รัฐสุลต่านแซนซิบาร์
รัฐสุลต่านแซนซิบาร์ (สวาฮีลี: Usultani wa Zanzibar , อาหรับ: سلطنة زنجبار, อักษรโรมัน: Sulṭanat Zanjībār) [1] เป็นรัฐมุสลิมในแอฟริกาตะวันออกที่ปกครองโดยสุลต่านแห่งแซนซิบาร์ ระหว่าง ค.ศ. 1856 - 1964 [4] ดินแดนของรัฐสุลต่านนีเมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดยุคสมัย และในที่สุด รัฐสุลต่านนี้มีอำนาจอธิปไตยอยู่เหนือเพียง หมู่เกาะแซนซิบาร์ และพื้นที่แนวชายฝั่งของเคนยา 16 กม. ในขณะที่พื้นที่ภายในประเทศเคนยาในตอนนั้นเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร ทำให้พื้นที่แถบชายฝั่งถูกบริหารราชการแผ่นดินเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมนั้นโดย พฤตินัย
รัฐสุลต่านแซนซิบาร์ | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1856–1964 | |||||||||
สีชมพู คือ รัฐสุลต่านแซนซิบาร์ | |||||||||
สถานะ |
| ||||||||
เมืองหลวง | สโตนทาวน์ | ||||||||
ภาษาทั่วไป | |||||||||
ศาสนา | อิสลาม[1] | ||||||||
การปกครอง | สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (1856–1963) ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (1963–1964) | ||||||||
สุลต่าน | |||||||||
• 1856–1870 | มาญิด บิน ซะอิด (พระองค์แรก) | ||||||||
• 1963–1964 | ญัมชิด บิน อิบดุลลอฮ์ อัล ซะอิด (พระองค์สุดท้าย) | ||||||||
มุขมนตรี | |||||||||
• 1961 | เจฟฟรีย์ ลอว์เรนซ์ | ||||||||
• 1961–1964 | มุฮัมหมัด ฮามาดี | ||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||
• การแยกจักรวรรดิโอมาน | 19 ตุลาคม 1856 | ||||||||
1 กรกฎาคม 1890 | |||||||||
27 สิงหาคม 1896 | |||||||||
• การปฏิวัติแซนซิบาร์ | 12 มกราคม 1964 | ||||||||
ประชากร | |||||||||
• 1964[2] | 300,000 | ||||||||
สกุลเงิน | เรียลแซนซิบาร์[3] (1882–1908) รูปีแซนซิบาร์ (1908–1935) ชิลลิงแอฟริกาตะวันออก (1935–1964) รวมถึงรูปีอินเดีย และ มาเรีย เทเรซา ธาลเลอร์ มีหมุนเวียนในระบบด้วย | ||||||||
| |||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ |
ภายใต้ข้อตกลงที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1963 สุลต่านแห่งแซนซิบาร์ทรงสละอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนบนแผ่นดินใหญ่ และในวันที่ 12 ธันวาคม ปีเดียวกัน เคนยาก็ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 มกราคม ปีถัดมา ญัมชิด บิน อับดุลลออฮ์ สุลต่านพระองค์สุดท้าย ทรงถูกปลดออกจากอำนาจและสูญเสียอำนาจอธิปไตยเหนือแซนซิบาร์ ซึ่งเป็นดินแดนสุดท้าย อันเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของรัฐสุลต่าน
เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1964 เกิดการปฏิวัติขึ้นในรัฐสุลต่านแซนซิบาร์ นำโดยพรรคแอฟริกันแอฟโฟร-ชีราซี เพื่อโค่นล้มรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่อยู่เป็นกลุ่มอาหรับ นำโดยกลุ่มคนผิวสีซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในรัฐสุลต่าน การปฏิวัติเป็นไปอย่างโหดร้ายทารุณ มีผู้บาดเจ็บล้มตายประมาณ 2,000-20,000 คน พรรคดังกล่าวได้ใช้วิธีการอันโหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง เช่น การสังหาร และบางครั้งถึงขั้นข่มขืนชาวอาหรับ
ประวัติศาสตร์
แก้การก่อตั้ง
แก้ตามที่นักสำรวจในศตวรรษที่ 16 นามว่า เลโอ อาฟริกานุซ กล่าวไว้ว่า แซนซิบาร์ (Zanguebar) เป็นคำที่ชาวอาหรับและเปอร์เซียใช้เรียกชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกาที่ทอดยาวจากเคนยาไปจนถึงโมซัมบิก ซึ่งปกครองโดยอาณาจักรมุสลิมกึ่งอิสระ 5 อาณาจักร ได้แก่ มอมบาซา มาลินดี กิลวา โมซัมบิก และ โซฟาลา นอกจากนี้ อาฟริกานุซ ยังสังเกตอีกว่าทุกรัฐมีข้อตกลงสวามิภักดิ์ต่อรัฐสำคัญๆ ในแอฟริกากลาง รวมถึง ราชอาณาจักรมูตาปา ด้วย [5] [6]
ในปี ค.ศ. 1698 แซนซิบาร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนโพ้นทะเลของโอมาน หลังจากที่ ซะอิฟ บิน ซุลตัน อิหม่ามของโอมาน เอาชนะโปรตุเกสใน มอมบาซา ซึ่งปัจจุบันคือ ประเทศเคนยา ในปีค.ศ. 1832 [7] หรือ 1840 [8] ผู้ปกครองโอมาน ซะอิด บิน ซุลตัน ทรงย้ายราชสำนักของเขาจากกรุงมัสกัตมายังสโตนทาวน์ บนเกาะอุนกุจา (เกาะแซนซิบาร์) พระองค์ได้ทรงสถาปนากลุ่มชนชั้นนำอาหรับและทรงสนับสนุนให้มีการปลูกต้น กานพลู โดยใช้แรงงานทาสบนเกาะ [9] ต่อมมการค้าของแซนซิบาร์ตกอยู่ในมือของพ่อค้าจากอนุทวีปอินเดีย มากขึ้น ซึ่งซะอิดทรงสนับสนุนให้พ่อค้าเหล่านี้มาตั้งถิ่นฐานบนเกาะ หลังจากที่พระองค์สรรคตในปีค.ศ. 1856 พระราชโอรสทั้งสอง คือ มาญิด บิน ซะอิด และ ทูเวไน บิน ซะอิด ได้ต่อสู้กันเพื่อชิงราชบัลลังก์ ดังนั้นแซนซิบาร์และโอมานจึงถูกแบ่งออกเป็นสองอาณาจักร ที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง ทูเวไน ทรงเป็นสุลต่านแห่งมัสกัตและโอมาน ในขณะที่ มาญิดทรงเป็นสุลต่านองค์แรกของแซนซิบาร์ แต่จำเป็นต้องจ่ายราชบรรณาการประจำปีให้กับราชสำนักโอมานในกรุงมัสกัต [10] [11] ระหว่างการครองราชย์เป็นสุลต่านนาน 14 ปี พระองค์ได้ทรงรวบรวมอำนาจของพระองค์ให้มั่นคงโดยเกี่ยวข้องกับ การค้าทาสในท้องถิ่น ภายใต้แรงกดดันจากอังกฤษ รัชทายาทของพระองค์ พระนามว่า บาร์กัช บิน ซะอิด ได้ทรงช่วยยกเลิก การค้าทาสในแซนซิบาร์ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเป็นส่วนใหญ่ [12] สุลต่านคนที่สาม เคาลีฟะฮ์ บิน ซะอิด ยังทรงผลักดันความก้าวหน้าของประเทศในการยกเลิกทาสอีกด้วย [13]
การสูญเสียพระราชอำนาจของสุลต่านเหนืออาณาจักร
แก้สุลต่านแห่งแซนซิบาร์ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของชายฝั่งสวาฮีลี ซึ่งเรียกว่า ซันจญ์ และ เส้นทางการค้าที่ทอดยาวไปในทวีปยุโรป ไปจนถึงคินดู บนแม่น้ำคองโก จนกระทั่งถึงปีค.ศ. 1884 อย่างไรก็ตาม ในปีนั้นเองสมาคมอาณานิคมเยอรมันได้บังคับให้ผู้นำชนเผ่าในพื้นที่บนแผ่นดินใหญ่ตกลงที่จะให้เยอรมันเป็นผู้อารักขา จนทำให้สุลต่าน บาร์กัช บิน ซะอิด ทรงออกมาเรียกร้อง ซึ่งในช่วงนั้นเองได้เกิดการประชุมเบอร์ลิน และ การล่าอาณานิคมแอฟริกา เยอรมนีเริ่มสนใจในพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้งในปีค.ศ. 1885 จากการเข้ามาของ บริษัทแอฟริกาตะวันออกของเยอรมนี ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น มีภารกิจในการตั้งอาณานิคมในพื้นที่ดังกล่าว
ในปีค.ศ. 1886 อังกฤษและเยอรมันได้พบปะกันเป็นการลับเพื่อหารือถึงจุดมุ่งหมายในการขยายอิทธิพลในเขตเกรทเลกส์ของแอฟริกา โดยมีเขตอิทธิพลที่ตกลงกันไว้แล้วในปีก่อนหน้า โดยอังกฤษจะยึดครองพื้นที่ที่ต่อมาจะกลายเป็นรัฐในอารักขาแอฟริกาตะวันออก (ปัจจุบันคือ เคนยา ) และเยอรมันจะยึด แทนซาเนีย ในปัจจุบัน ทั้งสองได้เช่าพื้นที่ชายฝั่งจากแซนซิบาร์และจัดตั้งสถานีการค้าและป้อมปราการ จนในอีกไม่กี่ปีต่อมา ดินแดนในแผ่นดินใหญ่ของแซนซิบาร์ทั้งหมดถูกปกครองโดยมหาอำนาจจักรวรรดิยุโรป เริ่มตั้งแต่ในปีค.ศ. 1888 เมื่อ บริษัทแอฟริกาตะวันออกของจักรวรรดิอังกฤษ เข้ามาบริหารเมือง มอมบาซา [14]
ในปีเดียวกันนั้นบริษัทแอฟริกาตะวันออกของเยอรมนีได้รับอำนาจในการปกครองโดยตรงอย่างเป็นทางการเหนือพื้นที่ชายฝั่งที่เคยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเยอรมันมาก่อน ส่งผลให้เกิดการลุกฮือของชาวพื้นเมืองที่เรียกว่า การกบฏอาบูชิรี ซึ่งได้รับการปราบปรามโดยกองทัพเรือจักรวรรดิเยอรมัน และเป็นสัญญาณว่าอิทธิพลของแซนซิบาร์บนแผ่นดินใหญ่จะสิ้นสุดลง
การสถาปนารัฐแซนซิบาร์ในอารักขาของอังกฤษ
แก้จากการลงนามในสนธิสัญญาเฮลิโกลันด์-แซนซิบาร์ ระหว่างสหราชอาณาจักรกับจักรวรรดิเยอรมัน ในปีค.ศ. 1890 ทำให้แซนซิบาร์เองกลายเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ [15] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1896 หลังจากการสวรรคตของสุลต่านฮาเม็ด บิน ทูเวไน อังกฤษและแซนซิบาร์สู้รบกันเป็นเวลา 38 นาที ซึ่งถือเป็นสงครามที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้ การต่อสู้เพื่อสืบทอดอำนาจเกิดขึ้นเมื่อ คอลิด บิน บาร์กัช พระภาดาในสุลต่านยึดอำนาจ แต่อังกฤษต้องการให้ ฮามูด บิน โมฮัมเหม็ด ขึ้นเสวยราชสมบัติ เนื่องจากอังกฤษเชื่อว่าจะสมารถทำงานร่วมกับพระองค์ได้ง่ายกว่า อังกฤษให้เวลาคอลิดหนึ่งชั่วโมงในการเสด็จอพยพออกจากพระราชวังของสุลต่านในสโตนทาวน์ คอลิดทำไม่ได้และแทนที่จะทำเช่นนั้น กลับทรงรวบรวมกองทัพจำนวน 2,800 นายเพื่อต่อสู้กับอังกฤษ อังกฤษเปิดฉากโจมตีพระราชวังและสถานที่อื่นๆ รอบเมือง หลังจากนั้นคอลิดก็ทรงล่าถอยและเสด็จลี้ภัย ต่อมาเจ้าชายฮามูดได้รับการสถาปนาเป็นสุลต่าน [16]
การสถาปนาแอฟริกาตะวันออกในอารักขาของอังกฤษ
แก้ในปีค.ศ. 1886 รัฐบาลสหราชอาณาจักรสนับสนุนให้ วิลเลียม แม็กคินนอน ซึ่งได้ทำข้อตกลงกับสุลต่านอยู่แล้วรวมทั้งบริษัทเดินเรือของเขาทำการค้าขายในบริเวณ เกรทเลกส์ของแอฟริกา อย่างกว้างขวาง เพิ่มอิทธิพลของอังกฤษในภูมิภาคนั้น เขาได้ก่อตั้งสมาคมแอฟริกาตะวันออกของอังกฤษซึ่งส่งผลให้ บริษัทแอฟริกาตะวันออกของอังกฤษ ได้รับพระราชทานตราตั้งในปี 1888 รวมทั้งได้รับพระราชทานอำนาจสิทธิในการบริหารราชการในดินแดนชายฝั่ง 240 กม. ที่ทอดยาวจาก แม่น้ำจูบบา ผ่านเมืองมอมบาซาไปจนถึง แอฟริกาตะวันออกของเยอรมนี ซึ่งเช่ามาจากสุลต่าน “เขตอิทธิพล”ของอังกฤษที่เป็นไปตามตกลงกันใน การประชุมเบอร์ลิน ในปี 1885 นี้ ได้ขยายออกไปทางชายฝั่งและภายในประเทศเคนยาในอนาคต และหลังจากปี พ.ศ. 2433 ก็รวมถึง ยูกันดา ด้วยเช่นกัน มอมบาซาเป็นศูนย์กลางการบริหารในขณะนั้น [14]
อย่างไรก็ตาม บริษัทเริ่มล้มเหลว และในวันที่ 1 กรกฎาคม 1895 รัฐบาลอังกฤษประกาศให้ แอฟริกาตะวันออกเป็นรัฐในอารักขา และการบริหารราชการได้ถูกโอนไปยังกระทรวงต่างประเทศ ต่อมาในปี 1902 การบริหารราชการได้ถูกโอนกลับไปยัง กระทรวงอาณานิคมอีกครั้ง อีกทั้งดินแดนของยูกันดาก็ถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัฐในอารักขาด้วย ในปี 1897 ลอร์ดเดลาเมียร์ ผู้บุกเบิกการตั้งถิ่นฐานของคนผิวขาว ได้เดินทางมาถึงที่ราบสูงของเคนยา ซึ่งในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของรัฐในอารักขา [17] : 761 ลอร์ดเดลาเมียร์มีแนวคิดว่าการเกษตรในพื้นที่นี้น่าจะประสบผลสำเร็จดี ในปี 1902 เขตแดนของดินแดนในอารักขาได้รับการขยายออกไปเพื่อรวมพื้นที่ที่เคยเป็นจังหวัดทางตะวันออกของ ยูกันดา [17] : 761 [18] นอกจากนี้ในปีปีเดียวกัน สมาคมแอฟริกาตะวันนออกยังได้รับดินแดนจำนวน 1,300 km2 (500 sq mi) เพื่อส่งเสริมการตั้งถิ่นฐานของคนผิวขาวในเขตภูเขา ลอร์ดเดลาเมียร์เริ่มทำเกษตรกรรมอย่างกว้างขวาง และในปี 1905 เมื่อผู้อพยพจำนวนมากมาจากอังกฤษและแอฟริกาใต้ ดินแดนในอารักขาจึงถูกโอนจากอำนาจของกระทรวงต่างประเทศไปเป็นอำนาจของกระทรวงอาณานิคม [17] : 762 เมืองหลวงถูกย้ายจากมอมบาซาไปที่ ไนโรบี ในปี 1905 รัฐบาลและสภานิติบัญญัติได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยมติสภาในปี 1906 [17] : 761 รัฐบาลนี้กำหนดให้ผู้บริหาร เป็นข้าหลวง และจัดให้มีสภานิติบัญญัติและสภาบริหาร พันโท เจ. เฮย์ส แซดเลอร์ เป็นข้าหลวงและผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนแรก มีปัญหาเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวกับชนเผ่าในพื้นที่ แต่ประเทศก็ถูกเปิดโดยรัฐบาลอาณานิคมโดยมีการนองเลือดเพียงเล็กน้อย [17] : 761 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้อพยพจากอังกฤษและแอฟริกาใต้เดินทางมาเพิ่มมากขึ้น และในปี 1919 ประชากรยุโรปมีจำนวนประมาณ 9,000 คน [17] : 761
การสูญเสียอำนาจอธิปไตยเหนือเคนยา
แก้เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ.1920 พื้นที่ภายในรัฐของอารักขาแอฟริกาตะวันออกถูกผนวกเป็นดินแดนของอังกฤษ ส่วนหนึ่งของอดีรัฐในอารักขาถูกสถาปนาขึ้นเป็นอาณานิคมของเคนยา และตั้งแต่นั้นมาสุลต่านแห่งแซนซิบาร์ก็ไม่มีพระราชอำนาจเหนือดินแดนนั้นอีกเลย พื้นที่แนวชายฝั่ง 16 กม. ยังคงเป็นรัฐในอารักขาภายใต้ข้อตกลงกับสุลต่านของแซนซิบาร์ ส่วนแถบชายฝั่งที่เหลือซึ่งอยู่ภายใต้พระราชอำนาจของสุลต่านแห่งแซนซีบาร์ ต่อมาก็ถูกตั้งขึ้นเป็นรัฐในอารักขาเคนยาในปี 1920[14]
รัฐในอารักขาเคนยาได้รับการปกครองโดยเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมเคนยา ตามข้อตกลงระหว่างสหราชอาณาจักรและสุลต่านลงวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 [17] : 762 [19] โดยสรุปแล้ว “อาณานิคมเคนยา” หมายถึงดินแดนภายในประเทศ “รัฐในอารักขาเคนยา” เป็นพื้นที่ชายฝั่ง 16 กม. รวมทั้งเกาะบางเกาะซึ่งยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของสุลต่านแห่งแซนซิบาร์ จนกระทั่งเคนยาได้รับเอกราช
อาณานิคมเคนยาและรัฐในอารักขาเคนยาสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1963 สหราชอาณาจักรได้สละอำนาจอธิปไตยเหนืออาณานิคมเคนยา และภายใต้ข้อตกลงลงวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1963 สุลต่านทรงเห็นพ้องและทรงพร้อมกับการประกาศเอกราชของเคนยา สุลต่านจะทรงยุติอำนาจอธิปไตยเหนือรัฐในอารักขาเคนยา [17] : 762 ดังนั้น เคนยาจึงกลายเป็นประเทศเอกราชภายใต้พระราชบัญญัติเอกราชของเคนยา ค.ศ. 1963 หลังจากนั้น 12 เดือน ในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1964 เคนยาได้กลายเป็นสาธารณรัฐภายใต้ชื่อ "สาธารณรัฐเคนยา" [17] : 762
สิ้นสุดรัฐแซนซิบาร์ในอารักขาของอังกฤษและการถอดถอนสุลต่าน
แก้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1963 รัฐในอารักขาซึ่งครั้งหนึ่งมีอาณาบริเวณเหนือเกาะแซนซิบาร์ตั้งแต่ ค.ศ. 1890 ได้ถูกยุติลง สหราชอาณาจักรไม่ได้ให้เอกราชแก่แซนซิบาร์ เนื่องจากสหราชอาณาจักรไม่เคยมีอำนาจอธิปไตยเหนือแซนซิบาร์ ในทางกลับกัน โดยพระราชบัญญัติแซนซิบาร์ ค.ศ. 1963 ของสหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักรได้ยุติการเป็นรัฐในอารักขาและจัดให้มีการปกครองตนเองเต็มรูปแบบในแซนซิบาร์ในฐานะรัฐอิสระภายในเครือจักรภพ เมื่อรัฐในอารักขาถูกยกเลิก แซนซิบาร์ก็กลายเป็นรัฐที่มีราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญภายในเครือจักรภพภายใต้การปกครองของสุลต่าน [20] สุลต่านญัมชิด บิน อับดุลลอฮ์ ทรงถูกโค่นล้มและถอดถอนจากราชสมบัติในหนึ่งเดือนต่อมาในช่วงการปฏิวัติแซนซิบาร์ [21] ญัมชิดทรงลี้ภัย และรัฐสุลต่านเปลี่ยนการปกครองเป็น สาธารณรัฐประชาชนแซนซิบาร์ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1964 การดำรงอยู่ของสาธารณรัฐสังคมนิยมนี้สิ้นสุดลงด้วยการรวมกับแทนกันยีกา เพื่อก่อตั้ง สหสาธารณรัฐแทนกันยีกาและแซนซิบาร์ ซึ่งหกเดือนต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ แทนซาเนีย [8]
ข้อมูลประชากร
แก้ในปีค.ศ. 1964 ประเทศนี้เป็นประเทศที่มี การปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพ โดยมีสุลต่านญัมชิด ทรงปกครอง [22] แซนซิบาร์มีประชากรประมาณ 230,000 คน ซึ่งบางคนอ้างว่ามีบรรพบุรุษเป็นชาวเปอร์เซีย และเป็นที่รู้จักในท้องถิ่นว่าชาวชีราซี [2] ยังมีกลุ่มชนกลุ่มน้อยที่สำคัญจำนวน 50,000 คน ที่เป็นชาวอาหรับ และประชากรราว 20,000 คน ที่เป็นชาวเอเชียใต้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในธุรกิจและการค้า [2] กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เริ่มผสมปนเปกัน และความแตกต่างระหว่างชาติพันธุ์ก็เริ่มเลือนลาง [22] ตามที่นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวไว้ เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่สุลต่านญัมชิดได้รับการสนับสนุนโดยทั่วไปก็คือความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของพระราชวงศ์ [22] อย่างไรก็ตาม ชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ในเกาะซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ มักมีฐานะร่ำรวยกว่าชาวพื้นเมือง [23] พรรคการเมืองหลักๆ จัดตามกลุ่มชาติพันธุ์เป็นส่วนใหญ่ โดยชาวอาหรับครองอำนาจในพรรคชาตินิยมแซนซิบาร์ (ZNP) และชาวพื้นเมืองครองอำนาจใน พรรคแอฟโฟร-ชีราซี (ASP) [22]
ดูเพิ่มเติม
แก้ภาพ
แก้-
เกาะอุนกูจาและ แผ่นดินทวีปแอฟริกา
-
รัฐสุลต่าแซนซิบาร์ ป. 1875
-
เขตพระราชฐานชั้นในและท่าเทียบเรือแซนซิบาร์ (p.234), London Missionary Society[24]
-
ดวงตราไปรษณียากร
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 Gascoigne, Bamber (2001). "History of Zanzibar". HistoryWorld. สืบค้นเมื่อ 2012-05-23.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Speller 2007, p. 4
- ↑ "Coins of Zanzibar". Numista. สืบค้นเมื่อ 2012-05-23.
- ↑ Ndzovu, Hassan J. (2014). "Historical Evolution of Muslim Politics in Kenya from the 1840s to 1963". Muslims in Kenyan Politics: Political Involvement, Marginalization, and Minority Status. Northwestern University Press. pp. 17–50. ISBN 9780810130029. JSTOR j.ctt22727nc.7.
- ↑ Africanus, Leo (1526). The History and Description of Africa. Hakluyt Society. pp. 51–54. สืบค้นเมื่อ 11 July 2017.
- ↑ Ogot, Bethwell A. (1974). Zamani: A Survey of East African History. East African Publishing House. p. 104.
- ↑ Ingrams 1967, p. 162
- ↑ 8.0 8.1 Appiah & Gates 1999, p. 2045
- ↑ Ingrams 1967, p. 163
- ↑ "Background Note: Oman". U.S. Department of State - Diplomacy in Action.
- ↑ Ingrams 1967, pp. 163–164
- ↑ Michler 2007, p. 37
- ↑ Ingrams 1967, p. 172
- ↑ 14.0 14.1 14.2 "British East Africa". www.heliograph.com. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "BEA_Sinclair" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ Ingrams 1967, pp. 172–173
- ↑ Michler 2007, p. 31
- ↑ 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 17.5 17.6 17.7 17.8 Roberts-Wray, Sir Kenneth (1966). Commonwealth and Colonial Law. F.A. Praeger. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Roberts-Wray1966" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ East Africa Order in Council, 1902, S.R.O. 1902 No. 661, S.R.O. ^ S.I. Rev. 246
- ↑ "Kenya Gazette". 7 September 1921 – โดยทาง Google Books.
- ↑ United States Department of State 1975, p. 986
- ↑ Ayany 1970, p. 122
- ↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 Shillington 2005, p. 1716
- ↑ Parsons 2003, p. 106
- ↑ "The Harem and Tower Harbour of Zanzibar". Chronicles of the London Missionary Society. 1890. สืบค้นเมื่อ 2 November 2015.