บัสรา, แบสรา (อังกฤษ: Basra) หรือ อัลบัศเราะฮ์ (อาหรับ: ٱلْبَصْرَة) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนชัฏฏุลอะร็อบ มีการประมาณการว่ามีประชากรใน ค.ศ. 2018 ที่ 1.4 ล้านคน[3] เมืองนี้ยังเป็นเมืองหน้าด่านทางทะเล แต่ไม่มีท่าเรือน้ำลึกเหมือนเมืองอุมก็อศร์ (أم قصر) ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน

บัสรา[ม 1]

ٱلْبَصْرَة

อัลบัศเราะฮ์
เมือง
ธงของบัสรา[ม 1]
ธง
ตราอย่างเป็นทางการของบัสรา[ม 1]
ตรา
สมญา: 
เวนิสตะวันออก[1]
บัสรา[ม 1]ตั้งอยู่ในประเทศอิรัก
บัสรา[ม 1]
บัสรา[ม 1]
ที่ตั้งของบัสราในประเทศอิรัก
พิกัด: 30°30′54″N 47°48′36″E / 30.51500°N 47.81000°E / 30.51500; 47.81000พิกัดภูมิศาสตร์: 30°30′54″N 47°48′36″E / 30.51500°N 47.81000°E / 30.51500; 47.81000
ประเทศ อิรัก
เขตผู้ว่าการบัสรา
ก่อตั้งค.ศ. 636
การปกครอง
 • ประเภทนายก–สภา
 • นายกเทศมนตรีAs'ad Al Eidani
พื้นที่
 • เมือง50−75 ตร.กม. (21 ตร.ไมล์)
 • รวมปริมณฑล181 ตร.กม. (70 ตร.ไมล์)
ความสูง5 เมตร (16 ฟุต)
ประชากร
 (2018)
 • เมือง1,326,564[2] คน
เขตเวลาUTC+3 (AST)
รหัสพื้นที่(+964) 40
เว็บไซต์http://www.basra.gov.iq/

เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองท่าที่ซินแบดนักเดินเรือ ตัวละครสมมติ เดินทางมา เมืองนี้สร้างขึ้นใน ค.ศ. 636 และมีบทบาทสำคัญในยุคทองของอิสลาม บัสราถือเป็นหนึ่งในเมืองที่ร้อนที่สุดในประเทศอิรัก โดยมีอุณหภูมิในฤดูร้อนสูงถึง 50 องศาเซลเซียส (122 องศาฟาเรนไฮต์) ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 รัฐสภาอิรักกำหนดให้เมืองบัสราเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญขอประเทศ[4]

ศัพทมูลวิทยา แก้

 
ภาพเมืองบัสราประมาณ ค.ศ. 1695 โดยIsaak de Graaf นักเขียนแผนที่ชาวดัตช์

เมืองนี้มีชื่อหลายชื่อมาตลอดทั้งประวัติศาสตร์ โดยทั่วไปรู้จักตามชื่อในภาษาอาหรับว่า บัศเราะฮ์ แปลว่า "การแลเห็น" (the overwatcher) ซึ่งอาจเป็นปฏิรูปพจน์ถึงต้นกำเนิดของเมืองในฐานะฐานทัพทหารชาวอาหรับที่มีไว้กันฝ่ายจักรวรรดิซาเซเนียน ในขณะที่บางส่วนโต้แย้งว่าชื่อเมืองมาจากศัพท์ภาษาแอราเมอิกว่า basratha หมายถึง "สถานที่ของกระท่อม, ที่อยู่อาศัย"[5]

ประวัติ แก้

 
ตลาดอะชัร ประมาณ พ.ศ. 2458

เมืองบัสราตั้งขึ้นราว ๆ พ.ศ. 1179 ในเวลานั้นเป็นเพียงค่ายพักสำหรับชนเผ่าอาหรับ ต่อมาเคาะลีฟะฮ์อุมัรแห่งรอชิดูน ตั้งเมืองนี้ขึ้นโดยแบ่งออกเป็นห้าตำบลด้วยกัน มีอะบู มูซา อัลอัชอะรี (أبو موسى الأشعري‎‎) เป็นเจ้าเมืองซึ่งยึดดินแดนจากคูซิสตาน (خوزستان) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิหร่าน ต่อมาเมื่อเคาะลีฟะฮ์อุษมานครองตำแหน่ง เมืองนี้จึงถูกยกสถานะเป็นเมืองหน้าด่าน และตั้งให้อับดุลลอห์ อิบนุลอะมีร์เป็นเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองบัสราได้โจมตีทำลายล้างกองทัพพระเจ้ายัซดิญะริดที่สาม (يزدجرد الثالث, ยัซดิญะริด อัษษาลิษ) กษัตริย์ราชวงศ์ซาซานียะฮ์ ซึ่งนับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ ล่วงปี พ.ศ. 1199 อุษมานถูกสังหาร และอะลีขึ้นครองตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ อะลีได้ตั้งให้อุษมาน อิบนุลหะนิฟ เป็นเจ้าเมือง และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นอับดุลลอห์ อิบนุลอับบาส จวบจนถึงการวายชนม์ของอะลีเอง อันเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์รอชิดูน ต่อมาเมื่อรัฐคอลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์มีอำนาจ มีอับดุลลอห์ ผู้นำทหารที่ไร้ความสามารถทางปกครองเป็นเจ้าเมือง ต่อมามุอาวิยะฮ์สั่งถอดอับดุลลอห์ออกแล้วเปลี่ยนเป็นซิยาด บิน อะบีซุฟยาน (زياد بن أبي سفيان) ผู้ปกครองด้วยความโหดร้ายเป็นเจ้าเมือง ครั้นซิยาดถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 1207 อุบัยดุลลอห์ อิบนุลซิยาด (عبيد الله بن زياد‎‎) บุตรของซิยาดขึ้นครองอำนาจ ระหว่างนั้นเองฮุซัยน์บุตรอะลี ในฐานะหลานของศาสดามุฮัมมัดได้รับความนิยมจากปวงชนทั้งหลายขึ้นมาก อุบัยดุลลอห์จึงเข้ายึดเมืองกูฟะฮ์ ฮุซัยน์ส่งมุสลิม อิบน์ อะกีล (مسلم بن عقيل) ไปเป็นทูต แต่กลับถูกประหารชีวิตจนเกิดยุทธการกัรบะลาอ์ขึ้น ผลของการยุทธในครั้งนั้นทำให้ฮุซัยน์และพรรคพวกถูกตัดศีรษะทั้งหมดจนเกิดพิธีอัรบะอีนขึ้นจนถึงทุกวันนี้ แต่กาลต่อมาราชวงศ์อุมัยยะฮ์ล่มสลายลงโดยการปฏิวัติ

ล่วงสมัยอับบาซียะฮ์ บัสราเป็นศูนย์กลางการศึกษา อาทิ เป็นเมืองที่อยู่ของอิบนุลฮัยษัม อัลญาฮิซ เราะบีอะฮ์แห่งบัสรา รวมถึงนักวิชาการนานาสาขาวิชา ผ่านยุครุ่งเรืองไปไม่นาน เมืองบัสราก็ถูกกบฏซันจญ์ (ثورة الزنج‎‎, เตาเราะตุลซันจญ์) เข้าปล้นสะดมในปี พ.ศ. 1414[6] และถูกทำลายล้างโดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเกาะรอมิเฎาะฮ์ (قرامطة‎‎) ในปี พ.ศ. 1466[7] ต่อมาราชวงศ์บูญิฮียะฮ์ (بويهية) ซึ่งเป็นราชวงศ์อิหร่านนับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์ เข้ายึดครองเมืองบัสรารวมถึงเมืองแบกแดด และประเทศอิรักส่วนใหญ่อีกด้วย ล่วงปี พ.ศ. 2206 จักรวรรดิอุษมานียะฮ์ยึดเมืองบัสราได้ โดยระหว่าง พ.ศ. 2318-2322 ราชวงศ์ซันดียะฮ์ (زندية) เข้ายึดเมืองเป็นระยะเวลาสั้น ๆ สารานุกรมบริตานิกา รายงานว่าในปี พ.ศ. 2454 มีประชาชนชาวยิวประมาณ 4000 คน และชาวคริสต์อีก 6000 คน อาศัยในเมือง[8] ต่อมาเข้าสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อังกฤษยึดเมืองบัสราจากจักรวรรดิอุษมานียะฮ์ได้ แล้วจัดผังเมืองให้ดีกว่าที่เป็นอยู่

ราว พ.ศ. 2490 ประชากรในเมืองบัสรามีจำนวน 101,535 คน[9] สิบปีให้หลังประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 219,167 คน[10] จึงได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยบัสราขึ้นในปี พ.ศ. 2507 ประชากรที่มีอยู่แล้วก็เพิ่มจำนวนเรื่อยมา ต่อมาเกิดสงครามอิรัก-อิหร่าน ขึ้น จนประชากรลดลงมาก ระหว่างนี้เองมียุทธการที่สำคัญ อาทิ ปฏิบัติการเราะมะฎอน และปฏิบัติการกัรบะลาอ์ 5 ศอดดาม ฮุซัยน์ ก็ขึ้นครองอำนาจกดขี่ประชาชน แม้จะมีการกบฏสักเท่าใด ศอดดามก็ใช้ความรุนแรงจัดการทั้งหมด

ล่วงเข้าสงครามอิรักเมื่อปี พ.ศ. 2546 เมืองบัสราถูกกองทัพสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรยึดใช้เป็นฐานทำการ เมื่อวันที่ 21 เมษายนปีถัดมา มีการทิ้งระเบิดทั่วเมืองจนมีคนตายไป 74 คน ในใจกลางเมืองมีกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอิรักอยู่อย่างเหนียวแน่นแม้ว่าจะมีการต่อต้านโดยกลุ่มมุสลิมนิกายซุนนีและชาวเคิร์ด ในการนี้มีผู้สื่อข่าวถูกลักพาตัวและสังหารด้วย[11] ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ทหารกรมปฏิบัติการพิเศษทางอากาศแห่งสหราชอาณาจักรสองนายปลอมตนเป็นพลเรือนชาวอาหรับ เมื่อถูกตรวจค้นโดยด่านตรวจ ทหารทั้งสองก็ยิงตำรวจได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตและถูกจับกุมส่งเรือนจำจังหวัดบัสรา เป็นผลให้กองทัพอังกฤษตัดสินใจบุกเรือนจำเพื่อช่วยเหลือ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก[12][13] ล่วง พ.ศ. 2550 อำนาจการปกครองทั้งหมดกลับคืนสู่รัฐบาลอิรักหลังจากที่ศอดดาม ฮุซัยน์ ถูกประหารชีวิต[14] เมืองได้รับความเสียหายอย่างมาก แต่ก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมาในภายหลังจนกระทั่งมีศูนย์กีฬาบัสราสปอร์ตซิตี

ภูมิประเทศ แก้

 
บัสราในเวลากลางคืน
 
ศูนย์การค้าบัสราไทม์สแควร์

เมืองบัสราตั้งอยู่ในเขตชัฏฏุลอะร็อบ หรือบริเวณที่แม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทีสบรรจบกัน บริเวณเมืองประกอบไปด้วยคลองชลประทานทำให้เอื้อต่อการทำเกษตรกรรม และในอดีตก็ใช้ในการขนส่งสินค้าด้วย ตัวเมืองตั้งห่างจากอ่าวเปอร์เซียประมาณ 110 กิโลเมตร (68 ไมล์)

ภูมิอากาศ แก้

บัสรามีสภาพภูมิอากาศทะเลทรายร้อน (เคิพเพิน BWh) ซึ่งคล้ายกับบริเวณข้างเคียง ถึงกระนั้นตัวเมืองมีฝนตกมากกว่าพื้นที่ตอนในแผ่นดิน เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งมากกว่าที่อื่น ๆ ระหว่างช่วงฤดูร้อน คือเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม อุณหภูมิโดยทั่วไปจะขึ้นสูงถึง 50 องศาเซลเซียส (122 องศาฟาเรนไฮต์) ในกรกฎาคมถึงสิงหาคม ส่วนในฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยที่ 20 องศาเซลเซียส (68 องศาฟาเรนไฮต์) ในบางคืนของฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส (32 องศาฟาเรนไฮต์)

อุณหภูมิที่สูงสุดตลอดกาลบันทึกในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 โดยมีอุณหภูมิในช่วงกลางวันสูงถึง 53.8 องศาเซลเซียส (128.8 องศาฟาเรนไฮต์) และในเวลากลางคืน อุณหภูมิต่ำสุดคือ 38.8 องศาเซลเซียส (101.8 องศาฟาเรนไฮต์) อุณหภูมิที่ต่ำที่สุดเท่าที่บันทึกมาในบัสราอยู่ที่ −4.7 องศาเซลเซียส (23.5 องศาฟาเรนไฮต์) ในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1964.[15]

ข้อมูลภูมิอากาศของบัสรา
เดือน ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ทั้งปี
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) 34
(93)
39
(102)
39
(102)
42
(108)
48
(118)
51
(124)
53.8
(128.8)
52.2
(126)
49.6
(121.3)
46
(115)
37
(99)
30
(86)
53.8
(129)
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) 18.4
(65.1)
21.7
(71.1)
27.7
(81.9)
33.9
(93)
40.7
(105.3)
45.3
(113.5)
46.9
(116.4)
47.1
(116.8)
43.2
(109.8)
36.8
(98.2)
25.9
(78.6)
19.8
(67.6)
33.95
(93.11)
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) 12.9
(55.2)
15.7
(60.3)
21.0
(69.8)
27.2
(81)
33.9
(93)
38.3
(100.9)
40.0
(104)
39.8
(103.6)
35.7
(96.3)
29.6
(85.3)
20.1
(68.2)
14.4
(57.9)
27.38
(81.29)
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) 7.6
(45.7)
9.5
(49.1)
13.9
(57)
19.7
(67.5)
25.9
(78.6)
30.4
(86.7)
32.3
(90.1)
31.9
(89.4)
27.8
(82)
22.4
(72.3)
14.5
(58.1)
9.2
(48.6)
20.43
(68.77)
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) -4.7
(23.5)
-4
(25)
1.9
(35.4)
2.8
(37)
8.2
(46.8)
18.2
(64.8)
22.2
(72)
20
(68)
13.1
(55.6)
6.1
(43)
1
(34)
-2.6
(27.3)
−4.7
(23.5)
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) 34
(1.34)
19
(0.75)
23
(0.91)
11
(0.43)
4
(0.16)
0
(0)
0
(0)
0
(0)
0
(0)
7
(0.28)
30
(1.18)
31
(1.22)
159
(6.26)
วันที่มีฝนตกโดยเฉลี่ย 4 2 2 2 1 0 0 0 0 1 2 3 17
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด 186 198 217 248 279 330 341 310 300 279 210 186 3,084
แหล่งที่มา 1: Climate-Data.org[16]
แหล่งที่มา 2: Weather2Travel for rainy days and sunshine[17]

หมายเหตุ แก้

  1. นิยมเรียกทั่วไปว่าบัสราหรือบาสรา แม้ว่าการเขียนคำทับศัพท์ภาษาอาหรับฉบับราชบัณฑิตยสภาจะให้เป็น อัลบัศเราะฮ์ หรือนักวิชาการมุสลิมบางท่านก็ใช้ อัลบัศเราะฮฺ ก็ตาม จึงควรใช้ชื่อที่นิยมกว่าเป็นหลัก

อ้างอิง แก้

  1. Sam Dagher (18 September 2007). "In the 'Venice of the East,' a history of diversity". The Christian Science Monitor. สืบค้นเมื่อ 2 January 2014.
  2. Central Statistics Organization Iraq. "Population Projection 2015-2018" (PDF). สืบค้นเมื่อ 31 August 2020.
  3. "Al-Baṣrah (District, Iraq) - Population Statistics, Charts, Map and Location".
  4. "Iraqi parliament recognizes Basra as economic capital". 27 April 2017.
  5. Abdullah, Thabit (1 January 2001). Merchants, Mamluks, and Murder: The Political Economy of Trade in Eighteenth-Century Basra. SUNY Press. ISBN 9780791448083 – โดยทาง Google Books.
  6. Andre Wink, Al-Hind: The Making of the Indo-Islamic World, Vol.2, (Brill, 2002), 17.  – โดยทาง Questia (ต้องรับบริการ)
  7. Andre Wink, Al-Hind: The Making of the Indo-Islamic World, Vol.2, 17.  – โดยทาง Questia (ต้องรับบริการ)
  8.   "Basra" . สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911. Vol. 3 (11 ed.). 1911. p. 489.
  9. "Population of capital city and cities of 100,000 or more inhabitants". Demographic Yearbook 1955. New York: Statistical Office of the United Nations.
  10. "National Intelligence Survey. Iraq. Section 41, Population" (PDF). CIA. 1960. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-08-24. สืบค้นเมื่อ 2017-09-17.
  11. "Steven Vincent". Committee to Protect Journalists. 2005.
  12. "UK soldiers 'freed from militia'". BBC. 20 September 2005. สืบค้นเมื่อ 17 March 2012.
  13. "British smash jail walls to free 2 arrested soldiers". San Francisco Gate. 20 September 2005. สืบค้นเมื่อ 17 March 2012.
  14. "UK troops return Basra to Iraqis". BBC News. 16 December 2007. สืบค้นเมื่อ 1 January 2010.
  15. "Iraqi Meteorological Department, 1970" (PDF). Iraqi Meteorological Department. 1970. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-08-22. สืบค้นเมื่อ 2022-03-15.
  16. "Climate: Basra – Climate graph, Temperature graph, Climate table". Climate-Data.org. สืบค้นเมื่อ 22 August 2013.
  17. "Basra Climate and Weather Averages, Iraq". Weather2Travel. สืบค้นเมื่อ 22 August 2013.

บรรณานุกรม แก้

  • Floor, Willem M. (2008). Titles and Emoluments in Safavid Iran: A Third Manual of Safavid Administration, by Mirza Naqi Nasiri. Washington, DC: Mage Publishers. ISBN 978-1933823232.
  • Hallaq, Wael. The Origins and Evolution of Islamic Law. Cambridge University Press, 2005
  • Hawting, Gerald R. The First Dynasty of Islam. Routledge. 2nd ed, 2000
  • แม่แบบ:EI3
  • Madelung, Wilferd. "Abd Allah b. al-Zubayr and the Mahdi" in the Journal of Near Eastern Studies 40. 1981. pp. 291–305.
  • Matthee, Rudi (2006a). "Between Arabs, Turks and Iranians: The Town of Basra, 1600-1700". Bulletin of the School of Oriental and African Studies, University of London. 69 (1): 53–78. doi:10.1017/S0041977X06000036. JSTOR 20181989. S2CID 159935186.
  • Matthee, Rudi (2006b). "IRAQ iv. RELATIONS IN THE SAFAVID PERIOD". Encyclopaedia Iranica (Vol. XIII, Fasc. 5 and Vol. XIII, Fasc. 6). pp. 556–560, 561.
  • Tillier, Mathieu. Les cadis d'Iraq et l'Etat abbasside (132/750-334/945). Institut Français du Proche-Orient, 2009
  • Vincent, Stephen. Into The Red Zone: A Journey into the Soul of Iraq. ISBN 1-890626-57-0.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้