สงครามปาเลสไตน์ ค.ศ. 1947–1949
สงครามปาเลสไตน์ ค.ศ. 1947–1949 เป็นการต่อสู้ระหว่างรัฐอิสราเอลและพันธมิตรทางทหารของสันนิบาตอาหรับ
สงครามปาเลสไตน์ ค.ศ. 1947–1949 | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เป็นส่วนหนึ่งของ ความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอล | |||||||||
![]() ทหารอิสราเอลปักธงชาติเมืองไอลัต หลังได้รับชัยชนะ | |||||||||
| |||||||||
คู่ขัดแย้ง | |||||||||
![]() |
| ||||||||
ผู้บัญชาการหรือผู้นำ | |||||||||
ผู้นำ:
|
ผู้นำ:
| ||||||||
กำลัง | |||||||||
อิสราเอล: 29677 นาย (ต้น) 117500 นาย (ชุดสุดท้าย) [Note 1] |
อียิปต์: 10,000 นาย ขั้นต้นและเพิ่มขึ้นถึง 20,000 นาย อิรัก: 3,000 นาย ขั้นต้นและเพิ่มขึ้นถึง 15,000-18,000 นาย ซีเรีย: 2,500-5,000 นาย ทรานสจอร์แดน: 8,000-12,000 นาย เลบานอน: 1,000 นาย [7] ซาอุดีอาระเบีย: 800-1,200 นาย (คำสั่งอียิปต์) เยเมน: 300 นาย กองทัพปลดปล่อยอาหรับ:. 3,500-6,000 | ||||||||
กำลังพลสูญเสีย | |||||||||
ตาย 6,373 คน (ทหารประมาณ 4,000 คน และพลเรือน 2,400 คน)[8] | กองทัพอาหรับ: ตาย 3,700-7,000 นาย ชาวอาหรับปาเลสไตน์: 3,000-13,000 นาย (ทั้งนักบินรบและพลเรือน)[9][10] |
ได้มีการความตึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างชาวอาหรับและชาวยิว นับตั้งแต่ปี 1917 การของประกาศอาเทอร์ บัลโฟร์และปี 1920 สร้างเขตปาเลสไตน์ในอาณัติ นโยบายของอังกฤษทำให้เกิดความไม่พอใจทั้งชาวอาหรับและชาวยิว ชาวอาหรับได้ก่อจลาจลในปาเลสไตน์อาหรับในปี 1936 ถึง 1939 ขณะที่ชาวยิวได้ก่อจลาจลในปาเลสไตน์ยิว (ค.ศ. 1944-47) ในปี 1947 ความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ได้พัฒนากลายเป็นสงครามกลางเมือง ใน 29 พฤศจิกายน 1947 ยูเอ็นเข้ามาช่วยแบ่งปาเลสไตน์เป็นสามส่วน ได้แก่ รัฐอาหรับ รัฐยิวและเขตปกครองพิเศษในเยรูซาเล็ม และเบธเลเฮม
วันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1948 สงครามกลางเมืองอย่างต่อเนื่องกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐระหว่างอิสราเอลและ สันนิบาตอาหรับ วันก่อนหน้านั้นอิสราเอลได้ประกาศอิสรภาพ อียิปต์ จอร์แดน ซีเรียและอิรักได้นำรวมกองกำลังเข้าปาเลสไตน์ กองกำลังบุกรุกเข้าควบคุมพื้นที่ทันทีอาหรับและโจมตีกองกำลังอิสราเอลและฐานทัพต่าง ๆ[11][12][13] 10 เดือนของการต่อสู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในอดีตดินแดนของอาณัติของอังกฤษและเป็นเวลาสั้น ๆ ยังอยู่ในคาบสมุทรไซนาย และทางใต้ของเลบานอน[14]
อันเป็นผลมาจากสงคราม ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติมติ 181 แนะนำให้รัฐยิวได้เกือบ 60% ของพื้นที่ของรัฐอาหรับใน เสนอโดยแผนพาร์ทิชัน ค.ศ. 1948[15] รวมทั้งพื้นที่จาฟฟา ลิดดาและรามลา กาลิลี บางส่วนของทะเลทรายเนเกฟไปตามถนนสายโทรลอาวีเยรูซาเล็ม กรุงเยรูซาเล็มตะวันตกและบางพื้นที่เวสต์แบงก์และให้พื้นที่ในส่วนที่เหลืออยู่ในการควบคุมของจอร์แดนและอียิปต์ ในการประชุมเจริโควันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1948
ความขัดแย้งได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางประชากรทั่วตะวันออกกลาง ชาวอาหรับปาเลสไตน์ 700,000 คนหนีหรือถูกขับออกจากบ้านของพวกเขาในพื้นที่ที่กลายเป็นประเทศอิสราเอลและพวกเขากลายเป็นผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์[16] ในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า"ภัยพิบัติ" นช่วงสามปีหลังสงครามชาวยิวประมาณ 700,000 คนอพยพไปยังอิสราเอลมีชาวยิวอีกจำนวนมากถูกขับไล่ออกจากตะวันออกกลาง[17]
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Anita Shapira, L'imaginaire d'Israël : histoire d'une culture politique (2005), Latroun : la mémoire de la bataille, Chap. III. 1 l'événement p. 91–96
- ↑ Benny Morris (2008), p.419.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Oren 2003, p. 5.
- ↑ Morris (2008), p.260.
- ↑ Gelber, pp. 55, 200, 239
- ↑ Gelber (2006), p.12.
- ↑ Pollack, 2004; Sadeh, 1997>
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อpolitics
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อlaurens
- ↑ Morris 2008, pp. 404–406.
- ↑ Benny Morris (2008), p.401.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อmorris2008p236
- ↑ Zeev Maoz, Defending the Holy Land, University of Michigan Press, 2009 p.4:'A combined invasion of a Jordanian and Egyptian army started . . . The Syrian and the Lebanese armies engaged in a token effort but did not stage a major attack on the Jewish state.'
- ↑ Rogan and Shlaim 2007 p. 99.
- ↑ Cragg 1997 pp. 57, 116.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อrefugees
- ↑ Morris, 2001, pages 259 - 260.
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "Note" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="Note"/>
ที่สอดคล้องกัน หรือไม่มีการปิด </ref>