เสียงเรียกของคธูลู
"เสียงเรียกของคธูลู" (อังกฤษ: The Call of Cthulhu) เป็นเรื่องสั้นที่ประพันธ์โดยเอช. พี. เลิฟคราฟท์ในปี พ.ศ. 2469 และตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสาร Weird Tales ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471[1] เสียงเรียกของคธูลู เป็นงานประพันธ์เพียงเรื่องเดียวของเลิฟคราฟท์ที่คธูลูปรากฏตัวในฐานะตัวละครสำคัญ
เสียงเรียกของคธูลูเขียนในรูปแบบของเอกสาร โดยตัวเอกซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องได้ค้นพบข้อเขียนของญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ก่อนที่จะค้นคว้าและเชื่อมโยงเข้ากับข้อมูลของคนอื่น ๆ ก่อนจะเข้าใจว่าข้อเขียนเหล่านี้ซ่อนความลับที่น่าสะพรึงกลัวไว้แค่ไหน
แรงบันดาลใจ
แก้โรเบิร์ต เอ็ม. ไพรซ์ ได้ระบุในบทนำของ The Cthulhu Cycle ว่าบทกวี เดอะคราเคน ของ อัลเฟรด ลอร์ด เทนนีซัน เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในเรื่องเสียงเรียกของคธูลู โดยไพรซ์ได้ระบุถึงความคล้ายคลึงระหว่างคราเคนในบทกวีกับคธูลู ทั้งคู่เป็นอสูรกายคล้ายกับปลาหมึกยักษ์ซึ่งหลับใหลอย่างยาวนาน ณ ก้นมหาสมุทรและจะตื่นขึ้นในยุคแห่งความพินาศ[2]
ไพรซ์ยังเชื่อว่างานของลอร์ดดุนซานีซึ่งเป็นนักประพันธ์ที่เลิฟคราฟท์ชื่นชอบมาก น่าจะเป็นที่มาสำคัญของเทพผู้หลับใหลของเรื่องนี้ โดยในเรื่อง ร้านค้าบนถนนโก-บาย ได้พูดถึง "สวรรค์แห่งเทพผู้หลับใหล" และในเรื่อง เหล่าเทพแห่งเพกานา, ซึ่งเล่าถึงเทพที่ถูกขับกล่อมให้หลับใหลตลอดเวลา เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว "จะไม่มีเทพหรือมนุษย์อีกต่อไป"[3]
เอส. ที. โจชิ และเดวิด อี. ชูลทซ์ ได้ระบุถึงงานที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจของเลิฟคราฟท์อีกเรื่องคือ เดอะ ฮอร์ลา ของ กาย เดอ มอสพัสแซนท์ ซึ่งเลิฟคราฟท์เคยเขียนถึงในข้อเขียนชื่อ เรื่องสยองเหนือธรรมชาติในงานประพันธ์ ว่าเขาสนใจถึง "สิ่งล่องหนซึ่ง...บิดเบือนจิตใจของสิ่งอื่น และเป็นเหมือนแนวหน้าของกองทัพสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวซึ่งมายังโลกเพื่อกลืนกินมนุษย์" และ เรื่อง นิยายแห่งผนึกดำ ของ อาเทอร์ มาเชนซึ่งเป็นเรื่องที่ดำเนินเรื่องโดยการเชื่อมโยงเรื่องราวที่แยกจากกันเพื่อเปิดเผยถึงความน่ากลัวจากโบราณกาล[4]
เลิฟคราฟท์เองยังได้ระบุถึงงานประพันธ์ที่เป็นแรงบันดาลใจในเสียงเรียกของคธูลูเองอีกด้วย เช่น กิ่งทอง ของ เจมส์ เฟรเซอร์ ลัทธิแม่มดในยุโรปตะวันตก ของ มากาเร็ต เมอเรย์และ แอ็ตแลนติสกับเลมูเรียซึ่งสาบสูญของ ดับเบิลยู. สก็อต เอเลียต[5]
เรื่องย่อ
แก้เสียงเรียกของคธูลูนั้นแบ่งเรื่องออกเป็นสามองก์ โดยนำเสนอในรูปแบบของเอกสารซึ่ง "พบในบรรดางานเขียนของฟรานซิส เวย์แลนด์ เทอร์สตัน ผู้ล่วงลับแห่งนิวยอร์ก"[6] ในเอกสารนี้ เทอร์สตันได้ย้อนความถึงการที่เขาพบข้อเขียนของจอร์จ แกมเมล แองเกล ญาติผู้อาวุโสและศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากลุ่มเซมิติกของมหาวิทยาลัยบราวน์ ซึ่งเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
"รูปปั้นสยอง"
แก้องก์แรกของเรื่อง เล่าถึงปฏิมากรรมรูปนูนต่ำขนาดเล็กซึ่งปะปนอยู่ในเอกสาร ซึ่งบทบรรยายกล่าวว่า "ในจินตนาการที่เกินจริงไปหน่อยของข้าพเจ้า เป็นการผสมกันของปลาหมึกยักษ์ มังกรและมนุษย์.... หัวพองๆที่เต็มไปด้วยหนวดระยางตั้งอยู่บนลำตัวที่น่าขนลุกและเป็นเกล็ดกับปีกง่ายๆ"[7]
ปฏิมากรรมนี้เป็นผลงานของ เฮนรี แอนโทนี วิลคอกซ์ นักเรียนของโรงเรียนดีไซน์โรดไอแลนด์ วิลคอกซ์ได้ปั้นรูปนี้ที่เห็นในความฝัน ของมหานครแห่งก้อนอิฐมหึมาและเสาหินเสียดฟ้า ซึ่งเต็มไปด้วยเมือกเขียวและดูชั่วร้าย ภาพฝันเหล่านี้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับคำว่า คธูลู และ รุลูเยห์[8]
ความฝันของวิลคอกซ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นอาการเพ้อในเวลาหนึ่งเดือน ในช่วงเวลานี้ ศาสตราจารย์แองเกลก็พบอาการป่วยทางจิตของผู้คนจำนวนมากราวกับเป็นโรคระบาดที่แพร่ไปทั่วโลก
"เรื่องของสายสืบเลแกรส"
แก้องก์ที่สองของเรื่อง ข้อเขียนของศาสตราจารย์แองเกลเปิดเผยว่าเขาเคยได้ยินชื่อของคธูลูและเห็นภาพของมันมาก่อนหน้านั้นแล้วในการพบปะครั้งหนึ่งของสมาคมโบราณคดีอเมริกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ จอห์น เรมอนด์ เลแกรสได้ขอให้ผู้เข้าร่วมงานช่วยวิเคราะห์รูปปั้นซึ่งทำจากหินสีดำเขียวอันไม่อาจระบุประเภทได้ โดยเลแกรสนั้นยึดรูปปั้นนี้มาในการบุกทลายลัทธิวูดูในนิวออร์ลีน รูปปั้นนั้นมีลักษณะคล้ายกับปฏิมากรรมของวิลคอกซ์มาก แต่หมอบอยู่บนแท่นอันเต็มไปด้วยอักขระที่อ่านไม่ออก
เลแกรสนั้นพบรูปปั้นนี้จากการสืบคดีที่ผู้หญิงและเด็กจำนวนมากหายตัวไปจากนิคมสาธารณะ เขาพบว่าร่างของผู้เคราะห์ร้ายถูกใช้ในพิธีกรรมของรูปปั้นนี้ รายล้อมโดยเหล่าสาวกราวร้อยคนซึ่งเอาแต่บิดตัวและตะโกนถ้อยคำสวดว่า "Ph'nglui mglw'nafh Cthulhu R'lyeh wgah'nagl fhtagn."[9]
เลแกรสได้วิสามัญฆาตกกรมสาวกไปห้ารายและจับไว้ได้อีก 47 คน ก่อนจะสอบสวนผู้ต้องหาจนทราบว่าพวกนั้นบูชา "สิ่งโบราณอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีชีวิตมาตั้งแต่ยุคสมัยก่อนจะมีมนุษย์และมายังโลกในวัยเยาว์จากท้องฟ้า สิ่งโบราณเหล่านั้นล้วนแต่จากไปแล้ว ในพื้นพิภพและใต้ท้องทะเล แต่ร่างอันวายชนม์เหล่านั้นได้เล่าความลับในความฝันแก่มนุษย์แรกเริ่ม ซึ่งได้สร้างลัทธิที่ไม่เคยมลาย...หลบซ่อนในแดนรกร้างอันห่างไกลและที่มืดทั่วโลกนี้จนถึงวันที่มหานักบวชคธูลู จากเคหาอันมืดมนแห่งนครรุลูเยห์อันเกรียงไกรใต้ผืนน้ำ จะลุกขึ้นมาและนำโลกไปอยู่ใต้การบงการของเขาอีกครั้ง สักวันหนึ่งเขาจะเรียก เมื่อดวงดาวทั้งหลายพร้อม และลัทธิลับจะเฝ้ารอเพื่อปลดปล่อยเขาตลอดไป"[10]
ผู้ต้องหานั้นได้ระบุว่ารูปปันนั้นคือ "คธูลูผู้ยิ่งใหญ่" และแปลคำสวดว่าหมายถึง "ในเคหาของเขาที่รุลูเยห์ คธูลูผู้มรณาฝันคอยอยู่"[11] สาวกชื่อคาสโตรเฒ่ายังบอกถึงศูนย์กลางของลัทธิว่าเป็นไอเรม นครแห่งเสา ในอาหรับและระบุถึงข้อความจากหนังสือนีโครโนมิคอน "ไม่ใช่ความตายที่คงอยู่ไปตลอดกาล และด้วยห้วงเวลาอันแปลกประหลาด แม้ความตายก็อาจมรณา"[12]
ศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาซึ่งอยู่ในงาน วิลเลียม แชนนิง เวบบ์ ยังบอกเลแกรสว่าเขาเคยพบเหตุการคล้ายๆกันมาแล้วขณะที่สำรวจชายแดนกรีนแลนด์ตะวันตก โดยเขาพบเห็นการบูชาปิศาจของชาวเอสกิโมที่ทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียน เวบบ์บอกว่าลัทธิที่กรีนแลนด์ก็มีคำสวดและรูปปั้นแบบเดียวกัน[13]
"ความวิปลาสจากทะเล"
แก้องก์ที่สามของเรื่อง เทอร์สตันได้สืบเรื่องของลัทธิคธูลูไปไกลกว่าที่ศาสตราจารย์แองเกลทำไว้ โดยเขาได้เจอข่าวจากหนังสือพิมพ์ออสเตรเลีย ซิดนีย์บุลเล็ตติน ซึ่งรายงานเรื่องของเรือที่ลอยลำอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกโดยมีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวคือกะลาสีชาวนอร์เวย์ กุสตาฟ โยฮันเซน รองผู้การของเรือ เอมมา จากนิวซีแลนด์ ซึ่งถูกเรือยอชติดอาวุธ อเลิร์ทโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เหล่าลูกเรือของเอมมาก็ตอบโต้กลับไปและสามารถยึดอเลิร์ทมาแทนเอมมาที่ถูกยิงจนอัปปางได้ บทความที่เทอร์สตันพบระบุว่าเหล่าลูกเรือได้พบกับเกาะซึ่งไม่ปรากฏในแผนที่ ณ 47° 9' S, 126° 43' W ลูกเรือเกือบทั้งหมดได้เสียชีวิตที่นั่น และโยฮันเซนก็ไม่ยอมพูดว่าเกิดอะไรขึ้น[14]
เทอร์สตันรู้ว่าลูกเรือของอเลิร์ทนั้นมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิคธูลู เขาจึงเดินทางไปยังออสเตรเลียและได้เห็นรูปปั้นของคธูลูที่เก็บมาจากเรืออเลิร์ท เมื่อเทอร์สตันไปถึงออสโล เขาก็ทราบว่าโยฮันเซนนั้นเสียชีวิตแล้ว ภริยาม่ายของโยฮันเซนได้มอบข้อเขียนภาษาอังกฤษซึ่งสามีของเธอเขียนทิ้งไว้ให้กับเทอร์สตัน เทอร์สตันได้ทราบจากข้อเขียนถึงเรื่องที่เกิดบนเกาะนั้น ซึ่งก็คือนครรุลูเยห์[15] เหล่าลูกเรือได้สำรวจเมืองที่ดูแปลกประหลาดและได้เปิดประตูขนาดใหญ่เข้า ทำให้คธูลูตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล ลูกเรือส่วนใหญ่นั้นถูกคธูลูจับกินและมีเพียงโยฮันเซนกับบริเดนที่หนีกลับไปถึงเรือยอชได้ ทั้งคู่ได้ออกเรือไปในมหาสมุทร แต่คธูลูก็ยังตามไป บริเดนนั้นหันกลับไปมองคธูลูและภาพอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็ทำให้เขาเสียสติไป โยฮันเซนรู้ว่าตนคงจะหนีไม่พ้นจึงได้เสี่ยงหันหัวเรือกลับไปชนหัวของคธูลูจนเป็นแผลฉกรรจ์และสามารถหนีมาได้ แม้โยฮันเซนจะเห็นว่าแผลนั้นสมานตัวอย่างรวดเร็วก็ตาม
เทอร์สตันจบเอกสารฉบับนี้ลงโดยคาดเดาว่า คธูลูคงจะจมลงไปในมหาสมุทรพร้อมกับรุลูเยห์ระหว่างที่กำลังรักษาแผลของตนนั้นเองและมนุษย์ชาติก็คงจะปลอดภัยไปจนกว่าดวงดาวจะอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอีกครั้ง แต่คธูลูยังหลับใหลอยู่และลัทธิของมันก็ยังอยู่ ตัวเขาเองรู้เรื่องของคธูลูมากเกินไปและอีกไม่นานเขาคงจะพบกับจุดจบเช่นเดียวกับศาสตราจารย์แองเกลและโยฮันเซนเช่นกัน[16]
ปฏิกิริยาตอบรับ
แก้เลิฟคราฟท์เองนั้นไม่ค่อยพอใจกับเสียงเรียกของคธูลูนักและระบุว่าเป็นผลงานในระดับครึ่งๆกลางๆของตัวเอง ฟาร์นเวิร์ธ ไรท์ บรรณาธิการของวารสาร Weird Tales ได้ปฏิเสธต้นฉบับของเรื่องนี้ในตอนแรก แต่ได้เปลี่ยนใจเมื่อเพื่อนนักเขียนของเลิฟคราฟท์ชื่อ โดนัลด์ แวนไดร โกหกว่าเลิฟคราฟท์จะส่งเรื่องนี้ไปที่อื่น[17]
แต่เมื่อได้ลงตีพิมพ์ เสียงเรียกของคธูลูก็ได้รับการตอบรับอย่างดี โรเบิร์ท อี. โฮเวิร์ด (ผู้ประพันธ์เรื่องชุดโคแนน ยอดคนเถื่อน)ได้เขียนจดหมายถึง Weird Tales ว่า "เรื่องล่าสุดของเลิฟคราฟท์ 'เสียงเรียกของคูลู' เป็นผลงานชิ้นเอกแน่นอน ข้าพเจ้าแน่ใจว่าเรื่องนี้คงอยู่ต่อไปในฐานะความสำเร็จระดับสูงสุดในวงการประพันธ์เลยทีเดียว" และ "เลิฟคราฟท์อยู่ในตำแหน่งพิเศษในโลกแห่งงานประพันธ์ เขาได้กุมโลกที่อยู่เหนือดินแดนกระจ้อยร่อยของเราไปแล้ว สายตาของเขาไม่มีขีดจำกัดและขอบเขตของเขาก็คือจักรวาล"[18]
ในสื่อประยุกต์
แก้บริษัท แอตแลนตาแรดิโอเทียเตอ ได้ดัดแปลงเรื่องนี้เป็นฉบับเสียงบรรยายในงาน ดราก้อนคอน ปีพ.ศ. 2530[19]
แลนด์ฟอล โปรดัคชัน ได้ดัดแปลงเรื่องนี้เป็นฉบับเทปในพ.ศ. 2532 โดยมีแกริค ฮากอนเป็นผู้บรรยาย
จอห์น คอลธาร์ท ได้วาดภาพประกอบเรื่องนี้ในปีพ.ศ. 2530และได้รับการเผยแพร่ในพ.ศ. 2536 ทางหนังสือ เดอะสตารีวิสดอมและตีพิมพ์ซ้ำใน H. P. Lovecraft's The Haunter of the Dark
โอนาราฟิล์ม ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง คธูลู ในปีพ.ศ. 2543 แต่เนื้อเรื่องนั้นจะคล้ายกับงานประพันธ์อีกเรื่องของเลิฟคราฟท์คือ เงาดำเหนืออินส์มัธ มากกว่า
สมาคมประวัติศาสตร์ เอช. พี. เลิฟคราฟท์ ได้ดัดแปลงเสียงเรียกของคธูลูเป็นภาพยนตร์เงียบในปีพ.ศ. 2548
อิทธิพล
แก้ออกัสต์ เดอเลธเพื่อนนักประพันธ์ของเลิฟคราฟท์ ใช้ศัพท์ว่าตำนานคธูลูเพื่อใช้หมายถึงจักรวาลสมมุติที่เป็นฉากหลังของเรื่องต่างๆในงานประพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันของเลิฟคราฟท์และคนอื่นๆ และเกมเล่นตามบทบาทซึ่งใช้ฉากหลังเป็นตำนานคธูลูของบริษัทเคออเซียม ก็มีชื่อว่า Call of Cthulhu
เพลง The Call Of Ktulu และ The Thing That Should Not Be ของเมทัลลิก้า มีที่มาจากเรื่องสั้นเรื่องนี้
หมายเหตุ
แก้- ↑ Straub, Peter (2005). Lovecraft: Tales. The Library of America. pp. 823. ISBN 1-931082-72-3.
- ↑ Robert M. Price, "The Other Name of Azathoth", introduction to The Cthulhu Cycle. Price credits Philip A. Shreffler with connecting the poem and the story.
- ↑ Price, "The Other Name of Azathoth". This passage is also believed to have inspired Lovecraft's entity Azathoth, hence the title of Price's essay.
- ↑ S. T. Joshi and David E. Schultz, "Call of Cthulhu, The", An H. P. Lovecraft Encyclopedia, pp. 28-29.
- ↑ H. P. Lovecraft, "The Call of Cthulhu", The Dunwich Horror and Others, p. 128.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 125.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 127.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 129-130.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 137-138.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 139.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 139.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 141.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 135-136.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 146.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 150.
- ↑ Lovecraft, "The Call of Cthulhu", p. 154.
- ↑ S.T. Joshi, More Annotated Lovecraft, p. 173.
- ↑ Quoted in Peter Cannon, "Introduction", More Annotated Lovecraft, p. 7.
- ↑ "History of Dragon*Con". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-09. สืบค้นเมื่อ 2009-04-27.
อ้างอิง
แก้- Lovecraft, Howard P. (1984) [1928]. "The Call of Cthulhu". ใน S. T. Joshi (ed.) (บ.ก.). The Dunwich Horror and Others (9th corrected printing ed.). Sauk City, WI: Arkham House. ISBN 0-87054-037-8.
{{cite book}}
:|editor=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) Definitive version.
- Lovecraft, Howard P. (1999) [1928]. "The Call of Cthulhu". ใน S. T. Joshi (ed.) (บ.ก.). More Annotated Lovecraft (1st ed.). New York City, NY: Dell. ISBN 0-440-50875-4.
{{cite book}}
:|editor=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) With explanatory footnotes.
- Price, Robert M. (1996) [1928]. "The Call of Cthulhu". ใน Robert M. Price (ed.) (บ.ก.). The Cthulhu Cycle: Thirteen Tentacles of Terror (1st ed.). Oakland, CA: Chaosium, Inc. ISBN 1-56882-038-0.
{{cite book}}
:|editor=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) A collection of works that inspired and were inspired by "The Call of Cthulhu", with commentary.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Cthulhu Lives เก็บถาวร 2009-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, movie version of "The Call of Cthulhu"