ห้าเชื้อชาติใต้หนึ่งสหภาพ
ห้าเชื้อชาติใต้หนึ่งสหภาพ (อังกฤษ: Five Races Under One Union) เป็นหนึ่งในหลักใหญ่ของการสถาปนาสาธารณรัฐจีน ใน ค.ศ. 1911 ระหว่างการปฏิวัติซินไฮ่[1][2][3][4] เสาหลักของสิ่งนี้คือการดำรงชีวิตอย่างสันติสุขภายใต้ชาติเดียวที่ประกอบด้วย 5 กลุ่มชาติพันธุ์หลักในจีน: ฮั่น, แมนจู, มองโกล, หุย (รวมชาวอุยกูร์) และทิเบต[5]
ห้าเชื้อชาติใต้หนึ่งสหภาพ | |||||||||||||||||||||||||
ภาพธงของสาธารณรัฐจีน 3 ผืน ประกอบด้วยธงห้าสี (กลาง) ธงกองทัพ (ซ้าย) และ ธงของซุนยัดเซ็น (ขวา) อันเป็นธงชาติของสาธารณรัฐจีนในปัจจุบัน ด้านล่างของภาพ มีข้อความว่า "สหภาพจงเจริญ" (共和萬歲) | |||||||||||||||||||||||||
ภาษาจีน | 五族共和 | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ความหมายตามตัวอักษร | ห้ากลุ่มชาติพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง (กิจสาธารณะ) | ||||||||||||||||||||||||
|
ธงห้าสี (จีน: 五色旗; พินอิน: Wǔsèqí) | |
การใช้ | ธงพลเรือน และ ธงราชการ |
---|---|
สัดส่วนธง | 5:8 |
ประกาศใช้ | 10 มกราคม ค.ศ. 1912 |
ลักษณะ | แถบแนวนอน 5 สี เรียงเป็นสีแดง เหลือง น้ำเงิน ขาว และดำ |
รายละเอียด
แก้หลักคิดความเสมอภาคของชนชาติต่างๆ 5 ชนชาติใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์จีน กล่าวคือ แถบธงห้าเชื้อชาติใต้หนึ่งสหภาพ โดย สีแดง หมายถึง ชาวฮั่น สีเหลือง หมายถึง ชาวแมนจู สีน้ำเงิน หมายถึง ชาวมองโกล สีขาว หมายถึง ชาวฮุยหุย (จีนมุสลิม) และสีดำหมายถึงชาวทิเบต[6]
นิยาม "หุย" (回, huí) ในบริบทนี้ส่วนใหญ่อ้างถึงชาวมุสลิมโดยรวม[7] และศัพท์นี้ยังสื่อถึงชาวอุยกูร์ในจีนตะวันตกในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ก่อนการปฏิวัติซินไฮ่) เนื่องจากคำว่า "ดินแดนมุสลิม" (回疆; Huíjiāng, หุยเจียง) เป็นชื่อเดิมของซินเจียงในยุคราชวงศ์ชิง[8] ภายหลังความหมายของ "ชาวหุย" เริ่มเปลี่ยนไปเป็นความหมายในปัจจุบันคือ กลุ่มที่แยกจากชาวจีนฮั่นด้วยการเป็นมุสลิมและมีบรรพบุรุษจากต่างชาติ (ประมาณ ค.ศ. 1911–49 ในสาธารณรัฐจีน)
ลำดับสี |
แดง | เหลือง | น้ำเงิน | ขาว | ดำ |
---|---|---|---|---|---|
แพนโทน | 2347 C | 7548 C | 307 C | White Color | Black Color |
CMYK | 0-88-92-13 | 0-22-100-0 | 99-37-0-38 | 0-0-0-0 | 0-0-0-100 |
HEX | #DF1B12 | #FFC600 | #02639D | #FFFFFF | #000000 |
RGB | 223-27-18 | 255-198-0 | 2-99-157 | 255-255-255 | 0-0-0 |
ประวัติ
แก้ภายหลังจากเหตุการณ์การลุกฮือหวูชาง ราชวงศ์ชิงได้ล่มสลาย และถ่ายโอนอำนาจสู่รัฐบาลเป่ย์หยาง ระหว่างนั้นได้มีการประกวดออกแบบธงซึ่งจัดโดยสมาพันธ์ความร่วมมือเพื่อการปฏิวัติประชาธิปไตย กองทหารในหวูชางจึงเลือกธงดาว 9 แฉกกับ Taijitu[6] ซุน ยัตเซ็น จึงได้เลือกธง ตะวันฉาย ฟ้าใส ออกแบบโดย ลู่เฮาตุง.[6]
เป้าหมายหลักของการลุกฮือเพื่อต่อต้านการปกครองของชนกลุ่มน้อยแมนจู, ซุน ยัตเซ็น Song Jiaoren และ Huang Xing ซึ่งมีความคิดในเชิงต่อต้านการแบ่งเชื้อชาติ จึงเลือกธงที่ใช้สีซึ่งมีความแตกต่างกัน[9] ในความคิดดังกล่าวไม่รวมถึงชาวจีนฮั่นสืบเนื่องจากชาวจีนฮั่นซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ต่อชนกลุ่มน้อยแมนจูที่เป็นชนชั้นปกครอง.[10]
ธง"ห้าเชื้อชาติใต้หนึ่งสหภาพ" ใช้แค่ช่วงเวลาสั้นๆภายหลังจากการกรีฑาทัพขึ้นเหนือ
ธงดังกล่าวได้มีการใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น จักรวรรดิจีน (หยวน ซื่อไข่) และ แมนจูกัว ซึ่งเป็นรัฐหุ่นเชิดของญี่ปุ่น (ธงชาติแมนจูกัว). ในแมนจูกัว, ตามนัยความหมาย (五族協和) ได้สื่อออกมา, แต่นิยามในเรื่องชนชาติได้เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ชาวญี่ปุ่น (สีแดง), ชาวจีนฮั่น (สีน้ำเงิน), ชาวมองโกล (สีขาว), ชาวเกาหลี (สีดำ) และชาวแมนจู (สีเหลือง)
ภาพธง
แก้- รัฐบาลเป่ย์หยาง:
-
ธงชาติ
- ธงราชการ:
-
ธงเจ้าพนักงานศุลกากร
-
ธงเจ้าพนักงานไปรษณีย์
- ธงทหาร:
-
ธงผู้บัญชาการทหารสูงสุด
-
ธงตำรวจเป่ย์หยาง
-
ตราราชการกองทัพเป่ย์หยาง
-
เป้าหน้าวัวกองทัพอากาศ
- รัฐบาลปฏิรูปสาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1938–1940):
-
ธงชาติ
-
ธงชาติ (แบบร่าง)
-
ธงชาติ
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ Murray A. Rubinstein (1994). Murray A. Rubinstein (บ.ก.). The Other Taiwan: 1945 to the present (illustrated ed.). M.E. Sharpe. p. 416. ISBN 1-56324-193-5. สืบค้นเมื่อ 2010-06-28.
- ↑ James A. Millward (2007). Eurasian crossroads: a history of Xinjiang (illustrated ed.). Columbia University Press. p. 208. ISBN 978-0-231-13924-3. สืบค้นเมื่อ 2010-06-28.
- ↑ Paul Hibbert Clyde, Burton F. Beers (1971). The Far East: a history of the Western impact and the Eastern response (1830–1970) (5, illustrated ed.). Prentice-Hall. p. 409. ISBN 9780133029765. สืบค้นเมื่อ 2010-06-28.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Making of America Project (1949). Harper's magazine, Volume 198. Harper's Magazine Co. p. 104. สืบค้นเมื่อ 2011-06-13.
- ↑ Young, Louise (July 2017). "When fascism met empire in Japanese-occupied Manchuria". Journal of Global History. Cambridge University Press. 12 (2): 274–296. doi:10.1017/S1740022817000080. S2CID 164753522 – โดยทาง CambridgeCore.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Fitzgerald, John. [1998] (1998). Awakening China: Politics, Culture, and Class in the Nationalist Revolution. Stanford University Press publishing. ISBN 0-8047-3337-6, ISBN 978-0-8047-3337-3. pg 180.
- ↑ "China's Islamic Heritage". 5 March 2006.
The Nationalist government had recognised all Muslims as one of "the five peoples"—alongside the Manchus, Mongols, Tibetans and Han Chinese—that constituted the Republic of China
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Suisheng Zhao (2004). A nation-state by construction: dynamics of modern Chinese nationalism (illustrated ed.). Stanford University Press. p. 171. ISBN 0-8047-5001-7. สืบค้นเมื่อ 2011-06-12.
- ↑ Hsiao-ting Lin. [2010] (2010). Modern China's ethnic frontiers: a journey to the west. Taylor & Francis publishing. ISBN 0-415-58264-4, ISBN 978-0-415-58264-3. pg 7.
- ↑ Chow, Peter C. Y. [2008] (2008). The "one China" dilemma. Macmillan publishing. ISBN 1-4039-8394-1, ISBN 978-1-4039-8394-7. pg 31.