เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2018

เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 2018 เป็นรอบชิงชนะเลิศครั้งที่ 137 ของเอฟเอคัพ, การแข่งขันฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก. ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 ที่ สนามกีฬาเวมบลีย์ ในกรุงลอนดอน, ประเทศอังกฤษ และเป็นการตัดสินกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ เชลซี. ทีมชนะเลิศจะได้ผ่านเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอล ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2018–19 ที่รอบแบ่งกลุ่ม.[2]

เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2018
รายการเอฟเอคัพ ฤดูกาล 2017–18
วันที่19 พฤษภาคม ค.ศ. 2018
สนามสนามกีฬาเวมบลีย์, ลอนดอน
ผู้ตัดสินไมเคิล โอลิเวอร์[1]
ผู้ชม87,647 คน
2017
2019

เส้นทางสู่นัดชิงชนะเลิศ แก้

เชลซี แก้

รอบ คู่แข่งขัน ผล
3
รีเพลย์
นอริช ซิตี (A)
นอริช ซิตี (H)
0–0
1–1 (a.e.t.)
5–3 (ลูกโทษ)
4 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (H) 3–0
5 ฮัลล์ ซิตี (H) 4–0
รอบก่อนรองชนะเลิศ เลสเตอร์ซิตี (A) 2–1 (a.e.t.)
รอบรองชนะเลิศ เซาแทมป์ตัน (N) 2–0
ความหมาย: (h) = สนามทีมเหย้า; (a) = สนามทีมเยือน; (n) = สนามเป็นกลาง.

เชลซี ในฐานะทีมจาก พรีเมียร์ลีก เข้าสู่ในรอบที่สามของเอฟเอคัพพบกับ นอริช ซิตี เมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่ แคร์โรว์ โรด, จบลงด้วยการเสมอกัน 0–0. นัดรีเพลย์จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม, และจบลงด้วยผลเสมอ 1–1 จากการทำประตูของ มีชี บัตชัวยี ในนาทีที่ 55 และ จามาล เลวิส ในนาทีที่ 90. เกมนี้ถูกซื้อในช่วงต่อเวลาพิเศษและการดวลลูกโทษ. ผลจบลงที่เชลซีชนะการดวลลูกโทษตัดสินโดย 5 ประตูต่อ 3.[3] ในรอบสี่, พวกเขาพบกับทีมฝั่งตรงกันข้ามจากพรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์. สองประตูโดยบัตชัวยีและหนึ่งประตูจาก มาร์โกส อาลอนโซ ชนะในนัดนี้ 3–0.[4] ในรอบห้า, เชลซีเผชิญหน้าพบกับทีมอื่นจาก อีเอฟแอลแชมเปียนชิป, ฮัลล์ ซิตี. 2 ประตูจาก วีลียัง, และคนละหนึ่งประตูสำหรับ เปโดร และ ออลีวีเย ฌีรู มองเห็นชัยชนะของพวกเขา 4–0 ในค่ำคืนนั้น.[5] ในรอบก่อนรองชนะเลิศ, พวกเขาออกไปเยือน คิงเพาเวอร์สเตเดียม ที่จะเผชิญหน้า เลสเตอร์ซิตี. หนึ่งประตูสำหรับเชลซีได้มาจาก อัลบาโร โมราตา และการตามยิงตีเสมอของเลสเตอร์ได้มาจาก เจมี วาร์ดี ซื้อให้เกมนัดนี้ไปลุ้นกันจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ. ในครึ่งเวลาแรกของการต่อเวลาพิเศษ, ตัวสำรองอย่าง เปโดร ถูกส่งมาจากที่นั่งสำรองข้างสนามและเป็นผู้ทำประตูชัยส่งให้เชลซีผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศที่เวมบลีย์เพื่อที่จะได้เผชิญหน้ากับ เซาแทมป์ตัน.[5] ในรอบรองชนะเลิศของเอฟเอคัพ, ประตูจากสองกองหน้า ฌีรู และ โมราตา เพียงพอต่อการที่เห็นเซาแทมป์ตันตกรอบด้วยสกอร์ 2–0 ส่งให้เชลซีกลับคืนสู่เอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศเป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน. เชลซีกำลังแสวงหาชัยชนะครั้งที่แปดเอฟเอคัพของพวกเขา, ซึ่งจะเห็นพวกเขาร่วมกันกับทอตนัม ฮอตสเปอร์ในการถูกจารึกเข้าทำเนียบเกียรติยศตลอดกาล.[6]

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แก้

รอบ คู่แข่งขัน ผล
3 ดาร์บี เคาน์ตี (H) 2–0
4 เยโอวิล ทาวน์ (A) 4–0
5 ฮัดเดอส์ฟีลด์ ทาวน์ (A) 2–0
รอบก่อนรองชนะเลิศ ไบรตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน (H) 2–0
รอบรองชนะเลิศ ทอตนัม ฮอตสเปอร์ (N) 2–1
ความหมาย: (h) = สนามทีมเหย้า; (a) = สนามทีมเยือน; (n) = สนามเป็นกลาง.

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในฐานะทีมจาก พรีเมียร์ลีก เข้าสู่การแข่งขันในรอบที่สาม, โดยที่พวกเขาถูกจับสลากเล่นในบ้านพบกับทีมจาก อีเอฟแอลแชมเปียนชิป ดาร์บี เคาน์ตี. ที่สนาม โอลด์แทรฟฟอร์ด, ยูไนเต็ด ชนะ 2–0 กับประตูจาก เจสซี ลินการ์ด และ โรเมลู ลูกากู.[7] ในรอบต่อไป, ยูไนเต็ดถูกจับสลากพบกับทีมจาก อีเอฟแอลลีกทู เยโอวิล ทาวน์ ออกไปเยือน. ที่สนาม ฮูอิช พาร์ก พวกเขาเอาชนะ 4–0 กับประตูจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด, อันเดร์ เอร์เรรา, เจสซี ลินการ์ด และ ลูกากู.[8] ในรอบที่ห้า, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ถูกจับสลากพบกับทีมร่วมพรีเมียร์ลีก ฮัดเดอส์ฟีลด์ ทาวน์ ออกไปเยือนที่สนาม สนามกีฬาจอห์นสมิทส์. พวกเขาได้เดินก้าวหน้าต่อไปหลังจากสองประตูจากลูกากูในชัยชนะ 2–0.[9] ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย, พวกเขาลงเล่นพบกับทีมจากพรีเมียร์ลีก ไบรตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน ที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด. แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก้าวเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จหลังจากเก็บชัยชนะได้ 2–0 กับประตูจากลูกากู และ เนมันยา มาติช.[10] ในรอบรองชนะเลิศที่ สนามกีฬาเวมบลีย์ พบกับคู่อริจากพรีเมียร์ลีก ทอตนัม ฮอตสเปอร์, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สามารถลุ้นเอื้อมไปถึงนัดชิงชนะเลิศครั้งที่ 20 ของพวกเขาหลังจากการกลับมาจากตามหลังสู่ชัยชนะ 2–1 โดยแต่ละประตูได้มาจาก อาเลกซิส ซานเชซ และ เอร์เรรา.[11] แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กำลังมองถึงแมตช์ ของอาร์เซนอล ในการเก็บสถิติของการคว้าถ้วยชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยที่ 13.[12]

เหตุการณ์ก่อนการแข่งขัน แก้

แมตช์ แก้

สรุปผลการแข่งขัน แก้

รายละเอียด แก้

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เชลซี
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
GK 13   ตีโบ กูร์ตัว   90+3'
CB 28   เซซาร์ อัซปีลีกูเอตา
CB 24   แกรี เคฮิลล์ (c)
CB 2   อันโทนีโย รือดีเกอร์
RM 15   วิกเตอร์ โมเซส
CM 14   ตีเยมูเอ บากายอโก
CM 7   เอ็นโกโล ก็องเต
CM 4   เซสก์ ฟาเบรกัส
LM 3   มาร์โกส อาลอนโซ
CF 10   เอแดน อาซาร์   90+1'
CF 18   ออลีวีเย ฌีรู   89'
ผู้เล่นสำรอง:
GK 1   วิลลี กาบาเยโร
DF 21   ดาวีเด ซัปปาคอสตา
DF 50   เทรโวห์ ชาโลบาห์
MF 8   รอสส์ บาร์กลีย์
MF 11   เปโดร
MF 22   วีลียัง   90+1'
FW 9   อัลบาโร โมราตา   89'
ผู้จัดการทีม:
  อันโตนีโอ กอนเต
 
GK 1   ดาบิด เด เคอา
RB 25   อันโตเนียว บาเลนเซีย (c)   58'
CB 12   คริส สมอลลิง
CB 4   ฟิล โจนส์   21'   87'
LB 18   แอชลีย์ ยัง
CM 21   อันเดร์ เอร์เรรา
CM 31   เนมันยา มาติช
CM 6   ปอล ปอกบา
RF 14   เจสซี ลินการ์ด   73'
CF 19   มาร์คัส แรชฟอร์ด   73'
LF 7   อาเลกซิส ซานเชซ
ผู้เล่นสำรอง:
GK 20   เซร์คีโอ โรเมโร
DF 3   เอริก บายี
DF 36   มัตเตโอ ดาร์มีอัน
MF 8   ควน มาตา   87'
MF 39   สกอตต์ แม็คโทมิเนย์
FW 9   โรเมลู ลูกากู   73'
FW 11   อ็องตอนี มาร์ซียาล   73'
ผู้จัดการทีม:
  โชเซ มูรีนโย

ผู้ช่วยผู้ตัดสิน:[1]
เอียน ฮัสซิน
ลี เบ็ตต์ส
ผู้ตัดสินที่สี่:[1]
ลี เมสัน
ผู้ตัดสินที่ห้า:[1]
คอนสแตนตีเน ฮัตซีดาคิส
ผู้ช่วยผู้ตัดสินจากการใช้วีดิโอตัดสิน:[1]
นีล สวอร์บริค
วีดิโอตัวช่วยมาเป็นผู้ช่วยผู้ตัดสิน:[1]
มิค แมคโดนัฟ

ข้อมูลในแมตช์

  • แข่งขันครบ 90 นาที
  • ต่อเวลา 30 นาที หากเสมอกันในเวลา 90 นาที
  • ยิงจุดโทษตัดสิน หากเสมอกันในเวลา 120 นาที
  • มีตัวสำรอง 7 คน
  • เปลี่ยนตัวสำรองได้ 3 คน, แต่สามารถเปลี่ยนตัวสำรองคนที่ 4 ได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 "Cup Final referee Michael Oliver humbled by wave of support". TheFA.com. The Football Association. 24 เมษายน ค.ศ. 2018. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน ค.ศ. 2018. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |access-date= และ |date= (help)
  2. "UEFA" (PDF). สืบค้นเมื่อ 22 April 2018.
  3. Begley, Emlyn (17 มกราคม ค.ศ. 2018). "Chelsea 1-1 Norwich City (5-3 pens)". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 2018. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  4. Mullen, Andrew (28 มกราคม ค.ศ. 2018). "Chelsea 3-0 Newcastle United". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 2018. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  5. 5.0 5.1 Begley, Emlyn (16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018). "Chelsea 4-0 Hull City". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 2018. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  6. Abraham, Timothy (1 มกราคม ค.ศ. 1970). "Chelsea 2–0 Southampton". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 2018. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  7. "Manchester United 2–0 Derby County". BBC. 22 เมษายน ค.ศ. 2018. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 2018 – โดยทาง www.bbc.co.uk. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  8. "Yeovil Town 0–4 Manchester United". 22 เมษายน ค.ศ. 2018. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 2018 – โดยทาง www.bbc.co.uk. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  9. "Huddersfield Town 0–2 Manchester United". 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 2018 – โดยทาง www.bbc.co.uk. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  10. "Manchester United 2–0 Brighton & Hove Albion". 17 มีนาคม ค.ศ. 2018. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 2018 – โดยทาง www.bbc.co.uk. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  11. "Manchester United 2–1 Tottenham Hotspur". 21 เมษายน ค.ศ. 2018. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 2018 – โดยทาง www.bbc.co.uk. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  12. Moallim, Mohamed (21 เมษายน ค.ศ. 2018). "Jose Mourinho says he has "too many critics"? as Man Utd equal another English football record". Squawka.com. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 2018. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)