พระขันธกุมาร
พระขันธกุมาร[a] หรือ พระมุรุกัน (ทมิฬ: முருகன், เทวนาครี: मुरुगन; มุรุคะนะ, มลยาฬัม: മുരുകന്; มุรุกัน) หรือ พระการติเกยะ (เทวนาครี: कार्तिकेय) หรือ พระสกันทกุมาร (เทวนาครี: स्कंदकुमार) หรือ พระสุพรหมัณยะ (กันนาดา: ಸುಬ್ರಹ್ಮಣ್ಯ, เตลูกู: సుబ్రహ్మణ్యేశ్వర) เป็นเทพเจ้าแห่งการสงครามในศาสนาฮินดู[8][9][10] พระขันธกุมารเป็นบุตรของพระศิวะกับพระปารวตี พระเชษฐา (พี่ชาย) ของพระคเณศ[11] เป็นที่นิยมบูชามากในชาวฮินดูในแถบอินเดียใต้, ศรีลังกา, มาเลเซีย และสิงคโปร์
พระขันธกุมาร | |
---|---|
เทพแห่งการสงคราม , หัวหน้าแม่ทัพแห่งสวรรค์ | |
เทวรูปพระขันธกุมาร ทางขึ้นถ้ำบาตู ประเทศมาเลเซีย | |
ชื่อในอักษรเทวนาครี | कार्तिकेय |
ดาวพระเคราะห์ | ดาวอังคาร |
อาวุธ | หอกศักติ |
พาหนะ | นกยูง |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
คู่ครอง | พระแม่เทวเสนา(อีกนามคือ พระแม่เกามารี
[1] หรือ พระแม่ษัษฏี[2] ) พระแม่วัลลี |
บิดา-มารดา |
พระมุรุกันเป็นที่ถือกันว่าเป็น "เทพเจ้าของชาวทมิฬทั้งปวง"[12] [13] มีการตั้งสมมติฐานว่าพระมุรุคะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าในศาสนาพื้นถิ่นทราวิฑถูกรวมเข้ากับพระสุพรหมัณยะซึ่งเป็นเทพเจ้าพระเวท นับตั้งแต่ยุคสังฆัมเป็นต้นมา เทพเจ้าทั้งสององค์ถูกรวมกันและนับถือในฐานะพระมุรุกันนับจากนั้น[8][9][11][14]
เทวกำเนิด
แก้การกำเนิดของพระขันทกุมารนั้นก็เพื่อปราบอสูรที่ชื่อ ตาระกาสูร เป็นกษัตริย์แห่งแคว้นตรีปุระ อสูรตนนี้มีตบะแรงกล้ามาก สามารถบำเพ็ญฌานบารมีจนร้อนไปถึงพรหมโลก ทำให้จักรวาลสั่นสะเทือนโกลาหลไปหมด กษัตริย์อสูรตนนี้ไม่เกรงพระบารมีของมหาเทพผู้สร้าง (พระพรหม) คิดว่าตนเองก็เป็นหนึ่งเหมือนกัน
การบำเพ็ญฌานบารมีนั้นทำให้ พระพรหม ทนความร้อนไม่ไหว ต้องเสด็จมาประทานพรตามที่อสูรปรารถนา เหตุที่บอกว่าอสูรตาระกามีตบะแรงกล้านั้น เพราะได้ทำสมาธิอย่างเข้มงวดเป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปีสวรรค์ ทำให้พรที่อสูรตนนี้ขอไว้กับพระพรหมคือขอให้มีชีวิตเป็นอมตะ แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดในตรีภพเทียบได้ และไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้นอกเสียจากโอรสของพระศิวะ เมื่อได้พรแล้ว เขาได้ยึดครองสวรรค์ปกครองโลกทั้ง 3 ภพ ครานั้น พระศิวะมหาเทพ ได้ทรงแบ่งน้ำเชื้อที่มีความร้อน เหมือนไฟแห่งการทำลายล้างออกมาหยดหนึ่งร่วงลงสู่พื้นดิน ด้วยความรีบร้อน พระอัคนี ได้รีบแปลงกายเป็นนกเขา กลืนเอาน้ำเชื้อนั้นเข้าไป ความร้อนแรงแห่งน้ำเชื้อนั้นทำให้พระอัคนีร้อนรนจนทนไม่ได้ พระศิวะแนะนำให้เอาน้ำเชื้อนั้นไปใส่ในครรภ์ของผู้หญิงแทน และต้องใส่ในครรภ์ของหญิงซึ่งได้อาบน้ำในวันแรกของเช้าตรู่ของเดือนมาฆะ
ในวันนั้น บรรดาภริยาของฤาษีทั้ง 7 ตนได้มาอาบน้ำ ปรากฎว่า ภริยาทั้ง 6 คน (เหลือเพียงคนเดียว) ที่ลงอาบน้ำนั้นถูกน้ำเชื้อที่นกเขาคายไว้ ซึมแทรกเข้าไปตามรูขุมขน นางทั้งหกจึงร้อนรนทุกข์ทรมานมาก นางทั้งหกได้ถูกเหล่าฤาษีขับไล่ออกจากอาศรม จึงได้ตัดสินใจทำลายน้ำเชื้อที่เป็นตัวอ่อนทิ้ง ด้วยพลังแห่งโยคะที่เทือกเขาหิมาลัย เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทรมาน ด้วยการเหวี่ยงตัวอ่อนลงไปที่แม่น้ำคงคา เช่นเดียวกับ พระแม่คงคา ที่ได้เหวี่ยงเอาตัวอ่อนนี้ขึ้นไปที่พงหญ้า เสมือนการชุบตัวจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้ปรากฎทารกน้อยขึ้นตนหนึ่งที่พงหญ้านั้น
พระพรหมทรงรู้ด้วยญาณว่า โอรสแห่งพระศิวะเทพได้ถือกำเนิดแล้ว จึงบัญชาให้พระฤาษีวิศวามิตรไปประกอบพิธีให้กับโอรสน้อยแห่งศิวะเทพ ทารกนี้พูดได้ตั้งแต่ยังแบเบาะว่า "ด้วยประสงค์ของพระศิวะเทพที่ส่งท่านมายังที่นี้ ขอให้ท่านฤาษีจงประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อชำระร่างกายของข้า ให้บริสุทธิ์ตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้เถิด" ฝ่ายพระอัคนีที่เคยอุ้มน้ำเชื้อไว้ เมื่อสมัยจำแลงกายเป็นนกเขานั้น ได้เดินทางมายังที่แห่งนี้ด้วย และมอบคฑาศักดิ์สิทธิ์ถวายให้กับพระองค์ (บ้างก็ว่าพระแม่ปารวตีเป็นผู้มอบหอกศักติแก่พระองค์) ทันทีที่ได้รับอาวุธ พระขันทกุมารก็เหาะขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เพื่อพิสูจน์พลังอำนาจแห่งตน ด้วยการใช้คฑานั้นฟาด จนภูเขาถล่มทลายลงในพริบตา ทันทีที่ยอดเขานั้นแยกออก ได้ปรากฎปิศาจ 10 โกฏิตนออกมาก แต่ก็ถูกพระองค์สังหารจนสิ้น
ต่อมา นางกฤตติกา (กลุ่มดาวทั้ง 6 ดวง) ได้ลงมาอาบน้ำ เห็นกุมารน้อยนอนอยู่ที่กอหญ้า (บ้างก็ว่านอนอยู่ในดอกบัวที่ลอยในแม่น้ำ) ก็บังเกิดความรักใคร่ นำเอากุมารไปเลี้ยงดูในดินแดนของนางทั้งหก และเพื่อไม่ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในหมู่แม่นมทั้งหลาย พระกุมารจึงได้แยกร่างออกเป็น 6 พระองค์ (บางตำนานบอกว่ามี 6 พระพักตร์ในร่างเดียว) ด้วยเหตุที่เป็นลูกที่รักยิ่งของนางการัตตี พระองค์จึงได้ชื่อว่า พระการติเกยะ (Kaitikeya)
หมายเหตุ
แก้- ↑ ในภาษาไทย ปรากฏใช้ทั้ง ขันธกุมาร และ ขันทกุมาร เช่น สมาคมฮินดูสมาช[3] โดยในจดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถานมีระบุว่า "ขันทกุมาร" มาจากพระนาม "สกันทกุมาร"[4] อย่างไรก็ตาม ปรากฏใช้ "ขันธกุมาร" ใน พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร[5] และในเอกสารวิชาการ เช่น บทความของประเวศ ลิมปรังษีในวารสารหน้าจั่ว คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร[6] และวิทยานิพนธ์ของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ[7]
อ้างอิง
แก้- ↑ https://shastidevidevasena.quora.com/Shanmukhi-Six-faced-Goddess-Alternatively-it-could-also-mean-wife-of-Shanmukha-the-six-faced-Lord?comment_id=8337615&comment_type=3
- ↑ https://hinduism.stackexchange.com/questions/14842/is-devasena-shasti
- ↑ Hindu Samaj Bangkok วัดเทพมณเทียร สมาคมฮินดูสมาช (2020-06-27). "ขันทกุมาร มหาเทพองค์นี้มีชื่อใกล้มาทางฝ่ายไทย และมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศ". Facebook. สืบค้นเมื่อ 2022-06-12.
- ↑ นักการเรียน, สำรวย (2007). "จตุคามรามเทพส่งผลต่อภาษาไทย". จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน (194). ISSN 0857-7064. สืบค้นเมื่อ 2022-06-12.
- ↑ เข้าถึงจาก "ขันธกุมาร". Sanook Dictionary. สืบค้นเมื่อ 2022-06-12.
- ↑ ลิมปรังษี, ประเวศ (2001). "ประวัติพระคเณศ". หน้าจั่ว. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (18). สืบค้นเมื่อ 2022-06-12.
- ↑ ประเสริฐศรี, สุกัญญา (2008). "เทศกาลนวราตรีวัดพระศรีมหาอุมาเทวี: การศึกษาพิธีกรรมและความเชื่อ" (PDF). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สืบค้นเมื่อ 2022-06-12.
- ↑ 8.0 8.1 Parpola 2015, p. 285.
- ↑ 9.0 9.1 Lochtefeld 2002, pp. 655–656.
- ↑ Clothey 1978, pp. 1–2.
- ↑ 11.0 11.1 Jones & Ryan 2006, p. 228.
- ↑ "Murugan | Tamil deity | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-05-10.
- ↑ "Tracing the roots of the Tamil God". The Hindu (ภาษาIndian English). 2015-01-22. ISSN 0971-751X. สืบค้นเมื่อ 2022-05-10.
- ↑ "Murukan Temples in Singapore". murugan.org. สืบค้นเมื่อ 2021-10-19.
บรรณานุกรม
แก้- Bakker, Hans (2014). The World of the Skandapurāṇa. BRILL Academic. ISBN 978-90-04-27714-4.
- Clothey, Fred W. (1978). The Many Faces of Murukan̲: The History and Meaning of a South Indian God. Walter de Gruyter. ISBN 978-90-279-7632-1.
- Dalal, Roshen (2010). The Religions of India: A Concise Guide to Nine Major Faiths. Penguin Books India. ISBN 978-0-14-341517-6.
- Doniger, Wendy, บ.ก. (1993). Purāṇa Perennis: Reciprocity and Transformation in Hindu and Jaina Texts. Albany, New York: State University of New York. ISBN 0-7914-1382-9.
- Jones, Constance; Ryan, James D. (2006). Encyclopedia of Hinduism. Infobase Publishing. ISBN 978-0-8160-7564-5.
- Mann, Richard D. (2011). The Rise of Mahāsena: The Transformation of Skanda-Kārttikeya in North India from the Kuṣāṇa to Gupta Empires. BRILL. ISBN 978-90-04-21886-4.
- Parpola, Asko (2015). The Roots of Hinduism: The Early Aryans and the Indus Civilization. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-022691-6.
- Gopinatha Rao, T. A. (1993). Elements of Hindu iconography. Motilal Banarsidass. ISBN 978-81-208-0878-2.
- Lal, Mohan (1992). Encyclopaedia of Indian Literature. Sahitya Akademi. ISBN 978-81-260-1221-3.
- Lochtefeld, James G. (2002). The Illustrated Encyclopedia of Hinduism: N-Z. The Rosen Publishing Group. ISBN 978-0-8239-3180-4.
- Rocher, Ludo (1986). The Puranas. Otto Harrassowitz Verlag. ISBN 978-3447025225.
- Mani, Vettam. Puranic Encyclopedia. 1st English ed. New Delhi: Motilal Banarsidass, 1975.
- G. V. Tagare, Dr. The Skanda-Purana (23 Vols.), Motilal Banarsidass. 2007.
- Kaur, Jagdish (1979). "Bibliographical Sources for Himalayan Pilgrimages and Tourism Studies: Uttarakhand". Tourism Recreation Research. 4 (1): 13–16. doi:10.1080/02508281.1979.11014968.
- Srinivasan, Doris (2007). On the Cusp of an Era: Art in the Pre-Kuṣāṇa World. BRILL Academic. ISBN 978-90-04-15451-3.
- Srinivasan, Doris (1997). Many Heads, Arms, and Eyes: Origin, Meaning, and Form of Multiplicity in Indian Art. BRILL Academic. ISBN 90-04-10758-4.
- Varadara, Raman (1993). Glimpses of Indian Heritage. Popular Prakashan. ISBN 978-81-7154-758-6.
- Pillai, V. J. Thamby (2004). Origin on the Tamil Vellalas (T.A.- Vol. 1 Pt.10). Asian Educational Services.
- Ramanujan, S R (2014). The Lord of Vengadam A Historical Perspective. Partridge Publishing.
- Meenakshi, K. (1997). Tolkappiyam and Astadhyayi. International Institute of Tamil Studies.
- Balasubrahmanyam, S. R. (1966). Early Chola Art Part 1. New Asia Publishing House.
- Subramanian, A., บ.ก. (1978). New Dimensions in the Study of Tamil Culture.