อาโวคาโด
อาโวคาโด | |
---|---|
กลุ่มใบและผลของอาโวคาโด | |
ผลสุกของอาโวคาโด | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | พืช |
ไฟลัม: | พืชดอก |
อันดับ: | อบเชย |
วงศ์: | อบเชย |
สกุล: | Persea |
สปีชีส์: | P. americana |
ชื่อทวินาม | |
Persea americana Mill | |
ชื่อพ้อง | |
Persea gratissima |
อาโวคาโด หรือ ลูกเนย (อังกฤษ: avocado) เป็นผลไม้ที่มีเนื้อมันเป็นเนย เป็นต้นไม้พื้นเมืองของรัฐปวยบลาในประเทศเม็กซิโก[1] จัดเป็นพืชดอกในวงศ์ Lauraceae ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกับอบเชย, กระวาน และเบย์ลอเรล (bay laurel) ผลของอาโวคาโดมีรูปทรงคล้ายสาลี่ รูปไข่ หรือรูปกลม มิชชันนารีชาวอเมริกันนำมาปลูกในประเทศไทยครั้งแรกที่จังหวัดน่าน[2] ต่อจากนั้นจึงมีหน่วยงานต่าง ๆ นำอาโวคาโดมาปลูกมากขึ้น
อาโวคาโดเป็นไม้ยืนต้น ต้นโตเต็มที่สูงถึง 18 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน ผิวขรุขระ ใบสีเขียวสด ดอกขนาดเล็ก สีเขียวอมเหลือง ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งผลกลมรีหรือทรงลูกแพร์ มีทั้งพันธุ์เปลือกหนาและเปลือกบาง เนื้อสีเขียวออกเหลือง รสมัน เนื้อละเอียด ไม่มีกลิ่น มีเมล็ดเดียว มีรกหุ้มเมล็ด อาโวคาโดแบ่งเป็น 3 เผ่าคือ[2]
- เผ่ากัวเตมาลา ผลสีเขียว ขั้วผลขรุขระ เมล็ดเรียบเล็กค่อนข้างกลม เนื้อหนา ไขมันสูง ชอบอากาศหนาวเย็นปานกลาง เช่น
- พันธุ์แฮส (Hass)
- พันธุ์พิงค์เคอตัน (Pinkerton)
- เผ่าอินดีสตะวันตก ผิวผลเรียบเป็นมัน สีเขียวอมเหลือง เปลือกหนา เมล็ดอยู่ในโพรงเมล็ดอย่างหลวม ๆ รสหวานอ่อน ไขมันน้อย ชอบอากาศร้อน เช่น
- พันธุ์ปีเตอร์สัน (Peterson)
- เผ่าเม็กซิโก ผลเล็กเรียบ เมื่อแก่สีม่วง เปลือกบางกว่าอีก 2 เผ่า เปลือกหุ้มเมล็ดบาง เมล็ดใหญ่อยู่ในโพรงเมล็ดอย่างหลวม ๆ มีไขมันมากที่สุด ทนอากาศเย็นได้ดีที่สุด
อาโวคาโดเป็นผักที่มีการค้าขายและเพาะปลูกในภูมิอากาศเขตร้อนทั่วโลก (และบางส่วนในเขตอบอุ่น เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย) มีผลสีเขียวทางลูกสาลี่ที่จะสุกหลังการเก็บเกี่ยว ต้นไม้สามารถถ่ายเรณูในต้นเดียวกันได้และบางครั้งการขยายพันธุ์จะใช้การติดตาตอนกิ่งเพื่อที่จะสามารถควบคุมคุณภาพและปริมาณของผลได้
การใช้ประโยชน์
แก้คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) | |
---|---|
พลังงาน | 670 กิโลจูล (160 กิโลแคลอรี) |
8.53 g | |
น้ำตาล | 0.66 g |
ใยอาหาร | 6.7 g |
14.66 g | |
อิ่มตัว | 2.13 g |
ไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่เดี่ยว | 9.80 g |
ไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่ | 1.82 g |
2 g | |
วิตามิน | |
ไทอามีน (บี1) | (6%) 0.067 มก. |
ไรโบเฟลวิน (บี2) | (11%) 0.130 มก. |
ไนอาซิน (บี3) | (12%) 1.738 มก. |
(28%) 1.389 มก. | |
วิตามินบี6 | (20%) 0.257 มก. |
โฟเลต (บี9) | (20%) 81 μg |
วิตามินซี | (12%) 10 มก. |
วิตามินอี | (14%) 2.07 มก. |
วิตามินเค | (20%) 21 μg |
แร่ธาตุ | |
แคลเซียม | (1%) 12 มก. |
เหล็ก | (4%) 0.55 มก. |
แมกนีเซียม | (8%) 29 มก. |
ฟอสฟอรัส | (7%) 52 มก. |
โพแทสเซียม | (10%) 485 มก. |
สังกะสี | (7%) 0.64 มก. |
องค์ประกอบอื่น | |
น้ำ | 73.23 g |
ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่ แหล่งที่มา: USDA FoodData Central |
อาโวคาโดกินดิบไม่ได้เพราะมีแทนนินทำให้ขม กินมากจะปวดศีรษะ[2] รับประทานได้แต่ผลสุก กินเป็นผลไม้สด หรือกินกับไอศกรีม น้ำตาล นมข้นหวาน สลัด เค้ก
ชาวเม็กซิกันนิยมใช้เนื้ออาโวคาโดปรุงอาหารแทนเนย หรือนำมาใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในซอสกัวคาโมเล (Guacamole) ซึ่งนิยมนำมาทาบนแผ่นแป้งทอร์ทิลล่าส์ หรือขนมปัง นอกจากนี้ ชาวเม็กซิกันยังนิยมนำอาโวคาโดมาสกัดน้ำมันทำเครื่องสำอาง
ใน ฟิลิปปินส์ บราซิล อินโดนีเชีย เวียดนาม และทางตอนใต้ของ อินเดีย (โดยเฉพาะชายฝั่งเคราล่า ทมิฬนาดู และรัฐกรณาฏกะ) อาโวคาโดมักนิยมนำมาใช้ปรุงเป็นนมปั่น (Milkshake) หรือใส่ในไอศกรีม และขนมต่าง ๆ นอกจากนี้ใน บราซิล เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย อาโวคาโดถูกนำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม โดยผสมกับน้ำตาล นมหรือน้ำ และอาจเพิ่มอาโวคาโดบด บางครั้งก็มักเติมซอสช็อกโกแลตลงไป ในมอร็อกโค เครื่องดื่มเย็นที่ทำมาจากอาโวคาโดและนมมักถูกเติมความหวานด้วยน้ำตาลไอซิ่ง และเพิ่มรสชาติด้วยน้ำจากดอกส้ม
ความเป็นพิษ
แก้บางคนแพ้อาโวคาโด โดยแพ้ในรูปของละอองเกสร หรือหลังจากรับประทานอาโวคาโดเข้าไปที่เรียก latex-fruit syndrome[3] เพราะเกี่ยวข้องกับการแพ้ลาเท็กซ์[4] อาการที่ปรากฏได้แก่ ลมพิษ ผื่นคัน ปวดท้อง อาเจียน หรืออาจจะเสียชีวิตได้[5]
ใบ เปลือกต้น และเปลือกชั้นเอนโดคาร์บของอาโวคาโดเป็นพิษต่อสัตว์หลายชนิดทั้งแมว หมา แพะ กระต่าย หนู นก ปลา ไก่ และม้า[6] ผลเป็นพิษกับนกบางชนิด American Society for the Prevention of Cruelty to Animals (ASPCA) ได้ประกาศว่าอาโวคาโดเป็นพิษต่อสัตว์[7] อาโวคาโดเป็นส่วนผสมในอาหารสุนัข[8] และอาหารแมว[9] ชนิด AvoDerm ซึ่ง ASPCA ปฏิเสธที่จะรับรองว่าปลอดภัยหรือไม่
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ Chen, H.; Morrell, P. L.; Ashworth, V. E. T. M.; De La Cruz, M.; Clegg, M. T. (2008). "Tracing the Geographic Origins of Major Avocado Cultivars". Journal of Heredity. 100 (1): 56–65. doi:10.1093/jhered/esn068. PMID 18779226.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. อาโวคาโด ใน ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550 หน้า 267 – 269
- ↑ Brehler R, Theissen U, Mohr C, Luger T (1997). ""Latex-fruit syndrome": frequency of cross-reacting IgE antibodies". Allergy. 52 (4): 404–10. doi:10.1111/j.1398-9995.1997.tb01019.x. PMID 9188921.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|month=
ถูกละเว้น (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ "Latex allergy". Better Health Channel. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-27. สืบค้นเมื่อ 2012-08-02.
- ↑ "General Information for Avocado". InformAll Database. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-02-19. สืบค้นเมื่อ 2012-08-02.
- ↑ "Notes on poisoning: avocado". Canadian Biodiversity Information Facility. 2006-06-30. สืบค้นเมื่อ 2007-12-29.
- ↑ "Avocado". ASPCA Animal Poison Control Center.
- ↑ "AvoDerm Natural Premium Dog Food". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-04-29. สืบค้นเมื่อ 2009-01-13.
- ↑ "AvoDerm Natural Premium Cat Food". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-01-31. สืบค้นเมื่อ 2009-01-13.