กิ้งก่า

อันดับย่อยของสัตว์เลื้อยคลาน
กิ้งก่า
ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: ไทรแอสซิก-ปัจจุบัน
199–0Ma
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ชั้นใหญ่: Tetrapoda
ชั้น: Sauropsida
อันดับ: Squamata
อันดับย่อย: Lacertilia
Günther, 1867
วงศ์
แผนที่แสดงการกระจายพันธุ์
ชื่อพ้อง
  • Sauria

กิ้งก่า (ภาษาไทยถิ่นเหนือ: จั๊กก่า; ภาษาไทยถิ่นอีสาน: กะปอม) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในอันดับย่อย Lacertilia หรือ Sauria ในอันดับใหญ่ Squamata หรือ อันดับกิ้งก่าและงู โดยสัตว์ในอันดับนี้รวมถึงงูที่อยู่ในอันดับย่อย Serpentes ด้วย เหตุที่จัดอยู่ในอันดับเดียวกันเพราะมีลักษณะร่วมบางประการมากถึง 70 อย่าง

คำว่า "Lacertilia" มาจากภาษาละตินคำว่า "lacerta" ในความหมายเดียวกัน

โดยทั่วไปแล้วกิ้งก่ามี 4 ขา มีเกล็ดปกคลุมลำตัว แต่บางสกุลหรือบางชนิดก็ไม่มีขาหรือมีแต่ก็เล็กมากจนสังเกตได้ยาก เช่น จิ้งเหลนด้วง ในวงศ์จิ้งเหลน (Scincidae) หรือในวงศ์ Amphisbaenidae

กิ้งก่าโดยมากแล้วเป็นสัตว์กินเนื้อ โดยจะกินแมลงและสัตว์ขาปล้องเป็นหลัก แต่สำหรับในวงศ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น วงศ์เหี้ย (Varanidae) จะกินสัตว์มีกระดูกสันหลังด้วย แต่ขณะที่บางชนิด เช่น อีกัวน่าเขียว (Iguana iguana) ที่พบในอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ กินพืชและผักเป็นอาหารหลัก

กิ้งก่าพบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกมุมโลก ยกเว้นในบริเวณอาร์กติก แถบขั้วโลกเหนือและทวีปแอนตาร์กติกา แถบขั้วโลกใต้ มีขนาดแตกต่างกันมากตั้งแต่เพียงไม่กี่เซนติเมตร จนถึงเกือบ 3 เมตร ในมังกรโคโมโด (Varanus komodoensis) ที่หนักได้ถึงเกือบ 100 กิโลกรัม ซึ่งนับเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดในอันดับย่อยนี้

ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานไว้แล้วกว่า 19 วงศ์ ประมาณ 555 สกุล รวมทั้งหมดราว 4,184 ชนิด ซึ่งจำนวนนี้ไม่แน่นอน เพราะมีการสำรวจค้นพบชนิดใหม่ ๆ ขึ้นทุกปี

โดยวงศ์ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด คือ Scincidae ที่มีประมาณ 1,000 ชนิด รองลงไป คือ Gekkonidae หรือ ตุ๊กแกกับจิ้งจก มีประมาณ 900 ชนิด ส่วนในวงศ์ Agamidae ก็มีประมาณเกือบ 500 ชนิด[1]

ชนิดของกิ้งก่า แก้

กิ้งก่าเป็นสัตว์เลื่อยคลายที่กลุ่ใหญ่ที่สุด มีประมาน 3700 ขนิด อาศัยเกือบทุกสภาพแวดล้อมยกเว้น มหาสมุทร และดินแดนที่ใกล้ขั้วโลกเหนือ ตัวอย่างชนิดของกิ้งก่า 10 ชนิดดังนี้

1. Phrynocephalus[2] เป็นกิ้งก่าที่พบใน อิหร่าน ทางเหนือของอัฟกานิสถาน

2. Brookesia minima[3] พบได้เพียงแหล่งเดียวในโลกที่ บริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ มาดากาสการ์ ( Madagascar )

3. Phrynosoma[4] อยู่ในพื้นที่แห้งแล้งของประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก

4. Moloch horridus[5] อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แห้งแล้ง

5. Hydrosaurus pustulatus[6]จิ้งจก sailfin ฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณข้างน้ำ

6. Amblyrhynchus cristatus[7] เป็นกิ้งก่าชนิดเดียวที่อาศัยทะเลเป็นแหล่งอาหาร หลายชนิดที่อาศัยอยู่ร่วมกันบนเกาะ

7. Flying gecko[8] ในประเทศไทย พบเฉพาะในป่าดงดิบชื้นในชายแดนภาคตะวันตกติดกับพม่าและภาคใต้ติดกับมาเลเซียเท่านั้น

8. Heloderma suspectum[9] พบในเขตทะเลทรายอริโซน่าทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา

9. Bipes biporus[10] พบกระจายตั้งแต่อเมริกาใต้ ฟลอริดา ทางตอนใต้ของยุโรป ทวีปอาฟริกาทางตอนเหนือ และตะวันออกกลาง (ยังไม่มีรายงานพบในประเทศ ไทย)

10. Varanus komodoensis[11] เป็นสัตว์ที่พบได้เฉพาะบนเกาะโคโมโดและหมู่เกาะใกล้เคียงเท่านั้น [12][13]

ปัจจัยการเปลี่ยนสีของกิ้งก่า แก้

กิ้งก่า สามารถเปลี่ยนสีเพื่ออำพรางตัว ซึ่งเป็นความเข้าใจแบบผิดๆ แต่ความจริงแล้วปัจจัยที่ทำให้กิ้งก่าเปลี่ยนสีนั่นคือ การควบคุมอุณหภูมิร่างกาย เนื่องจาก กิ้งก่าไม่สามารถสร้างความร้อนในร่างกายได้ และอีกปัจจัยหนึ่งคือด้านอารมณ์ อย่างเช่นในภาวะปกติผิวหนังของ กิ้งก่าคามิเลี่ยน จะแสดงสีเขียว ในขณะที่โกรธจะแสดงสีเหลือง สดใส [14][15]

ผิวหนังของกิ้งก่า แก้

ผิวของกิ้งก่าเกือบทั้งหมดมีองค์ประกอบโปรตีน (เคราติน) และ lipids (ไขมัน) เกล็ดจะแตกต่างกันออกไปตามสายพันธุ์และปกคลุมส่วนใหญ่ของ ร่างกายและแขนขา มันอาจประกอบด้วยส่วนที่เหมือนกัน ประกอบด้วยส่วนที่ต่างชนิดกัน (Bradypodion spp.), ลักษณะเป็นปุ่มคล้ายลูกปัด (Chamaeleo chamaeleon), ลักษณะหยาบ (หลากหลายสายพันธุ์ของกิ้งก่า Chameleons หางสั้น), หรือนิ่มลื่น (Furcifer willsii) หน้าที่เบื้องต้นของผิวหนัง ของกิ้งก่า คือการรักษาความสมบูรณ์มั่นคงของร่างกายมันเป็นแนวกั้น ในการปกป้องอวัยวะภายในและรักษา homeostasis (ความสมดุลของสารเคมีและอุณหภูมิร่างกายภายในที่เหมาะสม) มันยังถูกใช้เป็นสิ่งปิดบังพฤติกรรมซ่อนเร้นและเป็นอวัยวะหนึ่งที่ใช้ในการสื่อสารอีกด้วย(เซลล์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนสี) นั้นไวและทำปฏิกิริยากับรังสี อินฟราเรด, UV, และบางส่วนของแถบคลื่นแสงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า, แต่บทบาทการปกป้องของ integument (หนังส่วนนอกของกิ้งก่า) มีความจำกัดต่อการรักษาน้ำภายในและการควบคุมอุณหภูมิ, ตามที่พวกมันไม่มีต่อม ผลิตไขมันที่สร้าง sebum (สารประกอบทางเคมีหนึ่งที่มีแบคทีเรียค่า pH ต่ำและเป็น ตัวป้องกันน้ำ)

กิ้งก่า ลอกคราบออกเป็นหลายชิ้น การลอกคราบมักเกิดขึ้นบ่อยในช่วงเวลาการเจริญเติบโตว่ารวดเร็วหรือช้า กิ้งก่าคาร์เมเลี่ยนที่ลอกคราบผิวหนังชั้นนอกจะหลุดออกตามรอยต่อ ระหว่างเกล็ดหรือสะเก็ดหนังกำพร้า (squama) แล้วจึงแยกตัวออกจากผิวหนังที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ใต้ชิ้นหนังเดิมจะแห้งลงและแข็งขึ้นหลังจากนั้นก็จะหลุดออก ในการลอกคราบอาจใช้เวลาสองสามวันถึงจะเสร็จสิ้น แต่เมื่อบางส่วนของผิวหนังลอกออกไม่หมด กิ้งก่าจะถูออกโดยการใช้กิ่งไม้ และเพราะว่าการลอกผิวหนังบน เปลือกตาและจมูกอาจทำให้การมองเห็นมีปัญหา มันจึงพยายามลอกทิ้งอยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ กิ้งก่า ชอบที่จะลอกผิวหนังเพราะพวกมันมักจะกินคราบของตัวเองหรือตัวอื่น

เส้นประสาทรับความรู้สึกพบได้ในผิวหนังของกิ้งก่านอกจากความสามารถรับรู้ทางแสงและความร้อนแล้ว ผิวหนังชั้นนอกของพวกมันยังไวต่อการสัมผัสอีกด้วย[16]สามารถเปลี่ยนสีผิวตามอารมณ์นั้น ๆ ได้ ก็เนื่องมาจากลักษณะพิเศษของชั้นผิวหนัง และเม็ดสี ผิวหนังชั้นนอกเหล่านี้ตอบสนองต่อแสงและความร้อน ส่วนผิวหนังชั้นในจะตอบสนองต่อสารเคมี เป็นสาเหตุทำให้เซลล์มีการหดและขยายตัว อย่างเช่นในภาวะปกติผิวหนังของ คามิเลี่ยน จะแสดงสีเขียว ในขณะที่โกรธจะแสดงสีเหลือง[17]

อ้างอิง แก้

  1. วีรยุทธ์ เลาหะจินดา วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก หน้า 373-397 (พ.ศ. 2552) ISBN 978-616-556-016-0
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Phrynocephalus
  3. https://en.wikipedia.org/wiki/Brookesia_minima
  4. https://en.wikipedia.org/wiki/Horned_lizard
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Thorny_dragon
  6. https://en.wikipedia.org/wiki/Philippine_sailfin_lizard
  7. https://en.wikipedia.org/wiki/Marine_iguana
  8. https://en.wikipedia.org/wiki/Ptychozoon
  9. https://en.wikipedia.org/wiki/Gila_monster
  10. https://en.wikipedia.org/wiki/Mexican_mole_lizard
  11. https://en.wikipedia.org/wiki/Komodo_dragon
  12. (1) http://www.biogang.net/biodiversity_view.php?menu=biodiversity&uid=558&id=3315[ลิงก์เสีย]
  13. https://tar5112032.wordpress.com/2014/03/10/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%B2
  14. http://www.petinthai.com/view_breeds.php?id=27
  15. http://www.wired.com/2014/04/how-do-chameleons-change-colors/
  16. http://vet.kku.ac.th/physio/animal/n05/web1/index12.html
  17. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2015-09-29.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้