รัฐนิวเม็กซิโก

รัฐนิวเม็กซิโก (อังกฤษ: New Mexico, เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /ˈnu ˈmɛk sɪˌkoʊ/; สเปน: Nuevo México) เป็นรัฐหนึ่งทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ ของสหรัฐ ติดกับประเทศเม็กซิโก เมืองหลวงของรัฐคือแซนตาเฟ โดยมีเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือแอลบูเคอร์คี ถึงแม้ว่าในสหรัฐ ภาษาอังกฤษนิยมใช้กันมากที่สุด แต่ในรัฐนิวเม็กซิโกเป็นรัฐที่มีการใช้ภาษาสเปนมากที่สุดรัฐหนึ่งในสหรัฐ โดยประชากรในรัฐประกอบด้วย ชาวอเมริกา ชาวสเปน และชาวเม็กซิโก ใน ค.ศ. 2007 นิวเม็กซิโกมีประชากร 1,969,915 คน[3]

รัฐนิวเม็กซิโก
State of New Mexico
สมญา: 
Land of Enchantment
คำขวัญ: 
แผนที่สหรัฐเน้นรัฐนิวเม็กซิโก
แผนที่สหรัฐเน้นรัฐนิวเม็กซิโก
ประเทศสหรัฐ
เข้าร่วมสหรัฐ29 มกราคม พ.ศ. 2404 (34)
เมืองหลวงแซนตาเฟ
เมืองใหญ่สุดแอลบูเคอร์คี
มหานครใหญ่สุดเขตมหานครแอลบูเคอร์คี
การปกครอง
 • ผู้ว่าการซูซานา มาร์ติเนซ (R)
สมาชิกวุฒิสภาพีท โดมินิซี (R)
เจฟ บิงแมน (D)
พื้นที่
 • ทั้งหมด121,665 ตร.ไมล์ (315,194 ตร.กม.)
อันดับพื้นที่5th
ขนาด
 • ความยาว370 ไมล์ (595 กิโลเมตร)
 • ความกว้าง342 ไมล์ (550 กิโลเมตร)
ประชากร
 • ทั้งหมด1,969,915 (2,007 est.) [1] คน
 • อันดับ36th
 • ความหนาแน่น16.2 คน/ตร.ไมล์ (6.27 คน/ตร.กม.)
 • อันดับความหนาแน่น45th
เดมะนิมNew Mexican
ภาษา
 • ภาษาทางการไม่มี
 • ภาษาพูดอังกฤษ, สเปน, นาวาโฮ, แคริส, ซูนี [2]
เขตเวลาส่วนใหญ่ของรัฐ: GMT-7/-6
สี่เคาน์ตีฝั่งตะวันตก: GMT-7/-6
อักษรย่อไปรษณีย์NM
รหัส ISO 3166US-NM
เว็บไซต์www.kansas.gov

นิวเม็กซิโกเป็นรัฐที่มีเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ในบรรดา 50 รัฐของประเทศ แต่มีประชากรเพียง 2.1 ล้านคน[4] และอยู่ในอันดับที่ 36 ของจำนวนประชากรและอันดับที่ 46 ในด้านความหนาแน่นของประชากร[5] และเป็นบริเวณที่มีสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐ[6][7] บริเวณตอนเหนือและตะวันออกมีภูมิอากาศแบบอัลไพน์ที่เย็นกว่าในขณะที่ทางตะวันตกและทางใต้นั้นอบอุ่นและแห้งแล้งกว่า โดยมีแม่น้ำรีโอแกรนด์และหุบเขาที่อุดมสมบูรณ์ทอดตัวจากเหนือจรดใต้ ทำให้เกิดสภาพอากาศอบอุ่นบริเวณตอนกลางของรัฐ กว่าหนึ่งในสามของที่ดินในนิวเม็กซิโกเป็นเจ้าของโดยรัฐบาลกลาง และรัฐยังมีพื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่ได้รับการคุ้มครองและประกอบไปด้วยอนุสรณ์สถานแห่งชาติหลายแห่ง รวมถึงแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโก 3 แห่ง[8]

รัฐนิวเม็กซิโกถูกจัดอยู่ในกลุ่มรัฐที่มีความยากจน[9][10][11][12][13] แม้ว่าปัจจุบันเศรษฐกิจของรัฐมีการเติบโตขึ้นตามลำดับ โดยประชากรในนิวเม็กซิโกมีรายได้หลักมาจากหลายภาคส่วน เช่น การขุดเจาะน้ำมัน การขุดแร่ การทำฟาร์มบนที่แห้ง การเลี้ยงโค เกษตรกรรม การค้าไม้อย่างถูกกฎหมาย การค้าปลีก การทำห้องปฏิบัติการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การพัฒนาเทคโนโลยี และศิลปะ รวมถึงสิ่งทอและทัศนศิลป์ โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้งหมด (จีดีพี) ใน ค.ศ. 2020 อยู่ที่ 95.73 พันล้านดอลลาร์ และมีจีดีพีต่อหัวอยู่ที่ 46,300 ดอลลาร์[14][15] นโยบายภาษีของรัฐมีลักษณะการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในระดับต่ำถึงปานกลางตามมาตรฐานรัฐบาลกลาง โดยมีเครดิตภาษี การยกเว้น และการพิจารณาเป็นพิเศษสำหรับบุคลากรทางทหาร ต่อมา อุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในรัฐ[16] นิวเม็กซิโกเป็นยังที่ตั้งของฐานทัพสำคัญของกองทัพสหรัฐ บริเวณเทือกเขา White Sands Missile Range และหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติหลายแห่งได้เข้ามาตั้งฐานการวิจัยและทดสอบอาวุธในรัฐ เช่น Sandia และ Los Alamos National; ในช่วงทศวรรษที่ 1940 โครงการ Y ของโครงการแมนฮัตตันซึ่งผลิตระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกและทำการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งแรกภายใต้ชื่อ "Trinity"

สำหรับที่มาของชื่อรัฐนิวเม็กซิโกนั้น ในอดีตดินแดนแห่งนี้เคยถูกปกครองโดยสเปน โดยคณะสำรวจและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวสเปนได้เดินทางมาถึงบริเวณนี้ในศตวรรษที่ 16 โดยตั้งชื่ออาณาเขตว่า Nuevo México ตามหุบเขาแอซเท็ก กว่า 250 ปีก่อนการตั้งชื่อประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน ดังนั้นรัฐนี้จึงถือกำเนิดขึ้นก่อนประเทศเม็กซิโกหลายร้อยปีและไม่ได้ตั้งชื่อตามประเทศเม็กซิโกอย่างที่หลายคนเข้าใจ[17][18] นิวเม็กซิโกถูกแยกออกจากกันด้วยภูมิประเทศที่ขรุขระและปกครองโดยชนพื้นเมือง ภายหลังการได้รับเอกราชของเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1821 บริเวณนี้ได้กลายเป็นเขตปกครองตนเองของเม็กซิโก แม้ว่าจะยังคงถูกคุกคามอยู่เรื่อย ๆ จากนโยบายการรวมชาติของรัฐบาลเม็กซิกัน ในเวลาเดียวกัน ภูมิภาคนี้ได้พึ่งพากิจกรรมทางเศรษฐกิจจากสหรัฐ และในช่วงท้ายของสงครามเม็กซิกัน-อเมริกันใน ค.ศ. 1848 สหรัฐ ได้ผนวกนิวเม็กซิโกเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนนิวเม็กซิโกที่มีขนาดใหญ่กว่า และถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการขยายตัวทางตะวันตกของสหรัฐและได้รับการยอมรับโดยสหภาพมาตราแห่งรัฐธรรมนูญของสหรัฐโดยถือเป็นรัฐที่ 47 อย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1912

ธงประจำรัฐนิวเม็กซิโกเป็นที่รู้จักมากที่สุดในสหรัฐ[19] สะท้อนถึงต้นกำเนิดของรัฐจากการผสมผสานของวัฒนธรรมโดยมีสีแดงเข้มและสีทองของไม้กางเขนเบอร์กันดีของสเปน พร้อมด้วยสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์โบราณของชนเผ่าปวยโบล การบรรจบกันของอิทธิพลของชนพื้นเมือง สเปน เม็กซิกัน ฮิสแปนิก และอเมริกันยังปรากฏชัดในวัฒนธรรมด้านอื่นๆเช่น อาหาร ดนตรี และสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของนิวเม็กซิโก[20] และยังเป็นรัฐที่มีชาวลาตินอเมริกาอาศัยอยู่มากที่สุดแห่งหนึงของโลก รวมทั้งมีการพูดภาษาสเปนอย่างแพร่หลาย

ที่มาของชื่อแก้ไข

ใน ค.ศ. 1598 นิวเม็กซิโกในขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรสเปน ในช่วงที่สเปนต้องการแผ่ขยายอำนาจของจักรพรรดิ กลุ่มผู้ก่อตั้งรกรากจากสเปนได้ตั้งชื่อแผ่นดินนี้ว่า Nuevo México โดยตั้งตามพื้นที่หุบเขาในเม็กซิโก ที่ชาวแอสเท็กโบราณเรียกว่า Valley of Mexico ดังนั้น นิวเม็กซิโกจึงไม่เคยเป็นดินแดนประเทศเม็กซิโกหรือตั้งชื่อจากประเทศเม็กซิโก[21]

ประวัติแก้ไข

ในอดีต พลเมืองในนิวเม็กซิโกยุคแรกนั้นจึงมีเชื้อสายมาจากชาวสเปน[22] พวกเขาได้ร่วมกัน “บูรณาการทางวัฒนธรรม” (Cultural integration) แต่ก็ต้องเจอปัญหาการรุกรานจากทหารเม็กซิกันที่พยายามยึดครองนิวเม็กซิโกให้เป็นอาณานิคมของเม็กซิโก[23] จึงเกิดกลุ่มกองกำลัง “กบฏชิมาโย” ที่รุกขึ้นต่อต้าน สุดท้าย นิวเม็กซิโก ก็ได้รับการรวมเข้าเป็นรัฐที่ 47 ของสหรัฐใน ค.ศ. 1912 หลังจากแยกตัวออกจากประเทศเม็กซิโกได้สำเร็จ ใน ค.ศ. 1924 สภาคองเกรสก็รับร่างกฎหมายที่อนุญาตให้ชนพื้นเมืองอเมริกันสามารถขอสัญชาติเป็นชาวอเมริกัน และมีสิทธิ์มีเสียงในการลงคะแนนเลือกตั้งจนถึงปัจจุบัน

ภูมิประเทศและสภาพอากาศแก้ไข

 
สภาพภูมิประเทศบริเวณตอนกลางของรัฐนิวเม็กซิโก
 
อุทยานแห่งชาติชาโกในรัฐนิวเม็กซิโก

ภูมิประเทศของนิวเม็กซิโกส่วนใหญ่ประกอบด้วยที่ราบสูงและหุบเขาทอดยาวเหนือจรดใต้ โดยมีแม่น้ำรีโอแกรนด์ไหลผ่านจุดศูนย์กลางของรัฐ ระดับความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 4,700 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล

มลรัฐนิวเม็กซิโกมีชื่อเสียงมาช้านานในด้านสภาพอากาศที่อบอุ่นและเย็นสบาย[24] โดยรวมแล้วอากาศจะมีลักษณะกึ่งแห้งแล้งถึงแห้งแล้ง โดยมีพื้นที่ภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีป ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั่วทั้งรัฐอยู่ที่ 12.9 นิ้ว (330 มม.) ต่อปี โดยปริมาณเฉลี่ยต่อเดือนจะพุ่งสูงสุดในฤดูร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ตอนกลางและตอนเหนือที่ขรุขระกว่าทางใต้ โดยทั่วไป ทางตะวันออกของรัฐจะมีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดในหนึ่งปี ในขณะที่รัฐทางตะวันตกจะมีความแห้งแล้งมากที่สุด

อุณหภูมิต่อปีอาจอยู่ในช่วง 65 °F (18 °C) ทางตะวันออกเฉียงใต้ และอาจต่ำกว่า 40 °F (4 °C) ทางตอนเหนือ ในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิในตอนกลางวันมักจะเกิน 100 °F (38 °C) ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 5,000 ฟุต (1,500 ม.) อุณหภูมิสูงเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมอยู่ในช่วง 99 °F (37 °C) ในเดือนที่อากาศหนาวเย็นระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม หลายเมืองในนิวเม็กซิโกอาจมีอุณหภูมิต่ำสุดในตอนกลางคืน อุณหภูมิสูงสุดที่บันทึกไว้ในนิวเม็กซิโกคือ 122 °F (50 °C) ที่โรงงาน Waste Isolation Pilot Plant (WIPP) ใกล้หมู่บ้าน Loving เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 1994; อุณหภูมิต่ำสุดที่บันทึกไว้คือ -50 °F (-46 °C) ที่ Gavilan ย่าน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1951[25]

ประชากรแก้ไข

จากการสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 2020 นิวเม็กซิโกมีประชากร 2,117,522 คน โดยเพิ่มขึ้น 2.8% จากจำนวน 2,059,179 คนในปี 2010[26] โดยถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในฝั่งตะวันตกของประเทศรองจากรัฐไวโอมิง และเป็นอัตราการเติบโตที่ช้าที่สุดในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2000 ถึง 2010 ประชากรของนิวเม็กซิโกเพิ่มขึ้น 11.7% จากจำนวน 1,819,046 คน รายงานจากสภานิติบัญญัติแห่งนิวเม็กซิโกระบุว่าการเติบโตที่ช้านั้นเป็นผลมาจากอัตราการย้ายถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 18 ปีหรืออายุน้อยกว่า[27] และอัตราการเกิดลดลงถึง 19% อย่างไรก็ตาม การเติบโตของชุมชนฮิสแปนิกและชนพื้นเมืองอเมริกันยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี

มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรที่อาศัยในปัจจุบันเกิดในรัฐนี้ (51.4%) ในขณะที่ประชากรบางส่วนอพยพมาจากรัฐอื่น (37.9%) และประชากรจำนวน 1.1% เกิดในเปอร์โตริโกหรือในต่างประเทศกับพ่อแม่ชาวอเมริกันอย่างน้อยหนึ่งคน และอีก 9.4% เป็นชาวต่างชาติจากทวีปอื่น และเกือบหนึ่งในสี่ของประชากร (22.7%) มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และค่าเฉลี่ยอายุของประชากรในรัฐที่ 38.4 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 38.2 เล็กน้อย ชาวฮิสแปนิกและลาตินคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของผู้อยู่อาศัยทั้งหมด (49.3%) ทำให้นิวเม็กซิโกมีสัดส่วนเชื้อสายฮิสแปนิกสูงที่สุดในบรรดาห้าสิบรัฐ รวมถึงลูกหลานของชาวอาณานิคมสเปนที่ตั้งรกรากระหว่างศตวรรษที่ 16 และ 18 รวมทั้งผู้อพยพจากลาตินอเมริกา[28]

จากปี 2000 ถึง 2010 จำนวนคนยากจนได้เพิ่มขึ้นเป็น 400,779 คนหรือประมาณหนึ่งในห้าของประชากรทั้งหมด และการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2020 ครั้งล่าสุดได้มีการบันทึกอัตราความยากจนที่ลดลงเล็กน้อยที่ 18.2%[29]

วัฒนธรรมแก้ไข

ภาษาแก้ไข

นิวเม็กซิโกอยู่ในอันดับที่สามรองจากรัฐแคลิฟอร์เนียและเท็กซัสในแง่ของรัฐที่มีความหลากหลายทางภาษามากที่สุด[30] จากการสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐในปี 2010 พบว่า 28.45% ของประชากรอายุ 5 ปีขึ้นไปพูดภาษาสเปนเป็นหลัก[31] ในขณะที่ 3.50% พูดภาษานาวาโฮ ผู้พูดภาษาสเปนบางส่วนสืบเชื้อสายมาจากผู้ตั้งถิ่นฐานชาวสเปนก่อนศตวรรษที่ 18[32] นอกจากภาษานาวาโฮซึ่งพูดในรัฐแอริโซนาแล้ว ภาษาอเมริกันพื้นเมืองอีกหลายภาษายังมีการใช้โดยคนกลุ่มเล็ก ๆ ในนิวเม็กซิโก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาเฉพาะถิ่นของรัฐและภาษาเม็กซิกันดั้งเดิม

ศาสนาแก้ไข

เช่นเดียวกับรัฐอื่น ๆ ในสหรัฐ ประชากรในนิวเม็กซิโกส่วนมากเป็นคริสต์ศาสนิกชน[33] และกว่าหนึ่งในสามนับถือนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ ตามข้อมูลของสมาคมคลังข้อมูลศาสนา (ARDA) นิกายที่ใหญ่ที่สุดคือโรมันคาทอลิก (สมาชิก 684,941 คน)[34] และประชากรประมาณ 1 ใน 5 ในรัฐนิวเม็กซิโกไม่นับถือศาสนาใด ๆ ซึ่งรวมถึงผู้ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า[35]

อาหารแก้ไข

 
พริกแห้ง วัตถุดิบประกอบอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในรัฐนิวเม็กซิโก

อาหารในรัฐนิวเม็กซิโกได้รับอิทธิพลมาจากความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศเม็กซิโกและสเปน[36] และมีความแตกต่างจากอาหารประจำชาติทั่วไปในสหรัฐ[37] เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการผสมผสานของวัตถุดิบต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พริก[38] และเครื่องเทศ ที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ พริกแห้ง ซึ่งมีรสชาติเผ็ดร้อนและมักปรากฏอยู่ในเมนูชั้นนำต่างๆในร้านอาหารของรัฐนิวเม็กซิโก ตั้งแต่ร้านอาหารริมทางทั่วไปจนถึงภัตตาคารขนาดใหญ่[39]

อ้างอิงแก้ไข

  1. 2007 จำนวนประชากรในสหรัฐ แบ่งตามรัฐ
  2. "Most spoken languages in New Mexico in 2010". MLA Data Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 23, 2013. สืบค้นเมื่อ November 4, 2012.
  3. จำนวนประชากรในสหรัฐ แบ่งตามรัฐ
  4. "New Mexico Population 2021 (Demographics, Maps, Graphs)". worldpopulationreview.com.
  5. "New Mexico | Data USA". datausa.io (ภาษาอังกฤษ).
  6. "New Mexico Regions & Cities". www.newmexico.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  7. "New Mexico Climate & Geography | NMEDD". gonm.biz.[ลิงก์เสีย]
  8. "New Mexico Maps & Facts". WorldAtlas (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  9. "Poverty rate in New Mexico 2019". Statista (ภาษาอังกฤษ).
  10. "U.S. Census Bureau QuickFacts: New Mexico". www.census.gov (ภาษาอังกฤษ).
  11. Mexican, Bruce KrasnowThe New. "N.M. poverty rate down, but is still among worst in U.S." Santa Fe New Mexican (ภาษาอังกฤษ).
  12. Admin, Web. "New Mexico Ranked Worst in the Nation for Child Poverty". New Mexico Voices for Children (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  13. "New Mexico Report - 2020". Talk Poverty (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  14. "New Mexico: per capita real GDP 2000-2019". Statista (ภาษาอังกฤษ).
  15. "U.S. federal state of New Mexico - real GDP 2000-2020". Statista (ภาษาอังกฤษ).
  16. Editor, Adrian Gomez | Journal Arts and Entertainment. "New Mexico's film industry has bounded back to near pre-pandemic levels". www.abqjournal.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  17. Tlapoyawa, Kurly (2017-10-14). "How Did New Mexico Get Its Name?". [ mexika.org ] (ภาษาอังกฤษ).
  18. "Is New Mexico a State? Some Americans Don't Know". NPR.org (ภาษาอังกฤษ).
  19. Edward B. Kaye (2001). ""Good Flag, Bad Flag, and the Great NAVA Flag Survey of 2001". Raven: A Journal of Vexillology. 8: 11–38.
  20. "New Mexico State Flag - About the New Mexico Flag, its adoption and history from NETSTATE.COM". www.netstate.com.
  21. Weber, David J. (1992). The Spanish Frontier in North America. New Haven and London: Yale University Press. p. 79.
  22. "รู้หรือไม่ รัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐฯ ถือกำเนิดก่อนประเทศเม็กซิโกเสียอีก #beartai". #beartai (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2021-07-26.
  23. Sanchez, Joseph P. (1987). The Rio Abajo Frontier, 1540–1692: A History of Early Colonial New Mexico. Albuquerque: Museum of Albuquerque History Monograph Series. p. 51.
  24. "New Mexico | Flag, Facts, Maps, & Points of Interest". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
  25. "NOAA | NCDC | SCEC | Climatological Extremes for NM". web.archive.org. 2010-05-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-28. สืบค้นเมื่อ 2021-08-17.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  26. https://www.census.gov/quickfacts/NM#:~:text=People%20%20%20%20Population%20%20%20,%20%202%2C059%2C179%20%2042%20more%20rows%20
  27. https://www.usnews.com/news/best-states/new-mexico/articles/2021-04-26/census-new-mexico-among-slowest-growing-western-states#:~:text=ALBUQUERQUE%2C%20N.M.%20%28AP%29%20%E2%80%94%20New%20Mexico%20%E2%80%99s%20population,2020%20was%20the%20second%20slowest%20in%20U.S.%20history.
  28. "New Mexico | Bureau of Business and Economic Research UNM". bber.unm.edu.
  29. Writer, Dan McKay | Journal Staff. "NM 2020 census count higher than expected". www.abqjournal.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  30. Sonnad, Nikhil. "Against the odds, English is on the rise in four US states". Quartz (ภาษาอังกฤษ).
  31. "Language Map Data Center". apps.mla.org.
  32. Espinosa, Aurelio Macedonio; Morley, S. Griswold (Sylvanus Griswold) (1911). The Spanish language in New Mexico and southern Colorado. University of California Libraries. Santa Fe, N.M., New Mexican printing company.
  33. NW, 1615 L. St; Suite 800Washington; Inquiries, DC 20036USA202-419-4300 | Main202-857-8562 | Fax202-419-4372 | Media. "Most and least religious U.S. states". Pew Research Center (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  34. "The Association of Religion Data Archives | Maps & Reports". web.archive.org. 2013-12-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-03. สืบค้นเมื่อ 2021-08-17.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  35. "Religion in New Mexico | Frommer's". www.frommers.com.
  36. Casey, Clyde (2013). New Mexico Cuisine: Recipes from the Land of Enchantment (ภาษาอังกฤษ). University of New Mexico Press. ISBN 978-0-8263-5417-4.
  37. Swentzell, Roxanne; Perea, Patricia M. (2016). The Pueblo Food Experience Cookbook: Whole Food of Our Ancestors (ภาษาอังกฤษ). Museum of New Mexico Press. ISBN 978-0-89013-619-5.
  38. Arellano, Gustavo (2013-04-16). Taco USA: How Mexican Food Conquered America (ภาษาอังกฤษ). Simon and Schuster. ISBN 978-1-4391-4862-4.
  39. "A Classic Biscochitos Recipe". www.newmexico.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2013-10-04.

แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข