อำเภอเขื่องใน
เขื่องใน เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอำเภอเขื่องในเป็นจุดกำเนิดของสมญานามเมืองนักปราชญ์ ในสมัยพระอริยวงศาจารย์ ญาณวิมล อุบลคณาภิบาล สังฆปาโมกข์(สุ้ย ป.ธ.๓)เจ้าคุณรูปแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา และอำเภอเขื่องในยังเป็นที่ตั้งชุมชนชาวกุลา (ไทยใหญ่) ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านโนนใหญ่ ต.ก่อเอ้ จนเกิดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่สุดของชาวกุลาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อำเภอเขื่องใน | |
---|---|
การถอดเสียงอักษรโรมัน | |
• อักษรโรมัน | Amphoe Khuang Nai |
คำขวัญ: เขื่องในหนองธรรมชาติ ธรรมาสน์สิงห์งามเด่น สุขสงบเย็นบึงเขาหลวง เลอสรวงลำน้ำชี ไหมมัดหมี่ภูมิปัญญา ปวงประชาพาใฝ่ธรรม งามล้ำพระใหญ่ พุทธสถานศูนย์รวมใจเทิดไท้องราชันย์ หรือ มะพร้าวเผารสดี ฝั่งชีงามล้ำ หัตถกรรมหมอนขิต กระชับมิตรไก่ย่าง น้องนางข้าวหอมมะลิ วิเวกวัดป่าบึงเขาหลวง ประทับทรวงรำมองเซิง[1] | |
แผนที่จังหวัดอุบลราชธานี เน้นอำเภอเขื่องใน | |
พิกัด: 15°23′24″N 104°33′6″E / 15.39000°N 104.55167°E | |
ประเทศ | ไทย |
จังหวัด | อุบลราชธานี |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 772.8 ตร.กม. (298.4 ตร.ไมล์) |
ประชากร (2564) | |
• ทั้งหมด | 107,090 คน |
• ความหนาแน่น | 138.57 คน/ตร.กม. (358.9 คน/ตร.ไมล์) |
รหัสไปรษณีย์ | 34150, 34320 (เฉพาะตำบลกลางใหญ่ โนนรัง บ้านไทย และบ้านกอก) |
รหัสภูมิศาสตร์ | 3404 |
ที่ตั้งที่ว่าการ | ที่ว่าการอำเภอเขื่องใน ถนนแจ้งสนิท ตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี 34150 |
ส่วนหนึ่งของสารานุกรมประเทศไทย |
ที่ตั้งและอาณาเขต
แก้อำเภอเขื่องในมีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอข้างเคียง ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอคำเขื่อนแก้ว (จังหวัดยโสธร) และอำเภอหัวตะพาน (จังหวัดอำนาจเจริญ)
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอม่วงสามสิบและอำเภอเมืองอุบลราชธานี
- ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอกันทรารมย์และอำเภอยางชุมน้อย (จังหวัดศรีสะเกษ)
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอค้อวังและอำเภอมหาชนะชัย (จังหวัดยโสธร)
การแบ่งเขตการปกครอง
แก้การปกครองส่วนภูมิภาค
แก้อำเภอเขื่องในแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 18 ตำบล 183 หมู่บ้าน ได้แก่
1. | เขื่องใน | (Khueang Nai) | 14 หมู่บ้าน | 10. | ธาตุน้อย | (That Noi) | 10 หมู่บ้าน | |||||||||||
2. | สร้างถ่อ | (Sang Tho) | 16 หมู่บ้าน | 11. | บ้านไทย | (Ban Thai) | 12 หมู่บ้าน | |||||||||||
3. | ค้อทอง | (Kho Thong) | 11 หมู่บ้าน | 12. | บ้านกอก | (Ban Kok) | 6 หมู่บ้าน | |||||||||||
4. | ก่อเอ้ | (Ko Ae) | 12 หมู่บ้าน | 13. | กลางใหญ่ | (Klang Yai) | 11 หมู่บ้าน | |||||||||||
5. | หัวดอน | (Hua Don) | 11 หมู่บ้าน | 14. | โนนรัง | (Non Rang) | 7 หมู่บ้าน | |||||||||||
6. | ชีทวน | (Chi Thuan) | 11 หมู่บ้าน | 15. | ยางขี้นก | (Yang Khi Nok) | 10 หมู่บ้าน | |||||||||||
7. | ท่าไห | (Tha Hai) | 13 หมู่บ้าน | 16. | ศรีสุข | (Si Suk) | 8 หมู่บ้าน | |||||||||||
8. | นาคำใหญ่ | (Na Kham Yai) | 8 หมู่บ้าน | 17. | สหธาตุ | (Saha-that) | 7 หมู่บ้าน | |||||||||||
9. | แดงหม้อ | (Daeng Mo) | 6 หมู่บ้าน | 18. | หนองเหล่า | (Nong Lao) | 10 หมู่บ้าน |
การปกครองส่วนท้องถิ่น
แก้ท้องที่อำเภอเขื่องในประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 19 แห่ง ได้แก่
- เทศบาลตำบลเขื่องใน ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลเขื่องใน
- เทศบาลตำบลบ้านกอก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านกอกทั้งตำบล
- เทศบาลตำบลห้วยเรือ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเขื่องใน (เขตองค์การบริหารส่วนตำบลเขื่องในเดิม)
- องค์การบริหารส่วนตำบลสร้างถ่อ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสร้างถ่อทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลค้อทอง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลค้อทองทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลก่อเอ้ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลก่อเอ้ทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลหัวดอน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหัวดอนทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลชีทวน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลชีทวนทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลท่าไห ครอบคลุมพื้นที่ตำบลท่าไหทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลนาคำใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาคำใหญ่ทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลแดงหม้อ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแดงหม้อทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลธาตุน้อย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลธาตุน้อยทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านไทย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านไทยทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลกลางใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลกลางใหญ่ทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลโนนรัง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลโนนรังทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลยางขี้นก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลยางขี้นกทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลศรีสุข ครอบคลุมพื้นที่ตำบลศรีสุขทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลสหธาตุ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสหธาตุทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลหนองเหล่า ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองเหล่าทั้งตำบล
สถานที่ท่องเที่ยว
แก้- ธรรมาสสิงห์เทินบุษบก
- ขัวน้อย
- วัดทุ่งศรีวิไล
- พุทธสถานครองราชย์ 60ปี พระใหญ่เขื่องใน
- วัดป่าบึงเขาหลวง
- ต้นยางนาใหญ่รางวัลชนะเลิศอัน1และ2 ชุมชนผักแว่น
- วัฒนธรรมชาวกุลาดำ บ้านโนนใหญ่
- หมู่บ้านนวัตวิถี ตำบลยางขี้นก
- ทะเลหนองใหญ่
- สวนสาธารณะหนองเขื่อง
จุดกำเนิดอุบลราชธานีเมืองนักปราชญ์
แก้ต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๓๖๗ เป็นสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์จักรีขึ้นเสวยราชสมบัติ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนธิ์) เป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ในขณะนั้น ด้วยการที่ท่านเจ้าประคุณฯมีความรู้แตกฉานในการศึกษายิ่ง และสมณะวัตร การปฏิบัติอันงดงามของท่านเจ้าคุณพระอริยวงศาจารย์ฯ เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ จึงได้โปรดเกล้าแต่งตั้งสมณะศักดิ์ให้เป็นพระราชาคณะ มีพระราชทินนามที่ พระอริวงศาจารย์ ญาณวิมล อุบลสังฆปาโมกข์ แล้วโปรดแต่งตั้งให้กลับมารับตำแหน่งเจ้าคณะสงฆ์ชั้นปกครอง ณ เมืองอุบลราชธานี พร้อมทั้งทรงโปรดให้อัญเชิญรอยพระพุทธบาทจำลองจากวัดสระเกศ พระพุทธรูป ตลอดจนเครื่องประกอบสมณศักดิ์ เช่น มีพัดยอด ปักทอง ขวางด้ามงา แต่ไม่มีแฉก และย่ามปักทองขวาง ฝาบาตรมุก และของพระราชทานอื่นๆ มาด้วย ท่านเจ้าคุณพระอริยวงศาจารย์ ญาณวิมลอุบลสังฆปาโมกข์ นับเป็น เจ้าคุณรูปแรกแห่ง ภาคอีสาน ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ท่านได้กลับมาพำนัก ณ วัดมณีวนาราม (วัดป่าน้อย) โดยทางส่วนบ้านเมืองได้สร้างกุฏิแดง เป็นกุฏิไม้ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมไทยผสมล้านช้างที่งดงามและโดดเด่นยิ่ง เพื่อใช้เป็นที่จำพรรษาของท่านเจ้าคุณพระอริยวงศาจารย์ฯ หลังจากนั้นท่านได้ไปนั่งภาวนาจิต ปฏิธรรมกรรมฐานบริเวณชายดงอู่ผึ่ง เพราะมีสายน้ำไหลผ่านจึงได้สร้างวัดขึ้นคือวัดทุ่งศรีเมือง และ วัดสวนสวรรค์บริเวณทิศตะวันออกของวัดทุ่งศรีเมือง (ภายหลังวัดสวนสรรค์ยุบวัดสร้างเป็นที่พักข้าหลวงสมัยรัชกาลที่ ๕) ภายในวัดทุ่งศรีเมืองท่านได้สร้างหอพระพุทธบาท ภายในหอพระพุทธบาทยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับชาดกในพระพุทธศาสนา มีลักษณะงดงามตามศิลปะไทยอีกด้วย และหอไตร เป็นศิลปะสกุลช่างไทย ลาว พม่าที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวที่งดงามยิ่ง ท่านได้นำรูปแบบ การศึกษาพระปริยัติธรรมและการปฏิบัติพระกรรมฐาน การเรียนการสอนภาษาไทย จัดการการกระจายอำนาจบริหารโดยได้มอบหมายให้พระที่ทรงคุณวุฒิ มีความเป็นผู้นำ มีความรู้ทางพระปริยัติธรรมดี จัดการดูแลสำนักเรียนต่างๆ การกระทำเช่นนี้นอกจากจะเป็นการกระจายอำนาจปกครองแล้วยังเป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้เกิดแก่ชุมชนในที่ต่างๆของภาคอีสานด้วย นับว่ายุคนั้นหากใครที่ต้องการเล่าเรียนศึกษาต้องเดินทางมาที่เมืองอุบลดอกบัวแห่งนี้ นี่คือต้นเค้าแห่งความเจริญทางปริยัติธรรม หนังสือไทยศิลปวัฒนธรรมอย่างภาคกลาง ท่านได้นำไปแนะนำประสานให้เกิดความเข้าใจ เกิดความสงบเรียบร้อยเป็นปึกแผ่นในหัวเมืองอีสาน อันเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เมืองอุบลราชธานี เป็นศูนย์กลางการศึกษาทุก ๆ ด้าน จนมีผู้สนใจมาศึกษาเล่าเรียนจากทั่วสารทิศ นอกจากนั้น ท่านยังเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผิดพ้องหมองใจกันของประชาชน และท่านยังเป็นที่ปรึกษาในการปกครองให้ฝ่ายบ้านเมืองให้มีความรักสามัคคีมีธรรมเป็นที่ตั้ง ประชาชนชาวอีสานต่างให้ความเคารพยำเกรงท่านมาก จึงมีคำกล่าวติดปากชาวเมืองอุบลราชธานี ว่า ...“ท่านเจ้า”. ท่านได้กำกับดูแล แพร่เผยการศึกษา ในหัวเมืองอีสาน ได้แก่ “ขุขันธ์,สุรินทร์,สังขะ,ศรีสะเกษ,เดชอุดม,นครจำปาศักดิ์,สาระวัน,ทองคำใหญ่,สีทันดร,เชียงแตง,แสนปาง,อัตตะปือ,มุกดาหาร,เขมราช,โขงเจียม,สะเมีย,อุบลราชธานี,ยโสธร,นครพนม,ท่าอุเทน,สกลนคร,ไชยบุรี,กาฬสินธุ์,ร้อยเอ็ด,สุวรรณภูมิ,หนองคาย,หนองละหาน,ขอนแก่น,อุดร,ชนบท,ภูเวียง และปากเหือง”จนถึงสิ้นรัชกาลที่ ๓ พระอริยวงศาจารย์ ญาณวิมล อุบลสังฆปาโมกข์ จึงเป็นพระสงฆ์ยุคแรกที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการศึกษาให้แก่เมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัย ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทำให้เมืองอุบลราชธานี เป็นราชธานีแห่งอีสาน รุ่งเรืองด้วยศาสนาศิลปวัฒนธรรม ตลอดสกุลช่างเฉพาะเมืองอุบลสืบต่อมาถึงปัจจุบัน จนได้รับการขนานนามว่า “เมืองนักปราชญ์” เพราะการปฏิบัติงานได้เป็นผลสำเร็จอย่างดียิ่งขึ้น ต่อมาจึงได้นำสมณศักดิ์ของท่าน มาเป็นพระนามในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช คือ “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ” เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติคุณพระมหาเถระผู้มีคุณูปการยิ่ง ต่อการนำพระศาสนามาประสานกับบ้านเมืองให้เกิดความสงบสุขแก่ผืนแผ่นดิน
อีกประการหนึ่งท่านเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหารได้กล่าวในหนังสือ "กิ่งธรรม"เกี่ยวกับพระอริยวงศาจารย์ ไว้ว่า “ท่านเจ้าคณะ พระอริยวงศาจารย์ และมีสร้อยอยู่ ๒ ตอนว่าญาณวิมล อุบลสังฆปาโมกข์ ได้ขึ้นมาอยู่จังหวัดอุบลราชธานี และอยู่ที่วัดป่าน้อย เพราะเหตุที่ท่านเป็นพระที่สำคัญของแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ก็ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า หาได้ยากมากในเมืองไทยในเวลานั้น ที่พระสงฆ์ในหัวเมืองจะเป็นชั้นพระราชาคณะ ไม่เหมือนปัจจุบันนี้ และเป็นคนอุบลราชธานีอีกด้วย หลังจากท่านได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดป่าน้อยจนเป็นหลักฐานดีแล้ว ได้ไปสร้างวัดอีกวัดหนึ่ง คือ วัดทุ่งศรีเมือง ทราบว่าท่านไปนั่งกรรมฐานที่นั่น ต่อมาทราบว่าที่วัดทุ่งศรืเมือง ก็มีรอยพระพุทธบาทได้ทราบว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจากวัดสระเกศฯ และได้ทราบจากฝรั่งคนหนึ่งก่อนว่า พระบาทที่วัดทุ่งศรีเมือง เป็นพระบาทที่มาจากวัดสระเกศฯ”
อ้างอิง
แก้- ↑ อ้างอิงจากงาน ๑๐๑ ปี อำเภอเขื่องใน