คลองปานามา
คลองปานามา (สเปน: Canal de Panamá) เป็นคลองเดินเรือสมุทรความยาว 82 กิโลเมตร (51 ไมล์) สร้างขึ้นบริเวณคอคอดปานามาในประเทศปานามา เพื่อเชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาที่ต้องไปอ้อมช่องแคบเดรกและแหลมฮอร์น ทางใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ คิดเป็นระยะทางกว่า 22,500 กิโลเมตร[1] ซึ่งมีผลอย่างยิ่งต่อการเดินเรือระหว่างสองมหาสมุทร โดยถูกใช้เป็นเส้นทางเดินเรือหลักสำหรับการค้าทางทะเลระหว่างประเทศ ตั้งแต่เปิดทำการ คลองปานามาประสบความสำเร็จและเป็นกุญแจสำคัญในการขนส่งสินค้าทั่วโลก จำนวนเรือที่ผ่านคลองปานามาเพิ่มขึ้นจาก 1,000 ลำต่อปีในยุคแรกเริ่ม มาเป็น 14,702 ลำต่อปี ในปี ค.ศ. 2008 มีระวางขับน้ำรวมทั้งสิ้น 309.6 ล้านตัน (คิดเป็นประมาณ 40 ลำต่อวัน ประมาณร้อยละ 5 ของเรือบรรทุกสินค้าทั่วโลก)[2]
คลองปานามา | |
---|---|
แผนผังของคลองปานามา | |
พิกัด | 9°04′48″N 79°40′48″W / 9.08000°N 79.68000°W |
ข้อมูลจำเพาะ | |
ความยาว | 82 km (51 ไมล์) |
ความยาวเรือสูงสุด | 366 m (1,200 ft 9 in) |
ความกว้างเรือสูงสุด | 49 m (160 ft 9 in) (เดิม 28.5 m หรือ 93 ft 6 in) |
ความลึกเรือสูงสุด | 15.2 m (50 ft) |
ประตูกั้นน้ำ | 3 ประตู (3 ช่อง) |
สถานะ | ใช้งาน เปิดหลังการขยายเมื่อ 26 มิถุนายน 2016 |
หน่วยงานนำทาง | องค์การบริหารคลองปานามา |
ประวัติ | |
เจ้าของเดิม | Société internationale du Canal |
หัวหน้าวิศวกร |
|
เริ่มก่อสร้าง | 4 พฤษภาคม 1904 |
วันที่แล้วเสร็จ | 15 สิงหาคม 1914 |
วันที่ขยายออก | 26 มิถุนายน 2016 |
ข้อมูลภูมิศาสตร์ | |
จุดเริ่มต้น | มหาสมุทรแอตแลนติก |
จุดสิ้นสุด | มหาสมุทรแปซิฟิก |
เชื่อมต่อกับ | มหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกและในทางตรงข้าม |
แนวความคิดในการขุดคลองปานามามีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ก่อนที่จะเริ่มการก่อสร้างครั้งแรกในปี ค.ศ. 1880 โดยบริษัทสัญชาติฝรั่งเศสภายใต้การบริหารของแฟร์ดีน็อง เดอ แลแซ็ปส์ แต่ก็ล้มเหลวไป มีคนงานกว่า 21,900 คนเสียชีวิต มักมีสาเหตุจากโรคระบาด (มาลาเรียหรือไข้เหลือง) และดินถล่ม จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาดำเนินงานต่อ โดยมีผู้เสียชีวิตราว 5,600 คน จนกระทั่งสามารถเปิดใช้งานได้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1914 นับเป็นหนึ่งในโครงการวิศวกรรมที่ใหญ่ที่สุดและยากลำบากที่สุดที่เคยมีมา
ประวัติ
แก้การเสนอในช่วงแรก
แก้หลักฐานที่มีการอ้างถึงคอคอดในอเมริกากลาง ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1524 เมื่อจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และกษัตริย์แห่งสเปนพระองค์หนึ่ง มีพระนามว่า จักรพรรดิชาลส์ที่ 5 ได้ทรงแนะนำว่า การสร้างคลองผ่านปานามาจะสร้างความสะดวกในการเดินเรือสัญจรไปมาระหว่างสเปนกับเปรู[3] รวมไปถึงสร้างความได้เปรียบทางยุทธวิธีเหนือโปรตุเกส[4] ระหว่างการสำรวจโดยคณะสำรวจของพระองค์ระหว่างปี ค.ศ. 1788-1793 โดยอาเลสซันโดร มาลัสปีนา ได้เสนอความเป็นไปได้และวางแผนโครงสร้างของคลอง[5]
อเมริกากลางถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ คือเป็นแผ่นดินที่มีลักษณะแคบ แบ่งโดยมหาสมุทรขนาดใหญ่ 2 มหาสมุทร ความพยายามที่จะเชื่อมการค้าเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้วในบริเวณนี้ ในปี ค.ศ. 1698 สกอตแลนด์ได้พยายามเข้ามาตั้งฐานการค้าบริเวณคอคอดปานามา โดยใช้แผนดาริเอน แต่เนื่องจากเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ไม่เอื้ออำนวย ในที่สุดก็ได้ออกจากปานามาไปในปี ค.ศ. 1700[6] และในที่สุดการรถไฟในปานามาก็ได้เกิดขึ้นเพื่อข้ามคอคอดนี้ได้เปิดใช้ในปี ค.ศ. 1855 เส้นทางสัญจรนี้ได้เอื้อหนุนให้การค้ามีความสะดวกขึ้น และเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของการเลือกสร้างคลองเชื่อมคอคอดปานามาในภายหลัง
ความพยายามก่อสร้างของฝรั่งเศส
แก้การรื้อฟื้นแนวความคิดในเรื่องการเชื่อมทางน้ำต่อกันระหว่างมหาสมุทรทั้ง 2 มหาสมุทรเกิดขึ้นอยู่หลายครั้งหลายครา อย่างทางเชื่อมผ่านนิการากัวก็ได้มีการสำรวจอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งคลองปานามา เองเป็นหนึ่งในสองโครงการขุดคลองที่เคยดำริมาตั้งแต่ยุคสเปนเรืองอำนาจคริสต์ศตวรรษที่ 16 แล้ว[7] จนในที่สุด การประสบความสำเร็จของการสร้างคลองสุเอซ รัฐบาลโคลอมเบียได้ให้สัมปทานกับนักผจญภัยชาวฝรั่งเศสชื่อ ลูเซียง นโปเลียน โบนาปาร์ต ไวส์ ในการขุดคลองซึ่งจะเชื่อมระหว่างสองมหาสมุทรในบริเวณจังหวัดปานามา และเขาได้ขายสัมปทานต่อให้กับบริษัทฝรั่งเศสที่บริหารโดยแฟร์ดีน็อง เดอ แลแซ็ปส์ ซึ่งดำเนินการขุดคลองปานามาในทันที[8] เขาได้เริ่มขุดคลองจากระดับน้ำทะเล (โดยไม่มีประตูกั้นน้ำ) เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1880 บริษัทฝรั่งเศสได้ทำงานอย่างรีบเร่งโดยขาดการศึกษาที่เพียงพอทั้งทางด้านภูมิประเทศและอุทกวิทยา[9] อีกทั้งโรคภัยไข้เจ็บในภูมิอากาศเขตร้อนที่คนงานก่อสร้างคลองต้องเผชิญทั้งโรคไข้เหลืองและมาลาเรีย คร่าชีวิตคนงานเป็นจำนวนมากและทำให้การก่อสร้างไม่คืบหน้าเท่าที่ควร[8] เป็นเหตุให้คนงานต่างหวาดกลัวและหนีกลับฝรั่งเศส[9] ในปี ค.ศ. 1883 บริษัทฝรั่งเศสที่ได้สัมปทานไม่สามารถทำงานต่อได้ เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บและความลำบากในการขุดคลองในระดับน้ำทะเล การขาดประสบการณ์ภาคสนามของคนงาน อย่างเช่น การเก็บเครื่องมือที่เจอห่าฝนไม่ดี ทำให้เกิดสนิมจับ[10] แต่ปัญหาหลักคือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น นับจำนวนคนที่เสียชีวิตระหว่างการขุดคลองปานามา (ระหว่างช่วงปี ค.ศ. 1881 - 1889) ได้กว่า 22,000 คน[9]
จากหนังสือ Overthrow ของสตีเฟน คินเซอร์ในปี ค.ศ. 2006 ได้กล่าวไว้ว่าในปี ค.ศ. 1898 หัวหน้าคนหนึ่งในองค์การเกี่ยวกับคลองของฝรั่งเศส คือ ฟีลีป-ชอง บูโน-วารียา ได้จ้างวิลเลียม เนลสัน ครอมเวลล์ เพื่อโกงจากสภาคองเกรสของอเมริกา ที่จะสร้างคลองปานามา ไม่ใช่คลองที่ข้ามจากนิการากัว[11]
การก่อสร้างของสหรัฐอเมริกา
แก้ในปี ค.ศ. 1902 หลังจากได้มีการผลิตแสตมป์ 10 เซนต์ ชุดนิการากัวในสหรัฐอเมริกา ออกโดยบริษัทอเมริกันแบงก์โน้ต โดยเป็นภาพควันจากภูเขาไฟโมโมตัมโบ ซึ่งตั้งอยู่ห่างราว 160 กิโลเมตรจากสถานที่ที่เป็นแผนเสนอสร้างคลองนิการากัว จากจุดนี้เอง ครอมเวลได้สร้างข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ในนิวยอร์กซัน โดยมีรายงานว่า ภูเขาไฟโมโมตัมโบเกิดระเบิดขึ้นและเกิดแผ่นดินไหว หลังจากนั้นเขาได้ส่งใบปลิวไปพร้อมกับแสตมป์ไปให้กับวุฒิสมาชิก และในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1902 สามวันหลังจากวุฒิสมาชิกได้รับแสตมป์ พวกเขาต่างลงคะแนนให้ปานามาเป็นเส้นทางในการขุดคลองลัด จากการโกงครั้งนี้เอง ครอมเวลล์ได้รับผลประโยชน์ไปราว 8 แสนดอลลาร์สหรัฐ[11]
หลังจากที่บริษัทของนายเดอเลสเซปล้มละลายต้องขายโครงการขุดคลองทอดตลาดไป สหรัฐอเมริกาได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการขุดคลองครั้งนี้ เนื่องจากในตอนที่สหรัฐอเมริกาได้ทำสงครามกับสเปนในปี ค.ศ. 1898 เห็นว่าการเดินทางระหว่างฝั่งตะวันตกกับตะวันออกเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ ถ้ามีคลองลัดย่นระยะทางการเดินทางของเรือรบและเรือขนส่งยุทธสัมภาระได้ก็จะเป็นผลดีอย่างยิ่งในการป้องกันประเทศ รัฐบาลจึงเห็นความสำคัญในจุดนี้[8]
โดยสหรัฐอเมริกาได้เจรจากับรัฐบาลโคลอมเบียว่า หากสหรัฐอเมริกาลงทุนขุดคลองแล้วก็ขอให้สหรัฐอเมริกาเช่าพื้นที่บริเวณนั้นเพื่อดำเนินการควบคุมการเข้าออกของเรือที่ผ่านคลอง แต่การตกลงเรื่องราคาค่าเช่าที่ไม่ลงตัว รัฐบาลโคลอมเบียไม่ตกลงกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนั้นชาวปานามากลัวว่าโคลอมเบียจะไม่แบ่งผลประโยชน์ให้เท่าที่พวกตนควรได้ จึงได้ก่อการปฏิวัติขึ้นและประกาศตัวเป็นประเทศเอกราช ซึ่งสหรัฐอเมริกาเองได้รับรองการเป็นเอกราชของปานามา และยังได้ช่วยไม่ให้โคลอมเบียยกกองทหารเข้ามาปราบปรามชาวปานามา จนในที่สุดสหรัฐอเมริกาได้ทำสัญญากับปานามาในปี ค.ศ. 1903[12] โดยปานามายกกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นระยะทางกว้าง 10 กิโลเมตร ตลอดแนวทางที่สหรัฐอเมริกาจะขุดคลอง และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ดำเนินการบริหารเป็นสิทธิขาดตลอดไป โดยสหรัฐอเมริกาจะจ่ายเงินตอบแทนให้ปานามาเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านดอลลาร์ และจะให้เป็นประจำทุกปี อีกปีละ 250,000 ดอลลาร์[8] ส่วนสหรัฐอเมริกาก็ได้จ่ายเงินให้แก่โคลอมเบียเป็นเงิน 25 ล้านดอลล่าร์ในปี ค.ศ. 1921 และรัฐบาลโคลอมเบียรับรองความเป็นเอกราชของปานามาในสนธิสัญญาธอมสัน-อูรูเตีย
สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของทีโอดอร์ รูสเวลต์ได้ครอบครองเครื่องมือรวมถึงอุปกรณ์ขุดเจาะทั้งหมด ได้เริ่มต้นการทำงานเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1904 สิ่งสำคัญประการแรกคือ ได้เริ่มลงมือปราบปรามโรคร้ายที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการก่อสร้างคลอง พันเอก วิลเลียม ซี กอร์กัส ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการดังกล่าวกอร์กัสได้เริ่มรณรงค์ขจัดยุงชนิดหนึ่งซึ่งเป็นพาหะในการนำโรคไข้เหลืองและมาลาเรีย โดยการขจัดหนองน้ำที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และขจัดพงหญ้าที่เป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของยุงเหล่านั้น ตลอดจนกำจัดหนูซึ่งเป็นพาหะกาฬโรค เขาใช้เวลาในการกำจัดอยู่ 10 ปี รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ใช้เงินไปประมาณ 20 ล้านดอลลาร์เฉพาะในการปราบปรามโรคเหล่านี้ จนใน ค.ศ. 1914 จึงได้ดำเนินการก่อสร้างคลองนี้ขึ้น โดยสหรัฐอเมริกาตัดสินใจที่จะก่อสร้างคลองที่มีประตูกั้นน้ำเป็นระยะ ๆ แทนที่จะเป็นคลองที่มีระดับน้ำเท่ากับระดับน้ำทะเล[8] และหลังจากได้ตระเตรียมระบบพื้นฐาน ระบบการก่อสร้างของระบบประตูกั้นน้ำของคลองก็เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง สหรัฐอเมริกาจึงได้ค่อย ๆ เปลี่ยนเครื่องมือของฝรั่งเศสมาใช้เครื่องไม้เครื่องมือขนาดใหญ่สำหรับงานที่ใหญ่ขึ้น[9]
จนในที่สุดวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1914 คลองปานามาก็ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งเปิดก่อนแผนเดิมคือปี ค.ศ. 1916 โดยเรือขนส่งสินค้าลำแรกที่ผ่านคือ เรือที่ชื่อว่า อันคอน (Ancon)[13] ช่วงที่เปิดใช้เป็นเดือนที่เริ่มสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในยุโรป คลองซึ่งมีความยาวประมาณ 80 กิโลเมตร สามารถย่นระยะการเดินทางระหว่างฝั่งทะเลด้านตะวันตกและตะวันออกของสหรัฐฯ ไปถึง 15,700 กิโลเมตร[8] ส่วนทางด้านผลสุขภาพอนามัยของคนงาน แม้ว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์จะพัฒนาขึ้นในช่วงที่ก่อสร้างโดยสหรัฐอเมริกา แต่กระนั้น ก็มีการสูญเสียคนงานไปถึง 5,609 คน ในช่วงปี ค.ศ. 1904–1914[14] ซึ่งถ้ารวมการสูญเสียชีวิตทั้งหมดในการสร้างคลองปานามานี้ ตกอยู่ที่ราว 27,500 คน[15]
การพัฒนาในภายหลัง
แก้ในคริสต์ทศวรรษ 1930 ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นประเด็นที่เกิดขึ้น กระตุ้นให้เกิดการสร้างเขื่อนแมดเดนกั้นแม่น้ำชาเกรส เหนือทะเลสาบกาตุน ซึ่งเขื่อนแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1935 และได้สร้างทะเลสาบอาลาฮูเอลาที่เป็นเหมือนอ่างเก็บน้ำให้กับตัวคลอง[16][17] ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 การก่อสร้างได้เริ่มขึ้น และมีการปรับปรุง การขยายประตูน้ำเซตใหม่ของคลองซึ่งกว้างพอที่จะรับน้ำหนักเรือรบอเมริกัน การทำงานส่วนนี้ใช้เวลาหลายปี และการขุดเจาะช่องทางใหม่ก็เสร็จสมบูรณ์ แต่โครงการนี้ก็ถูกยกเลิกไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง[18][19]
หลังจากสงครามยุติ สหรัฐอเมริกาเข้ามาควบคุมคลองและพื้นที่บริเวณรอบคลอง รัฐบาลปานามาก็เริ่มแสดงความไม่พอใจว่า สนธิสัญญาที่ทำกับสหรัฐอเมริกาโดยมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินและการบริหารงานบริเวณคลองให้สหรัฐอเมริกาเป็นสัญญาที่อยุติธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและปานามาได้เพิ่มความตึงเครียดมากขึ้น ชาวปานามาหลายคนเห็นว่าเขตบริเวณคลองปานามาเป็นของประเทศปานามา กลุ่มนักศึกษาได้เข้ามาประท้วงบริเวณรั้วของเขตบริเวณคลอง และทางสหรัฐอเมริกาก็เสริมกำลังทหารในบริเวณนั้น[20] ชาวปานามาได้ก่อการจลาจลขึ้นในปี ค.ศ. 1964 มีชาวปานามาเสียชีวิต 20 คน และชาวอเมริกัน 4 คน จนกระทั่งการเจรจาได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1974 และได้ลงนามในสนธิสัญญาตอร์ริโฮส–คาร์เตอร์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1977 ลงนามโดยประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ แห่งสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีโอมาร์ ตอร์ริโฮส แห่งปานามา เป็นสัญญาที่ว่าด้วยขั้นตอนการครอบครองคลองให้ชาวปานามาได้เข้ามาควบคุมโดยอิสระยาวนานตราบเท่าที่ปานามารับประกันว่าจะรักษาความเป็นกลาง และยอมให้สหรัฐอเมริกากลับเข้ามาได้ทุกเมื่อ สหรัฐอเมริกาได้ยอมคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณคลอง ในปี ค.ศ. 1979[8] ถึงแม้ว่าจะเกิดการโต้แย้งภายในสหรัฐอเมริกามาโดยตลอด สนธิสัญญานี้ก็ได้มีผลให้ปานามาเข้ามาครอบครอง สหรัฐอเมริกาก็ยอมมอบสิทธิในการบริหารคลองปานามาให้กับรัฐบาลปานามาเมื่อเที่ยงวันของวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999[21] ภายใต้การควบคุมขององค์การบริหารคลองปานามา (Panama Canal Authority หรือ ACP)
เส้นทางและองค์ประกอบ
แก้คลองปานามาประกอบด้วยทะเลสาบที่ขุดขึ้น 17 แห่ง และมีหลายจุดขุดเป็นช่องทางการเดินเรือ มีประตูอยู่ 2 จุด ทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรแอตแลนติก[22]
จากทางมหาสมุทรแปซิฟิก ทางเข้าจากอ่าวปานามา ถึงประตูมิราโฟลเรส เป็นประตูน้ำ 2 ส่วน มีระยะทาง 13.2 กิโลเมตร (8.2 ไมล์) จากอ่าวปานามาเมื่อผ่านไปจะลอดสะพานบริดจ์ออฟดิอเมริกาส์ ต่อมาคือประตูมิราโฟลเรส ซึ่งมีกำแพงขนาดราวยาว 1.7 กิโลเมตร (1.1 ไมล์) ขนาบอยู่ จากจุดนี้ระดับน้ำจะสูงขึ้นไปอีก 16.5 เมตร (54 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล[23] ถัดมาคือประตูเปโดรมิเกล ซึ่งมีความยาว 1.4 กิโลเมตร (0.8 ไมล์) เป็นจุดสุดท้ายที่มีการยกระดับขึ้นไป โดยยกขึ้นอีก 9.5 เมตร (31 ฟุต) ขึ้นสู่ระดับน้ำของคลอง
ช่องเขาเกลลาร์ดเป็นส่วนที่แยกทวีปอเมริกาออกเป็น 2 ส่วน โดยตัดภูเขากูเลบราเป็นระยะทาง 12.6 กิโลเมตร (7.8 ไมล์) ด้วยระดับความสูง 26 เมตร (85 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล การตัดคลองมีลักษณะโค้ง ปัจจุบันกำลังเพิ่มความกว้างขนาดคลองเพื่อความปลอดภัย
และถัดไปคือลอดสะพานเซนเทนเนียล แล้วจึงเข้าสู่แม่น้ำตามธรรมชาติคือแม่น้ำชาเกรส ตรงช่วงกลางของแม่น้ำมีเขื่อนกาตุน มีฐานเขื่อนกว้าง 8.5 กิโลเมตร (5.3 ไมล์) มียอดเขื่อนกว้าง 30.5 เมตร[23] ถัดมาคือทะเลสาบกาตุน ครอบคลุมพื้นที่ 418.25 ตารางกิโลเมตร ถือเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์สร้างขึ้น และสุดท้ายประตูกาตุน เป็นประตูน้ำฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก แบ่งเป็นประตูน้ำ 3 ส่วน แต่ละประตูน้ำแบ่งเป็น 2 ช่องทาง ซึ่งแต่ละประตูจะมีความกว้าง 33.5 เมตร ยาว 305 เมตร รถลากจะลากเรือเข้ามาในประตูน้ำ หลังจากนั้นจะทำการปรับระดับน้ำทีละฟุต โดยใช้หลักการแรงดันน้ำจากระดับน้ำที่สูงกว่ายกระดับเรือผ่านประตูน้ำทั้ง 3 ระดับ ให้สูงกว่าระดับน้ำทะเลที่ 26 เมตร[23]
ประตูกั้นน้ำ
แก้ค่าธรรมเนียม
แก้ค่าธรรมเนียมการใช้คลองปานามากำหนดโดยองค์การบริหารคลองปานามา ราคาขึ้นอยู่กับประเภทของเรือ ขนาดและประเภทของสินค้าที่ขนมากับเรือ[24]
สำหรับเรือขนสินค้า ค่าธรรมเนียมประเมินจากทีอียู (TEU ย่อมาจาก Twenty-foot Equivalent Unit) ซึ่งเป็นขนาดของคอนเทนเนอร์ มีขนาด 20 ฟุต (6 เมตร) x 8 ฟุต (2 เมตร) x 8.5 ฟุต (2.6 เมตร) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 ซึ่งมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 54 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 ทีอียู เรือขนสินค้าที่ใหญ่ที่สุดอาจขนสินค้าได้ถึง 4,400 ทีอียู แต่มีข้อลดหย่อนลดราคาสำหรับเรือเปล่าที่ไม่มีผู้โดยสาร ไม่มีการขนสินค้า
แต่เรือส่วนใหญ่จะจ่ายค่าธรรมเนียมในหน่วย PC/UMS (Panama Canal/Universal Measurement System) ที่ 1 ตันมีค่าเท่ากับ 100 ลูกบาศก์ฟุต (2.8 ลูกบาศก์เมตร) โดยค่าธรรมเนียมในปี 2007 อยู่ที่ 3.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สำหรับ 10,000 ตันแรก และ จ่ายที่ 3.19 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สำหรับ 10,000 ตันถัดไป และหากเกินกว่านั้นยอดที่เหลือคิดที่ 3.14 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และราคามีข้อลดหย่อนสำหรับเรือเปล่าเช่นกัน
ส่วนเรือขนาดเล็ก ค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่กับความยาว โดยราคา ณ ปี ค.ศ. 2007 อยู่ที่
ความยาวของเรือ | ค่าธรรมเนียม |
---|---|
น้อยกว่า 15.240 เมตร (50 ฟุต) | 500 ดอลลาร์สหรัฐ |
มากกว่า 15.240 เมตร (50 ฟุต) ถึง 24.384 เมตร (80 ฟุต) | 750 ดอลลาร์สหรัฐ |
มากกว่า 24.384 เมตร (80 ฟุต) ถึง 30.480 เมตร (100 ฟุต) | 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ |
มากกว่า 30.480 เมตร (100 ฟุต) | 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ |
สำหรับค่าธรรมเนียมที่แพงที่สุดที่มีการบันทึก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 จากเรือขนสินค้าที่ชื่อว่า Disney Magic จ่ายค่าธรรมเนียมไป 331,200 ดอลลาร์สหรัฐ[25] ส่วนค่าธรรมเนียมที่ถูกที่สุดคือ 36 เซนต์ สำหรับเรือของนักเดินทางชาวอเมริกันที่ชื่อ ริชาร์ด ฮาลลิเบอร์ตัน ในปี ค.ศ. 1928[26] ส่วนค่าธรรมเนียมเฉลี่ยอยู่ที่ 54,000 ดอลลาร์สหรัฐ
คลองปานามาในปัจจุบัน
แก้90 ปีตั้งแต่เปิดทำการ คลองปานามาก็ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าโลกของการขนส่งทางเรือ จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างไม่ว่าจะเป็นขนาดของเรือเอง แต่คลองปานามาก็ยังคงเป็นมีความสำคัญในการเชื่อมโยงการค้าขายของตลาดโลก การขนส่งได้เพิ่มจำนวนขึ้นกว่าแต่ก่อน กับค่าใช้จ่ายที่น้อยลง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แนวโน้มของปัญหาต่าง ๆ ก็ยังตามมาด้วย
ประสิทธิภาพและการดูแลรักษา
แก้เคยมีการหวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องประสิทธิภาพและการดูแลรักษา หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ถอนออกจากปานามา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ยังไม่ปรากฏเหตุการณ์ใดขึ้นและประสิทธิภาพก็ยังถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องภายใต้การควบคุมของชาวปานามาเอง[27] CWT (Canal Waters Time) คือเวลาเฉลี่ยที่เรือแต่ละลำใช้ในการเดินทางภายในคลองปานามา รวมถึงเวลาในการรอเรือลำอื่น เป็นปัจจัยวัดของประสิทธิภาพการใช้งาน ซึ่งทางเอซีพีได้รายงานว่า ค่า CWT นี้ลดลงและเอซีพียังรายงานว่า อุบัติเหตุที่เกิดภายในคลองเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง[28]
การเพิ่มจำนวนขึ้นของการส่งออกจากเอเชีย ที่ขึ้นฝั่งทางท่าเรือชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ได้ใช้เส้นทางผ่านคลองปานามาไปทางฝั่งตะวันออก[29] จำนวนเรือขนส่งในปีงบประมาณของ ค.ศ. 1999 อยู่ที่ 14,336 ลำ และตกลงไปอยู่ที่ 13,154 ในปี ค.ศ. 2003 เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกในช่วงนั้น แต่ก็ได้กลับขึ้นมาอีกครั้งที่ 14,194 ในปี ค.ศ. 2006 (นับตั้งแต่เดือน ตุลาคม ถึง กันยายน) และขนาดของเรือและจำนวนเรือขนาดใหญ่ก็ได้เพิ่มเป็น 2 เท่า ซึ่งถ้านับความจุทั้งหมดแล้วเพิ่มจาก 227.9 ล้าน PC/UMS ในปี ค.ศ. 1999 ขึ้นไปที่ 296.0 PC/UMS ในปี ค.ศ. 2006[30] นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตโดยรวมของคลอง ถึงแม้ว่าจำนวนเรือจะลดลง คลองปานามาเคยมีสถิติรองรับการจราจรมากที่สุดวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2006 ที่ 1,070,023 PC/UMS[31] ซึ่งทำลายสถิติก่อนหน้านี้ที่ 1,005,551 PC/UMS ของวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2004[32]
คณะบริหารของคลองปานามาลงทุนเงินเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อขยายความกว้างของคลองและทำให้คลองทันสมัยขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพิ่มการสัญจรขึ้นอีก 20%[33] ฝ่ายบริหารได้ตั้งเป้าการปรับปรุงหลัก ได้แก่ การขยายขนาดความกว้างคลอง การทำคลองเป็นทางตรงในช่วงช่องเขาเกลลาร์ด การขุดทะเลสาบกาตุนให้ลึกลง เพื่อลดข้อจำกัดของปริมาณน้ำและการขุดทางเข้าทั้งทางฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกให้ลึกลง เพื่อรองรับขนาดเรือบรรทุกขนาดใหญ่ โดยได้ดำเนินการสั่งซื้อเรือขุดเจาะใหม่และเรือดูดเลน รวมถึงเพิ่มกองทัพเรือโยงอีก 20% นอกจากนั้นการปรับปรุงยังรวมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับเครื่องกลในคลอง เช่น การปรับปรุงและเพิ่มเครื่องของเรือโยง การแทนที่รางเคลื่อนมากกว่า 16 กิโลเมตร และการปรับปรุงเครื่องควบคุมสำหรับประตูกั้นน้ำเครื่องใหม่ ทำให้ระบบการจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น[34]
การถอนตัวไปของสหรัฐอเมริกานั้น ได้อนุญาตให้ปานามาขายยอดส่วนเกินจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าของเขื่อน ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นข้อห้ามของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งคลองปานามาใช้พลังงานไฟฟ้าเพียง 25% จากการผลิตของโรงงานพลังงานไฟฟ้า
การรองรับ
แก้คลองปานามาในปัจจุบันสามารถรองรับการสัญจรของเรือได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนโดยในปี ค.ศ. 1934 มีความจุสูงสุดโดยประมาณราว 80 ล้านตันต่อปี[35] ซึ่งจากข้อมูลในปี ค.ศ. 2005 คลองสามารถรองรับได้ถึง 278.8 ล้านตัน[36]
อย่างไรก็ตามการรองรับที่เพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ คลองปานามาก็คาดการณ์ว่าความจุนี้ใกล้การรองรับที่สูงที่สุดของคลองแล้ว นอกจากนั้นความยุ่งยากของขนาดความใหญ่ของเรือที่เดินผ่านเข้ามาก็เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งอาจมีผลให้จำนวนของการเรือที่เข้ามาอาจลดลงไปด้วย แม้ว่าสินค้าที่บรรทุกจะเพิ่มขึ้น และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม คลองปานามาก็ยังคงเดินหน้าให้บริการกับเรือสินค้าจากทั่วทุกมุมโลก และขยับขยายการเพิ่มขึ้นที่มีตามมาในอนาคต
คู่แข่ง
แก้ถึงแม้ว่าจะได้เปรียบทางด้านธุรกิจมาโดยตลอดหลาย ๆ ปี แต่คลองปานามาก็ต้องพบกว่าคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการหาความเป็นไปได้ในการขุดคลองใหม่ผ่านโคลอมเบีย เม็กซิโก หรือในนิการากัว[37] ที่สามารถจะทำได้และเสียงวิจารณ์ที่มุ่งประเด็นไปในแผนการปรับขึ้นราคาค่าธรรมเนียม คำแนะนำที่คลองสุเอซอาจเป็นทางเลือกในการขนส่งสินค้าจากเอเชียไปชายฝั่งตะวันออกของอเมริกา ถึงอย่างไรก็ตามความต้องการที่จะใช้คลองปานามาก็ยังคงมีแนวโน้มมากขึ้นไปอีก
อัตราการละลายของน้ำแข็งในทะเลอาร์กติกเป็นสิ่งที่นำไปสู่การพิจารณาถึงเส้นทางผ่านทางใหม่ที่อาจสามารถใช้ได้ในอนาคต เส้นทางนี้ร่นระยะทางได้ถึง 9,300 กิโลเมตร (5,800 ไมล์) จากเอเชียสู่ยุโรป เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เส้นทางคลองปานามา นี่เป็นจุดเด่นของเส้นทางนี้[38][39] หากแต่ยังไม่ทราบว่าเมื่อใดเส้นทางฝั่งตะวันตกจะเปิดตัวโดยสมบูรณ์ และได้นำไปสู่การถกเถียงระหว่างประเทศ ทางด้านแคนาดาอ้างสิทธิเต็มที่เหนือเส้นทางเดินเรือฝั่งตะวันตกที่ผ่านอาณาเขตของประเทศ แต่การอ้างดังกล่าวก็ได้รับการโต้เถียงจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปซึ่งแย้งว่า เส้นทางใหม่นั้นควรจะเป็นประโยชน์ของนานาชาติที่ใครจะเดินเรือผ่านก็ได้[40]
ประเด็นเกี่ยวกับน้ำ
แก้ปัญหาสำคัญคือการลดลงของน้ำในทะเลสาบกาตุน สาเหตุใหญ่จากการลดจำนวนของต้นไม้ จำนวนน้ำจืด 202,000 ลูกบาศก์เมตร ได้ระบายลงสู่ทะเลทางประตูน้ำทุก ๆ ครั้งที่เรือผ่านเข้ามาในคลอง[41] และถึงแม้ว่าฝนประจำปีจะตกอย่างเพียงพอที่จะเติมน้ำที่ใช้ในคลอง ฝนที่ตกประจำปีนั้นหมายถึงว่าน้ำนั้นจะต้องกักเก็บไว้ใช้สำหรับฤดูกาลถัดไปด้วย และถึงแม้ว่าทะเลสาบกาตุนจะสามารถกักเก็บน้ำนี้ได้ ป่าในเขตร้อนก็ทำหน้าที่ดูดซับฝนนี้ และจะปล่อยลงสู่ทะเลสาบ การลดลงของต้นไม้นี้เอง ทำให้ฝนที่ตกลงในป่าที่ถูกทำลายไหลลงทะเลสาบอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกินไปทำให้ล้นไปในมหาสมุทร ผลคือน้ำไม่เพียงพอในหน้าแล้ง เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำเล็กน้อยที่ไหลเติมเข้ามาในทะเลสาบ ต้นไม้ที่หายไปเป็นเหตุให้ดินโคลนกัดเซาะไปได้จากทะเลสาบกาตุนและจะสะสมที่ใต้ทะเลสาบ เป็นการลดปริมาตรน้ำ
ระดับน้ำทะเลของมหาสมุทรทั้ง 2 ฝั่งไม่เท่ากัน คือฝั่งแปซิฟิกสูงกว่าฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก 20 เซนติเมตร เนื่องมาจากปัจจัยที่ต่างกันของมหาสมุทรอย่างเช่น ความหนาแน่นของน้ำและปัจจุจัยด้านภูมิอากาศ[42]
อนาคต
แก้ด้วยความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น คลองปานามาก็ยังคงอยู่ตำแหน่งที่สำคัญของโลกแห่งการขนส่งสินค้าในอนาคต อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการขนส่งสินค้า อย่างเช่น จำนวนของเรือขนาดใหญ่ที่มีผลต่อยอดกำไรของคลอง มีการคาดการณ์ไว้ว่าในปี 2011 37% ของเรือขนส่งสินค้าจะใหญ่เกินไปสำหรับคลองปานามาในปัจจุบัน และต่อจากนี้ไปความผิดพลาดจะขยายมากขึ้นมีผลให้สูญเสียการครองตลาดไป ยอดความจุสูงสุดของคลองนี้ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อยู่ที่ประมาณ 330-340 PC/UMS ตันต่อปี และมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขนี้จะถึงในปี 2009 และ 2012 และกว่า 50% ของเรือมีความกว้างสูงสุดของประตูน้ำในปัจจุบันแล้ว[43]
แผนการขยับขยายนั้นคล้ายกับประตูน้ำที่ 3 ที่สร้างขึ้นในปี 1939 เป็นการเพิ่มจำนวนการสัญจรในคลองและความสามารถที่จะรองรับเรือที่ใหญ่ขึ้นได้ถูกนำมาพิจารณาอยู่หลายครั้ง[44] แผนการนี้ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลของปานามา[45] ซึ่งการเสนอการขยายคลองนี้ก็ได้ผ่านประชามติด้วยเสียงประมาณ 80% สนับสนุนเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2006[46]
การขยับขยาย
แก้แผนในปัจจุบันคือการสร้างช่องทางเดินเรือ ขนานไปกับ 2 ช่องทางเดิม[47] จุดแรกทางทิศตะวันออกตรงบริเวณประตูกาตุน อีกที่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประตูมิราโฟลเรส ทั้ง 2 เพื่อรองรับช่องทางนั้น ๆ ในระดับที่สูงขึ้นไปจากระดับของมหาสมุทร ตรงเข้าสู่ทะเลสาบกาตุนและบริเวณมิราโฟลเรส/เปโดรมิเกล ที่ยังไม่ได้มีการสร้างประตูใหม่นี้จะมีการเพิ่มประตูเลื่อน เพิ่มความปลอดภัยเป็น 2 เท่า มีความยาว 427 เมตร (1,400 ฟุต) กว้าง 55 เมตร (180 ฟุต) ลึก 18.3 เมตร (60 ฟุต) สามารถรองรับเรือที่มีความกว้างได้ถึง 49 เมตร (160 ฟุต) มีความยาวรวมทั้งหมด 366 เมตร (1,200 ฟุต)[2] ซึ่งหมายถึงเรือขนส่งสินค้าสามารถขนสินค้าได้ถึง 12,000 TEU
ประตูแห่งใหม่นี้ที่รองรับเส้นทางใหม่ ที่เส้นทางมิราโฟลเรสมีความยาว 6.2 กิโลเมตร (3.8 ไมล์) จากประตูสู่ช่องเขาเกลลาร์ด เลี่ยงทางออกทะเลสาบมิราโฟลเรส เส้นทางดังกล่าวกว้าง 218 เมตร (715 ฟุต) เพื่อต้องการรอบรับเรือขนาดใหญ่ที่สุดที่เดินทางสู่ช่องทาง ส่วนช่องเขาเกลลาร์ดก็จะทำการขยับขยายให้กว้างขึ้นไม่ต่ำกว่า 280 เมตร (918 ฟุต) ในทางตรงและในส่วนทางโค้งจะปรับให้กว้างไม่ต่ำกว่า 366 เมตร (1,200 ฟุต) ระดับสูงสุดของทะเลสาบกาตุนจะทำให้สูงจากระดับอ้างอิง 26.7 เมตร (87.5 ฟุต) ถึง 27.1 เมตร (89 ฟุต)[48]
ประตูแต่ละแห่งกับอ่างเก็บน้ำทั้ง 9 แห่ง (3 แห่งต่อประตู) อ่างเก็บน้ำจะมีความขนาดเฉลี่ย กว้าง 70 เมตร (230 ฟุต) ยาว 430 เมตร (1,410 ฟุต) และ ลึก 5.50 เมตร (18 ฟุต) อ่างเก็บน้ำจะใช้น้ำ 60% ในการเข้ามาแต่ละครั้งของเรือและจะนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ประตูแห่งใหม่จะใช้น้ำน้อยกว่า 7% ในแต่ละเที่ยว การขุดทะเลสาบกาตุนให้ลึกลงและการเพิ่มจำนวนน้ำมากขึ้นจะช่วยให้มีการกักเก็บน้ำที่มีจำเป็นในการใช้งานซึ่งการขยับขยายนี้ก็ยังช่วยให้ไม่ต้องมีการขุดอ่างเก็บน้ำแห่งใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย[43]
ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการนี้โดยประมาณอยู่ที่ 5.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[49] โครงการนี้ออกแบบมาเพื่อตั้งเป้าไว้ว่าจะรองรับการเจริญเติบโตของเส้นทางสัญจรได้จาก 280 ล้าน PC/UMS ในปี ค.ศ. 2005 ไปเป็น เกือบ 510 ล้าน PC/UMS ในปี ค.ศ. 2025 และน่าจะมีความสามารถในการรองรับได้ 600 ล้าน PC/UMS ต่อปี ส่วนค่าธรรมเนียมอยู่ระหว่างการคิดคำนวณโดยคำนวณจากขนาดของเรือแต่ไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งการใช้ประตู
ประตูแห่งใหม่คาดว่าจะเปิดใช้ในปี ค.ศ. 2015 ประตูในปัจจุบันซึ่งมีอายุร่วมร้อยปีแล้ว จะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่และดำเนินการอย่างต่อไปอย่างไม่มีกำหนด[43] จากบทความเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 ในนิตยสารป็อปปูลาร์เมคานิกส์ อธิบายไว้ว่า แผนของคลองปานามาจะมุ่งไปที่ด้านวิศวกรรมในการขยับขยายโครงการ[50]
เดือนกันยายน ค.ศ. 2007 ได้มีการเริ่มต้นการขยับขยายคลอง โดยมีคนงานชาวปานามานับพันจากปาราอีโซ กรุงปานามาซิตี ร่วมกันระเบิดภูเขา อย่างไรก็ตามได้เกิดความเสียหายมีคนงานเสียชีวิต ในขณะที่รถบรรทุกชนเข้ากับเสาไฟฟ้าแรงสูง ช่วงแรกของโครงการจะทำการขุดแห้งคูกว้าง 218 เมตร (715 ฟุต) ให้เชื่อมต่อกับช่องเขากูเลบรากับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ได้ทำการขุดหิน 47 ล้านลูกบาศก์เมตร และได้ดำเนินงานด้วยเงิน 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในการสร้างประตูแห่งใหม่และจะเริ่มปลายปี 2007 นี้[51]
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ Scott, William R. (1913). The Americans in Panama. New York, NY: Statler Publishing Company.
- ↑ 2.0 2.1 สาธารณรัฐปานามา เก็บถาวร 2008-12-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน กองลาตินอเมริกา กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
- ↑ SOME EARLY CANAL PLANS เก็บถาวร 2015-01-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน pancanal.com เรียกดูเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2550 (อังกฤษ)
- ↑ "A History of the Panama Canal: French and American Construction Efforts". Panama Canal Authority. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-12-15. สืบค้นเมื่อ 2007-09-03.; Chapter 3, Some Early Canal Plans เก็บถาวร 2015-01-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Caso, Adolph; Marion E. Welsh (1978). They Too Made America Great. Branden Books. p. 72. ISBN 0828317143.; online at Google Books
- ↑ Darien Expedition เรียกดูเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2550 (อังกฤษ)
- ↑ แฟร์ดินองด์ เดอ เลสเซ็ปส์ นักขุดแผ่นดินระดับโลก เก็บถาวร 2008-12-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดย บิสิเนสไทย เรียกดูเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2550
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 8.6 คลองปานามา เก็บถาวร 2007-10-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน thaigoodview.com เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 Avery, Ralph E. (1913). The French Failure ,America's Triumph in Panama. Chicago, IL: L.W. Walter Company. (อังกฤษ)
- ↑ THE FRENCH CANAL CONSTRUCTION เก็บถาวร 2007-07-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน pancanal.com เรียกดูเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2550 (อังกฤษ)
- ↑ 11.0 11.1 Kinzer, Stephen (2006). Overthrow. Henry Holt and Company, 58-59. ISBN 0-8050-8240-9. (อังกฤษ)
- ↑ บันทึกข้อเสนอเรื่อง ขุดคอคอดกระ ของ นายปรีดี พนม สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
- ↑ Read our history: American Canal Construction เก็บถาวร 2014-12-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Panama Canal Authority เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ A History of the Panama Canal: French and American Construction Efforts เก็บถาวร 2018-10-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Panama Canal Authority เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ The Panama Canal A Vital Maritime Link for the World เก็บถาวร 2007-11-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน USINFO - The United States Department of State เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Article on flooding of Alhajuela Lake in 2001 เก็บถาวร 2007-05-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Article on Mr. Richard Bilonick เก็บถาวร 2007-07-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- ↑ Enlarging the Panama Canal, Alden P. Armagnac, CZ Brats เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Enlarging the Panama Canal for Bigger Battleships, notes from CZ Brats เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ The Martyrs of 1964 ,Eric Jackson เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ 1978: Carter wins Panama Canal battle bbc.co.uk เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Andre Sanchez, A Profile of the Panama Canal ezinearticles.com เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ 23.0 23.1 23.2 กิตติ สุขุตมตันติ, คลองปานามา[ลิงก์เสีย]
- ↑ Maritime Operations — Tolls เก็บถาวร 2006-09-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Panama Canal Authority. (อังกฤษ)
- ↑ Disney cruise ship pays record fee to cross Panama Canal เก็บถาวร 2008-06-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, International Herald Tribune, June 11, 2008 เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
- ↑ Panama Canal Authority FAQ เก็บถาวร 2010-09-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553(อังกฤษ)
- ↑ A Man, A Plan, A Canal: Panama RisesSmithsonian Magazine. Smithsonian Institution เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Tonnage Increases; Canal Waters Time and Accidents Drop เก็บถาวร 2005-08-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Panama Canal Authority (2003-12-09) (อังกฤษ)
- ↑ Lipton, Eric. "New York Port Hums Again, With Asian Trade" เก็บถาวร 2005-03-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, New York Times, 2004-11-22 เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Annual Reports Panama Canal Authority เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Panama Canal Breaks Two Records in Two Days Panama Canal Authority (2006-03-21) เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Panama Canal Sets Historic Record in PC/UMS Tonnage Panama Canal Authority (2004-04-02) เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553(อังกฤษ)
- ↑ Nettleton, Steve (1999).Transfer heavy on symbolism, light on change, CNN Interactive เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Modernization & Improvements เก็บถาวร 2006-06-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Panama Canal Authority เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Mack, Gerstle (1944).The Land Divided - A History of the Panama Canal and Other Isthmian Canal Projects. เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Panama Canal Facts เก็บถาวร 2007-06-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน panama-travel-bureau.com (อังกฤษ)
- ↑ Lidia Hunter, NICARAGUA: Plan for Inter-Ocean Canal Reborn เก็บถาวร 2006-05-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ipsnews.net เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Sevunts, Levon (2005-06-12). Northwest Passage redux. The Washington Times. เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Joe Varner (2 August 2021). "Canada's Arctic Problem". Modern War Institute.
- ↑ น้ำแข็งขั้วโลกหดเปิดเส้นทางเดินเรือตะวันตก เก็บถาวร 2012-01-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน สำนักอุตสาหกรรมเพิ่มมูลค่า
- ↑ Panama Canal Authority FAQ เก็บถาวร 2010-09-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Panama Canal Authority. เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ "Sea Level: Frequently asked questions and answers". Proudman Oceanographic Laboratory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-06-19. สืบค้นเมื่อ 2009-01-08.
- ↑ 43.0 43.1 43.2 Relevant Information on the Third Set of Locks Project เก็บถาวร 2006-05-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Panama Canal Authority (2006-04-24). เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ The Panama Canal เก็บถาวร 2007-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Business in Panama (อังกฤษ)
- ↑ Monahan, Jane (2006-04-04).Panama Canal set for $7.5bn revamp BBC News. เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ Panama approves $5.25 billion canal expansion MSNBC.com เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ ประชามติเห็นชอบ ขยาย “คลองปานามา”[ลิงก์เสีย] โดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2549 17:44 น.
- ↑ Technical Analysis of Disposal Sites for Work on Panama Canal Post เก็บถาวร 2007-09-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน pancanal.com เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
- ↑ FTA สหรัฐอเมริกา-ปานามา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2191 11 ก.พ. - 14 ก.พ. 2550 เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
- ↑ Reagan, Brad (February 2007) The Panama Canal's Ultimate Upgrade เก็บถาวร 2007-02-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน นิตยสารป็อปปูลาร์เมคานิกส์ (อังกฤษ)
- ↑ Reuters: Work starts on biggest-ever Panama Canal overhaul เรียกดูเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 (อังกฤษ)
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
แก้- Jaen, Omar. (2005). Las Negociaciones de los Tratados Torrijos-Carter, 1970-1979 (Tomos 1 y 2). Panama: Autoridad del Canal de Panama. ISBN 9962-607-32-9 (Obra completa)
- Jorden, William J. (1984). Panama Odyssey. 746 pages, illustrated. Austin: Univ of Texas Press. ISBN 0-292-76469-3
- "Conquering the Landscape (Gary Sherman explores the life of the great American trailblazer, John Frank Stevens)," HISTORY MAGAZINE, July 2008.
- David McCullough. (1977). The Path Between the Seas: The Creation of the Panama Canal, 1870-1914. New York: Simon & Schuster. ISBN 0-671-22563-4
- Mellander, Gustavo A.(1971) The United States in Panamanian Politics: The Intriguing Formative Years. Daville,Ill.:Interstate Publishers. OCLC 138568.
- Mellander, Gustavo A.; Nelly Maldonado Mellander (1999). Charles Edward Magoon: The Panama Years. Río Piedras, Puerto Rico: Editorial Plaza Mayor. ISBN 1-56328-155-4. OCLC 42970390.
- Parker, Matthew. (2007). Panama Fever: The Epic Story of One of the Greatest Human Achievements of All Time - The Building of the Panama Canal. New York: Doubleday. ISBN 978-0-385-51534-4
- Murillo, Luis E. (1995). The Noriega Mess: The Drugs, the Canal, and Why America Invaded. 1096 pages, illustrated. Berkeley: Video Books. ISBN 0-923444-02-5.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Panama Canal Authority (อังกฤษ)
- เว็บแคมของคลองปานามา เก็บถาวร 2014-02-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- Making the Dirt Fly, Building the Panama Canal ข้อมูลจากห้องสมุดสถาบันสมิธสันเนียน (อังกฤษ)
- 2700 digitised National Archives public domain images เก็บถาวร 2008-05-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน รูปถ่ายระหว่างการก่อสร้างคลองปานามา โดย GoZonian.org เก็บถาวร 2008-05-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐอเมริกา
- พิพิธภัณฑ์คลอง — ประวัติคลองปานามา เอกสาร รูปถ่ายและเรื่องราว
- ประวัติเขคคลองปานามา — บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับคลองปานามาไว้อย่างมากมาย, from CZ Brats
- ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคลองปานามา เก็บถาวร 2020-08-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Satellite view in Google Maps
- ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับคลองปานามา เก็บถาวร 2008-05-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน