สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระแห่งเนปาล

สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะ (เนปาล: ज्ञानेन्द्र वीर बिक्रम शाहदेव; Jñānendra Vīra Vikrama Śāhadeva; ชญาเนนฺทฺร วีร พิกฺรม ศาหเทว) หรือ สมเด็จพระราชาธิบดีคยาเนนทรพีรพิกรมศาหเทว์ (Gyanendra Bir Bikram Shah Dev) เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรเนปาลในราชวงศ์ศาห์ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีมเหนทระ ประสูติแต่เจ้าหญิงอินทระ มกุฎราชกุมารีแห่งเนปาล

สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ
พระมหากษัตริย์แห่งเนปาล
ครั้งที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 –
7 มกราคม พ.ศ. 2494
ราชาภิเษก7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493
ก่อนหน้าสมเด็จพระเจ้าตริภูวัน
ถัดไปสมเด็จพระเจ้าตริภูวัน
ครั้งที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2544 –
28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
ราชาภิเษก4 มิถุนายน พ.ศ. 2544
ก่อนหน้าสมเด็จพระราชาธิบดีทีเปนทระ
ถัดไปราชาธิปไตยถูกล้มล้าง
(คิริชา ประสาท โกอิราลา รักษาการ ประมุขแห่งรัฐ) (พ.ศ. 2551)
พระราชสมภพ7 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 (77 ปี)
กาฐมาณฑุ ราชอาณาจักรเนปาล
คู่อภิเษกโกมล ราณา
พระราชบุตรมกุฎราชกุมารปารัส
เจ้าหญิงเปรรณา
พระรัชกาลนาม
ศรีปาญจมหาราชาธิราชชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะ
ราชวงศ์ศาหะ
พระราชบิดาสมเด็จพระเจ้ามเหนทระ
พระราชมารดาเจ้าหญิงอินทรา มกุฎราชกุมารีแห่งเนปาล

พระราชประวัติ

แก้

สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 ณ พระราชวังนารายัณหิตี ในกรุงกาฐมาณฑุ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองของมกุฎราชกุมารมเหนทระ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) กับ เจ้าหญิงอินทระ มกุฎราชกุมารีแห่งเนปาล (สกุลเดิม: ราณา) หลังประสูติกาลโหรหลวงได้ทำนายทายทักว่าพระราชโอรสที่ประสูติใหม่จะนำโชคร้ายสู่พระชนก ดังนั้นพระองค์เมื่อยังทรงพระเยาว์จึงถูกส่งไปให้พระอัยยิกาทรงอุปถัมภ์อำรุง[1]

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2493 สมเด็จพระเจ้าตริภูวันและมกุฎราชกุมารมเหนทระรวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นทรงลี้ภัยทางการเมืองไปยังประเทศอินเดีย โดยปล่อยให้เจ้าชายชญาเนนทระอยู่ลำพังพระองค์ ที่ต่อมาโมหัน ศัมเศร์ นายกรัฐมนตรีเนปาล ได้นำเจ้าชายเข้ามาในกาฐมาณฑุเพื่อตั้งเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนปีเดียวกันนั้นเอง และนายกรัฐมนตรียังให้งบประมาณ 300,000 รูปีเป็นรายได้ของพระองค์ต่อปี[2] แต่การขับไล่สมเด็จพระเจ้าตริภูวันของนายกรัฐมนตรีจากตระกูลราณานั้น ทำให้สถานะพระมหากษัตริย์ของชญาเนนทระมิได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ[3]

พระองค์เข้ารับการศึกษาที่วิทยาลัยเซนต์โจเซฟ เมืองดาร์จีลิง ประเทศอินเดียเช่นเดียวกับพระเชษฐา และสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยตริภูวัน กรุงกาฐมาณฑุ เมื่อปี พ.ศ. 2512[4]

ในปี พ.ศ. 2518 พระองค์เป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทระ พระเชษฐา และเป็นกรรมการขององค์การมเหนทระเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ ที่ต่อมาคือองค์การอนุรักษ์แห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (National Trust for Nature Conservation) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 จนกระทั่งพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ครั้งที่สองเมื่อปี พ.ศ. 2544[5]

สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีโกมล (สกุลเดิม: ราณา) เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 มีพระราชโอรส 1 พระองค์ และพระราชธิดา 1 พระองค์ ได้แก่

  1. เจ้าชายปารัส มกุฎราชกุมารแห่งเนปาล[6] (ประสูติ: 30 ธันวาคม พ.ศ. 2514) เสกสมรสกับเจ้าหญิงหิมานี มกุฎราชกุมารีแห่งเนปาล มีพระบุตรสามพระองค์
  2. เจ้าหญิงเปรรณา (ประสูติ: 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521) เสกสมรสกับกุมาร ราช พหาทุร สิงห์ มีพระบุตรหนึ่งคน

เสด็จขึ้นครองราชย์

แก้

พระองค์ได้เสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเนปาล 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 ถึงวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2494 ครั้งที่สองคือเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2544 เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตย ทรงเป็นนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุด หลังเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์เนปาล ท่ามกลางข้อกังขาว่าพระองค์อาจมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าว

ทรงยึดอำนาจจากรัฐบาล

แก้

ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทร์ได้ทรงยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลเนปาล โดยมีพระราชโองการให้รัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยสิ้นสุดลง และทรงปกครองประเทศด้วยพระองค์เอง ทำให้ทรงต้องเผชิญกระแสต่อต้านจากในประเทศอย่างรุนแรง

ทรงถูกถอดถอน

แก้

เมื่อมีการฟื้นฟูรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยอีกครั้งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 พระองค์จึงทรงถูกลดพระราชอำนาจและพระราชสถานะลง[7] โดยก่อนการสละราชบัลลังก์ ก็ได้มีกระแสข่าวเกี่ยวการสละราชบัลลังก์และเสด็จไปประทับต่างประเทศ โดยจะยกราชสมบัติแก่เจ้าชายหริทเยนทรา พระราชนัดดา เนื่องจากทรงไม่พอพระทัยในตัวมกุฎราชกุมารมากนัก[8] และทรงสละราชสมบัติอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เนื่องจากสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งเนปาล (Constituent Assembly of Nepal) ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจากรูปแบบราชอาณาจักรมาเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. Chowdhuri, Satyabrata Rai (27 July 2001). "Monarchy in Nepal". The Hindu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-30. สืบค้นเมื่อ 25 December 2007.
  2. "Homeward Bound". Time Magazine. 22 January 1951. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-30. สืบค้นเมื่อ 25 December 2007.
  3. Buyers, Christopher. "Nepal". Royal Ark. สืบค้นเมื่อ 25 December 2007.
  4. Staff writer (2006-04-20). "Troubled times saw king's rise". CNN.
  5. "Royal Biography of Nepal". MeroNepal.com.np. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-30. สืบค้นเมื่อ 25 December 2007.
  6. Royal Family Of Nepal - Shah dynasty
  7. ราชวงศ์เนปาลปัดกษัตริย์สละบัลลังก์ เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 11:49 น.
  8. ล้มราชวงศ์เนปาล ข่าวสด วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550 02:01 น.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้
ก่อนหน้า สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระแห่งเนปาล ถัดไป
สมเด็จพระเจ้าตริภูวัน   พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเนปาล
(ครั้งที่ 1)

(พ.ศ. 2493-2498)
  สมเด็จพระเจ้ามเหนทระ
สมเด็จพระราชาธิบดีทิเปนทระ   พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเนปาล
(ครั้งที่ 2)

(พ.ศ. 2544-2551)
  ยกเลิกระบอบกษัตริย์
ยกเลิกระบอบกษัตริย์   ผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์เนปาล
(28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551-ปัจจุบัน)
  ปัจจุบัน
เจ้าชายปารัส มกุฎราชกุมารแห่งเนปาล