สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ (ญี่ปุ่น: 上皇后美智子; โรมาจิ: Jōkōgō Michiko; พระราชสมภพ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2477) มีพระนามเดิมว่า มิจิโกะ โชดะ (ญี่ปุ่น: 正田 美智子; โรมาจิ: Shōda Michiko) เป็นพระอัครมเหสีในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
---|---|
โจโกโง | |
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ใน ค.ศ. 2016 | |
จักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น | |
ดำรงพระยศ | 7 มกราคม พ.ศ. 2532 – 30 เมษายน พ.ศ. 2562 |
สถาปนา | 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 |
พระราชสมภพ | 20 ตุลาคม พ.ศ. 2477[1] โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโตเกียว โตเกียว จักรวรรดิญี่ปุ่น |
พระราชสวามี | สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ (พ.ศ. 2502–ปัจจุบัน) |
พระราชบุตร | |
ราชวงศ์ | ญี่ปุ่น (อภิเษกสมรส) |
พระราชบิดา | ฮิเดซาบูโร โชดะ |
พระราชมารดา | ฟูมิโกะ โซเอจิมะ |
ศาสนา | ชินโต (เดิมโรมันคาทอลิก) |
จักรพรรดินีมิจิโกะอภิเษกสมรสกับจักรพรรดิอากิฮิโตะตั้งแต่ พ.ศ. 2502 เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมาร นับเป็นสตรีสามัญชนและเป็นคริสตังคนแรกที่เข้าสู่พระราชวงศ์ญี่ปุ่นผ่านการอภิเษกสมรส ครั้นจักรพรรดิโชวะสวรรคต มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะจึงสืบราชสมบัติเป็นจักรพรรดิ และมกุฎราชกุมารีมิจิโกะจึงดำรงพระอิสริยยศเป็นจักรพรรดินี ตามลำดับ และเมื่อจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงสละพระราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ. 2562 พระองค์จึงมีพระอิสริยยศเป็น โจโกโง ซึ่งในภาษาไทยที่ใกล้เคียงที่สุดคือ พระพันปีหลวง[2][3]
พระราชประวัติ
แก้พระชนม์ชีพช่วงต้นและการศึกษา
แก้สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2477 ณ กรุงโตเกียว เป็นบุตรสาวคนโตของฮิเดซาบูโร โชดะ (ญี่ปุ่น: 正田 英三郎; โรมาจิ: Shōda Hidesaburō) กับฟูมิโกะ โซเอจิมะ (ญี่ปุ่น: 副島 富美子; โรมาจิ: Soejima Fumiko) บิดาเป็นประธานและประธานกิตติมศักดิ์ของบริษัทนิชชิน[4] พระองค์เติบโตในโตเกียวโดยได้รับการปลูกฝังด้านการศึกษาจากครอบครัวทั้งแบบดั้งเดิมและตะวันตก มีการเรียนภาษาอังกฤษและเปียโน ทรงเรียนรู้ในศิลปะด้านงานเขียน การทำอาหาร และโคโด (ศิลปะการใช้เครื่องหอม)[5] ทั้งนี้พระองค์มีพื้นฐานครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก[6] ทว่าส่วนพระองค์มิเคยรับศีลล้างบาปมาก่อนเลย พระองค์เป็นหลานสาวของนักวิชาการหลายท่าน เช่น เค็นชิโร โชดะ นักคณิตศาสตร์ที่เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยโอซากะ (ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2497—2503)[7]
พระองค์เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนประถมฟูตาบะ (ญี่ปุ่น: 雙葉学園) ย่านโคจิมาชิ เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว ต่อมาได้ลาออกขณะทรงศึกษาระดับเกรดสี่เนื่องจากระเบิดของอเมริกันช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากนั้นได้ทรงเข้ารับการศึกษาต่อที่เมืองคาตาเซะ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเมืองฟูจิซาวะ) จังหวัดคานางาวะ, เมืองทาเตบายาชิ จังหวัดกุมมะซึ่งเป็นนิวาสถานเดิมของสกุลโชดะ และเมืองคารูอิซาวะ จังหวัดนะงะโนะอันเป็นที่ตั้งของบ้านพักตากอากาศของครอบครัว หลังสถานการณ์สงบลง ครอบครัวของพระองค์ได้กลับมายังโตเกียวเมื่อปี พ.ศ. 2489 ทรงรับการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนเดิม แล้วทรงเข้าเรียนที่วิทยาลัยหญิงพระหฤทัยแผนกประถมและมัธยมศึกษา (ญี่ปุ่น: 聖心女子学院初等科・中等科・高等科) ตามลำดับ จนสำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2496 พระองค์มีพระราชดำรัสตรัสเล่าเหตุการณ์ดังกล่าว ความว่า "...เมื่อเข้าสู่ช่วงหลังสงครามโลก แม้ข้าพเจ้าจะเป็นเพียงเด็กประถม แต่ก็สัมผัสได้ถึงห้วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก ข้าพเจ้าต้องย้ายโรงเรียนถึง 5 ครั้ง ภายในเวลาเกือบ 3 ปี และทุกครั้งที่เข้าโรงเรียนใหม่ จะรู้สึกอึดอัดกับการปรับตัวให้เข้ากับการเรียนการสอนใหม่..."[4]
ขณะที่ทรงศึกษาอยู่ในระดับวิทยาลัยนั้น ครอบครัวจะเรียกพระองค์อย่างลำลองว่า "มิจิ" (ญี่ปุ่น: ミチ) หรือ "มิจจิ" (ญี่ปุ่น: ミッチ)[5] และยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "เทมเพิลจัง" (Temple-chan) เนื่องจากมีพระเกศาเป็นลอนและมีสีออกแดงต่างจากสตรีญี่ปุ่นทั่วไป ทั้งยังมีลักษณะเหมือนเชอร์ลีย์ เทมเพิล (Shirley Temple) นักแสดงเด็กชาวอเมริกัน
พระองค์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวรรณคดีอังกฤษ คณะวรรณคดี มหาวิทยาลัยพระหฤทัยโตเกียว (ญี่ปุ่น: 聖心女子大学) เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังทรงศึกษาต่อในหลักสูตรระยะสั้นในสาขาเดิมที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและออกซฟอร์ด[8]
ช่วงปี พ.ศ. 2493 มีชายหนุ่มมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามา จนทำให้ครอบครัวโชดะวิตกกังวลเกี่ยวกับการมีคู่ครองของบุตรสาว[9] หนึ่งในชายที่เข้ามาคบหาพระองค์คือยูกิโอะ มิชิมะ (ญี่ปุ่น: 三島 由紀夫) นักเขียนชาวญี่ปุ่น ซึ่งปรากฏในหนังสือ "ชีวิตและการมรณกรรมของยุกิโอะ มิชิมะ" (The Life and Death of Yukio Mishima) อันเป็นงานเขียนของเฮนรี สกอต สโตกส์ (Henry Scott Stokes) ที่ระบุว่าทั้งสองได้รับการแนะนำ และสนับสนุนจากครอบครัวให้สมรส ด้วยมองว่าทั้งคู่มีความเหมาะสมกัน[10][11]
พระราชพิธีหมั้นและอภิเษกสมรส
แก้มิจิโกะ โชดะพบกับมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะครั้งแรกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2500 ที่สนามเทนนิสในเมืองคารูอิซาวะ ซึ่งคณะกรรมการพระราชวัง (Imperial Household Council) ได้อนุมัติพระราชพิธีหมั้นของมกุฎราชกุมารกับนางสาวโชดะในวันที่ 24 พฤศจิกายนปีถัดมา ช่วงเวลาเดียวกันนั้น สื่อมวลชนต่างให้ความสนใจและเรียกว่า "รักหวานในสนามเทนนิส" (romance of the tennis court) บ้างก็ว่าเป็น "เทพนิยาย" ที่เกิดขึ้นจริง[9] พระราชพิธีหมั้นถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2502
แม้พระคู่หมั้นจะเป็นสตรีที่มาจากครอบครัวที่มั่งคั่งแต่ก็มีพื้นเพเป็นสามัญชนเท่านั้น ในช่วงปีดังกล่าวนั้นสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปที่คุ้นเคยกับพระราชวงศ์ญี่ปุ่นเข้าใจว่า พระราชวงศ์จะต้องคัดเลือกสุภาพสตรีที่มีเชื้อสายเจ้าหรือเป็นลูกหลานขุนนางมาให้พระยุพราชเสกสมรสโดยเฉพาะ นอกจากนี้ประชาชนบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการหมั้นนี้เพราะพระคู่หมั้นมาจากครอบครัวคริสตัง[6] แม้เธอจะไม่เคยรับศีลล้างบาปแต่ก็ร่ำเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาคริสต์ และมีทีท่าที่จะเผยแผ่ความเชื่อของบิดามารดา รวมทั้งมีข่าวลือหนาหูว่าสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะก็ทรงต่อต้านพระราชพิธีหมั้นเช่นกัน จนในปี พ.ศ. 2543 หลังการสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ สำนักข่าวรอยเตอร์สได้รายงานว่า จักรพรรดินีนางาโกะทรงต่อต้านการอภิเษกสมรสอย่างแข็งขัน โดยทรงกดดันพระสุณิสาว่าไม่คู่ควรกับพระราชโอรสของพระองค์ ส่งผลให้พระสุณิสาประชวรด้วยภาวะซึมเศร้า[12] นอกจากนี้ยังมีการหมายเอาชีวิตจนทำให้ครอบครัวโชดะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่คอยอารักขาความปลอดภัย[9]
อย่างไรก็ตามความรักของทั้งสองพระองค์นั้นได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะชนชั้นการเมืองที่จะแสดงให้เห็นถึงพลังของคนหนุ่มสาว มิจิโกะจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและประชาธิปไตยในญี่ปุ่น ที่สือมวลชนเรียกว่า "มิจจิบูม" (Mitchi boom)[4] ที่สุดพระราชพิธีอภิเษกสมรสก็ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2502 ซึ่งจัดอย่างลัทธิชินโตตามพระราชประเพณี มีประชาชนโตเกียวกว่า 500,000 คน ร่วมถวายพระพรแสดงความยินดีบริเวณเส้นทางเสด็จยาว 8.8 กิโลเมตร รวมทั้งยังมีการถ่ายทอดสดงานอภิเษกสมรส (ถือเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นที่มีการถ่ายทอดสดงานอภิเษกสมรสของจักรพรรดิในอนาคต) อันมีผู้ชมกว่า 15 ล้านคน[13] ซึ่งมีหลายครอบครัวลงทุนซื้อโทรทัศน์มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ[14]
มกุฎราชกุมารี
แก้หลังการอภิเษกสมรส มกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารีได้มาประทับอยู่ในพระราชวังโทงู (ญี่ปุ่น: 東宮御所; โรมาจิ: Tōgū-gosho) ตามพระราชประเพณี และออกจากวังดังกล่าวไปประทับพระราชวังอิมพีเรียลเมื่อพระราชสวามีขึ้นครองราชสมบัติเป็น สมเด็จพระจักรพรรดิ เมื่อปี พ.ศ. 2532
มกุฎราชกุมาร และมกุฎราชกุมารี มีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ คือ
- สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 徳仁天皇; โรมาจิ: Naruhito Tennō; 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503) เสกสมรสกับมาซาโกะ โอวาดะ (ญี่ปุ่น: 小和田雅子; โรมาจิ: Owada Masako) มีพระราชธิดาพระองค์เดียว
- เจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนโนมิยะ (ญี่ปุ่น: 秋篠宮文仁親王; โรมาจิ: Akishino-no-miya Fumihito Shinnō; 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508) เสกสมรสกับคิโกะ คาวาชิมะ (ญี่ปุ่น: 川嶋紀子; โรมาจิ: Kawashima Kiko) มีพระโอรส-ธิดาสามพระองค์
- เจ้าหญิงซายาโกะ โนริโนมิยะ (ญี่ปุ่น: 紀宮清子内親王; โรมาจิ: Nori-no-miya Sayako Naishinnō; 18 เมษายน พ.ศ. 2512) ต่อมาทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อเสกสมรสกับโยชิกิ คูโรดะ (ญี่ปุ่น: 黒田慶樹; โรมาจิ: Kuroda Yoshiki) ไม่มีบุตร-ธิดาด้วยกัน
ในปี พ.ศ. 2506 มีการรายงานข่าวว่ามกุฎราชกุมารีมิจิโกะทรงยุติการตั้งพระครรภ์ ขณะมีอายุครรภ์ได้สามเดือนเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ณ กรุงโตเกียว[15] เนื้อหากล่าวว่า "โฆษกกล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวได้รับคำปรึกษาจากศาสตราจารย์ทากาชิ โคบายาชิ ที่ทำการประสูติเจ้าชายฮิโระ พระราชโอรสพระองค์แรกที่มีพระชันษา 3 ปี. โฆษกยังกล่าวต่อ ว่าเจ้าหญิงซึ่งมีพระชนมายุ 28 พรรษานี้มีพระพลานามัยที่ไม่แข็งแรงเนื่องจากการประกอบพระกรณียกิจอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนทรงพระครรภ์"[15]
มกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารี ทรงปฏิบัติพระองค์นอกกรอบจารีตของวังหลวงที่เดิมต้องแยกพระราชบุตรจากชนกชนนีแล้วให้ผู้อื่นเลี้ยงแทน และจ้างครูมาสอนพระราชบุตรในวัง มกุฎราชกุมารีมิจิโกะเองทรงเลือกที่จะเลี้ยงพระราชบุตรเองโดยไม่พึ่งข้าราชบริพาร ทรงอำรุงเลี้ยงพระราชโอรส-ธิดาด้วยพระเกษียรธาราทุกพระองค์[16] รวมทั้งส่งพระราชบุตรเข้าศึกษาที่โรงเรียน[14] ทั้งนี้มกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารีเป็นที่เคารพของพสกนิกร ทรงเดินทางพบปะประชาชนใน 47 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งยังให้สิทธิ์ประชาชนที่จะถ่ายรูปคู่กับพระองค์ นอกจากนี้ยังเสด็จเยื่อนต่างประเทศถึง 37 ประเทศ ช่วงปี พ.ศ. 2502-2532
พระองค์มีปัญหาทางจิตอันเกิดจากแรงกดดันของสื่อมวลชน ซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์มองว่า อคติของสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะส่งผลอย่างยิ่งที่ทำให้พระองค์ไม่มีพระสุรเสียงไปเจ็ดเดือนเมื่อปี พ.ศ. 2503 และอีกครั้งในฤดูใบไม้ร่วง พ.ศ. 2536[14] และเมื่อปี พ.ศ. 2550 พระองค์ได้ยกเลิกพระราชกรณียกิจออกไป เนื่องจากทรงเป็นร้อนใน มีพระโลหิตกำเดา และพระโลหิตตกในพระอันตคุณ ซึ่งแพทย์ออกมาชี้แจ้งว่าเกิดจากความเครียดส่วนพระองค์[17] ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวใกล้เคียงกับกรณีของมกุฎราชกุมารีมาซาโกะ พระสุณิสา ที่ทรงได้รับแรงกดดันในพระอิสริยยศ[18]
สมเด็จพระจักรพรรดินี
แก้เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2532 เจ้าชายอากิฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น จึงขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ที่ 125 ส่วนเจ้าหญิงมิจิโกะ มกุฎราชกุมารี ก็เป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีตามลำดับ โดยจัดพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ณ พระราชวังโตเกียว
หลังพิธีบรมราชาภิเษก ทั้งสองพระองค์ก็เสด็จเยือนต่างประเทศ 19 ประเทศ และพยายามที่จะใกล้พสกนิกรในจังหวัดที่เสด็จเยือนทั้ง 47 จังหวัด พระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจเคียงคู่พระราชสวามีทั้งในและต่างประเทศ หรือแม้แต่งานต้อนรับพระราชอาคันตุกะ อย่างในปี พ.ศ. 2550 พระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างเป็นทางการทั้งหมดกว่า 300 ครั้ง[19] หลังการสวรรคตของจักรพรรดินีโคจุง เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2543 พระองค์จึงดำรงตำแหน่งเป็นองค์นายิกาของสภากาชาดญี่ปุ่นสืบต่อ[20]
ทั้งนี้พระองค์มีหน้าที่ในการดูแลฟาร์มปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในพระราชวังที่ชื่อ "โมะมิจิยะมะ" (Momijiyama Imperial Cocoonery) ทรงมีส่วนร่วมในงานผ้าไหมประจำปีอันเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีที่ยึดโยงเข้ากับคติลัทธิชินโต ประเพณีและวัฒนธรรมญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2537 ทรงมีไหมสายพันธุ์โคะอิชิมะรุ (สายพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น) ส่วนหนึ่ง พระราชทานให้กับคลังโชโซอิง (ญี่ปุ่น: 正倉院; โรมาจิ: Shōsō-in) ในพุทธศาสนาที่ชื่อวัดโทไดจิ (ญี่ปุ่น: 東大寺; โรมาจิ: Tōdai-ji) เพื่อใช้บูรณะสมบัติต่อไป[19]
พระองค์เป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นด้วยมีจริยวัตรที่งดงาม ทรงใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการบำเพ็ญเพียรทางศาสนาร่วมกับพระราชสวามี เช่น ทรงสักการะศาลเจ้าอิเซะและศาลเจ้าชินโตอื่น ๆ รวมทั้งการสวดภาวนาภายในสุสานหลวงเพื่ออุทิศพระราชกุศลแด่บูรพมหากษัตริย์และสมาชิกในราชวงศ์ที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งยังเป็นนักเปียโนหญิงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง หลายปีที่ผ่านมาทั้งสองพระองค์จะทรงเยี่ยมชมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ ต่อมาสำนักพระราชวังได้ออกมาประกาศว่าหลังจากปี พ.ศ. 2557 ทั้งสองพระองค์จะส่งต่อพระราชกรณียกิจแก่เจ้านายรุ่นใหม่ และกล่าวว่าเรื่องพระพลานามัยของทั้งสองพระองค์ไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินพระทัยนี้[19]
อนึ่ง ในปี พ.ศ. 2533 พระองค์ได้ถูกบรรจุไว้ในหอเกียรติยศ ในรายชื่อเครื่องแต่งกายนานาชาติที่ดีที่สุด[21][22]
พระเกียรติยศ
แก้พระอิสริยยศ
แก้ธรรมเนียมพระยศของ จักรพรรดินีมิจิโกะ | |
---|---|
ธงประจำพระอิสริยยศ | |
การทูล | เฮกะ (陛下) |
การแทนตน | โบะกุ (บุรุษ) / วะตะชิ (สตรี) |
- 20 ตุลาคม พ.ศ. 2477 — 10 เมษายน พ.ศ. 2502 : มิจิโกะ โชดะ
- 10 เมษายน พ.ศ. 2502 — 7 มกราคม พ.ศ. 2532 : เจ้าหญิงมิจิโกะ พระชายาในมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ
- 7 มกราคม พ.ศ. 2532 — 30 เมษายน พ.ศ. 2562 : สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
- 1 พฤษภาคม 2562 — ปัจจุบัน : โจโกโงมิจิโกะ / สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นมงกุฎดอกพอโลเนีย
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ – เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) (ฝ่ายใน)
- พ.ศ. ไม่ปรากฎ – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) (ฝ่ายใน)
พระราชบุตร
แก้พระนาม | ประสูติ | เสกสมรส | พระราชนัดดา | |
---|---|---|---|---|
จักรพรรดินารูฮิโตะ | 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2536 | มาซาโกะ โอวาดะ | เจ้าหญิงไอโกะ โทชิโนะมิยะ |
เจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ |
11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 | 29 มิถุนายน พ.ศ. 2533 | คิโกะ คาวาชิมะ | มาโกะ โคมูโระ เจ้าหญิงคาโกะแห่งอากิชิโนะ เจ้าชายฮิซาฮิโตะแห่งอากิชิโนะ |
เจ้าหญิงซายาโกะ โนริโนะมิยะ |
18 เมษายน พ.ศ. 2512 | 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 | โยชิกิ คูโรดะ |
พงศาวลี
แก้พงศาวลีของสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
แก้- ↑ Kunaicho | Their Majesties the Emperor and Empress สำนักพระราชวงศ์ญี่ปุ่น
- ↑ ผุสดี นาวาวิจิต (มิถุนายน พ.ศ. 2562). จาก "เฮเซ" สู่ "เรวะ" : การเปลี่ยนรัชศกของราชสำนักญี่ปุ่น (PDF). วารสารเครือข่ายญี่ปุ่นศึกษา (9:1). p. 4.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - ↑ "สถานะและพระนามของพระจักรพรรดิ หลังญี่ปุ่นผลัดแผ่นดิน". ผู้จัดการออนไลน์. 2 พฤษภาคม 2562. สืบค้นเมื่อ 6 กันยายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 4.0 4.1 4.2 "80 พรรษา สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ผู้ค้ำราชบัลลังก์อิมพิเรียลยุคใหม่". ไทยรัฐออนไลน์. 26 ตุลาคม 2557. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2558.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 5.0 5.1 『週刊朝日』1959年4月12日号
- ↑ 6.0 6.1 Herbert P. Bix, Hirohito and the making of modern Japan, New York, 2001, p. 661
- ↑ "History". University of Osaka.
- ↑ "The commoners who married royalty". BBC. สืบค้นเมื่อ 11 March 2013.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 "« The Girl from Outside », Time, 23 March 1959". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-06. สืบค้นเมื่อ 2015-03-13.
- ↑ Michael Sheridan (27 มีนาคม 2548). "Sunday Times Mishima Feature". Sunday Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-12. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2558.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Saru, « 三島入門 (An Introduction to Mishima) », Mutant Frog Travelogue, 12 February 2006
- ↑ "« Japan's Dowager Empress Dead At 97 », CBS, 16/06/2000". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-04-06. สืบค้นเมื่อ 2015-03-14.
- ↑ Kyodo News, « Imperial marriage created bond with people », The Japan Times, 09/04/2009
- ↑ 14.0 14.1 14.2 "จักรพรรดิญี่ปุ่นเฉลองครบรอบ 50 ปี การอภิเษกกับหญิงสามัญชนวันนี้". ASTV ผู้จัดการออนไลน์. 10 เมษายน 2552. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 16 มีนาคม 2558.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 15.0 15.1 "Japanese Princess Has An Abortion", The Miami News, 22 March 1963, page 3
- ↑ Imperial Household Agency, «Their Majesties the Emperor and Empress»
- ↑ Reuters, « Japan Empress Michiko ill », The Sydney Morning Herald, 06/03/2007
- ↑ « People: Alan Hollinghurst, Empress Michiko of Japan, Dave Barry », International Herald tribune, 21/10/2004
- ↑ 19.0 19.1 19.2 Imperial Household Agency, «Press Conference on the occasion of His Majesty's Birthday (2013)»
- ↑ "Présentation de la Croix-Rouge japonaise sur son site officiel". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-07-27. สืบค้นเมื่อ 2015-03-14.
- ↑ "Vanity Fair". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-10. สืบค้นเมื่อ 2015-03-14.
- ↑ Ultimate Style – The Best of the Best Dressed List. 2004. p. 158. ISBN 2 84323 513 8.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้ก่อนหน้า | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
จักรพรรดินีโคจุง | จักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น (7 มกราคม พ.ศ. 2532 — 30 เมษายน พ.ศ. 2562) |
สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ |