สเตโกซอรัส (Stegosaurus) ชื่อของมันหมายถึง กิ้งก่ามีหลังคา เป็นไดโนเสาร์กินพืชจากวงศ์ Thyreophora หรือกลุ่มไดโนเสาร์หุ้มเกราะ โดยมันอาศัยอยู่ในยุคจูราสซิกตอนปลายระหว่าง 155 - 145 ล้านปีก่อน โดยมันมีลักษณะเด่นคือ มีแผ่นหนามรูปทรงห้าเหลี่ยมทอดยาวเป็นคู่ๆ อยู่บนหลังตั้งแต่ท้ายทอยจนเกือบจรดปลายหาง ส่วนปลายหางนั้นก็มีอาวุธที่ถือเป็นอีกจุดเด่นของมันเลยก็ว่าได้ ซึ่งนั่นก็คือ หนามขนาดใหญ่ทั้งสี่ โดยมันใช้ในการป้องกันตัวจากนักล่า

สเตโกซอรัส
ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: Late Jurassic, 155–150Ma
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ชั้น: Reptilia
อันดับใหญ่: Dinosauria
อันดับ: Ornithischia
อันดับย่อย: Thyreophora
อันดับฐาน: Stegosauria
วงศ์: Stegosauridae
สกุล: Stegosaurus
Marsh, 1877
ชนิดต้นแบบ
Stegosaurus stenops
Marsh, 1887
สายพันธุ์อื่น ๆ
  • S. ungulatus Marsh, 1879
  • S. sulcatus Marsh, 1887
ชื่อพ้อง
  • Hypsirhophus Cope, 1879
  • Diracodon Marsh, 1881

โดยมันนั้นถูกค้นพบในแถบตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศโปรตุเกส ในการก่อตัวของชั้นหิน Morrison Formation ในตอนนี้สเตโกซอรัสได้มีการยอมรับไว้อยู่ทั้งหมด 3 ชนิด ซึ่งนั่นก็คือ Stegosaurus stenops, Stegosaurus ungulatus, Stegosaurus sulcatus โดยชนิดที่รู้จักกันดีที่สุดคือ Stegosaurus stenops แต่ชนิดที่ใหญ่ที่สุดก็คือ Stegosaurus ungulatus[1] ซึ่งจะมีขนาดอยู่ที่ 7 เมตร ณ เวลานี้มีการค้นพบสเตโกซอรัสอยู่ทั้งหมด 80 ตัว นักบรรพชีวินวิทยาเชื่อว่าพวกมันนั้นน่าจะอาศัยอยู่ร่วมกันกับ ดิปโพลโดคัส อะแพทโทซอรัส แบรคคิโอซอรัส

สเตโกซอรัสเป็นไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ โดยมันมีขนาดโดยประมาณ 6-7 เมตร (Stegosaurus stenops) มีลักษณะเด่นก็คือ มีขาหน้าที่สั้น ขาหลังยาว โดยหางของมันจะชูสูงขึ้นไปในอากาศ มันมีแผ่นหนามรูปห้าเหลี่ยมทอดยาวเป็นคู่ๆ อยู่บนหลัง โดยเหล่านักบรรพชีวินวิทยาและกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ต่างสันนิษฐานถึงหน้าที่ของแผ่นหลังของมันอยู่แต่หลายๆคนเชื่อว่ามันน่าจะใช้ในการปรับอุณหภูมิร่างกาย และใช้ในการป้องกันตัวได้ด้วย

ลักษณะและรายละเอียด

แก้

สเตโกซอรัสเป็นสัตว์บกสี่เท้าที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว เพราะบนหลังของมันเต็มไปด้วย แผ่นหนามรูปทรงห้าเหลี่ยมทอดยาวเป็นคู่ๆ อยู่บนหลังตั้งแต่หัวเกือบจรดปลายหางซึ่งสามารถใช้ในการข่มขวัญศัตรูและดึงดูดเพศตรงข้าม อีกทั้งยังมีหนามสองคู่ขนาดใหญ่อยู่ปลายหางอีกต่างหาก จึงเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆเพราะมันดูเท่ห์ และปลายหางของมันยังเป็นอาวุธที่ทรงพลังในการต่อกรกับนักล่าอย่างเจ้า อัลโลซอรัส กับ เซอราโตซอรัส อีกด้วย พูดง่ายๆก็คือ เจ้าสเตโกซอรัสนั้นมีอาวุธเต็มตัวไปหมดเลยก็ว่าได้...[2]

 
โครงกระดูกจำลองการต่อสู้กันระหว่าง Stegosaurus และลูก กับ Allosaurus ณ พิพิธภัณฑ์ Denver Museum
 
การเปรียบเทียบกันระหว่าง S. ungulatus(สีส้ม) และ S. stenops(สีเขียว) กับมนุษย์ จะเห็น่วา S. ungulatus(สีส้ม) มีขนาดใหญ่กว่า

สเตโกซอรัสนั้นเป็นไดโนเสาร์กินพืชขนาดกลาง โดยมันมีขนาดอยู่ที่ 6.5 เมตร และมีน้ำหนักอยู่ที่ 3.5 ตัน (S.stenops) และถ้าเป็นอีกสปีชีส์หนึ่งก็จะมีขนาดอยู่ที่ 7 เมตร และมีน้ำหนักอยู่ที่ 3.8 ตัน (S.ungulatus) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วพวกมันมักจะถูกประมาณขนาดไว้ที่ 7.5 เมตร และมีน้ำหนักอยู่ที่ 5 - 5.3 ตัน ซึ่งนั่นถือว่ามีขนาดเกือบเท่ารถบัสได้เลย จึงทำให้มันดูน่ากลัวในสายตาของนักล่าหลายๆ ตัว อย่างเช่น อัลโลซอรัส ที่ล่าเหยื่อกันเป็นกลุ่มเหมือนกับหมาป่า แต่ก็ต้องมีชะงักกันบ้างถ้าเจอกับฝูงของสเตโกซอรัส

ส่วนเจ้าสเตโกซอรัสในวัยรุ่นนั้นมันจะมีขนาดโดยประมาณอยู่ที่ 4.6 เมตร มีความสูง 2 เมตร และมีน้ำหนักโดยประมาณอยู่ที่ 1.5 - 2.2 ตัน จากข้อมูลบางส่วนที่ได้จากการค้นพบซากฟอสซิลของสเตโกซอรัสที่ยังไม่โตเต็มที่ในปี ค.ศ.1994 ที่รัฐไวโอมิง ประเทศสหรัฐอเมริกา ตอนนี้มันถูกจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยไวโอมิง

หัวกะโหลกศีรษะ

แก้
 
ภาพกะโหลกของ สเตโกซอรัส ที่พิพิธภัณฑ์ Natural History Museum of Utah

กะโหลกศีรษะของสเตโกซอรัสนั้นมีขนาดเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของลำตัว โดยกะโหลกของมันคล้ายกันกับArchosaurทั่วๆไป โดยมันมีรูโพรงอยู่บนกะโหลกทั้งหมด 3 รูใหญ่ๆ ตำแหน่งกะโหลกของสเตโกซอรัสอยู่ต่ำ ซึ่งน่าจะบ่งบอกถึงลักษณะการกินของพวกมันด้วย การมีตำแหน่งกะโหลกอยู่ที่ต่ำอาจจะทำให้มันนั้นต้องกินพืชตระกูลเฟิร์นต้นเตี้ยๆ หรือหญ้าเป็นอาหารหลัก

กะโหลกศีรษะของสเตโกซอรัสนั้นไม่มีฟันหน้าแต่เปลี่ยนเป็นจะงอยปากไปแทน ปลายปากของกรามล่างจะมีลักษณะแบนหักลงซึ่งลักษณะแบบนี้จะทำให้ฟันกรามของมันขบกันได้อย่างพอดี และลักษณะของจะงอยปากของมันนั้นยื่นออกรอบกรามจึงทำให้สเตโกซอรัสนั้นไม่มีกระพุ้งแก้ม เพราะเมื่อมันหุบปากลงจะงอยปากของมันจะครอบทั้งกรามล่างได้พอดีจึงไม่จำเป็นต้องมีกระพุ้งแก้ม[3]

 
หน้าตาของเจ้าสเตโกซอรัสในช่วงปี ค.ศ.1901 โดยผู้ที่วาดภาพนี้คือศิลปินที่ชื่อ Charles R. Knight

ถึงแม้ว่าสเตโกซอรัสนั้นจะเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ แต่พิจารณาขนาดของกะโหลกโดยรวมแล้ว ทำให้เรารู้ว่าสเตโกซอรัสนั้นมีสมองที่มีขนาดเล็กพอๆกับสมองของสุนัขเพียงเท่านั้น ซึ่งชิ้นส่วนฟอสซิลกล่องสมองของสเตโกซอรัสนั้นถูกเก็บไว้โดยโดยนักบรรพชีวินวิทยาชาวอเมริกันชื่อ Othniel Charles Marsh (โอทเนียล ชาร์ลส์ มาร์ช) โดยส่วนกะโหลกของมันถูกค้นพบในช่วงปี ค.ศ.1880[2] ซึ่งกล่องสมองของมันมีขนาดเล็กมากจึงทำให้รู้ว่าสเตโกซอรัสนั้นมีสมองที่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับลำตัวที่เกือบเท่ารถบัสของมัน ทำให้ในสมัยก่อนนั้นนักวิทยาศาสตร์รวมถึงนักบรรพชีวินวิทยาและคนส่วนใหญ่ จะตีความสเตโกซอรัสออกมาเป็นกิ้งก่ายักษ์สี่ขาผู้อุ้ยอ้าย และยังเป็นกระสอบทรายให้กับเหล่านักล่าในยุคนั้น จนกระทั่งหลายทศวรรษต่อมา ทฤษฎีที่ว่าไดโนเสาร์ไม่ฉลาดเริ่มถูกปฏิเสธและถูกปัดตกไป เพราะได้มีการค้นพบหลักฐานใหม่ๆเกี่ยวกับไดโนเสาร์กันมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ภาพจำของไดโนเสาร์เริ่มเปลี่ยนไป ไดโนเสาร์หลายตัวเริ่มมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกับความเป็นจริงและตรงตามหลักชีววิทยากันมากขึ้น รวมถึงสเตโกซอรัสก็ด้วย ถึงแม้ว่าสเตโกซอรัสนั้นมีสมองที่มีขนาดเล็ก แต่ก็ใช่ว่ามันจะโง่เสมอไป พวกมันมีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกอีกทั้งยังเป็นสัตว์สังคมอยู่รวมกันเป็นฝูงซะส่วนใหญ่ จึงทำให้มันเป็นไดโนเสาร์ที่มีความฉลาดระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้มากนัก....

 
Othniel Charles Marsh นักบรรพชีวินวิทยาชาวอเมริกันผู้ค้นพบและศึกษาฟอสซิลของสเตโกซอรัส

มีหลักฐานหลายต่อหลายอย่างที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมของมันที่กล่าวไว้ข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานฟอสซิลที่พบการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยมีจำนวนไม่มากและอาจจะการรวมตัวกันเป็นครั้งคราวในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ด้วยหลักฐานและพฤติกรรมดังกล่าวจึงทำให้มันดูเป็นไดโนเสาร์ที่ไม่โง่อีกต่อไป และยังเป็นสัตว์เลื้อยคลานชั้นสูงที่มีโครงสร้างร่างกายที่เยี่ยมยอดอีกด้วย

"สมองที่สอง!!"

แก้
 
สมองหรือสมองส่วนแรกของสเตโกซอรัส (ไฮไลท์สีแดง)

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูน่าเหลือเชื่อมากสำหรับใครหลายต่อหลายคน รวมถึงนักวิยาศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาอีกมาก โดยทฤษฎีนี้ถูกนำเสนอโดยผู้ค้นพบมันที่ชื่อ Othniel Charles Marsh (โอทเนียล ชาร์ลส์ มาร์ช) มาร์ชได้นำเสนอว่าสเตโกซอรัสนั้นมีสมองที่สองเพื่อใช้ในการป้องกันตัวจากนักล่า พูดง่ายๆเลยก็คือ สมองด้านหน้าหรือสมองที่ศีรษะของมันมีขนาดใหญ่ไม่พอที่จะควบคุมระบบประสาทของมันได้ทั้งตัว จึงจำเป็นต้องมีสมองอีกส่วนเพื่อใช้ในการตอบสนองของร่างกาย ซึ่งมาร์ชได้กล่าวไว้ว่า สมองส่วนนี้จะใช้ในการสั่งการส่วนหางเพื่อป้องกันตัว ฉะนั้นเมื่อสเตโกซอรัสถูกโจมตีโดยนักล่า สมองส่วนนี้จะถูกใช้สั่งการให้เปิดโหมดป้องกันตัวทันที ซึ่งตำแหน่งของสมองส่วนนี้จะอยู่ตรงบริเวณโพรงสะโพกใกล้กับไขสันหลัง[4]

แต่อันที่จริงแล้วสมองส่วนนี้ไม่ได้หน้าตาคล้ายสมองแต่อย่างใด แต่เป็นตัวไกลโคเจนหรือตัวปั๊มไกลโคเจนซึ่งตอนนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าส่วนนี้มีไว้ทำอะไร แต่มีการสันนิษฐานว่าอาจจะใช้ในการลำเลียงสารไกลโคเจนไปเลี้ยงระบบประสาทของเจ้ายักษ์ตัวนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วเจ้าตัวปั๊มไกลโคเจนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ในสเตโกซอรัส แต่ยังรวมถึงไดโนเสาร์กลุ่มออร์นิธิเชียนสายพันธุ์อื่นๆ และแน่นอนในนกก็มีเช่นกัน โดยมันจะมีหน้าที่เช่นเดียวกันซึ่งก็คือจะคอยลำเลียงสารไกลโคเจนไปหล่อเลี้ยงระบบประสาทต่างๆของร่างกาย เพื่อให้การทำงานของระบบประสาทเหล่านั้นสมดุลกับการสั่งการของสมองนั่นเอง

การจัดจำแนกสายพันธุ์

แก้

การจัดจำแนกสายพันธุ์ของสเตโกซอรัสนั้นแบ่งตามรูปแบบของหนาม แผ่นเกราะ และทรงกะโหลกเช่นเดียวกันกับแองคิโลซอร์ซึ่งเป็นไดโนเสาร์ในอันดับย่อย Thyreophora เหมือนกัน โดยไดโนเสาร์ในอันดับย่อยนี้ต่างเป็นที่รู้กันถึงอาวุธป้องกันตัวและหัวอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละสปีชีส์ แต่ทุกๆตัวล่วนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง โดยแทบจะไม่ซ้ำกัน[5]

Peter Malcolm Galton (ปีเตอร์ มัลคอล์ม แกลตัน) นักบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลังชาวอังกฤษ ได้นำเสนอว่าเหล่าไดโนเสาร์สาย Thyreophora นี้เริ่มมีการวิวัฒนาการขึ้นตั้งแต่ยุคจูราสสิคตอนต้น ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการสูญพันธุ์ในช่วงยุคไทรแอสซิก โดยมีหลักฐานอยู่ที่ การก่อตัวของชั้นหินโคตา (Kota Formation) ทางตอนล่างของประเทศอินเดีย

Thyreophora

เลโซโทซอรัส

อ้างอิง

แก้
  1. "สปีชีส์ของสเตโกซอรัส(ในหมวดหินมอริสัน ยุคจูราสสิคตอนปลาย)https://link.springer.com/article/10.1007/s00015-010-0022-4
  2. 2.0 2.1 วารสารธรณีวิยา เกี่ยวกับสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธ์ุไปแล้ว แถบเทือกเขาร็อกกี้ https://zenodo.org/record/1450038#.Y-kJdnZByt8
  3. https://www.researchgate.net/publication/233720216_Buccal_soft_anatomy_in_Lesothosaurus_Dinosauria_Ornithischia"ลักษณะและรูปแบบของกระพุ้งแก้มชั้นใน" (2551)
  4. https://svpow.com/2009/12/15/lies-damned-lies-and-clash-of-the-dinosaurs/ เวเดล, แมตต์ (15 ธันวาคม 2552)
  5. https://www.tandfonline.com/doi/abs/10.1080/03115518.2012.702531ปีเตอร์ เอ็ม. กาลตัน (2019) "A plated dinosaur (Ornithischia, Stegosauria)"