำนำทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่เหลืออยู่ แม้จะอยู่ในสภาพเช่นนั้น เธอก็ยังคงเป็น ศูนย์รวมของกลุ่มผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์สจวตที่กระจัดกระจายอยู่ในต่างแดน และพยายามรักษาความหวังในการฟื้นฟูราชบัลลังก์อังกฤษไว้ตลอดเวลา
ในที่สุด หลังจากเกือบสองทศวรรษของการลี้ภัยและการปกครองแบบสาธารณรัฐในอังกฤษ โอกาสก็มาถึง ในปี ค.ศ. 1660 พระเจ้าชาลส์ที่ 2 (Charles II of England) พระโอรสของเธอ ได้กลับคืนสู่ราชบัลลังก์อังกฤษ ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า การฟื้นฟูราชวงศ์ (Restoration) อ็องเรียต มารี รู้สึกยินดีอย่างยิ่งและมีโอกาสได้กลับมายังอังกฤษในช่วงสั้นๆ เพื่อพบปะกับพระโอรสและพระธิดาอีกครั้ง เธอได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ ในฐานะพระมารดาของกษัตริย์ อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาทางสุขภาพที่รุมเร้า และสภาพอากาศของอังกฤษที่ไม่เหมาะกับเธอ ทำให้เธอตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายในฝรั่งเศสอีกครั้ง
การสิ้นพระชนม์ และ มรดก
แก้เมื่อเหตุการณ์ฟื้นฟูราชวงศ์ ในปี ค.ศ. 1660 ได้นำพระโอรสของเธอ พระเจ้าชาลส์ที่ 2 กลับขึ้นครองราชบัลลังก์อังกฤษอีกครั้ง หลังจากเกือบสองทศวรรษของการลี้ภัยและความโศกเศร้า อ็องเรียต มารีก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธอได้กลับมายังอังกฤษในช่วงสั้น ๆ เพื่อสัมผัสกับชัยชนะที่รอคอยมานาน และได้เห็นพระโอรสของเธอนั่งบนบัลลังก์อีกครั้ง พระองค์ได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ ในฐานะพระมารดาของกษัตริย์ และประทับอยู่ที่ ซัมเมอร์เซ็ต เฮาส์ (Somerset House) ในลอนดอน ซึ่งเป็นตำหนักที่เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ก่อนสงคราม แต่ด้วยปัญหาสุขภาพที่รุมเร้า ซึ่งรวมถึงโรคร้ายและอาการเจ็บปวดต่าง ๆ และสภาพอากาศของอังกฤษที่ไม่เหมาะกับพระวรกายที่อ่อนแอลง เธอจึงตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายในฝรั่งเศสอีกครั้ง
อ็องเรียต มารีแห่งฝรั่งเศส สิ้นพระชนม์อย่างสงบ เมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1669 ณ ชาโตเดอโกลอมบ์ (Château de Colombes) ซึ่งเป็นพระตำหนักที่อยู่ใกล้กับกรุงปารีส สิริพระชนมายุ 59 พรรษา พระศพของพระองค์ถูกนำไปฝังไว้ ณ มหาวิหารแซงต์-เดอนี (Basilica of Saint-Denis) ซึ่งเป็นสุสานหลวงดั้งเดิมของราชวงศ์ฝรั่งเศส การจากไปของเธอถือเป็นการปิดฉากชีวิตที่เต็มไปด้วยความผันผวนอย่างไม่เคยมีมาก่อนสำหรับราชินีแห่งอังกฤษ
มรดกของอ็องเรียต มารีแห่งฝรั่งเศสนั้นซับซ้อนและได้รับการตีความที่หลากหลายตลอดประวัติศาสตร์ เธอไม่ใช่ราชินีที่ถูกมองอย่างเรียบง่าย แต่เป็นบุคคลที่สะท้อนถึงความขัดแย้งและจุดเปลี่ยนสำคัญของยุคสมัย บทบาทที่สำคัญที่สุดของเธอคือการเป็นราชินีคาทอลิกในประเทศโปรเตสแตนต์ ความจงรักภักดีในศาสนาคาทอลิกของเธอ การมีนักบวชคาทอลิกในราชสำนัก และความพยายามที่จะผ่อนปรนนโยบายต่อชาวคาทอลิก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จุดประกายความหวาดระแวงและความไม่พอใจจากรัฐสภาและกลุ่มเพียวริตัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง ทำให้เธอตกเป็นสัญลักษณ์ของ "ภัยคุกคามคาทอลิก" ในสายตาของฝ่ายตรงข้าม
อีกด้านหนึ่งที่อ่อนโยนและสร้างสรรค์ของเธอคือการเป็น ผู้อุปถัมภ์ศิลปะและวัฒนธรรม เธอมีบทบาทสำคัญในการนำแฟชั่น ศิลปะ ดนตรี และการแสดงละคร (masques) แบบยุโรปภาคพื้นทวีปเข้ามาสู่ราชสำนักอังกฤษ ทำให้เกิดยุคทองของศิลปะ ในสมัยต้นราชวงศ์สจวต ราชสำนักของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 และอ็องเรียต มารีกลายเป็นศูนย์รวมของศิลปินและนักสร้างสรรค์ ซึ่งทิ้งมรดกทางศิลปะไว้มากมาย นอกจากนี้ ในช่วงสงครามกลางเมือง บทบาทของเธอได้เปลี่ยนจากราชินีผู้รักความงามมาเป็นผู้บัญชาการและนักระดมทุนที่กล้าหาญ การเดินทางไปยุโรปเพื่อระดมเงินและอาวุธ การนำกองกำลังขึ้นฝั่งอย่างอันตราย และการเข้าร่วมในสภาการสงคราม ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว ความจงรักภักดีต่อพระสวามี และความสามารถในการเผชิญหน้ากับวิกฤต ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่น่าประทับใจสำหรับราชินีในยุคนั้น
ชีวิตของอ็องเรียต มารีเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เธอสูญเสียพระบิดาตั้งแต่ยังเล็ก สูญเสียบุตรธิดาหลายพระองค์ในวัยเยาว์ ต้องลี้ภัยออกจากประเทศถึงสองครั้ง และต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดคือการสำเร็จโทษพระสวามี อย่างไรก็ตาม เธอแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งและอดทนในการเลี้ยงดูพระโอรสธิดาในต่างแดน และรักษาความหวังในการฟื้นฟูราชวงศ์ไว้เสมอ สุดท้าย เธอเป็นพระมารดาของ พระเจ้าชาลส์ที่ 2 และ พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ได้กลับมาครองราชย์ในอังกฤษ แนวคิดบางอย่างของเธอ รวมถึงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อคาทอลิก ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองของพระโอรสในภายหลัง อ็องเรียต มารีแห่งฝรั่งเศส จึงเป็นมากกว่าแค่ราชินีของกษัตริย์ เธอคือบุคคลสำคัญที่ต้องเผชิญหน้ากับความแตกแยกทางศาสนา การเมือง และสังคมในยุคที่อังกฤษกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน ชีวิตของเธอสะท้อนถึงพลังและความเปราะบางของสถาบันกษัตริย์ในยุคแห่งการปฏิวัติ และทิ้งร่องรอยไว้ในประวัติศาสตร์อังกฤษอย่างมิอาจลืมเลือน
พระอิสริยยศ
แก้- ค.ศ. 1609 – ค.ศ. 1625: เจ้าหญิงแห่งฝรั่งเศส (Fille de France)
- ค.ศ. 1625 – ค.ศ. 1649: สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ (Her Majesty The Queen of England)
- ค.ศ. 1649 – ค.ศ. 1660: สมเด็จพระราชินีม่ายแห่งอังกฤษ (Her Majesty The Queen Dowager of England)
- ค.ศ. 1660 – ค.ศ. 1669: สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง (Her Majesty The Queen Mother)
อ้างอิง
แก้- Plowden, Alison. Henrietta Maria: Charles I's Indomitable Queen. Sutton Publishing, 2005.
- Bone, Quentin. Henrietta Maria, Queen of the Cavaliers. University of Illinois Press, 1972.
- Purkiss, Diane. The English Civil War: A People's History. Harper Perennial, 2007.
- Wedgwood, C.V. The King's War: 1641-1647. London: Collins, 1958.
- Fraser, Antonia. Charles II. Weidenfeld & Nicolson, 1979.
- https://en.wikipedia.org/wiki/Henrietta_Maria_of_France
- https://www.britannica.com/biography/Henrietta-Maria
ดูเพิ่ม
แก้ก่อนหน้า | อ็องเรียต มารีแห่งฝรั่งเศส | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
แอนน์แห่งเดนมาร์ก | พระราชินีแห่งอังกฤษ ในพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ |
กาตารีนาแห่งบรากังซา | ||
แอนน์แห่งเดนมาร์ก | พระราชินีแห่งสก๊อตแลนด์ ในพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งสก๊อตแลนด์ |
กาตารีนาแห่งบรากังซา |